สยบฟ้า พิชิตปฐพี
ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 20 ตอนที่ 3
บทที่ 3 วัดร้าง
ฤดูสารทปีนี้มีขุมกำลังลึกลับกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นในแผ่นดิน
ขุมกำลังลึกลับที่ว่าใช้โลหิตล้างเขาหลงหู่ซาน สังหารจางเทียนซือ ถล่มสาขาย่อยของลัทธิเจินอู่นิกายเต๋าไปหลายแห่ง ก่อนออกอาละวาดในแคว้นซ่ง สังหารล้างครอบครัวชาวบ้านติดๆ กันอย่างโหดเหี้ยมทารุณ คนของทางการที่ถูกส่งไปตรวจสอบที่เกิดเหตุต่างก็รู้สึกสยดสยองกับภาพที่เห็นจนทนมองแทบมิได้
ตามข่าวที่ได้ยินมา ขุมกำลังกลุ่มนี้ประกอบด้วยยอดผู้ฝึกฌานด่านสู่พิสดารกว่าสิบคน ตัวหัวหน้าสวมหน้ากากสีเงิน ทั้งหมดขี่ม้าสีดำ สวมชุดนักพรตสีดำ ไปมาลึกลับรวดเร็วดั่งสายลม ลงมืออย่างโหดเหี้ยมอำมหิต แทบพูดได้ว่าไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่
เหตุการณ์นี้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับดินแดนทางใต้ทั้งหมด ทหารม้าอาศรมเทพและกองกำลังทหารจากแคว้นต่างๆ พากันระดมกำลังออกค้นหา คิดจะกวาดล้างให้หมดสิ้น ทว่ากลับไม่พบเห็นแม้แต่เงาของพวกมัน
บุคคลระดับสูงของอาศรมเทพกับราชนิกุลแคว้นหนานจิ้นบางคนได้เชื่อมโยงกลุ่มนักพรตชุดดำเข้ากับทหารม้าผู้ตกต่ำ แต่พวกมันขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดทหารม้าอาศรมเทพที่ถูกทำลายพลังฌานไปแล้วจึงสามารถฟื้นพลังฌานกลับคืนมาได้ กระทั่งว่ายังมีความแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าแต่ก่อนอีก และที่ทำให้พวกมันยิ่งงุนงงสับสนระคนหวาดหวั่นก็คือมิมีผู้ใดรู้ว่าที่แท้บุคคลที่สวมหน้ากากสีเงินเป็นใครกันแน่
กลางป่าเขาที่บรรยากาศเงียบสงบมีธารน้ำเล็กๆ สายหนึ่ง บนผิวน้ำใสดั่งกระจกมีใบไม้แดงลอยประดับอยู่มากมาย ช่างเป็นทิวทัศน์ที่งดงามยิ่ง ทันใดนั้นสายน้ำที่ไหลเอื่อยก็แตกกระจาย ม้าตัวหนึ่งย่ำลงในลำธารเหยียบใบไม้แดงให้จมลง จากนั้นเสียงย่ำน้ำดังซู่ซ่าก็ตามมา ม้าอีกหลายตัวควบตามตัวหน้าไปติดๆ พาให้วิหคที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ริมลำธารส่งเสียงร้องอย่างแตกตื่นก่อนกระพือปีกบินหนีไปอย่างรวดเร็ว
บุรุษในชุดดำสิบกว่าคนกระตุ้นบังเหียนม้าลุยข้ามลำธาร ลัดเลาะไปตามทางบนเขา เพื่อมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในขบวนไม่มีผู้ใดกล่าววาจา จังหวะการหายใจของพวกมันเป็นจังหวะเดียวกันกับฝีเท้าม้าไม่มีผิดเพี้ยน
อาศรมเทพแห่งซีหลิงกับกองกำลังทหารจากแคว้นต่างๆ ต่างจัดวางกำลังอยู่ตามชายแดนแคว้นซ่ง พยายามที่จะล้อมจับและสังหารคนกลุ่มนี้ แต่คนกลุ่มนี้ก็ฝ่าวงล้อมมาได้อย่างง่ายดายหลายครั้งหลายครา ราวกับเป็นวิญญาณภูตพรายที่หายตัวไปมาได้อย่างไร้ร่องรอย
วันนี้กลุ่มนักพรตชุดดำมาโผล่ขึ้นที่กลางเทือกเขาทางทิศตะวันตกของแคว้นหนานจิ้น พอถึงน้ำพุแห่งหนึ่งตรงไหล่เขาก็หยุดม้าลงพักชั่วคราว พวกมันไม่ยอมปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ รีบพากันเข้าฌานเพื่อฟื้นฟูพลังให้กลับคืนโดยเร็ว นี่เป็นเพราะพวกมันไม่ต้องการตกอยู่ในสภาพอับจนหนทางต้องคอยหลบหนีเหมือนอย่างแต่ก่อนอีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งหมดค่อยลืมตาขึ้น สายตาที่มองหลงชิ่งซึ่งกำลังนั่งหลับตาเข้าฌานอยู่ใต้ต้นไม้ริมหน้าผาเต็มไปด้วยความฮึกเหิมและเทิดทูนบูชา
ก่อนเกิดเหตุการณ์พลิกผันบนหน้าผาหิมะ องค์ชายหลงชิ่งก็คือผู้บังคับบัญชาโดยตรงของคนเหล่านี้อยู่แล้ว มาบัดนี้มันยังช่วยให้ทุกคนได้พลังฌานกลับคืนมา มิต้องหลบหนีการไล่ล่าราวกับเป็นสุนัขจนตรอกอีก โดยให้กินยาที่มีโลหิตจากหัวใจของมันปะปนอยู่ ดังนั้นความจงรักภักดีที่คนเหล่านี้มีต่อมันจึงไม่มีอันใดให้ต้องสงสัย
หลังหนีออกจากอารามจือโส่ว เหยียบเท้ากลับสู่ดินแดนแห่งโลกิยะอีกครั้ง หลงชิ่งก็ใช้เวลาเพียงช่วงสั้นๆ ติดต่อผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยังจงรักภักดีต่อมัน โดยเฉพาะพวกที่ซ่อนตัวอยู่ตามอารามเต๋าและที่ปะปนอยู่ในหมู่ชาวบ้านตามแคว้นต่างๆ ด้วยเหตุนี้แผนการล้อมสังหารของทหารม้าอาศรมเทพกับทหารจากแคว้นต่างๆ จึงมิได้เป็นความลับสำหรับมัน ทั้งหมดถึงสามารถหนีรอดได้ทุกครา
แน่นอน นี่เป็นเพราะอาศรมเทพยังไม่รู้ว่าบุคคลที่สวมหน้ากากคือมัน จึงยังไม่ได้ให้ความสำคัญสักเท่าใด ตามความคิดของอาศรมเทพในตอนนี้ ทหารม้าผู้ตกต่ำเป็นเพียงแค่มุสิกที่โชคดีสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในโลกแห่งแสงเจิดจรัสไปได้เพียงวันๆ เท่านั้น แต่หากให้อาศรมเทพรู้ว่าผู้นำของคนกลุ่มนี้คือมัน และรู้ว่ามันได้ทำความผิดร้ายแรงที่อารามจือโส่ว กำลังคนที่ส่งออกมาตามล่าจะต้องมีความร้ายกาจกว่านี้อย่างแน่นอน
และขอเพียงอาศรมเทพคิดไล่ล่าพวกมันอย่างเอาจริงเอาจัง ต่อให้หลงชิ่งและบริวารประสบกับเหตุการณ์มหัศจรรย์ยิ่งกว่านี้ก็คงไม่แคล้วต้องถูกบดขยี้เป็นผุยผง พอนึกถึงความเป็นไปได้นี้ จื่อโม่ก็มีสีหน้ากังวล มันเดินไปที่ริมผา ทำความเคารพก่อนกล่าวเสียงเบา
“ใต้เท้า บัดนี้พวกเราทำให้อาศรมเทพตื่นตัวแล้ว หากจ้าวบัลลังก์เยี่ยลงมือเอง…”
หลงชิ่งลืมตาขึ้น ทอดสายตามองไปยังเนินเขาลูกหนึ่งซึ่งทอดตัวยาวอยู่ด้านล่าง
“เจ้าคิดจะพูดอะไร”
“ใต้เท้า ข้าคิดว่าทางที่ดีพวกเราควรรีบเดินทางออกจากเขตอิทธิพลของอาศรมเทพโดยเร็ว”
แสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนปกคลุมไปทั่วหล้า เขตอิทธิพลของอาศรมเทพจึงย่อมต้องหมายถึงแผ่นดินจงหยวนทั้งหมด แม้จะบอกว่าแคว้นถังเป็นข้อยกเว้น แต่ทหารม้าผู้ตกต่ำที่มือเปื้อนเลือดเหล่านี้ย่อมไม่โง่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์หนีเสือปะจระเข้ ดังนั้นพวกมันจึงเหลือทางเลือกอยู่แค่ทางเดียว นั่นคือออกจากจงหยวน
หลงชิ่งเงียบงันไป แม้ตอนนี้มันจะมีพลังฌานสูงส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังดูดพลังฌานของจางเทียนซือกับผู้อาวุโสของลัทธิเจินอู่ไปหลายคน ทว่ามันก็ยังไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะสตรีนางนั้นได้ ทั้งนี้เพราะสตรีนางนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านางเข้มแข็งเกรียงไกรกว่าต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาคนก่อนเสียอีก
อีกอย่างหลงชิ่งก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถหลบหนีต่อไปได้เรื่อยๆ หากมันยังฝึกไม่ถึงขั้นไร้ผู้เทียมทานอย่างแท้จริง ยิ่งรั้งตัวอยู่ในดินแดนที่มีแต่แสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนสาดส่องนานเท่าไร ก็จะยิ่งมีอันตรายต่อมันมากขึ้นเท่านั้น
มันมองเนินเขาลูกนั้นอีกครั้ง ก่อนกล่าวเสียงเรียบ
“ออกจากจงหยวนเป็นเรื่องที่ข้าคิดไว้แล้ว แต่ก่อนไปข้าต้องทำเรื่องเรื่องหนึ่งให้สำเร็จก่อน”
หลายวันก่อนมันได้รับข่าวจากอารามเต๋าแห่งหนึ่งในแคว้นหนานจิ้น จริงๆ แล้วข่าวนี้มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับงานใหญ่ของมัน แต่กลับเปรียบเสมือนก้อนศิลาที่กดทับลงบนหัวใจ ทำให้มันหายใจได้ลำบากขึ้น
ข่าวบอกว่าหนิงเชวียพาสาวใช้ที่เคยประลองดื่มสุรากับมันติดตามคณะทูตต้าถังไปร่วมงานเทศกาลอวี๋หลันที่วัดลั่นเคอ ทว่าหลังข้ามบึงต้าเจ๋อแล้ว มิทราบเป็นเพราะเหตุใด หนิงเชวียจึงพาสาวใช้แยกออกจากขบวน โดยสารรถม้าสีดำคันหนึ่งไปตามลำพัง
หากนับวันเวลาที่ระบุอยู่ในข่าว ยามนี้รถม้าคันดังกล่าวน่าจะอยู่ห่างจากพวกมันไม่ไกล ดีไม่ดีอาจจะกำลังอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้และเตรียมขึ้นเนินเขาลูกที่อยู่ตรงหน้า
หลงชิ่งแหงนหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มันสูดได้กลิ่นรถม้า กลิ่นหอมของสุราที่ติดกายสาวใช้คนนั้นและกลิ่นโสโครกของหนิงเชวียจากสายลม
ใบหน้าหล่อเหลาพลันปรากฏเลือดฝาด รอยแผลรางเลือนข้างแก้มคล้ายเปล่งแสงขึ้น มันมิได้แสดงอารมณ์อันใดออกมา ทว่าลึกลงไปในดวงตากลับคล้ายมีเปลวไฟกำลังลุกไหม้อยู่
มันหรี่ตาลง สองมือสั่นเล็กน้อยขณะกล่าวว่า
“ได้ฆ่าคนผู้นั้น มรรคจิตของข้าจึงจะใสกระจ่างอย่างแท้จริง ข้าจะดูดพลังฌานที่มีกลิ่นอายของสถานศึกษาจากตัวมันให้หมด เพราะกลิ่นอายนี้หาได้ยากและหอมหวนยิ่ง”
น้ำเสียงของมันทั้งสงบทั้งชืดชา แต่จื่อโม่กลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังมองอสูรในตำนานที่มีชื่อว่าเทาเที่ยอยู่ ความหวาดกลัวต่อความโหดเหี้ยมและความตะกละตะกลามของเทาเที่ยผุดขึ้นมาในจิตใจโดยไม่รู้ตัว ทว่าในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่จงรักภักดีที่สุด ต่อให้ตระหนักดีว่าคำเตือนของตัวเองอาจจะทำให้เจ้านายไม่พอใจ จื่อโม่ก็ยังคงออกความคิดเห็น
“ใต้เท้า ระหว่างที่ท่านหายไปได้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย…ได้ยินว่าหนิงเชวียฆ่าซย่าโหวในการประลอง ส่วนสาวใช้ของมันก็มิใช่ธรรมดา นางคือว่าที่จ้าวบัลลังก์แสงสว่างคนต่อไป”
หลงชิ่งมิได้กล่าวกระไร มันสวมหน้ากาก ลุกเดินไปหาอาชาคู่กายที่ยืนกินน้ำอยู่ตรงตาน้ำ ขณะเดิน สีเทาในดวงตามันค่อยๆ เปลี่ยนกลับเป็นขาวดำอีกครั้ง ฝุ่นดินใต้ฝ่าเท้าลอยขึ้นช้าๆ คล้ายฝูงผึ้งกำลังบินหึ่งๆ อยู่ที่เท้าของมัน
เห็นภาพนั้นแล้วความเคารพยำเกรงในใจของจื่อโม่ก็ยิ่งทวีขึ้น ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพียงนำพรรคพวกควบม้าวิ่งตะบึงตามลงเขาไป
หากมองจากริมผาที่พวกหลงชิ่งเพิ่งจากมาจะเห็นเนินเขาลูกหนึ่งทอดตัวอยู่ท่ามกลางเทือกเขาอันยาวเหยียด เนินเขาลูกนี้มีแต่หญ้า ไม่มีต้นไม้ขึ้นแม้แต่ต้นเดียว จึงทำให้มองเห็นทัศนียภาพได้กว้างไกลจนสามารถเห็นว่ายอดเนินมีสิ่งปลูกสร้างคล้ายวัดของนิกายพุทธตั้งอยู่ รอบๆ ตัววัดยังมีสีแดงที่ไม่รู้ว่าคืออะไรแซมอยู่ประปราย เพียงแต่แม้จะอยู่ห่างออกไปไกลก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความรกร้างเสื่อมโทรม วัดนี้จึงต้องมิใช่วัดลั่นเคออย่างแน่นอน
หลังนั่งเรือรบข้ามบึงต้าเจ๋อมาขึ้นฝั่งที่ท่าข้ามฟากโม่หลิงแคว้นหนานจิ้น หนิงเชวียก็บอกความประสงค์ที่จะแยกตัวออกจากขบวนเพื่อพาซังซังเดินทางล่วงหน้าไปก่อนให้ทุกคนทราบ แน่นอนว่าไม่มีใครเห็นดีเห็นงามกับความคิดของมัน
เสี่ยวเฉ่าไม่อาจตัดใจให้ซังซังแยกจากไป เหล่าสาวงามของคณะนางรำหงซิ่วเจาก็ไม่อยากสูญเสียโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับเซียนเซิงสิบสามไปอย่างปุบปับ ส่วนเสี่ยนจื๋อหลางเนื่องจากเป็นหัวหน้าคณะทูตในครั้งนี้ จึงย่อมต้องมีเรื่องให้กังวลและขบคิดหลายเรื่อง ตามความเห็นของมัน การที่หนิงเชวียพาซังซังแยกตัวออกจากขบวนไม่แน่ว่าระหว่างทางจะปลอดภัย
กับคำเตือนของเสี่ยนจื๋อหลาง หนิงเชวียมีคำตอบที่ชัดเจนยิ่ง
“อย่าลืมว่าข้าคือศิษย์ของจอมปราชญ์ อีกทั้งตอนนี้ฉายาของหวังจิ่งเลวี่ยก็ถูกข้าแย่งเอามาครองแล้ว พวกที่มีความสามารถเอาชนะข้าได้ต่างก็รู้เรื่องราวความเป็นมาของข้า พวกมันไม่กล้าโผล่หน้ามาหรอก หรือต่อให้มีพวกไม่มีดวงตางอกเงย แต่คนแบบนั้นจะเอาชนะข้าได้อย่างไร”
เสี่ยนจื๋อหลางพบว่าหนิงเชวียพูดได้ถูกต้อง ถูกต้องจนมันไม่มีปัญญาโต้แย้ง ผู้ที่จะสามารถเอาชนะหนิงเชวียได้ต้องเป็นยอดคนด่านรู้ชะตา แต่ยอดคนเหล่านั้นไหนเลยจะกล้าตอแยหนิงเชวียให้สถานศึกษาบันดาลโทสะ เสี่ยงกับการที่ค่ายสำนักตัวเองจะถูกถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง
ดังนั้น หลังซื้อสุรารสชาติร้อนแรงจากเหลาสุราตรงท่าข้ามฟากมาตุนไว้ได้มากพอ กับไหว้วานให้ขุนนางในคณะทูตช่วยหาที่ว่าการของแคว้นหนานจิ้น จัดการเรื่องการเข้าเมืองของมันกับซังซังให้ถูกต้อง หนิงเชวียกับซังซังก็นั่งรถม้าจากมา
สาเหตุที่ต้องแยกออกมาเดินทางกันตามลำพังเป็นเพราะอาการป่วยของซังซัง แม้จะไม่แย่ลง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีวี่แววจะดีขึ้นเช่นกัน ในเมื่อจอมปราชญ์บอกว่าหลวงจีนวัดลั่นเคอสามารถรักษานางได้ หนิงเชวียจึงย่อมต้องอยากไปถึงวัดให้เร็วที่สุด
รถม้าพอออกพ้นท่าข้ามฟากโม่หลิงก็วิ่งออกจากถนนหลวง ใช้ถนนระหว่างอำเภอมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ข้ามป่าเขาแม่น้ำลำธารโดยไม่คิดจะปกปิดร่องรอย และไม่แวะพักในสถานที่ที่มีผู้คน รีบเร่งเดินทางอย่างเดียว
ล้อรถหมุนเร็วจี๋ไปพร้อมๆ กับวันเวลาที่ผันผ่าน ฤดูสารทเข้มข้นขึ้น ต้นไม้บนเขาใบเริ่มเปลี่ยนสี ลมเริ่มแห้งและหนาวเย็น วัดลั่นเคอค่อยๆ ใกล้เข้ามาทุกที
อาจเป็นเพราะใกล้จะถึงจุดหมายปลายทาง กลิ่นอายพุทธจึงมีอยู่แทบทุกที่ สามารถเห็นวัดได้หลายแห่งตามรายทาง แม้ผู้คนที่มาจุดธูปกราบไหว้จะไม่มากมายเหมือนอารามเต๋า แต่ก็ไม่นับว่าเปลี่ยวร้าง
วันนี้อยู่ดีๆ ก็มีฝนตก ท้องฟ้าที่ทึมเทาอยู่แล้วยิ่งมืดครึ้มมากขึ้นไปอีก ทว่าแปลกที่ต้นเฟิง* ซึ่งปลูกอยู่ในวัดบนภูเขากลับดูแดงฉานมากเป็นพิเศษ
หนิงเชวียปล่อยม่านลง มองซังซังที่นอนหนุนตัก เห็นสีหน้านางดูเหนื่อยอ่อนก็กล่าวว่า
“บนเขามีวัด ทิวทัศน์งดงามไม่เลว”
วัดแห่งนี้เก่าโทรมยิ่ง เหนือประตูแขวนแผ่นป้ายเอาไว้แผ่นหนึ่ง บนนั้นเขียนอักษรไว้สองตัวว่าหงเหลียน (บัวแดง)
หนิงเชวียคิดไม่ถึงว่าวัดเล็กๆ บนเขาที่รกร้างห่างไกลจะมีป้ายชื่อเป็นเรื่องเป็นราว รอจนมันพยุงซังซังก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป เห็นลานด้านในปลูกต้นเฟิงที่ใบเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนสีโลหิตไว้หลายต้น จึงค่อยเข้าใจ
ฝนตกจั้กๆ ภายในวัดทั้งหนาวเย็นและเปียกชื้น หนิงเชวียเดินหาจนเจอหลวงจีนสองรูปที่จำวัดอยู่ที่นี่ ก่อนล้วงตั๋วเงินส่งให้ บอกว่าต้องการค้างแรมที่นี่สักคืน ไม่อยากให้มีเสียงคนเอะอะหนวกหู เพราะภรรยาของมันรักความสงบ
หลวงจีนสองรูปมองหนิงเชวียอย่างงุนงง เดิมทีพวกมันไม่อยากเดินตากฝนออกจากวัด แต่พอเห็นจำนวนเงินในตั๋วเงินก็บังเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมาทันที อีกอย่างวัดหลังนี้ทรุดโทรมยิ่ง ไม่มีสิ่งของมีค่า รูปปั้นอรหันต์หลายองค์ที่อยู่ในวิหารหลักก็ล้วนปั้นขึ้นจากดินแล้วทาสี รวมกันแล้วไม่มีราคาค่างวดอันใด จึงไม่ต้องห่วงว่าจะถูกขโมย
รับตั๋วเงินไปแล้วหลวงจีนทั้งสองก็ต้มน้ำไว้ให้หนึ่งหม้อ ทั้งยังทำอาหารเจไว้ให้อีกสองสามอย่าง ก่อนบอกหนิงเชวียว่าตรงเชิงเขามีที่นาของวัดอยู่หลายหมู่* พวกมันจะไปพักแรมที่นั่น จากนั้นก็อาศัยร่มคันเดียวเดินเบียดกันออกไป
ฟ้ายังสว่างอยู่ ระหว่างทางไม่มีอะไรให้กินเป็นเรื่องเป็นราว หนิงเชวียรู้สึกหิวอยู่บ้าง จึงเดินไปที่ห้องครัวหลังวัด ชิมอาหารเจที่หลวงจีนเตรียมไว้ให้ รู้สึกว่ารสชาติจืดชืดยิ่ง มันล้วงเนื้อแห้งห่อโตออกจากห่อสัมภาระ แล้วเด็ดรากโสมสองกำโยนใส่หม้อ ลงมือทำเนื้อต้มหม้อใหญ่หม้อหนึ่ง
รอจนน้ำแกงเดือด มันก็ตักป้อนซังซัง ก่อนตักน้ำแกงราดข้าวให้ตัวเอง จากนั้นควานเอาเนื้อที่มีกลิ่นหอมของโสมขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วโยนไปที่หน้าประตู
เจ้าดำได้กลิ่นหอมของโสมก็ชะโงกหัวเข้ามามองอย่างสนใจ พอเห็นเนื้อก้อนนั้นก็ก้มหน้าทำจมูกฟุดฟิด เมื่อรู้ว่ามิใช่เนื้อสด อีกทั้งใช้รากโสมต้ม มิใช่ใช้โสมทั้งต้น ก็วิ่งเหยาะๆ ไปยืนเหม่อหลบฝนอยู่ใต้ต้นเฟิงอย่างผิดหวัง
หนิงเชวียตะโกนด่าอย่างหมั่นไส้
“เจ้าโง่ โสมคนที่ศิษย์พี่สิบเอ็ดให้มากินไปจนเกือบหมดแล้ว หากเจ้ายังขืนเลือกกินเหมือนอย่างเจ้าเหลือง ระวังจะอดตายระหว่างทาง”
เจ้าดำไม่สนใจ ทำเป็นเงยหน้าดมต้นเฟิง คิดในใจอย่างถือดี แม้มันจะโง่ แต่ก็เป็นตัวโง่ของสถานศึกษา อย่าว่าแต่ไม่กินอาหารธรรมดาดาษดื่นในโลกมนุษย์ ยังจะฝึกให้ถึงขั้นกินลมดื่มน้ำค้างอีกด้วย
อาการป่วยของซังซังหนักเอาการ ไอเย็นในตัวที่ไม่ยอมลดลงทำให้หนิงเชวียปวดเศียรเวียนเกล้า แต่มิทราบเป็นเพราะวิชาเทพ หรือเป็นเพราะดื่มสุรารสชาติร้อนแรงติดต่อกันหลายวัน อาการจึงไม่ดูน่ากลัวเท่าตอนอยู่ในเมืองฉางอัน เพียงแค่ทำให้ดูไม่มีชีวิตชีวาและเหนื่อยง่ายเท่านั้น
หนิงเชวียควานหาเนื้อขึ้นมาอีกก้อน ใช้ตะเกียบเขี่ยฉีกเป็นเส้นๆ จากนั้นคลุกกับข้าวยื่นส่งให้ซังซังซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างหนักจึงจะกินหมด หลังดื่มสุราไปตามจำนวนที่กำหนดไว้สำหรับวันนี้คือครึ่งถุงจนหมด หน้าตาของนางก็ดูมีสีสัน มีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิม
“อดทนหน่อย คิดว่าอีกแค่สี่วันก็จะถึงวัดลั่นเคอแล้ว”
เพื่อเตรียมก่อไฟให้ความอบอุ่นสำหรับคืนนี้ หนิงเชวียหอบฟืนท่อนใหญ่มาสองท่อน แล้วนั่งผ่าให้เป็นท่อนเล็กๆ อยู่ตรงหน้าธรณีประตู มันคิดในใจ แม้รถม้าจะกว้างขวาง แต่ถึงอย่างไรการต้องนั่งหลับก็ทำให้เมื่อยขบอยู่ไม่น้อย ต่อไปหากพบโรงเตี๊ยมที่พอเข้าพักแรมได้ ยังคงเข้าพักให้ซังซังได้เอนหลังนอนบ้างจะดีกว่า
ซังซังนอนห่มผ้าอยู่บนเตียง ขณะมองหนิงเชวียง่วนอยู่กับงาน จู่ๆ ก็นึกย้อนไปถึงวันเวลาเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นคนที่หุงหาอาหารและผ่าฟืนล้วนเป็นมัน
เหมือนจะรับรู้ถึงสายตาของนาง หนิงเชวียเงยหน้ามองเข้าไปในห้อง เห็นวงหน้าเล็กๆ ดูเหนื่อยล้าก็กล่าวปลอบโยน
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงรักษาอาการป่วยของเจ้าไม่ได้ แต่ข้าเชื่อในคำพูดของท่านผู้เฒ่า มหาเถระในวัดลั่นเคอจะต้องรักษาเจ้าได้อย่างแน่นอน ดังนั้นอย่ากังวลไป”
ซังซังร้องอืมอยู่ในลำคอ
เงียบกันไปครู่หนึ่ง หนิงเชวียก็เอ่ยขึ้นอีก
“เมื่อถึงวัดลั่นเคอ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าอย่าได้สนใจ โดยเฉพาะวิชาเทพห้ามใช้อีกเป็นอันขาด เจ้าแค่สนใจอาการป่วยของตัวเองก็พอ”
ซังซังก้มหน้าเงียบ ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ส่งเสียงรับคำ
หนิงเชวียรู้ดี ขอร้องนางไปก็ไม่มีประโยชน์ หากมันเผชิญหน้ากับอันตรายจริงๆ มีหรือที่นางจะทนนิ่งเฉยไม่ดูดำดูดีมันได้ คิดแล้วก็ต้องส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา สิบหกปีที่ผ่านมามันไม่เคยเอาชนะสาวใช้ตัวน้อยได้ วันนี้ก็เช่นกัน
หลังพักผ่อนไปได้ครู่หนึ่ง สีหน้าซังซังก็ดีขึ้น แววตาที่มองไปยังต้นเฟิงนอกประตูเป็นประกายสดใส
นับตั้งแต่ซังซังป่วย หนิงเชวียก็คอยเฝ้ามองอยู่ตลอด พอเห็นเช่นนั้นจิตใจก็ผ่อนคลาย รีบพยุงนางขึ้นมาจากเตียงเพื่อไปชมต้นไม้ที่ใต้ชายคา
วัดหงเหลียนมีสภาพทรุดโทรมอย่างหนัก กำแพงหลายช่วงหักพังลงมา แม้แต่บันไดหินตรงหน้าประตูใหญ่ก็สึกกร่อนจนกลายเป็นพื้นเรียบ หนิงเชวียจึงสามารถเอารถม้ามาจอดถึงลานด้านใน
สายฝนวันนี้เย็นยะเยือก ต้นเฟิงแดงดุจเปลวเพลิง ขณะมองรถม้าสีดำซึ่งจอดอยู่ใต้ต้น หนิงเชวียพลันนึกถึงโคลงบทหนึ่ง จึงเอื้อนขึ้นมาเบาๆ
“จอดรถม้าเพราะหลงรักเฟิงยามเย็น ใบเฟิงเด่นแดงดั่ง*…”
หนิงเชวียมาภพนี้นานแล้ว ความทรงจำในภพเดิมของมันจึงเลือนหายไปเป็นส่วนใหญ่ ที่จำได้ล้วนเป็นเรื่องที่ฝังจิตฝังใจ หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ในภพเดิมจำเป็นต้องท่องจำ อย่างเช่นเนื้อหาในบทเรียน ส่วนโคลงกลอนนั้นมันจำได้เพียงกระท่อนกระแท่น เห็นได้จากโคลงบทนี้แท้จริงกล่าวถึงใบเฟิงที่มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะติดอยู่ มิใช่ใบเฟิงเฉยๆ
ยังเอื้อนไม่จบก็รู้สึกว่าแขนของซังซังที่มันจับเอาไว้เกร็งขึ้น จึงก้มหน้ามองอย่างเป็นกังวล แต่ไม่เห็นนางขมวดคิ้วหรือมีท่าทีไม่สบายแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ใบหน้าน้อยๆ กลับแดงซ่านด้วยความขวยเขิน
ซังซังก้มหน้างุด พูดเสียงเบาราวกับเสียงยุง
“พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกัน”
หนิงเชวียรู้ว่าสาวน้อยเข้าใจคำสองคำในโคลงผิด** ก็อดยิ้มเจื่อนๆ มิได้ มันยกมือลูบแก้มซังซังเบาๆ กล่าวว่า
“แต่งหรือยังไม่แต่งไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่าง เพราะถึงอย่างไรเจ้ากับข้าก็ไม่มีวันแยกจากกันอยู่แล้ว”
ซังซังเงยหน้าท้วง
“แตกต่างสิ”
หนิงเชวียถามอย่างประหลาดใจ
“แตกต่างอย่างไร”
ซังซังก้มหน้าตอบ
“ใครๆ ก็บอกว่า…หากได้อยู่ด้วยกันจริงๆ ก็จะไม่ชอบกันอีกต่อไป หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ชอบมากมายเหมือนก่อนแต่ง”
หนิงเชวียกล่าวอย่างหงุดหงิด
“ไปฟังมาจากที่ไหน คงจะเป็นเสี่ยวเฉ่าล่ะสิที่ว่างไม่มีอะไรทำ เลยมากรอกความคิดบ้าๆ บอๆ พวกนี้ใส่หูเจ้า”
ซังซังเงยหน้าถามมันอย่างดื้อรั้น
“ท่านจะมีวันไม่ชอบข้าหรือไม่”
หนิงเชวียตอบโดยไม่ต้องคิด
“ไม่มีทาง”
“แต่เสี่ยวเฉ่าบอกว่า…สตรีส่วนใหญ่ในเมืองฉางอัน ก่อนแต่งคนรักจะเอาอกเอาใจยิ่ง ทว่าพอแต่งเข้าบ้านไปแค่สองสามปี สามีก็เริ่มเบื่อหน่าย”
หนิงเชวียกล่าวยิ้มๆ
“เจ้าลองคิดดู เจ้าเกิดมาก็เข้ามาอยู่ในบ้านข้าแล้ว สิบหกปีมานี้ข้าเคยเบื่อเจ้าหรือไม่ เจ้าเคยเบื่อข้าหรือไม่ ในเมื่ออยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เบื่อ เช่นนั้นก็ต้องไม่มีทางเบื่อไปตลอดชีวิตนั่นแหละ”
ซังซังหน้าแดงซ่าน
“หนิงเชวีย ท่านพูดจาน่าฟังยิ่ง”
“ทำไมถึงไม่เรียกข้าว่านายน้อย”
“ยามพูดเรื่องนี้ ท่านจะเป็นนายน้อยไม่ได้”
หนิงเชวียพยักหน้าเห็นพ้อง
“อืม มีเหตุผล”
แต่แล้วจู่ๆ ซังซังก็พูดโพล่งขึ้นมา
“แต่ท่านยังชอบสตรีอื่น”
หนิงเชวียสะดุ้งเฮือก ร่ำร้องเสียงดัง
“มีที่ไหน”
“องค์หญิง?”
“ตอนนั้นข้าเพิ่งเป็นหนุ่ม มีแต่ความคิดฟุ้งซ่าน และจะว่าไปแล้ว ลึกๆ ในใจของชายหนุ่มทั่วแผ่นดินล้วนมีความคิดเพ้อฝันต่อองค์หญิงกันทั้งนั้น”
“พี่สุ่ยจูเอ๋อร์เล่า”
“นั่นมันกับข้าวของซือฟู ข้าต้องให้ความเคารพ”
“แต่ท่านเคยบอกว่าอยากลูบคลำนาง”
“นั่นมันเป็นเรื่องของรสสัมผัส เรื่องของความปรารถนา”
“ท่านกำลังบอกว่ารสสัมผัสของข้าไม่ดีอย่างนั้นหรือ”
“เปลี่ยน…เปลี่ยน ไม่พูดถึงพวกนางแล้ว”
“ก็ได้ แล้วผู้งมงายอักษรเล่า”
“อ๊ะ ลมชักจะแรงไปหน่อยแล้ว พวกเรากลับเข้าห้องกันเถอะ”
เจ้าดำที่ยืนหลบฝนและฝึกเข้าฌานอยู่ใต้ต้นเฟิงตื่นขึ้นมาฟังหนิงเชวียกับซังซังสนทนากันได้สักพักแล้ว หูของมันกางผึ่งด้วยเกรงว่าจะพลาดคำพูดใดไป ที่สำคัญคือมันไม่ต้องการพลาดโอกาสได้เห็นหนิงเชวียถูกไล่ต้อนจนจนมุม
พอเห็นหนิงเชวียตัดบทรีบประคองซังซังกลับเข้าห้อง เจ้าดำก็นึกก่นด่าหนิงเชวียอยู่ในใจ ทว่าทันใดนั้นเอง หัวเจ้าดำพลันเชิดขึ้นส่ายร่อนจมูกไปมา คล้ายสูดได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่ลอยมากับสายฝน
แทบจะในเวลาเดียวกัน ซังซังหันขวับมองไปทางประตูใหญ่เขม็ง พร้อมกับกล่าวเสียงเบา
“มีคนมา”
หนิงเชวียเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นสั่งว่า
“ขึ้นรถ”
เมื่อครู่พวกมันมิได้นำสัมภาระที่มีน้ำหนักลงจากรถ กอปรกับรถม้าไม่ต้องมีคนขับ จึงเตรียมตัวจากไปได้อย่างรวดเร็ว
ขนของเจ้าดำถูกฝนชโลมจนเปียก แต่แทนที่จะเอนลู่แนบตัว กลับลุกชี้ชัน อารมณ์ของมันในตอนนี้ดุร้ายยิ่ง เพราะมันแน่ใจว่ากลิ่นที่สูดได้จากสายฝนเมื่อครู่ก็คือกลิ่นคาวเลือด มันไม่เคยได้กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นและเย็นยะเยือกแบบนี้มาก่อน ไม่แม้แต่ในสนามรบ
เสียงฝีเท้าม้าถี่กระชั้นที่แว่วมาตามสายฝนบ่งบอกว่าอาชาเหล่านั้นสมควรยังอยู่ที่บริเวณตีนเขา ว่ากันตามเหตุผล ระยะห่างไกลขนาดนี้พวกมันไม่ควรจะได้ยิน แต่หนิงเชวีย ซังซังและเจ้าดำกลับได้ยินอย่างชัดเจน
ทันทีที่รถม้าสีดำวิ่งออกมาจากวัดหงเหลียน หนิงเชวียก็เลิกม่านมองลงไปที่ตีนเขา
เนินเขาลูกนี้ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีเพียงหญ้าคาที่ขึ้นอยู่ดาษดื่น ตอนนี้เป็นช่วงฤดูสารท หญ้าเหล่านี้ล้วนเปลี่ยนเป็นสีเหลือง พอถูกลมฝนก็เอนลู่ลงกับพื้น ทำให้ทัศนวิสัยที่กว้างไกลอยู่แล้วยิ่งเปิดโล่งมากขึ้น
ฝนฤดูสารทไม่ลงเม็ดถี่ยิบจนบดบังทัศนวิสัย หนิงเชวียจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนทางขึ้นเขาสามสายมีคนสิบกว่าคนกำลังควบม้าขึ้นมาอย่างเร็วจี๋ คนเหล่านั้นสวมชุดนักพรตสีดำ ภาพที่เห็นดูราวกับราตรีอันมืดมิดกำลังมาเยือนโลกในเวลากลางวัน รอบด้านดูหม่นมัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร
หนิงเชวียมองอย่างเงียบงัน รู้ดีว่าสายเกินการณ์ที่จะหนี เจ้าดำส่งเสียงฟืดฟาดๆ ตะกุยเท้ากับพื้นที่มีน้ำขังอย่างหงุดหงิด คล้ายต้องการออกไปฆ่าคนที่มาเสียเดี๋ยวนี้
ซังซังก้มหน้าไอเบาๆ ธนูเหล็กสีดำมะเมื่อมในมือนางประกอบเสร็จแล้ว
หนิงเชวียเอ่ยถาม
“ระดับใด”
ซังซังเงยหน้ามองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น มือขวากำร่มดำพลางนิ่วหน้าตอบ
“ทั้งหมดล้วนอยู่ในด่านสู่พิสดาร…”
ก่อนเสริมมาอีก
“มีห้าคนอยู่ด่านสู่พิสดารขั้นปลาย คนหนึ่งอยู่ระดับสูงสุดแล้ว”
หนิงเชวียได้ยินเช่นนั้นใบหน้าก็เคร่งเครียด สายตามีแววฉงน