• Connect with us

    Enter Books

    สยบฟ้า พิชิตปฐพี

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 20 ตอนที่ 1

    บทที่ ผลไม้เชื่อม

     

    ต้นชิงเถิงบนหน้าผามีความเหนียวทนแข็งแรงยิ่ง แต่พอถูกกระแทกด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวกลับฉีกขาดกระจุยกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โถมซัดใส่ป่าทึบเบื้องล่างและทางเดินบนเขาไปในพริบตา อานุภาพการทำลายล้างดั่งก้อนศิลาที่ใช้ยิงถล่มกำแพงเมืองทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมีน้ำหนักเพียงน้อยนิด

    เสียงตูมตามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พื้นดินถูกกระแทกจนเป็นหลุมเป็นบ่อ ต้นไม้ในป่าถอนรากถอนโคนล้มระเนระนาด ไม่เพียงเท่านั้น กิ่งก้านยังหลุดหักปลิวว่อนเกิดเป็นเสียงดังควับเควี้ยว บ้างพุ่งเสียบติดกับลำต้น บ้างปะทะใส่ก้อนหินจนแหว่งเว้าเป็นรอยลึก ดูแล้วน่าหวาดเสียวเป็นอย่างยิ่ง

    แค่เศษต้นชิงเถิงเรียวบางชิ้นหนึ่งตกใส่กลางหลัง หลงชิ่งก็ถึงกับเซถลาเหมือนถูกก้อนศิลาขนาดใหญ่กระแทกเข้าอย่างจัง ใบหน้ามันขาวเผือด กระอักเลือดออกมาคำโต ดวงตาฉายแววหวาดกลัวสุดขีด พยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดวิ่งตะบึงลงจากเขาอย่างไม่คิดชีวิต

    ความรู้สึกที่บรรดาพรตเฒ่าในถ้ำมีต่อหลงชิ่งนั้นซับซ้อนเข้าใจยาก หลงชิ่งเป็นทั้งตัวแทนความหวังที่จะได้กลับคืนสู่โลกภายนอกของพวกมัน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนของเงามรณะ เมื่อทั้งสองอย่างผนวกเข้าด้วยกันจึงกลายเป็นสิ่งล่อใจที่ทั้งดำมืดและหวานหอม

    ตอนมองดูนักพรตครึ่งร่างถ่ายทอดพลังฌานให้กับหลงชิ่ง พวกมันรับรู้ถึงความจริงบางอย่าง รู้ว่าหลงชิ่งแม้จะมิใช่คนใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตจนถึงที่สุด แต่ขณะที่ใช้วิชาดวงเนตรสีเทา หลงชิ่งจะไม่สามารถข่มกลั้นความหิวกระหายและความทะเยอทะยานในใจเอาไว้ได้ และนั่นหมายถึงว่าความตายจะมาเยือนพวกมันในที่สุด

    พรตเฒ่าเหล่านี้ถูกจอมปราชญ์กับเคอเฮ่าหรานทำร้ายจนร่างกายพิกลพิการ แต่ก็ยังยอมมีชีวิตอยู่ต่ออย่างทุกข์ทรมานมานานหลายสิบปี ก็เพราะพวกมันยังไม่อยากตาย ในเมื่อไม่อยากตายก็จำต้องหักห้ามใจจากสิ่งล่อใจที่แฝงอันตราย และวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือฆ่าเจ้าเดรัจฉานน้อยตัวนี้ทิ้งซะ

    เดิมทีหลงชิ่งมิได้นึกถึงเหตุผลข้อนี้ จนกระทั่งนักพรตครึ่งร่างได้เอ่ยปากเตือนไว้ก่อนตาย ดังนั้นสิ่งแรกที่วูบขึ้นมาในใจคือต้องหนีไปให้เร็วที่สุด ทว่าแม้มันจะตระหนักดีถึงพลังอันสูงล้ำของเหล่าพรตเฒ่า แต่ก็ยังคิดไม่ถึงว่ากลิ่นอายของพวกมันเมื่อรวมพลังกันจะมีอานุภาพจู่โจมถึงขั้นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

    ทางบนเขาตอนนี้มีแต่เศษต้นชิงเถิงปลิวว่อน ต้นไม้ในป่าหักล้มบังเกิดเป็นเสียงดังครืนครัน ฝุ่นดินฟุ้งกระจายหนาทึบ ดูไปคล้ายเฮ่าเทียนกำลังสำแดงพิโรธ ส่งหินจากฟ้าลงมากำจัดคนทรยศ

    หลงชิ่งพยายามวิ่งหลบเศษซากจากการทำลายล้างรวมทั้งต้นไม้ที่สามารถล้มลงมาทับมันตายได้ทุกเมื่ออย่างสุดชีวิต โชคดีที่นับตั้งแต่ออกจากทะเลหนานไห่มาอยู่ที่นี่ มันเดินไต่เขาลูกนี้เพื่อไปส่งของให้แก่เหล่าพรตเฒ่าเป็นประจำ จึงชำนาญทางเป็นอย่างดี สามารถช่วยให้มันมีปฏิกิริยาตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

    ทุกก้าวที่วิ่งหรือกระโดดหลบจะมีเศษไม้กระเด็นมากระแทกหรือทิ่มแทง บัดนี้ร่างของมันจึงเต็มไปด้วยบาดแผล หลั่งโลหิตออกมาไม่หยุด แต่เป็นเพราะชุดนักพรตที่สวมเป็นสีดำจึงยากที่จะดูออกว่าอกเสื้อของมันเริ่มชุ่มโชกแล้ว

    ไม่นาน ความปั่นป่วนในป่าก็เริ่มเบาบางลง เศษชิงเถิงที่โหมซัดลงมาเริ่มบางตา แต่แม้จะออกห่างจากภูเขามามากแล้ว หลงชิ่งก็มิได้ชะลอฝีเท้า มีเพียงสีหน้าเท่านั้นที่เริ่มสงบนิ่งและผ่อนคลาย ทว่าในความสงบนิ่งคล้ายจะมีความหวาดหวั่นและความปีติยินดีอย่างบ้าคลั่งซุกซ่อนอยู่

    ในที่สุดก็มาถึงอารามจือโส่ว พอเห็นกระท่อมเจ็ดหลังข้างทะเลสาบกับหญ้าเหลืองเหมือนหยกที่ใช้มุงหลังคา มันก็ชะงักหรี่ตาลงก่อนคำรามเสียงต่ำในลำคอ กระโจนเข้าไปในกระท่อมหลังที่สามเพื่อหยิบคัมภีร์สวรรค์เล่มทราย

    คัมภีร์สวรรค์เล่มทรายมีความหนาไม่น้อย เพราะจดบันทึกเคล็ดวิชาฝึกฌานเอาไว้มากมาย ทว่ามิทราบทำไม พอถูกมือที่เปื้อนโลหิตของหลงชิ่งสัมผัส ตัวคัมภีร์กลับคล้ายจะมีความหนาลดลง

    หลงชิ่งซุกเก็บคัมภีร์ไว้ในอกเสื้อแล้วออกจากกระท่อม ก่อนมองไปยังกระท่อมหลังอื่นๆ ทว่ายังมิทันจะขยับตัวทำอะไรก็รู้สึกถึงกลิ่นอายอ่อนจางสายหนึ่งกำลังพุ่งมาจากริมทะเลสาบอย่างรวดเร็ว สีหน้ามันแข็งทื่อ มิกล้าชักช้าอีก รีบพุ่งตัวไปที่หอยาทันที

    หลายวันมานี้ หลงชิ่งใช้เวลาว่างอยู่ในหอยาเพื่อปรุงยาและฝึกฌานอย่างสงบ จึงคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างยิ่ง มันตรงไปที่ห้องปรุงยาซึ่งอยู่ด้านหลังสุดเพื่อหยิบยาอริยสัจที่ถูกอุ่นไว้ในเตาตลอดเวลา

    เมื่อครู่มันบังคับดูดเอาพลังฌานทั้งหมดมาจากนักพรตครึ่งร่างผู้ซึ่งบรรลุห้าด่านไปแล้ว จึงไม่ยากที่จะจินตนาการว่าประสบการณ์ ความรู้และพลังจิตที่มันได้รับมีจำนวนมากมายมหาศาลเพียงใด ทว่าด้วยด่านฌานของมันในตอนนี้ การจะปรับเอาสิ่งที่ดูดรับเข้ามาให้ผสมกลมกลืนเข้ากับสภาพร่างกายของมันในระยะเวลาอันสั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงจำเป็นต้องข่มสิ่งแปลกปลอมในร่างที่ทำท่าเหมือนจะก่อหวอดขึ้นมาเอาไว้ก่อน มิอาจใช้สิ่งเหล่านี้รักษาอาการบาดเจ็บให้ตัวเอง

    ดังนั้นว่ากันตามเหตุผล มันควรจะรีบกินยาอริยสัจที่อุตส่าห์ทุ่มเทใจกายปรุงขึ้นมากับมือลงท้องไปในทันที จากนั้นโคจรพลังเพื่อดูดซึมฤทธิ์ยา รักษาอาการบาดเจ็บให้พอทุเลาไปได้บ้างก่อน แต่แปลกที่มันกลับซุกเก็บยาไว้ในอกเสื้อแล้ววิ่งไปที่โถงวิหารด้านหน้า

    มันไปหยุดลงตรงหน้าชั้นวางของซึ่งพบเห็นในวันแรกที่มา บนชั้นมีขวดกระเบื้องที่มีประกายสดใสวางปะปนอยู่กับขวดยาสารพัดสารพันอยู่ขวดหนึ่ง

    เพื่อหักห้ามใจจากความเย้ายวนตรงหน้า หลายวันมานี้มันไม่ยอมมาตรงนี้อีก ไม่แม้แต่จะเหลือบมองทั้งๆ ที่ความจริงมันฝันว่าได้กำขวดยาใบนี้ไว้ในมือมิรู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว จนจดจำตำแหน่งของขวดได้อย่างแม่นยำ ขณะยื่นมือออกไป ตัวมันถึงกับสั่นเทาอย่างรุนแรง

    พริบตาที่นิ้วมือส่งกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นและเต็มไปด้วยคราบโลหิตของมันกระทบถูกขวดกระเบื้องที่มีกลิ่นยาระเหยออกมา กลิ่นคาวเลือดก็คล้ายจะถูกชำระล้างไปในทันที หลงชิ่งรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บแทบหายเป็นปลิดทิ้ง มันข่มใจให้สงบไว้ไม่ได้อีก นัยน์ตาสาดประกายเจิดจ้าขึ้นวูบ

    ขณะก้าวออกจากหอยา เตรียมใช้เส้นทางที่จะพามันหนีออกจากที่นี่ได้เร็วที่สุด สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างของนักพรตวัยกลางคนซึ่งมายืนดักรอมันอยู่ได้อึดใจหนึ่งแล้ว สีหน้าของหลงชิ่งมิได้แสดงความแปลกใจเลยแม้แต่น้อย

    ทุ่งหญ้าหน้าอารามตอนต้นฤดูสารทไม่ได้เปลี่ยนเป็นเหลืองแห้งและไม่มีสีขาวของน้ำค้างแข็งแซมอยู่เป็นหย่อมๆ ยังคงเขียวขจีได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ นักพรตวัยกลางคนสวมชุดนักพรตสีฟ้าอมเขียวยืนอยู่บนทุ่งหญ้า ดูเผินๆ คล้ายผสมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ไม่เป็นที่สะดุดตาแม้แต่นิดเดียว

    สำหรับหลงชิ่ง ภาพนี้ไขข้อข้องใจบางอย่างให้กับมัน ที่ผ่านมามันไม่เคยรู้ว่าอาจารย์อาผู้ดูแลอารามมีพลังฌานอยู่ในระดับใด แต่หลังเห็นภาพความกลมกลืนนี้ มันก็แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องบรรลุด่านรู้ชะตาไปแล้ว และเป็นไปได้ที่จะอยู่ในขั้นสูงสุดอีกด้วย

    หลงชิ่งยิ้มขมขื่น คิดในใจ สมควรแล้วที่จะเป็นเช่นนี้ อารามจือโส่วต่อให้วิเวกวังเวงเพียงใดก็ยังคงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์และสถานที่ที่เป็นปริศนาของนิกายเต๋า เป็นที่ซึ่งผู้ฝึกฌานทั้งแผ่นดินเคารพบูชาดั่งแดนสวรรค์ นักพรตที่มีคุณสมบัติดูแลสถานที่เยี่ยงนี้จักเป็นคนธรรมดาไปได้อย่างไร

    นักพรตวัยกลางคนถาม

    “เหตุใดจึงทำเช่นนี้”

    หลงชิ่งตอบเสียงราบเรียบ

    “เพราะข้าอยากทำ”

    บนเรือในทะเลหนานไห่ นักพรตชุดเขียวเคยไขปัญหาให้กับหลงชิ่ง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลงชิ่งก็เข้าใจว่าความมุ่งมาดของตัวเองก็คือเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียน

    นักพรตวัยกลางคนฝึกฌานอยู่ในอารามจือโส่วมาตลอด ทั้งยังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับนักพรตชุดเขียว จึงย่อมเข้าใจความหมายในวาจาของหลงชิ่งเป็นอย่างดี

    “ความคิดเห็นของศิษย์พี่ ข้าผู้เป็นศิษย์น้องแม้จะมิค่อยเห็นด้วย แต่ก็หาเหตุผลมาคัดง้างไม่ได้ ทว่าต่อให้ความมุ่งมาดของพวกเราล้วนเป็นเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียน ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเพราะเหตุใดเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้ ต่อให้เจ้าไม่ทำอะไรเลย แค่สงบจิตฝึกฌานอยู่ที่นี่ มุอ่านคัมภีร์สวรรค์ ได้อยู่ร่วมกับผู้อาวุโสเหล่านั้นทุกวัน ก็ต้องมีสักวันที่เจ้าจะได้พลังความสามารถกลับคืนมา ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถก้าวข้ามไปในด่านฌานที่สูงกว่าเดิมอีกด้วย แล้วเพราะเหตุใดจึงยังต้องทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ด้วยเล่า”

    “เพราะทั่วทั้งปฐพีนี้มิได้มีข้าเพียงคนเดียวที่ฝึกฌาน”

    หลงชิ่งตอบเพียงสั้นๆ

    มันไม่คิดจะสาธยายถึงเหตุผลที่ว่าขณะที่ตัวมันนั่งฝึกฌานอยู่ในอารามจือโส่ว คนเหล่านั้นก็มิได้หยุดอยู่กับที่ ผู้งมงายยุทธ์บัดนี้ได้กลายเป็นจ้าวบัลลังก์พิพากษาไปแล้ว ผู้งมงายอักษรก็บรรลุด่านรู้ชะตา ที่สำคัญที่สุดคือเจ้าคนถ่อยหนิงเชวียนั่นก็ไม่มีทางหยุดรอมัน

    มันต้องการช่วงชิงเวลา มันไม่สามารถฝึกฌานอยู่แต่ในนี้ต่อไปอีกหลายสิบปี เพราะแม้เปลือกนอกมันจะสงบนิ่ง ทว่ามีแต่ตัวมันเท่านั้นที่รู้ จนกว่าจะสามารถเอาชนะผู้งมงายยุทธ์ สามารถคร่าชีวิตของหนิงเชวียได้สำเร็จ เมื่อนั้นจิตใจมันจึงจะสงบอย่างแท้จริงและถาวร!

    ทันใดนั้น นักพรตวัยกลางคนก็สูดได้กลิ่นยาจางๆ สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

    “วางแผนทำร้ายผู้อาวุโสของนิกายก็ถือว่ามีความผิดมหันต์แล้ว นี่เจ้ายังกล้าขโมยยาวิเศษของนิกายอีกรึ”

    หลงชิ่งรู้แล้วว่าอาจารย์อาได้กลิ่นยาเม็ดเบิกนภาจากตัวมัน ขณะจะตอบว่ากระไร นักพรตวัยกลางคนก็ได้กลิ่นอายคัมภีร์สวรรค์ คราวนี้ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี กล่าวตำหนิเสียงกร้าว

    “แม้แต่คัมภีร์สวรรค์ยังกล้าขโมย! หรือเจ้าไม่กลัวว่าจะถูกส่งลงไปในโลกแห่งความมืด!”

    “อาจารย์อา ข้าคิดใคร่ครวญมาตลอด ในขณะที่ข้าหมดหวังต่อทุกสิ่งทุกอย่าง มิได้ใส่ใจกับความสว่างไสวและความมืดมิดอีก เริ่มใช้ชีวิตดั่งเช่นพ่อค้าธรรมดาๆ พยายามอยู่อย่างคนสามัญ ผ่านวันคืนไปอย่างไร้รสชาติ เหตุไฉนเจ้าอารามถึงต้องมาช่วยข้า

    จนกระทั่งข้ามาที่นี่ เริ่มฝึกวิชาดวงเนตรสีเทา ได้พบเห็นยาเม็ดเบิกนภา เริ่มหักห้ามใจต่อกลิ่นอายอันทรงพลังบนตัวเหล่าผู้อาวุโสในถ้ำไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนผู้อาวุโสครึ่งร่างจะตายจากไป มันได้กล่าวถึงเรื่องความยิ่งใหญ่เกรียงไกรกับความทระนงถือดี…ข้าจึงค่อยเข้าใจ หากเจ้าอารามจะค้นพบสิ่งใดในตัวข้าที่แตกต่างจากคนอื่น สิ่งนั้นคงเป็นความหมดอาลัยตายอยากและความผิดหวังต่อโลกนี้ของข้าที่มากมายจนถึงขั้นสามารถโยนทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ความทระนงถือดีทิ้งไป เช่นนี้ข้าจึงจะสามารถกลายเป็นคนที่เข้มแข็งเกรียงไกรที่สุดได้”

    ขณะกล่าว ใบหน้ามันปรากฏรอยยิ้มที่ดูเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เป็นพิเศษ

    “มิผิด ขอเพียงยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้อีกครั้ง ต่อให้ต้องจมดิ่งอยู่แต่ในโลกแห่งความมืดแล้วจะเป็นอย่างไร ข้ายินยอมพร้อมใจที่จะจ่ายค่าตอบแทน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมข้าจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรขึ้นมาเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิมอีกไม่ได้เล่า”

    นักพรตวัยกลางคนขมวดคิ้ว

    มันรู้ถึงเจตนาที่ศิษย์พี่ส่งตัวหลงชิ่งมาที่อาราม หลงชิ่งมิได้พูดผิด เพียงแต่มันตระหนักดีว่าแม้ศิษย์พี่เองก็คงจะไม่คาดคิดว่าหลงชิ่งจะโหดเหี้ยมอำมหิตและบ้าระห่ำถึงขนาดกล้าทำเรื่องทรยศเลวทรามเช่นนี้ได้

    “หากนี่คือเส้นทางที่ศิษย์พี่วาดไว้ให้เจ้า เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ได้ก้าวข้ามจุดสิ้นสุดของเส้นทางไปยืนอยู่ตรงหน้าผาแล้ว และหากนี่คือชีวิตที่ศิษย์พี่เตรียมการไว้ให้เจ้า เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ได้เดินออกนอกกรอบที่มันเตรียมไว้ให้แล้ว”

    ทุ่งหญ้าด้านหลังนักพรตวัยกลางคนสะท้อนแสงสว่างของท้องนภา สุดเขตทุ่งหญ้าเป็นหน้าผาขาด ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหุบเหวที่อยู่ใต้ทะเลหมอกมีความลึกเพียงใด

    “อาจารย์อา ระหว่างที่ข้าดูดความนึกคิดของผู้อาวุโสครึ่งร่าง ข้าทั้งเคลิบเคลิ้มทั้งหวาดกลัว เพราะข้ารับรู้ได้ว่าจากนี้ไปจะไม่มีกฎเกณฑ์หรือเส้นแบ่งเขตใดๆ มาพันธนาการข้าไว้ได้อีก นั่นย่อมรวมถึงสิ่งที่เจ้าอารามเตรียมการหรือวางแผนไว้ให้ด้วย เพราะสิ่งที่เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าย่อมต้องมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน”

    หลงชิ่งมองชุดนักพรตบนตัวนักพรตวัยกลางคน แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงเจ้าอาราม ใบหน้าพลันปรากฏแววหวาดกลัวขึ้นวูบ ทว่าเพียงครู่เดียวความหวาดกลัวก็กลายเป็นความผ่อนคลาย กล่าวต่อว่า

    “เจ้าอารามก็คงคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น เพราะคนเราบางครั้งก็ยังไม่เข้าใจจิตใจของตัวเอง แล้วจะไปเข้าใจหรือล่วงรู้เจตนารมณ์ของเฮ่าเทียนได้อย่างไร”

    นักพรตวัยกลางคนถอนใจยาว

    “ต่อให้เป็นศิษย์พี่หรือต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าเองก็เถอะ พวกมันก็ยังมิกล้าไปคาดเดาเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียน ในโลกนี้มีผู้ใดกล้าบอกว่าตัวเองล่วงรู้ว่าท้องนภาเบื้องบนกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วเจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาบอกว่าตัวเองแบกรับโองการของเฮ่าเทียน โยนความผิดของตัวเองไปที่เฮ่าเทียน”

    หลงชิ่งตอบ

    “ความผิดในสายตาของปุถุชนคนธรรมดาอาจไม่ดำรงอยู่ในความนึกคิดของเฮ่าเทียนก็ได้”

    “บางทีเจ้าอาจจะพูดถูก ทว่าบัดนี้ข้ายืนอยู่ตรงหน้าเจ้า ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าความเชื่อมั่นศรัทธาแบบใดกันที่ค้ำจุนเจ้าอยู่ ทำให้เจ้าไม่หวาดกลัวและไม่คุกเข่าลงอ้อนวอนไม่ให้ข้าฆ่าเจ้า ทั้งยังพูดจาอย่างไม่สะทกสะท้าน หรือเจ้าเข้าใจจริงๆ ว่าพูดแบบนี้แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้านำคัมภีร์สวรรค์และยาเม็ดเบิกนภาจากไป”

    หลงชิ่งตอบเสียงราบเรียบ

    “หากความมุ่งมาดของข้าคือเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียน เช่นนั้นโองการของเฮ่าเทียนจะต้องเป็นจริงโดยข้า แล้วอย่างนี้เฮ่าเทียนจะปล่อยให้ข้าตายได้อย่างไร หากวันนี้ข้าตายในเงื้อมมือของอาจารย์อา ก็พิสูจน์ได้ว่าความประสงค์ของข้ามิใช่เจตนารมณ์ของเฮ่าเทียน ดังนั้นอาจารย์อา ข้าไม่กลัวตายจริงๆ อย่างน้อยก็ไม่หวาดหวั่นกับการต้องเผชิญหน้ากับความตาย”

    นักพรตวัยกลางคนกล่าว

    “เจ้าจะพูดอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ส่งคัมภีร์สวรรค์กับยาวิเศษคืนมา แล้วข้าจะไม่ฆ่าเจ้า อย่างน้อยก็ในตอนนี้”

    “ท่านไม่ฆ่าข้าหรอก เพราะท่านรู้ว่าเจ้าอารามฝากความหวังบางอย่างเอาไว้ที่ตัวข้า เพราะเคยสูญเสียไปมากมาย ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงเหมือนเด็กที่มีแต่ความตะกละตะกลาม ผลไม้เชื่อมที่ข้าแย่งมาไว้ในมือ จะให้ตัดใจส่งคืนไปได้อย่างไร”

    กล่าวจบมันก็ยกมือกุมหน้าอกแล้วไอออกมาติดๆ กัน ก่อนเงยหน้ามองนักพรตวัยกลางคน

    “อาจารย์อา ท่านเคยเห็นภาพเด็กยากจนแย่งขนมกินกันหรือไม่ สมัยก่อนตอนอยู่ในวัง ข้าไม่เคยมีโอกาสได้เห็น แต่ตอนเป็นขอทาน ข้าเห็นจนชาชิน นั่นเป็นภาพที่ดุเดือดเลือดพล่านยิ่งกว่าภาพขอทานแย่งข้าวก้นชามกินกันเสียอีก ที่ทำให้คนเราเจ็บปวดใจก็คือ แม้เด็กพวกนั้นจะกินข้าวอิ่มแล้ว แต่พวกมันก็ยังคงแย่งขนมกันสุดชีวิต เพราะถ้าพวกมันไม่กิน เด็กคนอื่นก็จะกินไป”

    “ไม่ได้เด็ดขาด!”

    นักพรตวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้นก็ฉุกใจ รีบร้องห้ามพลางสะบัดแขนเสื้อออกไป

    กลิ่นอายบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลหอบหนึ่งกวาดม้วนพลังปฐมแห่งฟ้าดินในบริเวณนั้นให้ผนึกรวมเป็นเชือกที่มองไม่เห็น พุ่งเข้าหาร่างของหลงชิ่งทันที

    เมื่อครู่ตอนไอ หลงชิ่งได้แอบล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อบีบขวดยาจนแตกอยู่ก่อนแล้ว อาศัยที่กลิ่นอายของนักพรตวัยกลางคนยังจู่โจมมาไม่ถึง มันรีบช่วงชิงเวลาส่งยาปนเศษกระเบื้องเข้าปากเคี้ยวอย่างรวดเร็ว ดูแล้วเหมือนเด็กยากจนที่พยายามยัดขนมใส่ปากเคี้ยวอย่างไม่คิดชีวิตจริงๆ

    เศษกระเบื้องเหล่านั้นบาดปากบาดลิ้นมันจนเป็นแผล โลหิตบางส่วนไหลย้อยลงมาถึงคาง บางส่วนปะปนกับยาเม็ดเบิกนภาและเศษกระเบื้องลงท้องไป

    นักพรตวัยกลางคนรีบรั้งพลังกลับทันที ก่อนพลิ้วกายมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลงชิ่ง ยาเม็ดเบิกนภาถูกหลงชิ่งกลืนลงท้องไปแล้ว ต่อให้ผ่าท้องมัน ยาเม็ดเบิกนภาก็ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีก

    นักพรตวัยกลางคนมีสีหน้าเคร่งเครียด ไฟโทสะในดวงตาแทบลุกโชนออกมาเผาผลาญหลงชิ่งให้ไหม้เกรียม

    ยาเม็ดเบิกนภาสามารถพูดได้ว่าเป็นยาวิเศษที่ล้ำค่าที่สุดในปฐพี แม้แต่อารามจือโส่วก็ยังมีอยู่เพียงไม่กี่เม็ด ยิ่งหลังจากเฉินผีผีจากไป นี่ก็คือเม็ดสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่

    หลงชิ่งเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ

    “อาจารย์อา ยาเม็ดเบิกนภาถูกข้ากินไปแล้ว หากฆ่าข้า ยาเม็ดนี้ก็จะเปรียบเสมือนผลไม้เชื่อมที่ตกใส่กองอาจม หาประโยชน์อันใดจากมันไม่ได้อีก แต่หากท่านปล่อยให้ข้ามีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ยังสามารถคาดหวังว่ายาเม็ดนี้จะนำความเปลี่ยนแปลงมาให้ข้าได้บ้าง เพื่อนิกายเต๋า ข้าคิดว่านี่จึงจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง”

    นักพรตวัยกลางคนหรี่ตาลง ดูไม่ออกว่าในใจกำลังคิดอะไร

    การขโมยยาวิเศษมีโทษที่มิอาจให้อภัยได้ แต่หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง ยาวิเศษทันทีที่ถูกกิน ความล้ำค่าก็จะถูกถ่ายโอนไปอยู่ที่ตัวผู้กิน เพราะไม่ว่าจะเดือดแค้นสักเพียงใด ยาวิเศษก็ไม่ดำรงอยู่อีก เดิมกล่าวกันว่า ‘ผู้ครอบครองหยกมีความผิด* ’ แต่หากหยกผนวกเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับตัวคน คนก็จะกลายเป็นหยก ไม่เพียงไม่มีความผิด ทั้งยังจะกลายเป็นคนที่มีค่ามากอีกด้วย

    นับตั้งแต่เห็นร่างนักพรตวัยกลางคนมายืนขวางทาง หลงชิ่งก็ไม่กล้าเพ้อฝันว่าจะสามารถหลบหนีไปได้ อย่าว่าแต่ตอนนี้มันได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อให้สามารถผสมผสานพลังฌานของนักพรตครึ่งร่างให้เข้ากับร่างกายตัวเองได้สำเร็จ มันก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของอาจารย์อาผู้มีความลึกล้ำยากหยั่งถึงผู้นี้อยู่ดี

    ดังนั้นมันจึงคิดวางแผนอยู่ในใจ การสนทนาเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียนเมื่อครู่เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่ายเท่านั้น เพราะมันแค่ต้องการฉวยโอกาสตอนที่นักพรตวัยกลางคนเผลอ กินยาเม็ดเบิกนภาลงไป

    ในที่สุดมันก็ทำสำเร็จ หลงชิ่งยิ้มบางๆ ขณะมองท่าทางครุ่นคิดของนักพรตวัยกลางคน มันมิได้รู้สึกกระหยิ่มใจ เพียงแต่พอใจที่ตัวเองเข้าใจความคิดของคนในนิกายเต๋า

    ยาเม็ดเบิกนภาค่อยๆ ละลายอยู่ในท้อง นำพาความอบอุ่นดุจลมวสันต์ให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง พบเจออวัยวะภายในที่ได้รับบาดเจ็บก็ซ่อมแซม พบเจอชี่ไห่เสวี่ยซานที่แห้งผากมาตลอดนับตั้งแต่ถูกสร้างขึ้นใหม่ก็ให้ความชุ่มชื้น

    หลงชิ่งสัมผัสรับรู้ได้อย่างชัดเจน ถึงขั้นคาดการณ์ได้ว่าเมื่อยาเม็ดเบิกนภาแทรกซึมเข้าสู่ทุกส่วนในร่างกายหมดแล้ว ชี่ไห่เสวี่ยซานของมันก็จะหวนกลับคืนสู่สภาพก่อนหน้านี้ และเมื่อผนวกเข้ากับพลังฌานทั้งชีวิตของนักพรตครึ่งร่าง ด่านฌานของมันก็จะกลับคืนสู่สภาพที่เคยเป็น และไม่แน่ว่าอาจจะถึงขั้นก้าวข้ามธรณีประตูเข้าสู่ด่านรู้ชะตาอีกด้วย!

    มีแต่เคยสูญเสียจึงจะรู้ซึ้งถึงความลำบากที่จะได้กลับคืนมา มีแต่เคยรุ่งโรจน์ชัชวาลจึงจะรู้ซึ้งถึงความลำเค็ญที่จะต้องปีนป่ายขึ้นไปยังจุดสูงสุดอีกครา หลงชิ่งนึกย้อนถึงธนูบนหน้าผาหิมะดอกนั้น โพรงแผลบนหน้าอก การเดินเข้าหาความมืดอย่างสิ้นหวัง และหมั่นโถวในวัดร้างของเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ดวงตาก็เปียกชื้น ก่อนรู้สึกว่าร่างของตัวเองเบาโหวงเหมือนกำลังลอยขึ้นสู่เวหา

    อึดใจต่อมามันก็พบว่านี่มิใช่สิ่งที่มันคิดไปเองหรือภาพลวงตา แต่เป็นผลของฤทธิ์ยาในร่างที่กำลังไหลเวียนชะล้างความขุ่นมัว ความสกปรกโสโครกและความสามัญของปุถุชนคนธรรมดาในโลกิยะที่ฝังอยู่ในไขกระดูกทิ้งไปจนตัวมันเปลี่ยนเป็นเบาหวิว คล้ายจะลอยละลิ่วไปไกลได้จริงๆ

    ความรู้สึกทั้งหมดที่ได้รับคล้ายความจริงเป็นที่สุด นี่ก็คือความน่าอัศจรรย์ใจของยาเม็ดเบิกนภา กลิ่นของตัวยาคล้ายเป็นสิ่งที่มีตัวตน ค่อยๆ กำจายออกจากรูขุมขนของมันก่อนห่อหุ้มไปทั่วร่าง

    ขณะกำลังเคลิบเคลิ้มเมามาย หลงชิ่งที่ยังมีสติเหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็คิดในใจ แม้จะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ แต่นับจากนี้ไปมันคงถูกกักขังอยู่แต่ในอารามเพื่อให้รอรับโทษทัณฑ์จากเจ้าอาราม และคัมภีร์สวรรค์ในอกเสื้อก็คงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้แน่ ทว่าเรื่องราวมิได้เป็นไปตามที่มันคิด นักพรตวัยกลางคนกล่าวเสียงเย็น

    “ข้าชื่นชมในปฏิกิริยาอันรวดเร็วและความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ของเจ้าเป็นอย่างยิ่ง แต่ดูเหมือนเจ้าจะลืมไป อสูรร้ายอย่างเจ้าสามารถมองเห็นกฎเกณฑ์เป็นสิ่งไร้ตัวตน แต่นิกายเต๋าและอารามของพวกเรายังคงมีกฎเกณฑ์ของตัวเองให้ต้องรักษา”

    หลงชิ่งใบหน้าปรากฏแววตื่นตระหนก คิดจะกล่าววาจาออกมา ทว่านักพรตวัยกลางคนไม่ให้โอกาสมันแม้แต่น้อย ยกมือฟาดใส่ขม่อมมันทันที ฝ่ามือนี้ดูธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ปราศจากอานุภาพของยอดคนที่ด่านฌานบรรลุถึงขั้นสูงสุด แต่กลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายพิสดารที่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน ทำให้มิอาจหลบหลีกได้!

    ด้วยเหตุนี้หลงชิ่งจึงหลบฝ่ามือนี้ไม่พ้น ต่อให้ประสบการณ์ที่มันได้รับจะมีความมหัศจรรย์สักเพียงใด แต่ความแตกต่างของด่านฌานที่มากมายมหาศาลอย่างนี้ ยังจะมีผู้ใดกล้าบอกว่าตัวเองหลบพ้น

    ขณะมองฝ่ามือขยายใหญ่ขึ้นจนแทบจะปิดหน้า ดวงตาของหลงชิ่งแม้จะฉายแววสิ้นหวัง แต่ก็ยังแฝงความไม่ยินยอมพร้อมใจ

    และแล้วฝ่ามือของนักพรตวัยกลางคนก็ฟาดใส่ขม่อมหลงชิ่งเข้าอย่างจัง ทว่าน่าแปลกที่ขม่อมของหลงชิ่งกลับยังคงอยู่ดี ไม่แตกเละเหมือนผลแตงที่สุกงอม

    “เอ๊ะ!”

    นักพรตวัยกลางคนอุทานพลางเลิกคิ้วสูง คล้ายรับรู้ถึงปรากฏการณ์ที่น่าเหลือเชื่อ

    ทั้งนี้เป็นเพราะก่อนที่ฝ่ามือมันจะสัมผัสถูกขม่อมของหลงชิ่ง กลับปะทะเข้ากับกลิ่นอายที่ยาเม็ดเบิกนภาในร่างของหลงชิ่งปลดปล่อยออกมาก่อน!

    หน้าลานทุ่งปรากฏเสียงกระแทกหนักๆ ขึ้นคราหนึ่ง

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in สยบฟ้า พิชิตปฐพี

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook