สยบฟ้า พิชิตปฐพี
ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 20 ตอนที่ 2
บทที่ 2 ฌานสำเร็จ
จนถึงบัดนี้ นักพรตวัยกลางคนยังไม่เคยบอกกล่าวชื่อแซ่ออกมา แต่หลังจากนักพรตชุดเขียวถูกจอมปราชญ์ใช้ไม้กระบองขับไล่ไปยังหนานไห่แล้ว อารามจือโส่วก็อาศัยมันคอยเฝ้าดูแล นี่ย่อมแสดงว่าสติปัญญาและความรอบรู้ของมันจะต้องไม่ธรรมดา และที่สำคัญคือตอนนี้ในความคิดของมัน การกระทำของหลงชิ่งน่ารังเกียจเกินกว่าที่จะยอมรับได้
ยอมรับไม่ได้ก็เท่ากับว่ามิอาจอดทนอดกลั้นต่อไปได้อีก ด้วยเหตุนี้นักพรตวัยกลางคนจึงฟาดฝ่ามือใส่ขม่อมหลงชิ่งอย่างไม่ปรานี มันไม่สนใจว่ายาเม็ดเบิกนภาได้เข้าไปอยู่ในท้องของหลงชิ่งแล้ว และไม่สนใจว่าในอนาคตหลงชิ่งจะมีประโยชน์อันใดต่อนิกายหรือไม่ มันเพียงแค่ต้องการรักษากฎระเบียบของนิกายไว้เท่านั้น
ทว่าช่างเป็นที่น่าเสียดายของผู้คนทั้งแผ่นดินซึ่งรวมถึงหนิงเชวียด้วย ฝ่ามือของนักพรตวัยกลางคนมิได้ฟาดหลงชิ่งตายคามือ แต่กลับถูกกลิ่นอายจางๆ แต่แข็งกร้าวอย่างถึงที่สุดที่ห่อหุ้มร่างของหลงชิ่งไว้กระแทกกลับออกมา
หลงชิ่งในตอนนี้ความจริงสมควรเป็นร่างที่ปราศจากลมหายใจแล้ว แต่ว่าถึงอย่างไรโลกภายใต้แสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนก็มีกฎเกณฑ์ และหนึ่งในกฎเกณฑ์เหล่านี้ก็ทำให้มันรอดชีวิต นั่นคือกฎที่ว่าทุกแรงกระทำย่อมมีแรงสะท้อนกลับ
ฝ่ามือของนักพรตวัยกลางคนสัมผัสถูกขม่อมของหลงชิ่งก็จริง แต่กลับไม่สามารถฝ่ากลิ่นอายบางๆ นั้นเข้าไปได้ ทว่าเพียงเท่านี้หลงชิ่งก็รับรู้ถึงแรงกระแทกอันมหาศาลแล้ว ฟันกรามของมันโยกคลอนจนแทบหลุดกระเด็น โลหิตไหลออกจากองคาพยพทั้งห้า พื้นใต้ฝ่าเท้ายุบลงจนเป็นแอ่ง ขากางเกงฉีกขาดเป็นริ้ว กระดูกขาเจ็บแปลบเหมือนจะหักสะบั้นลงเสียให้ได้ จากนั้นมันก็มีสภาพเหมือนลูกหนังที่ถูกตบใส่พื้นอย่างแรง กระดอนขึ้นสู่เวหาด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัว!
หลงชิ่งแตกตื่นสับสนจนทำอะไรไม่ถูก มันรับรู้ถึงลมที่กำลังปะทะหน้า และเห็นชั้นเมฆขยับเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที มันคิดในใจ หรือว่ายาเม็ดเบิกนภาทำให้มันกลายเป็นเทพเซียนเหาะเหินไปมาได้ดั่งใจ สามารถหลุดพ้นจากโลกมนุษย์ที่ต่ำต้อยโสมมได้ในที่สุด
ยาเม็ดเบิกนภาย่อมไม่สามารถทำให้คนเรากลายเป็นเซียน และขอเพียงท่านยังไม่กลายเป็นเซียน ต่อให้บินได้สูงแค่ไหน สุดท้ายย่อมต้องตกลงมา
ขณะที่หลงชิ่งกำลังจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสกับปุยเมฆ ตัวมันก็เริ่มตกลงด้วยความเร็วแรง แต่แทนที่จะตกลงมายังที่เดิม ลมกลับหอบร่างมันข้ามทุ่งหญ้าเลยไปตกยังหน้าผาที่อยู่ด้านหลัง ดิ่งลงไปในทะเลเมฆที่ลอยนิ่งอยู่ตรงหน้าผาขาดมาชั่วนิจนิรันดร์ สร้างความปั่นป่วนให้กับนกกาในบริเวณนั้นทั้งหมด
ตกจากที่สูงเช่นนี้ ต่อให้เป็นยอดคนด่านรู้ชะตา ร่างก็ต้องกระแทกพื้นกลายเป็นเศษเนื้อแหลกเหลวกองหนึ่ง สำมะหาอะไรกับไม่มีใครรู้ว่าในเหวลึกยังมีอันตรายอื่นใดรออยู่หรือไม่
นักพรตวัยกลางคนเดินไปหยุดลงตรงหน้าผา มองทะเลเมฆที่ยังคงสงบนิ่งเหมือนน้ำในทะเลสาบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลงชิ่งจะเป็นหรือตายไม่มีผู้ใดรู้ได้ แต่ดูจากความลึกของหุบเหวนี้ มันไม่น่าจะยังมีชีวิตอยู่อีก
นักพรตวัยกลางคนคิดในใจ หากครั้งนี้เจ้ายังไม่ตาย เช่นนั้นเจ้าก็อาจจะเป็นคนที่รับโองการจากเฮ่าเทียนมาจริงๆ ก็ได้
บนเขาหลังอารามจือโส่วดังระงมไปด้วยเสียงแหบพร่าและเสียงแหลมเศร้ากำสรด เศษต้นชิงเถิงที่หล่นเกลื่อนกลาดอยู่ตามทางเดินบนเขาสั่นระริกไม่หยุด คล้ายหวาดกลัวต่อเสียงเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง
นี่คือเสียงของเหล่าพรตเฒ่าที่อาศัยอยู่ในถ้ำ พวกมันมีความอัดอั้นตันใจ จึงเพียงแค่สนทนาปรับทุกข์กัน มิได้ตั้งใจที่จะสำแดงอานุภาพออกมา แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้ต้นชิงเถิงกับชั้นดินชั้นหินบนเขาสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ถ้ำหลายสิบถ้ำคล้ายกับจะถล่มลงมา
“เพราะเหตุใด”
“เพราะเหตุใดถึงทำให้ข้ามองเห็นความหวัง แต่ก็เป็นความหวังที่โหดเหี้ยมอำมหิตนัก”
“ข้าจะฆ่าเจ้าหนุ่มนั่น”
“เจ้าเศษสวะนั่นช่างบังอาจแท้ๆ! ถึงกับกล้ามามีความคิดชั่วร้ายต่อพวกเรา!”
“เพราะเหตุใดศิษย์พี่เหอก่อนตายถึงไม่ทำอะไรเลย”
“มันมองเห็นอะไร”
“เจตนารมณ์ของเฮ่าเทียนหรือเงามืดของหมิงหวัง”
“หรือนี่จะเป็นโองการของฟ้าจริงๆ”
ทั่วทั้งบริเวณจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเงียบกริบ เพราะเหล่าพรตเฒ่าพอนึกโยงคำถามนี้เข้ากับภาพที่เห็นเมื่อครู่ก็คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงพากันเงียบงันไป
ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยมีเสียงเข้มแข็งทรงพลังเสียงหนึ่งดังขึ้นกลางหน้าผา บรรดาวิหคที่กำลังจิกหาเศษไม้เศษหญ้าในป่าเพื่อนำไปทำรัง พอได้ยินต่างก็ตกใจบินเตลิดหนีไปไกล
“ไม่ว่าจะเป็นเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียน เงามืดของหมิงหวัง หรือด้านที่ชั่วร้ายของมนุษย์ การที่เจ้าหนุ่มคนนี้มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราต้องมิใช่เป็นเรื่องบังเอิญ ศิษย์พี่เหอถูกมันขโมยพลังฌานจนหมด แต่ก่อนตายกลับยังคิดปกป้องมัน แสดงว่าศิษย์พี่เหอไม่คิดจะต่อต้านความเย้ายวนใจนี้”
เสียงแก่หง่อมแต่โหดเหี้ยมดังขึ้นจากอีกถ้ำหนึ่ง
“ข้ามาลองคิดดู หากเปลี่ยนเป็นข้า ขอเพียงหลงชิ่งสามารถสืบทอดวิชาของข้าแล้วเอาไปถล่มสถานศึกษากับแคว้นต้าถังให้ราบเป็นหน้ากลอง บางทีข้าอาจจะยินยอมเหมือนศิษย์พี่เหอก็ได้ เพราะอันที่จริงข้าก็ทนทรมานมานานพอแล้ว หากตอนนั้นไม่ถูกเจ้าคนฟั่นเฟือนเคอเฮ่าหรานฟันใส่หนึ่งกระบี่ ตอนนี้ข้าคงจะนั่งอยู่บนบัลลังก์หยกดำ ไหนเลยจะถูกเหลียนเซิงแย่งเอาไปครอง และต้องอยู่แต่ในนี้โดยไม่ได้เห็นดวงตะวันและผู้คนอีก”
น้ำเสียงเย็นชาดังมาจากอีกถ้ำ
“หากเจ้ายินยอมถ่ายทอดพลังให้กับเจ้าหนุ่มนั่นจริงๆ เมื่อครู่ทำไมเจ้าถึงอยากฆ่ามัน พูดไปพูดมาเจ้าก็ยังตัดใจจากโอกาสที่จะได้ออกไปจากที่นี่ไม่ได้ อีกอย่างเจ้าจะเอ่ยถึงความหลังไปทำไม พวกเราที่ถูกขังอยู่ในถ้ำบนเขาลูกนี้มีใครบ้างที่ไม่สูญเสียเลือดเนื้อและน้ำตา ปีนั้นจอมปราชญ์ขึ้นเขาเถาซานมาตัดต้นท้อ หากข้าไม่เข้าไปขวางอยู่ด้านหน้าสุด ถูกจอมปราชญ์ปรายตามองแค่แวบเดียวก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เว่ยกวงหมิงมีหรือจะกล้าใช้ความผิดที่ไม่มีมูลเหล่านั้นมาขับไล่ข้าออกจากเขาเถาซาน”
น้ำเสียงแก่หง่อมดุร้ายกล่าวมาอีกด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“เจ้ามีฐานะเป็นผู้อาวุโสของซีหลิง เป็นศิษย์พี่ของจ้าวบัลลังก์โองการฟ้า แต่กลับไปหาความสำราญกับภรรยาของสานุศิษย์ในแคว้นซ่งทั้งวันทั้งคืน หากไม่เห็นว่าเจ้าถูกจอมปราชญ์ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส คิดว่าเว่ยกวงหมิงจะแค่ขับไล่เจ้าลงจากเขาอย่างนั้นรึ”
“เจ้าคิดจะพูดอะไร”
“ข้าก็แค่อยากบอกว่าเจ้าต่างหากที่สมควรจะเป็นผู้ถ่ายทอดพลังฌานทั้งหมดให้แก่เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่น”
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ทำเอง”
“เพราะสักวันหนึ่งข้าจะได้ออกไป”
“เฮอะ ต่อให้ภูเขาถล่มทะเลแห้งเหือด เจ้าก็ไม่สามารถออกไปได้”
“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว!”
น้ำเสียงเข้มแข็งทรงพลังเมื่อครู่ตวาดมา พลังเสียงอันน่าเกรงขามไม่เพียงทำให้เศษต้นชิงเถิงร่วงพรู ยังทำให้เหล่าสกุณาน้อยใหญ่ที่กำลังบินผ่านถึงกับร่วงตกลงมา รอบด้านเงียบกริบลงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเหล่าพรตเฒ่าล้วนหวั่นเกรงต่อเสียงนี้
“ปีนั้นศิษย์พี่เหอถูกเคอเฮ่าหรานฟันเอวขาด หลายสิบปีมานี้มีชีวิตอยู่มิสู้ตาย แต่พวกเราไม่เหมือนกัน แม้อาการบาดเจ็บของพวกเราจะสาหัส ทว่าก็ยังไม่ถึงขั้นควบคุมด่านฌานมิได้ ขอเพียงมีโอกาสก็ยังสามารถออกจากถ้ำ ออกจากอารามจือโส่ว ฉะนั้นที่พวกเราต้องทำในตอนนี้คือสงบจิตสงบใจฝึกฌาน รอคอยอย่างเงียบๆ เกียรติยศและชื่อเสียงในอดีตล้วนเป็นยาพิษเผาผลาญจิตใจ หากครุ่นคิดมากไปอาจถูกธาตุไฟเข้าแทรกหรือเข้าสู่วิถีแห่งมารได้”
รอบด้านยังคงเงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีผู้ใดกล้าแสดงความคิดเห็นคัดค้าน เพราะเหล่าพรตเฒ่าล้วนรู้ดี ไม่มีผู้ใดในที่นี้มีคุณสมบัติที่จะหวนรำลึกถึงอดีตได้มากกว่าคนผู้นี้อีกแล้ว ปีนั้นหากมิใช่เพราะพ่ายแพ้ต่อเพลงกระบี่ของเคอเฮ่าหราน เจ้าของน้ำเสียงเข้มแข็งทรงพลังนี้จะต้องได้นั่งในตำแหน่งสูงสุดของอาศรมเทพแห่งซีหลิงและบัญชาการสานุศิษย์เฮ่าเทียนไปทั่วทั้งแผ่นดิน
มิทราบผ่านไปนานเท่าใดจึงมีเสียงดังขึ้นอีกครา
“พวกเราจะมีวันได้ออกจากถ้ำไปหรือไม่”
“พวกเราจะมีโอกาสได้เห็นท้องนภากับดวงตะวันอีกครั้งจริงๆ หรือ”
“แล้วจะต้องรอจนถึงเมื่อใดเล่า”
“พวกเรารอมานานหลายสิบปีแล้ว บางคนรอจนแก่ตายไป หรือยังต้องรอต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ”
คำถามที่แฝงความรู้สึกสิ้นหวังและเคียดแค้นชิงชังเหล่านี้เป็นเสมือนดั่งสายฝนเย็นเฉียบในฤดูสารทที่โหมซัดใส่หน้าผาระลอกแล้วระลอกเล่า นำมาซึ่งความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่คนในถ้ำอย่างไม่จบไม่สิ้น
ผ่านไปสักพัก น้ำเสียงเข้มแข็งทรงพลังก็ดังขึ้นอีก ครานี้ไม่เพียงบ่งชัดถึงความหวังที่มีต่ออนาคตที่ยังมาไม่ถึง ยังอัดแน่นไปด้วยแรงอาฆาตต่อคนผู้หนึ่ง
“ถูกต้อง รอไปเรื่อยๆ และเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลาจนกว่าเจ้าปีศาจเฒ่านั่นจะตายไป นี่คือสิ่งเดียวที่พวกเราจะสามารถทำได้”
หลายสิบปีก่อน ตอนพรรคมารกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด นิกายเฮ่าเทียนเองก็ไม่น้อยหน้า มียอดผู้ฝึกฌานถือกำเนิดขึ้นมารุ่นแล้วรุ่นเล่า หากอาศรมเทพแห่งซีหลิงส่งขุมกำลังออกมาทั้งหมด แสนยานุภาพในตอนนั้นน่าจะสามารถกวาดล้างได้ทั่วทั้งปฐพี
ทว่า สถานศึกษากลับปรากฏอาจารย์อาแซ่เคอนามว่าเฮ่าหรานขึ้นมาคนหนึ่ง เคอเฮ่าหรานขี่ลาดำห้อยกระบี่ธรรมดาๆ ไว้ข้างเอวท่องไปทั่วหล้า เริ่มแรกมันกวาดล้างพรรคมาร จากนั้นเป็นเพราะแนวคิดต่างกันหรือไม่ก็เพราะเหตุผลอื่น มันจึงเริ่มทำศึกกับยอดผู้ฝึกฌานนิกายเต๋า
ท่ามกลางมรสุมโลหิต นิกายเต๋ามิรู้ว่าสูญเสียอัจฉริยะด้านการฝึกฌานไปเป็นจำนวนมากมายเท่าใด ทั้งหมดหากไม่ถูกมันฆ่าตายด้วยกระบี่เดียวก็ต้องถูกมันทำร้ายจนพิการ หรือไม่ก็ถูกบีบให้ต้องหลบซ่อนตัว มิกล้าแสดงตัวเป็นคนของนิกายเต๋าอีก
วันหนึ่งหลังจากถูกบีบจนไร้ทางถอย บรรดาผู้ฝึกฌานของนิกายเฮ่าเทียนก็ร่วมมือกันล่อเคอเฮ่าหรานให้ตกอยู่ในวงล้อม แม้เคอเฮ่าหรานจะได้รับชัยชนะจากการต่อสู้ในครั้งนั้น ทว่าก็ถูกฟ้าสังหารตาย
เหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้จอมปราชญ์ขึ้นเขาเถาซานตัดต้นท้อจนเกลี้ยง สังหารผู้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ และทำร้ายคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปถ้วนทั่ว
ร้อนถึงนักพรตชุดเขียวเจ้าอารามจือโส่วต้องออกโรงเอง ทว่าในมือจอมปราชญ์ถือกระบองไม้ไว้อันหนึ่ง นักพรตชุดเขียวจึงต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ทั้งยังต้องหนีไปไกลถึงทะเลหนานไห่ ไม่เหยียบขึ้นแผ่นดินใหญ่อีกเลยนับจากนั้น
หลายสิบปีต่อมา หลงชิ่งจึงค่อยได้พบว่าหลังอารามจือโส่วมีเขาเขียวอยู่ลูกหนึ่ง บนหน้าผาของเขาลูกนั้นมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยราวกับรังมดอยู่มากมาย ในนั้นมียอดคนที่มีด่านฌานสูงส่งแต่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกาจฉกรรจ์อาศัยอยู่ ครึ่งหนึ่งเป็นฝีมือของเคอเฮ่าหราน อีกครึ่งหนึ่งเป็นฝีมือของจอมปราชญ์
ยอดคนเหล่านี้หากได้กลับคืนสู่โลกภายนอก มิทราบว่าจะก่อให้เกิดมรสุมโลหิตที่น่าหวาดสะพรึงมากเพียงใด แต่ว่าพวกมันกลับมิมีปัญญาจะออกไป เหตุผลมีอยู่เพียงข้อเดียว นั่นคือจอมปราชญ์ยังไม่อนุญาต
ตอนหลงชิ่งฟื้นขึ้นมา ที่รอต้อนรับมันอยู่คือหมอกพิษหนาทึบราวกับผ้าม่านเนื้อหนา เศษใบไม้เน่าเปื่อยที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ และความเจ็บปวดแสนสาหัสที่มาจากทุกส่วนของร่างกาย
มันพยายามนึกหาคำตอบที่สมเหตุสมผลว่าเพราะเหตุใดมันจึงยังมีชีวิตอยู่หลังจากตกจากหน้าผาที่มีความสูงขนาดนั้น เป็นเพราะตัวมันปะทะเข้ากับกิ่งของต้นไม้โบราณที่ขึ้นเบียดเสียดกันอย่างแน่นขนัดก่อนตกกระแทกพื้นซึ่งมีซากพืชเน่าเปื่อยทับถมกันเป็นชั้นหนา จึงช่วยลดแรงกระแทกไปได้ไม่น้อยใช่หรือไม่
หลังรอดชีวิตในครั้งนี้ หลงชิ่งยิ่งมั่นใจว่านี่เป็นเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียน ดั่งที่มันเคยบอกต่อนักพรตวัยกลางคน หากมันต้องแบกรับเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียนจริงๆ เช่นนั้นเฮ่าเทียนก็จะต้องไม่ปล่อยให้มันตายไปโดยง่าย เพียงแต่ในขณะเดียวกันมันก็บังเกิดความรู้สึกสับสนและหวาดกลัว เพราะไม่รู้ว่าควรเดินหน้าต่อไปอย่างไรดี
ซากเน่าเปื่อยของต้นไม้ใบไม้แม้จะหนามาก กระดูกบนร่างหลงชิ่งก็ยังไม่แคล้วต้องแตกหักอยู่หลายที่ ทว่าความเจ็บปวดอย่างแท้จริงกลับมิได้มาจากความเสียหายทางสังขาร แต่มาจากความเจ็บปวดที่เกิดจากการปะทะหักล้างกันไม่หยุดของพลังสองขุมในร่าง
ตอนมันสลบไป พลังฌานด่านเบิกนภาที่ดูดมาจากนักพรตครึ่งร่างไม่มีสิ่งใดคอยควบคุม จึงแผ่ทะลักออกจากห้วงแห่งความนึกคิดกับทุกๆ ส่วนในร่างกาย กลายสภาพเป็นดาบคมกริบจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนฟันใส่กระดูกมัน เชือดเฉือนเนื้อหนังมัน และพยายามทำลายชี่ไห่เสวี่ยซานของมันให้แหลกเป็นจุณ
ทว่าในขณะเดียวกันกลิ่นอายของยาเม็ดเบิกนภาก็พยายามเข้าซ่อมแซมรอยแตกในกระดูกและรอยฉีกขาดของเนื้อหนัง อีกทั้งให้ความชุ่มชื่นแก่พลังชีวิต ฟื้นฟูชี่ไห่เสวี่ยซานที่ถูกทำลายให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
นี่คือขั้นตอนของการทำลายและสร้างใหม่ที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้จบ สร้างความเจ็บปวดทรมานปางตายให้กับมันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตอนสลบนั้นไม่เท่าไหร่ แต่พอได้สติฟื้นขึ้นมา ความเจ็บปวดก็คือสิ่งที่ดำรงอยู่จริง ด้วยเหตุนี้ใบหน้ามันจึงซีดเผือด เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วทั้งหุบเหว
หลงชิ่งเจ็บปวดจนแทบสลบไปอีก แต่มันรู้ดี ตอนนี้สติสัมปชัญญะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะการนอนสลบอยู่ในก้นเหวที่มีแต่หมอกพิษและอันตรายที่มองไม่เห็นมันจะไม่มีทางยืนหยัดได้นาน ถึงตอนนั้นต่อให้เฮ่าเทียนเมตตาปรานีสักเท่าใด สุดท้ายก็ต้องทอดทิ้งมัน
มันแผดร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง ก่อนสำรวมจิตนั่งขัดสมาธิเพื่อเข้าฌานรักษาอาการบาดเจ็บ
เวลาล่วงเลยไปอย่างช้าๆ ใบหน้าหลงชิ่งยังคงขาวซีด โลหิตที่เปียกชุ่มเสื้อผ้าแห้งกรังไปนานแล้ว มันนั่งสมาธิท่ามกลางเศษใบไม้เน่าเปื่อย แผ่นอกไม่ขยับขึ้นลง ดูเผินๆ คล้ายซากศพแข็งทื่อที่รอการสวดส่งวิญญาณ มีเพียงตัวมันเท่านั้นที่รับรู้ถึงการปะทะหักล้างกันของพลังสองขุมในร่างที่ยังคงดำเนินต่อไป
ฤทธิ์ยาของยาเม็ดเบิกนภากับพลังฌานด่านเบิกนภาของนักพรตครึ่งร่างชะล้างกลิ่นอายเดิมในตัวมันจนหมดสิ้น เปลี่ยนร่างมันให้เป็นถังที่ว่างเปล่า หมอกพิษที่ลอยอยู่รอบข้างจึงถือโอกาสแทรกซึมเข้าสู่ร่างไม่หยุด
ภายในหุบเหวมืดมิดยากที่จะรู้ได้ถึงโมงยามและวันคืน มิทราบว่าเวลาผ่านไปอีกนานเท่าใด จู่ๆ หลงชิ่งก็ตัวสะท้านเฮือก กระอักโลหิตราดรดหน้าอกตัวเองคำหนึ่ง โลหิตที่กระอักออกมาล้วนเป็นสีดำเหมือนน้ำหมึกและเน่าเหม็นเหมือนน้ำในแอ่งโคลน!
มิรู้ว่าสาเหตุที่โลหิตในร่างของหลงชิ่งเปลี่ยนสีเป็นเพราะหมอกพิษเหล่านี้หรือไม่ เนื่องจากตอนหนีออกจากถ้ำ ดอกท้อสีดำตรงหน้าอกมันยังเปื้อนโลหิตสีแดงฉาน ดอกท้อดอกนี้เป็นดอกที่มันเด็ดขึ้นมาจากกราบเรือตอนอยู่บนเรือกับนักพรตชุดเขียวกลางทะเลหนานไห่ ยามนี้พอถูกโลหิตสีดำราดรดก็เปล่งประกายขึ้นวูบก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงสีดำสนิทที่ดูเย็นยะเยือกดั่งรัตติกาลอันหนาวเหน็บ
หลงชิ่งเองก็ไม่ต่างจากดอกท้อสีดำสักเท่าไหร่ ผิวกายมันเย็นเฉียบขณะค่อยๆ ผสมกลมกลืนเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัว กลายเป็นส่วนหนึ่งของหมอกพิษและซากใบไม้เน่าเปื่อย
อสรพิษสีสันสดใสแวววาวตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามาวนรอบตัวหลงชิ่งอยู่หลายรอบ ก่อนเลื้อยจากไปอย่างสงบคล้ายไม่กระสาถึงกลิ่นอายที่ผิดแผกแตกต่าง ไม่นานก็มีวานรหน้าผีอีกตัวกระโดดเข้ามานั่งอยู่ข้างๆ เกาหัวเกาคาง แหงนหน้าร้องหาคู่ แล้วจากไปอย่างเบื่อหน่าย
ตั้งแต่ต้นจนจบหลงชิ่งยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม ประหนึ่งไม่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวเหล่านี้ ผสมผสานตัวเองเข้ากับธรรมชาติโดยรอบ ยามนี้ต่อให้มีผู้ฝึกฌานใช้การสัมผัสรับรู้ค้นหาอย่างละเอียดก็ยังมิอาจแยกแยะตัวมันออกมาได้ นี่ก็คือสัญญาณที่เด่นชัดของการเข้าสู่ด่านรู้ชะตา
มิรู้ว่าผ่านไปอีกนานเท่าใดหลงชิ่งจึงค่อยลืมตาขึ้น ดวงตามันมิได้สาดประกายปีติยินดีของการมีชีวิตใหม่ หรือฉายแววสับสนงงงวยต่ออนาคตข้างหน้า และยิ่งไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ทั้งหมดมีแค่ความสงบนิ่ง
มันลุกขึ้นยืน ดอกท้อที่หน้าอกดำมะเมื่อมราวกับพู่กันชุ่มน้ำหมึกที่ใกล้จะหยาดหยด ทันใดนั้นดอกท้ออีกดอกหนึ่งที่ผนึกขึ้นจากพลังปฐมแห่งฟ้าดินก็เบ่งบานขึ้นบนหลังของมัน
นี่ก็คือดอกท้อแก่นฐานชีวิตของมันซึ่งเปลี่ยนมาเป็นสีดำเช่นกัน วินาทีที่เบ่งบาน หมอกพิษภายในป่าก็ปลาสนาการดับสูญ อสรพิษที่เพิ่งเลื้อยมุดเข้าใต้ซากเน่าเปื่อยของใบไม้เริ่มดิ้นพราดก่อนแข็งทื่อตายไป ส่วนวานรหน้าผีที่อยู่ห่างออกไปร้องเจี๊ยกๆ อย่างหวาดกลัวอยู่หลายทีก่อนวิ่งเข้าไปตายอยู่ในป่าลึก
ภายใต้การไล่ล่าของทหารแคว้นหนานจิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากหน่วยพิพากษาอาศรมเทพส่งคนมาร่วม บรรดาทหารม้าผู้ตกต่ำก็มีชีวิตเหลือรอดอยู่เพียงแค่สิบกว่าคน ในบรรดานี้เป็นถงหลิ่งทหารม้าห้าคน
กลุ่มคนที่เคยมากไปด้วยเกียรติและความสำคัญในอาศรมเทพ บัดนี้ต้องกลายเป็นนักโทษหนีหัวซุกหัวซุนไปตามป่าเขาริมชายแดนแคว้นซีหลิงราวกับสุนัขเตลิดฝูงหนึ่ง แทบทุกวันจะต้องมีคนตาย แทบทุกวันจะต้องมีคนได้รับบาดเจ็บและถูกทอดทิ้ง พวกมันไม่รู้ว่าจะต้องหลบหนีอีกนานเท่าไร และที่ทำให้พวกมันสิ้นหวังก็คือ พวกมันไม่รู้แม้แต่ว่าจุดจบของการหนีคืออะไร
ในโลกที่มีแต่แสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนสาดส่อง ตอนนี้ไม่มีที่ใดกล้ารับพวกมันไว้ ส่วนแคว้นต้าถังซึ่งเข้มแข็งพอที่จะรับก็ดูเหมือนยินดีที่จะได้บั่นศีรษะพวกมันเสียมากกว่า ทางหนีของพวกมันจะไปสุดทางเอา ณ ที่ใด พวกมันสุดท้ายจะมีจุดจบอย่างไร จะต้องตายด้วยวิธีใด พวกมันมิอาจรู้ได้
จื่อโม่ยามนี้เค้าหน้าซูบตอบ ท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า แววตามีแต่ความชาด้าน มันมองทุ่งหญ้าตรงเชิงเขาใต้แสงสายัณห์ ที่นั่นเป็นอาณาเขตของแคว้นซ่ง อารามเต๋าที่นั่นคงได้รับภาพวาดประกาศจับพวกมันแล้ว ต่อให้อยากปะปนเข้าไปในหมู่ชาวบ้านก็มิอาจทำได้ นึกถึงคำภาวนาที่เคยกล่าวกับความมืด ใบหน้าจื่อโม่ก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ก่อนพึมพำออกมา
“ขอเพียงสามารถมีชีวิตอยู่สืบไป ข้ายินดีมอบชีวิตและจิตวิญญาณให้หมิงหวังโดยไม่กลัวที่จะต้องอยู่แต่ในความมืดไปชั่วชีวิต ทว่า…ข้าช่างเพ้อเจ้อสิ้นดี หมิงหวังมีหรือจะสนใจมดปลวกอย่างข้า อีกอย่าง ต่อให้อยากมอบชีวิตและจิตวิญญาณให้ แต่หมิงหวังอยู่ที่ใดกัน ข้าจะมีวันได้พบเจอหรือ”
“ปุถุชนคนธรรมดาหากอยากเข้าใกล้ผู้ยิ่งใหญ่ จักต้องมีคนนำทางให้”
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นห่างออกไปไม่ไกล
จื่อโม่หน้าเปลี่ยนสี พรรคพวกอีกสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลังรีบคว้าอาวุธมองไปทางต้นเสียงอย่างตื่นตัว พร้อมที่จะสู้ตายอีกครั้ง
ที่หน้าผามีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดนักพรตสีดำ กำลังยืนหันหลังมองพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา และเป็นเพราะยืนบังแสงสายัณห์เอาไว้ ร่างจึงดูดำทะมึนจนน่ากลัว
หลังจากหนีตายติดๆ กันมาหลายวัน จิตใจของเหล่าทหารม้าผู้ตกต่ำก็เครียดขมึงจนแทบจะเป็นบ้า ยามพักแรมพวกมันต้องเลือกบริเวณที่เปลี่ยวร้างและลึกลับที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าขนาดนี้แล้วก็ยังถูกคนพบเห็น
ในความคิดของเหล่าทหารม้าผู้ตกต่ำ การที่บุรุษหนุ่มสามารถปรากฏตัวบนหน้าผาโดยที่พวกมันไม่ทันได้สำเหนียก แสดงว่าจะต้องมีพลังฌานแกร่งกล้า หากมิใช่ยอดผู้ฝึกฌานของนิกายเต๋าในแคว้นซ่งก็ต้องเป็นมือดีของอาศรมเทพ
พริบตานั้นความสิ้นหวังก็เข้าครอบงำจิตใจ ทหารม้าผู้ตกต่ำที่ไร้พลังฌานจะเอาอะไรไปต่อกรกับยอดผู้ฝึกฌานของนิกายเต๋าเล่า ทว่าถึงอย่างไรก็ต้องตาย อีกทั้งวันนี้อาจเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในชีวิต เช่นนั้นก็ขอให้ได้ตายอย่างห้าวหาญเถอะ นี่คือสิ่งที่พวกมันคิดอยู่ในใจ แต่ในขณะที่ยังไม่มีผู้ใดลงมือ จู่ๆ จื่อโม่ก็คุกเข่าลง ก่อนเปล่งเสียงร้องไห้อย่างไม่อาย
จากนั้นก็เริ่มมีคนจำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถงหลิ่งทหารม้าอีกสี่คนถึงกับวิ่งไปคุกเข่าลงที่ด้านหลังของจื่อโม่ เปล่งเสียงร่ำไห้ตามอย่างดีใจ คล้ายแพะที่หลงฝูงได้พบกับเจ้าของอีกครั้ง
จื่อโม่มองแผ่นหลังนั้นด้วยใบหน้าเปียกชุ่ม กล่าวเสียงสั่นเครือ
“ใต้เท้า…ทุกคนต่างก็บอกว่าท่านตายแล้ว แต่ท่านยังมีชีวิตอยู่…วิเศษเหลือเกิน”
ถงหลิ่งแขนขาดผู้หนึ่งร้องเรียกเสียงดังปนสะอื้น
“ใต้เท้า…ใต้เท้า…ข้ารู้ว่าใต้เท้าจะต้องไม่ทอดทิ้งพวกเรา ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
หลงชิ่งหันมามองอดีตผู้ใต้บังคับบัญชา ถามขึ้นว่า
“ยินยอมติดตามข้าอีกครั้งหรือไม่”
เสียงร้องไห้ดังระงมเงียบลงทันที ทุกคนรีบพยักหน้าอย่างแรง
จื่อโม่เงยหน้ามองรอยแผลบนใบหน้าและดอกท้อสีดำที่อยู่ตรงหน้าอกของหลงชิ่ง พลางนึกถึงคำเล่าลือ และแล้วมันก็ต้องแตกตื่น เพราะมันสามารถสัมผัสได้ว่าด่านฌานของอีกฝ่ายไม่เพียงไม่ถดถอยลง ยังสูงกว่าแต่ก่อนอีกด้วย!
ทว่าไม่นานกลิ่นอายเย็นยะเยือกก็แทรกซึมเข้าสู่ส่วนลึกของจิตใจจื่อโม่กับพวก กลิ่นอายนั้นมาจากร่างของหลงชิ่งกับวาจาที่มันกล่าว
“ข้าเคยตายไปแล้วจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ตายไปนั้นที่ได้พบเห็นคือเฮ่าเทียนหรือหมิงหวัง จนถึงตอนนี้คำพูดของเจ้า จื่อโม่ ทำให้ข้าได้คิด บางทีข้าอาจจะไม่ใช่คนที่รับโองการมาจากเฮ่าเทียนหรอก”
หลงชิ่งมองไปทางขอบฟ้าที่มีแสงสายัณห์เรื่อเรือง กล่าวอย่างครุ่นคิด
“บางที…ข้าอาจจะเป็นบุตรของหมิงหวังก็ได้”
ในบรรดาด่านฌานทั้งห้า ด่านแรกสัมผัสกับด่านรู้ชะตาเป็นสองด่านฌานที่มีความพิเศษสุดต่อผู้ฝึกฌานทุกคน เพราะด่านแรกสัมผัสจะเผยทิวทัศน์แรกให้คนธรรมดาเห็นขณะก้าวเข้าสู่เส้นทางของการฝึกฌาน และสิ่งที่มองเห็นในตอนนั้นจะเป็นตัวกำหนดว่าต่อไปเจ้าตัวจะสามารถเดินไปบนเส้นทางของการฝึกฌานได้ไกลเท่าใด ส่วนด่านรู้ชะตาก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้ฝึกฌานอยู่ห่างจากโลกิยะอย่างแท้จริง ดังนั้นวินาทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูจึงมักจะสามารถมองเห็นอนาคตและนิมิตหมายอันน่ามหัศจรรย์ที่เดิมทีพวกมันไม่มีวันได้เห็นตลอดชั่วชีวิตของคนผู้หนึ่ง
หลังหลบหนีออกจากอารามจือโส่วแล้วตกจากหน้าผาสูงชัน นั่งเข้าฌานกลางหมอกพิษที่ก้นเหวจนบรรลุด่านรู้ชะตา หลงชิ่งในตอนนี้ก็คือยอดคนที่มีพลังฌานในตัวสูงล้ำกว่าแต่ก่อน ทว่ามันกลับไม่เคยสัมผัสรับรู้ถึงอนาคต หรือเห็นนิมิตล่วงหน้าดั่งเช่นที่ผู้อาวุโสทั้งหลายจดบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์นิกาย จนกระทั่งบัดนี้ ขณะยืนดูพระอาทิตย์ตกอยู่กลางหน้าผาท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของจื่อโม่และพวก มันจึงค่อยสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
ดวงตะวันกำลังจะลับฟ้า โลกใกล้เข้าสู่ความมืด หลงชิ่งยืนครุ่นคิดเงียบๆ การกระทำของมันในครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับการหลอกลวงสังหารปรมาจารย์ในสำนัก ทว่าจิตใจของมันกลับยังคงสงบนิ่ง ไม่ทุกข์ร้อนกระวนกระวายแม้แต่น้อย ตัวมันที่แท้กำลังปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของเฮ่าเทียน หรือกำลังหลอกตัวเองและหลอกผู้อื่นอยู่กันแน่ จริงๆ แล้วตอนที่อยู่ในทุ่งร้าง มันได้หันหลังให้กับโลกอันสว่างไสวของเฮ่าเทียนแล้วโถมเข้าหาความมืดไปอย่างสุดตัวแล้วใช่หรือไม่
หลงชิ่งมองดวงตะวันที่ค่อยๆ ถูกเหลี่ยมเขากลืนกิน ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน มันยังไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง เพราะคำถามเหล่านี้ล้วนอยู่ในขอบเขตที่มันยังไม่มีปัญญาสัมผัสรับรู้ได้ในตอนนี้
ได้ยินวาจาของหลงชิ่ง จื่อโม่กับพวกก็ตัวเย็นเฉียบ ทว่าไม่นานความรู้สึกนี้ก็จางหาย นั่นเป็นเพราะตลอดทางที่หลบหนี พวกมันสูญเสียมากเกินไป ได้รับการเหยียดหยามดูถูกมากเกินไป เทียบกับสายตาเย็นยะเยียบของผู้คนกับลมหนาวของฤดูสารท ราตรีอันมืดมิดกลับยังให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่า อบอุ่นกว่า
ทั้งหมดต่างพากันโขกศีรษะอีกครั้งเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี จื่อโม่ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่หน้าสุดกล่าวเสียงเศร้าสลด
“ท่านหัวหน้า ข้ามิกล้าปกปิดอำพราง…ก่อนลงจากเขาเถาซานพวกเราถูกทำลายพลังฌานไปจนหมดสิ้น บัดนี้กลายเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่มีความรู้และประสบการณ์มากกว่าชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น ข้ามิรู้ว่าจุดประสงค์ที่ใต้เท้าปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งคืออะไร แต่เดาว่าคงต้องคิดทำการใหญ่อย่างแน่นอน ข้ากังวลว่าตัวเองไม่เพียงไร้ความสามารถ ช่วยเหลือท่านไม่ได้ ตรงกันข้ามกลับยังจะเป็นตัวถ่วงอีกด้วย”
หลงชิ่งกล่าวเสียงเฉื่อยชา
“ที่ข้าต้องการคือความจงรักภักดีของพวกเจ้า ส่วนเรื่องพลังฌานถูกทำลายนั้นมิใช่ปัญหา ข้าได้ยินว่าตอนนี้พวกเจ้าถูกเรียกว่าทหารม้าผู้ตกต่ำ เช่นนั้นขอให้พวกเจ้าจงลุกขึ้นมา แล้วตามข้าดำดิ่งลงไปยังก้นเหวด้วยกัน”
พูดจบก็ล้วงกล่องเล็กๆ ออกจากอกเสื้อ จื่อโม่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันบริสุทธิ์ของยาที่อยู่ในนั้น ตัวจึงสั่นอย่างมิอาจควบคุมได้ มองหลงชิ่งอย่างไม่อยากเชื่อ ถามเสียงสั่นเครือ
“ใต้เท้า นี่คือ…”
จื่อโม่กับพวกถูกหน่วยพิพากษาของอาศรมเทพทำลายพลังฌาน แต่ชี่ไห่เสวี่ยซานในตัวเพียงถูกเคล็ดวิชาลึกลับของนิกายเต๋าปิดตายเอาไว้ มิได้ถูกทำลายตามไปด้วย หากต้องการฝึกฌานได้อีกครั้ง อย่างน้อยต้องใช้ยอดคนระดับต้าเสินกวนสามคนช่วยทะลวงจุดให้ หรือไม่ก็ต้องได้พบกับประสบการณ์พิสดารเหมือนเช่นที่หนิงเชวียเคยประสบ
ช่วงเวลาที่ถูกไล่ล่า พวกมันไม่เคยเพ้อฝันว่าจะได้พลังฌานกลับคืนมา เพราะไม่มีทางที่จะมียอดคนด่านรู้ชะตาขั้นสูงสุดสามคนยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และในโลกนี้ก็ไม่มีเรื่องปาฏิหาริย์อยู่จริง ที่มีเป็นเพียงแค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้น จนกระทั่งพวกมันได้พบกับองค์ชายหลงชิ่งอดีตผู้บังคับบัญชาที่ริมหน้าผาแห่งนี้
กล่องในมือหลงชิ่งใส่ยาอริยสัจเอาไว้ ยาอริยสัจมิใช่ยาวิเศษของนิกายเต๋า เป็นยาที่มีต้นกำเนิดมาจากนิกายพุทธ แม้จะไม่ใช่ยาอายุวัฒนะที่สามารถช่วยคนตายให้ฟื้นคืนชีพหรือยืดอายุขัยได้เหมือนยาเม็ดเบิกนภา แต่ถ้าเกี่ยวกับการทะลวงจุดชำระล้างจิตใจ กลับมีสรรพคุณล้ำเลิศเกินกว่าจะจินตนาการได้
เหล่าทหารม้าผู้ตกต่ำรับยาไปกินด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนนั่งหลับตาเข้าฌาน
ยานี้ได้ชื่อว่าอริยสัจก็เพราะมาจากคำที่ว่านั่งสำเร็จเป็นพุทธะ คนเหล่านี้ก็กำลังนั่งขัดสมาธิ เพียงแต่เมื่อฟื้นฟูพลังฌานได้สำเร็จมิรู้ว่าที่ก่อกำเนิดขึ้นใหม่จะเป็นพุทธะหรือเหล่าอสูรร้ายอันน่าสะพรึงกลัวกันแน่
บริเวณหน้าผามืดสนิทแล้ว ร่างหลงชิ่งในชุดดำกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งกับความมืด ขณะมองผู้ใต้บังคับบัญชานั่งโคจรพลังดูดซึมฤทธิ์ยา พยายามทะลวงจุดชี่ไห่เสวี่ยซานที่ถูกปิดตาย สีหน้าของมันดูสงบนิ่ง มิได้รู้สึกเสียดายยาล้ำค่า และมิได้นึกกังวลว่าคนเหล่านี้เมื่อได้พลังฌานคืนกลับมาจะยังจงรักภักดีต่อมันเหมือนอย่างที่พูดหรือไม่
หลายปีก่อนมันคือหัวหน้าหน่วยพิพากษาของอาศรมเทพ มีฐานะเป็นถึงบุคคลลำดับสามของวิหารเทพสีดำ เพราะเยี่ยหงอวี๋หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฌาน เรื่องน้อยใหญ่ในหน่วยรวมถึงทหารม้าอาศรมเทพที่ขึ้นตรงต่อหน่วยพิพากษาจึงมีมันเป็นคนควบคุมดูแลทั้งหมด สามารถพูดได้ว่าถงหลิ่งทหารม้าเหล่านี้ล้วนเป็นคนสนิทของมัน
หลังเยี่ยหงอวี๋เข้าดำรงตำแหน่งจ้าวบัลลังก์พิพากษาก็ลงโทษทหารม้าเหล่านี้อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต เพียงเพราะด้วยเหตุผลที่ฟังดูแปลกประหลาด นั่นก็คือพวกมันมองนางมากเกินไป คิดว่าที่เยี่ยหงอวี๋ทำเช่นนี้มีจุดประสงค์อยู่สองข้อ ข้อแรกคือเชือดไก่ให้ลิงดู ส่วนอีกข้อคือกวาดล้างอิทธิพลเก่าของหลงชิ่งให้หมดสิ้น
ดังนั้นหลงชิ่งจึงมีความเชื่อใจในคนเหล่านี้ อีกอย่างมันไม่รู้สึกกังวลใจแต่อย่างใด เพราะในยาอริยสัจมีโลหิตจากหัวใจมันผสมอยู่ หลังจากทหารม้าผู้ตกต่ำทั้งหมดกินยาลงไปก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจะปิดบังอำพรางเรื่องราวไปจากมันได้อย่างไรเล่า
ลัทธิเทียนซือแห่งเขาหลงหู่ซาน (เขามังกรพยัคฆ์) เป็นสาวกที่เหนียวแน่นที่สุดของอาศรมเทพ มีสานุศิษย์ในแคว้นฉีที่ขึ้นตรงอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ จางเทียนซือคนปัจจุบันจึงมีตำแหน่งสูงส่งเทียบเท่ากับราชครูของแคว้นฉี อารามเต๋าบนเขาหลงหู่ซานถูกสร้างขึ้นอย่างหรูหราตระการตา ต้นไม้ที่ปลูกรอบลานหินทั้งสี่ด้านกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ แม้เข้าฤดูสารทก็ยังไม่เปลี่ยนสี ยามลมภูเขาพัดโชยมา ยอดไม้แกว่งไกวเบาๆ ให้ความรู้สึกร่มรื่นสุขสงบดั่งวิหารของเทพเซียน
ทว่าวันนี้เขาหลงหู่ซานไม่เหลือภาพงดงามดั่งสรวงสวรรค์อีกแล้ว ที่เห็นมีเพียงนรกขุมโลกันตร์ เพราะบนลานหินเกลื่อนกลาดไปด้วยศพของเหล่านักพรต ส่วนกิ่งไม้ก็เต็มไปด้วยชิ้นส่วนแขนขาห้อยติดอยู่ กลิ่นคาวเลือดลอยไปไกล ประตูหน้าที่ปิดสนิทมีธารโลหิตที่ยังไม่จับตัวแข็งไหลนองออกมา
ภายในวิหาร จางเทียนซือในชุดนักพรตสีเหลืองมองกลุ่มนักพรตชุดดำตรงหน้าด้วยแววตาพรั่นพรึง นิ้วสั่นระริกคีบกระดาษยันต์ใบสุดท้ายเอาไว้ ตอนนี้ศิษย์ของมันต่างก็พลีชีพไปหมดแล้ว ปัญหาอยู่ที่มันไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตัวมันจึงยังมีชีวิตอยู่
จางเทียนซือฝึกวิชายันต์จนบรรลุด่านสู่พิสดารขั้นสูงสุด ห่างจากธรณีประตูของด่านรู้ชะตาอีกเพียงก้าวเดียว เจ้านิกายอาศรมเทพมั่นใจว่ามันจะสามารถฝ่าด่านได้ภายในอีกสามสิบปีข้างหน้า กลายเป็นจอมยันต์เทวะที่นานทีจึงจะถือกำเนิดขึ้นมาสักคน ดังนั้นทุกคราที่ไปอาศรมเทพแห่งซีหลิง มันจึงได้รับเกียรติอย่างสูง ทว่าวันนี้มันมองไม่เห็นความเคารพนับถือจากสายตาของนักพรตชุดดำกลุ่มนี้ มิหนำซ้ำคนเหล่านี้ยังมองมันเหมือนกำลังมองคนตายคนหนึ่ง
“นักโทษถูกหมายหัวอย่างพวกเจ้า…มิใช่ถูกจ้าวบัลลังก์ทำลายพลังฌานไปแล้วรึ…เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้”
จางเทียนซือถามเสียงแหบแห้ง มันจำใบหน้าของนักพรตชุดดำในกลุ่มได้หลายคน รู้ว่าอีกฝ่ายคือทหารม้าอาศรมเทพที่ถูกขับไล่ออกมา คนเหล่านี้มิใช่ถูกทหารแคว้นหนานจิ้นกับนิกายเต๋าไล่ล่าเหมือนสุนัขจนตรอกหรอกหรือ แล้วเหตุใดอยู่ดีๆ พวกมันถึงขึ้นมาบนเขาหลงหู่ซาน อีกทั้งยังกลับมามีพลังฌานกล้าแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
นักพรตชุดดำทั้งสิบหกคนบัดนี้ต่างก็อยู่ในด่านสู่พิสดาร นอกจากนี้ จากกลิ่นอายอันทรงพลังของอดีตถงหลิ่งทหารม้าห้าคน จางเทียนซือสามารถรับรู้ได้ว่าพวกมันต่างก็ยืนอยู่ในด่านสู่พิสดารขั้นปลายแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจื่อโม่ที่ยืนอยู่ตรงกลาง มีโอกาสฝ่าด่านรู้ชะตาได้ทุกเมื่อ!
ผู้มาแต่ละคนล้วนมีด่านฌานสูงส่ง ศิษย์เขาหลงหู่ซานไหนเลยจะรับมือได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นักพรตชุดดำได้แสดงออกถึงความอำมหิตและกระหายเลือด จึงทำให้พวกมันดูน่าหวาดสะพรึงยิ่งขึ้นไปอีก
จางเทียนซือทั้งหวาดกลัวทั้งสับสน มันไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ นักโทษหลบหนีเหล่านี้ไม่เพียงไม่แดดิ้น กลับยังเข้มแข็งขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
ไม่มีผู้ใดตอบคำถามมัน ทุกคนเอาแต่ยืนนิ่งคล้ายกำลังรอใครบางคนอยู่
ทันใดนั้นหลงชิ่งก็ปรากฏตัวขึ้น มันสวมชุดนักพรตสีดำ ปลายแขนและชายเสื้อปักแถบสีทองไว้เส้นหนึ่ง มองเผินๆ คล้ายแสงตะวันฉาบทาอยู่บนก้อนเมฆดำทะมึน
จางเทียนซืออุทานอย่างไม่เชื่อสายตา
“องค์ชายหลงชิ่ง…เจ้า…เจ้ายังไม่ตายหรือนี่!”
“หากเจ้าเคยผ่านชีวิตแบบเดียวกับที่ข้าผ่านมาในช่วงเวลาสองปีนี้ ก็จะรู้ว่าคนเรามิได้ตายกันง่ายๆ หรอก”
จางเทียนซือเริ่มเข้าใจเรื่องราว มันกวาดตามองนักพรตชุดดำเหล่านั้นก่อนตวาดเสียงกร้าว
“ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของเจ้าอย่างนั้นสิ! เจ้าบ้าไปแล้ว! หรือเจ้าไม่กลัวถูกเฮ่าเทียนทอดทิ้ง!”
หลงชิ่งตอบ
“บางทีคนที่ถูกเฮ่าเทียนทอดทิ้งอาจเป็นเจ้าก็ได้”
จางเทียนซือไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีมีชีวิตรอดไปได้ จึงตัดใจกล่าวว่า
“หากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าก็ลงมือเถอะ”
หลงชิ่งไม่พูดอะไรอีก เพียงจ้องตามันเงียบๆ
จางเทียนซือพบว่าดวงตาของหลงชิ่งพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง เส้นกั้นระหว่างตาดำกับตาขาวเริ่มเลือนหายไป ดวงตาทั้งดวงค่อยๆ กลายเป็นสีเทา มันไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่คาดว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต้องน่ากลัวยิ่ง มันคำรามลั่นขณะขยี้ยันต์ใบสุดท้ายในมือ
กำแพงอัคคีแถบหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ห้อมล้อมมันไว้ตรงกลาง คล้ายต้องการเผาร่างมันให้ไหม้เกรียม จางเทียนซือถลึงตามองหลงชิ่ง กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เจ้าอสูรร้าย! อย่าหวังเลยว่าจะสำเร็จ!”
หลงชิ่งหน้าไม่เปลี่ยนสี พริบตาต่อมามันก็ไปปรากฏตัวอยู่ในวงล้อมของกำแพงอัคคี ดอกท้อสีดำที่กลางหลังเริ่มเบ่งบาน ไอเย็นยะเยียบแผ่กระจายออกทั่วตัววิหาร กำแพงอัคคีพอสัมผัสถูกกลิ่นอายนั้นก็ดับลงในทันที
จางเทียนซือรู้สึกว่าพลังจิตในร่างถูกดูดไปอย่างรวดเร็ว นัยน์ตามันเหลือกลานด้วยความกลัวขณะกล่าวกับใบหน้าที่ยังคงหล่อเหลาของหลงชิ่งด้วยน้ำเสียงอาฆาต
“เจ้าจะต้องตายอนาถกว่าข้า”
ตึง! ร่างแห้งเหี่ยวงองุ้มของจางเทียนซือล้มฟาดลงกับพื้นทั้งยืน
หลงชิ่งยืนหลับตานิ่ง พอลืมตาขึ้นอีกครั้งทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติ มันสาวเท้าเดินออกจากวิหารโดยมีจื่อโม่นำนักพรตชุดดำทั้งหมดเดินตามอยู่ด้านหลัง
ประตูหน้าของวิหารหลงหู่ซานปิดลงอย่างช้าๆ ลมภูเขาพัดพาให้แขนเสื้อของหลงชิ่งปลิวไสว หลงชิ่งพลันรู้สึกได้ว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
ความรู้สึกนี้ช่างวิเศษนัก!