• Connect with us

    Enter Books

    สยบฟ้า พิชิตปฐพี

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 21 ตอนที่ 3

    บทที่ 3 ลิงโลด

     

    ภาพชายหนุ่มหญิงสาวยืนสนทนาอยู่ริมลำธารถูกเหล่าผู้ฝึกฌานจับจ้องตาไม่กะพริบ จากกิตติศัพท์ที่เล่าลือกัน ผู้งมงายอักษรน้อยครั้งนักจะปรายตามองบุรุษ ยามนี้เห็นนางสนทนากับบุรุษหนุ่มคนนั้นอยู่เป็นนานสองนานก็เริ่มกระซิบกระซาบคาดเดากันถึงความเป็นมาของบุรุษผู้โชคดี

    คนที่พอจะระแคะระคายว่าหนิงเชวียเป็นใคร พอเห็นภาพตรงหน้าก็ยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่ตนคาดเดานั้นถูกต้อง ความแตกตื่นประหลาดใจจึงเปลี่ยนเป็นความเคารพยำเกรง มิรู้ว่าควรเข้าไปคารวะทักทายยอดคนจากสถานศึกษาหรือควรรักษาความเงียบต่อไปเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้อีกฝ่ายไม่พอใจ

    คุณชายสูงศักดิ์จากแคว้นหนานจิ้นรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะผู้ฝึกฌานหลายคนที่ยืนห้อมล้อมเอาใจมันอยู่ มันสังเกตเห็นว่าแต่ละคนต่างก็เหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พากันเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น จึงปรายตามองตาม พริบตาที่เห็นเงาร่างทั้งสองริมลำธาร สีหน้ามันก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที

    งานเทศกาลอวี๋หลันที่วัดลั่นเคอจัดขึ้นในคราวนี้ สาเหตุที่รัชทายาทอย่างมันมาร่วมงานด้วยตัวเอง นอกจากจะเพื่อเป็นตัวแทนแคว้นหนานจิ้นมาแสดงความเคารพต่อฉีซานต้าซือผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ต่อแคว้นแล้ว สาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือมันรู้ว่าผู้งมงายอักษรจะมา มันอยากใช้โอกาสนี้แสดงความจริงใจให้นางรู้ ทั้งยังแอบคาดหวังว่าหากตัวมันเข้าตาฉีซานต้าซือได้รับคัดเลือก ไม่แน่ว่าเรื่องของมันกับนางอาจจะกลายเป็นจริงบนเขาหว่าซานนี้เลยก็ได้

    ก่อนหน้านี้ทางราชนิกุลแคว้นหนานจิ้นเคยเลียบเคียงถามความเห็นของผู้งมงายอักษรเป็นการส่วนตัว แต่กลับถูกนางปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม อีกทั้งจดหมายหลายฉบับของคุณชายสูงศักดิ์ก็ยังเงียบหายไปเหมือนหินที่จมลงสู่ก้นทะเลสาบ นี่จึงทำให้คุณชายสูงศักดิ์รู้ว่าโม่ซันซันแตกต่างจากสตรีทั่วไป ดังนั้นพอมาถึงเขาหว่าซาน เพื่อมิให้นางรู้สึกไม่พอใจที่ถูกติดตามพัวพัน มันจึงพยายามข่มความปรารถนาที่จะเข้าใกล้ แสร้งทำตัวตามสบายเพื่อให้นางมีความทรงจำที่ดีจนเกิดความประทับใจในตัวมัน

    เหมือนเช่นเมื่อครู่ที่มันทำทีเป็นโบกพัดในมือเบาๆ ขณะสนทนาอยู่กับเหล่าผู้ฝึกฌานอย่างสุภาพอ่อนโยน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมันได้แต่ภาวนาให้นางแอบมองมันอยู่ด้วยสายตาชื่นชม แล้วเป็นอย่างไร ผลกลับกลายเป็นว่าแม้แต่หางตานางก็มิได้เหลือบแลมา ทั้งยังกำลังเดินเล่นพูดคุยอยู่กับเจ้างั่งที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากที่ใดไม่รู้ มิหนำซ้ำยังยิ้มให้อีกด้วย!

    สายตาและเสียงกระซิบกระซาบทั้งหลายยากที่จะหลบพ้นสัมผัสรับรู้อันเฉียบไวของหนิงเชวีย โดยเฉพาะใบหน้าอันบูดบึ้งของคุณชายหน้าขาว ทำให้มันถึงกับต้องขมวดคิ้ว

    แต่พอคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนมันก็มิอาจไม่ยอมรับ หากดูแค่ฐานะและยศถาบรรดาศักดิ์ คุณชายผู้นี้นับเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดของผู้งมงายอักษร หรือต่อให้พูดถึงเรื่องนิสัยใจคอ ตัวมันเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าสักเท่าใดนัก คิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล จึงเอ่ยปากถามเสียงขุ่น

    “เจ้ามากับคนผู้นั้นหรือ”

    โม่ซันซันส่ายหน้า

    มิทราบเป็นเพราะเหตุใด พอรู้ว่านางมิได้ร่วมเดินทางมากับคุณชายหน้าขาว อารมณ์หงุดหงิดก็หายวับ หนิงเชวียกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

    “แต่มันต้องตามเจ้ามาแน่ๆ”

    โม่ซันซันดูจะงงๆ ว่าทำไมมันถึงพูดเช่นนี้

    ลมเย็นๆ พัดมา เสียงกิ่งไม้ใบไม้ในลานหินเสียดสีกันดังซ่าๆ สาบเสื้อคลุมตัวนอกของคุณชายสูงศักดิ์ถูกลมพัดเปิด เผยให้เห็นสายรัดเอวสีเหลืองทอง

    “ข้ารู้ว่ามันคือรัชทายาทแคว้นหนานจิ้น”

    หนิงเชวียบอก

    โม่ซันซันมองมันอย่างแปลกใจ

    หนิงเชวียยิ้ม

    “เมื่อวานข้ากับมันพบกันโดยบังเอิญที่หน้าวิหาร เกิดปะทะฝีปากกันเล็กน้อย แต่เจ้าก็รู้ เดี๋ยวนี้ข้าสุภาพเยือกเย็นขึ้นกว่าแต่ก่อน ดังนั้นต่อให้ถูกมันถามว่าข้านับเป็นตัวอะไร ข้าก็มิได้โต้กลับไปว่าก่อนหน้านี้ที่มันคิดจะซื้อภาพน้ำตุ๋นไก่ของข้าไปเอาใจเจ้า ข้ายังมีแก่ใจตบหน้ามันหนึ่งฉาด แต่ตอนนี้ต่อให้มันยื่นหน้ามาให้ ข้าก็ยังไม่มีอารมณ์จะตบ ดังนั้นมันในสายตาข้าตอนนี้ แม้แต่ตัวอะไรก็ไม่ใช่”

    โม่ซันซันก้มหน้าแอบยิ้มกับน้ำในลำธาร

    หนิงเชวียนึกว่านางไม่รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานประมูลภาพ จึงเล่าให้ฟังอย่างละเอียด ถึงตอนท้ายก็พูดเสียงดังด้วยความสะใจ

    “เซียนเซิงสิบสามไม่คิดจะให้เกียรติรัชทายาทแคว้นของเจ้า เอาเงินทองมามากมายแค่ไหนก็ไม่ขาย”

    โม่ซันซันเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ ก่อนถาม

    “สะใจมากใช่หรือไม่”

    หนิงเชวียนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ

    “ตอนนั้นรู้สึกว่าสะใจจริงๆ กระทั่งตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยู่”

    โม่ซันซันพยักหน้ากล่าวเสียงเบา

    “อันที่จริงข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว”

    หนิงเชวียตะลึง ก่อนนึกกระดากอยู่ในใจ เจ้ารู้แล้วกลับปล่อยให้ข้าเล่าเป็นตุเป็นตะอยู่ได้

    โม่ซันซันจ้องตามัน จะว่ายิ้มก็ไม่ใช่ จะว่าหน้าบึ้งก็ไม่เชิง

    “ท่านช่วยข้าขับไล่คนที่มาตามพัวพัน ข้าควรจะขอบคุณ หรือควรจะต่อว่าที่ท่านสะใจกับการทำให้ข้าคิดถึงแต่ท่านเพียงผู้เดียวไปจนแก่ตายดี”

    หนิงเชวียยืนตัวแข็งทื่อ

    “ปัญหาคือทุกคนในแผ่นดินต่างก็รู้เรื่องนี้ ท่านว่าพวกมันจะมองข้าอย่างไร แล้วจะมองท่านที่ปฏิบัติต่อข้าแบบนี้อย่างไร”

    โม่ซันซันกล่าวต่อด้วยความรู้สึกอับอายระคนขุ่นเคือง

    “ในเมื่อเรื่องระหว่างเราเป็นไปไม่ได้ ท่านทำเช่นนี้คิดว่าเหมาะสมแล้วหรือ”

    “ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ข้าไม่ควรทำเช่นนั้น…”

    หนิงเชวียรีบประคองมือคารวะปลกๆ

    “ตั้งแต่ต้นจนจบข้าเป็นฝ่ายผิดมาตลอด ให้อภัยข้าเถอะ”

    ยากนักที่จะได้เห็นมันขอโทษจากใจจริงเช่นนี้

    โม่ซันซันแทนที่จะยินดี กลับรู้สึกผิดหวังและเจ็บแปลบอยู่ในใจ สายตาที่ใสกระจ่างดุจน้ำในทะเลสาบกระเพื่อมไหวเล็กน้อย ฝืนยิ้มกล่าวว่า

    “ผู้งมงายยุทธ์พูดไว้ไม่ผิด ท่านคือคนที่ไร้ยางอายที่สุดในแผ่นดิน ยอมรับผิดก็ยอมรับเร็วกว่าคนอื่น แสดงความจริงใจก็ทำได้ดีจนผู้อื่นรู้สึกว่าเป็นฝ่ายผิดเสียเอง”

    หนิงเชวียตะลึงงันไป ถึงตอนนี้มันค่อยรู้ว่าสตรีต่อให้พิเศษเหนือสามัญเพียงใด ทันทีที่ถูกความรักพันธนาการไว้ก็จะไม่ต่างอะไรกับสตรีทั่วไป สามารถหาเหตุผลมากล่าวโทษท่านได้ตลอดเวลา แน่นอน ที่มันทำได้มีแต่ต้องรับไว้ เพราะมันเป็นฝ่ายผิดจริง หลังขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

    “เพื่อให้เจ้ารู้ว่าคำขอโทษของข้ามาจากใจจริง ข้าตัดสินใจจะกระทำเรื่องเรื่องหนึ่ง”

    ดวงตาคู่งามมองมันอย่างนึกฉงน

    “เรื่องอะไร”

    หนิงเชวียตอบอย่างเอาใจ

    “รอให้ซังซังหายดีแล้ว ข้าจะรีบกลับฉางอัน ฉกภาพข้อความน้ำตุ๋นไก่จากจวนหวังต้าเสวียซื่อมาให้เจ้า”

    โม่ซันซันยิ้ม

    “ในห้องหนังสือข้างสระโม่ฉือมีภาพอักษรลายพู่กันของท่านอยู่มากมายแล้ว”

    หนิงเชวียรู้สึกอับจนปัญญา

    “เช่นนั้นต้องทำอย่างไรเล่าเจ้าถึงจะเบิกบานใจ”

    โม่ซันซันจ้องตามันขณะตอบ

    “ในห้องหนังสือยังไม่มีภาพข้อความที่ท่านเขียนถึงข้าเลย”

    นี่คือสิ่งที่นางขอมาหลายครั้งหลายหนจนรู้สึกว่าตัวเองน่าดูถูกอยู่บ้าง ทว่าแม้จะอับอายจนใบหน้าแดงซ่าน นางก็ยังจ้องตามันอย่างกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว

    หนิงเชวียหลบสายตานางเบือนหน้าไปมองธารน้ำใส

    โม่ซันซันถอนใจเบาๆ ไม่กล่าวอะไรอีก เพียงหันไปมองสายน้ำ เงียบไปด้วยอีกคน

    ฤดูสารททิวทัศน์บนเขางดงามยิ่ง ริมลำธารพอไร้เสียงสนทนาก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงน้ำไหลเซาะหินในลำธารเท่านั้น

     

    อันที่จริงปริศนาเกี่ยวกับบุรุษที่ยืนเคียงข้างผู้งมงายอักษรไม่มีอันใดยาก เมื่อประมวลจากคำเล่าลือ บุรุษที่สามารถยืนเป็นเพื่อนผู้งมงายอักษรชมขุนเขาและธารน้ำเงียบๆ โดยไม่ต้องพูดจา ในปฐพีนี้มีอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

    เมื่อแน่ใจว่าบุรุษที่ยืนอยู่ข้างผู้งมงายอักษรก็คือหนิงเชวียเซียนเซิงสิบสามของสถานศึกษา เสียงอุทานอย่างแตกตื่นก็ดังขึ้นอื้ออึง

    รัชทายาทแคว้นหนานจิ้นมองคนทั้งคู่ด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ สองมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อสั่นระริกด้วยความโกรธแค้นและริษยา ถึงแม้มันจะพยายามรักษาท่าทีสักเพียงใดก็ยังคงสะกดใจให้สุขุมเยือกเย็นไม่สำเร็จ

    หลังเสียงอุทานเงียบหายก็เริ่มมีคนเดินไปที่ริมลำธาร เมื่อมีผู้นำก็ย่อมมีผู้ตาม ภายในเวลาอันสั้นใต้ต้นไม้ใหญ่ก็ว่างโล่งปราศจากผู้คน

    กระดานหมากล้อมที่เมื่อครู่ยังมีคนมุงดูอย่างเนืองแน่นเปลี่ยนเป็นเงียบร้างภายในพริบตา เซียนหมากล้อมจากแคว้นหนานจิ้นที่กำลังนั่งคร่ำเคร่งแก้หมากอยู่หน้ากระดานมิได้สังเกตความเป็นไปรอบตัว แต่หลวงจีนวัดลั่นเคอที่รับหน้าที่เฝ้าหมากกระดานแรกกลับรู้สึกเอะใจจึงเงยหน้ามองตามกลุ่มคน

    หนิงเชวียรับรู้ได้แต่แรกแล้วว่ามีคนเดินออกจากใต้ต้นไม้จึงหันไปมอง พอเห็นผู้คนหลายสิบคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ มันก็ถึงกับแตกตื่น รีบคิดหาทางหนีทีไล่เพื่อมิให้ตัวมันกับโม่ซันซันต้องถูกคนเหล่านี้เบียดตกลำธารไป

    ทว่าผู้ฝึกฌานเหล่านั้นกลับมิได้กรูกันเข้ามาเหมือนที่หนิงเชวียเป็นกังวล พวกมันนับว่ารู้จักกาลเทศะอยู่บ้าง กอปรกับในใจมีความเคารพยำเกรงในป้ายยี่ห้อของสถานศึกษาอยู่เป็นทุนเดิม จึงต่างพากันหยุดเท้าลงทั้งๆ ที่ยังอยู่ห่างจากลำธารอีกหลายจั้ง

    “นักพรตหลี่จากแคว้นซ่งคารวะเซียนเซิงสิบสาม”

    “ผู้เยาว์หลินรั่วอวี่คารวะผู้อาวุโส”

    “ข้าพเจ้าหวาอิ่นขอเป็นตัวแทนอาจารย์คารวะหนิงต้าจยา”

    ภายใต้เปลือกนอกที่ดูสำรวม พวกมันรู้สึกตื่นเต้นและประหม่าจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ บางคนถึงกับเสียงสั่นพร่าหรือไม่ก็เพี้ยนไป

    นี่คือโลกของเฮ่าเทียน ผู้ที่ขึ้นเขาหว่าซานในวันนี้ส่วนใหญ่จึงต่างก็เป็นผู้ฝึกฌานนิกายเต๋า แม้นิกายเต๋ากับสถานศึกษาจะมีความขัดแย้งกัน แต่ทั้งหมดก็ล้วนเกิดขึ้นภายใต้เงามืดของประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นความขัดแย้งที่เกิดระหว่างยอดผู้ฝึกฌานที่มีฝีมือร้ายกาจสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับผู้ฝึกฌานทั่วไปเหล่านี้

    คนเหล่านี้รู้แต่เพียงว่าสถานศึกษาคือสถานที่ที่เป็นปริศนา และบรรดาศิษย์ของจอมปราชญ์ที่ฝึกฌานอยู่บนเขาหลังสถานศึกษาก็คือยอดคนที่เคยได้ยินแต่ในตำนานเท่านั้น ตามความคิดของพวกมัน ยอดคนมักจะเหาะเหินอยู่บนปุยเมฆ ยากนักที่จะปรากฏตัวอยู่ในโลกิยะ สามารถพูดได้ว่าชั่วชีวิตของพวกมันคงไม่มีโอกาสได้พบเห็นอย่างแน่นอน

    ทว่าวันนี้พวกมันกลับมีโอกาสที่ว่านั่น พวกมันไม่เพียงได้พบเห็นยอดคนในโลกุตระ ยังสามารถพูดจาสนทนาด้วยได้ แล้วอย่างนี้มีหรือที่พวกมันจะไม่ตื่นเต้นดีใจ

    มิต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าโอกาสในครั้งนี้จะนำมาซึ่งประโยชน์ในการฝึกฌานของพวกมันหรือไม่ แค่ตอนแก่เฒ่าใกล้กลับคืนสู่อ้อมอกของเฮ่าเทียนสามารถบอกเล่าให้ลูกหลานฟังอย่างภาคภูมิใจว่าตอนพบกันในวัดลั่นเคอ เซียนเซิงสิบสามของสถานศึกษาเป็นบุคคลเช่นไร พวกมันก็ตายตาหลับแล้ว

    ที่ผ่านมาหนิงเชวียไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นยอดคนในโลกุตระ หลังประสบความสำเร็จในการขึ้นเขาเข้าชั้นสองของสถานศึกษา มันก็ยังคงไปดื่มสุราที่เรือนหงซิ่วเจา ทักทายพูดคุยกับบรรดาเพื่อนบ้านในซอยสี่สิบเจ็ด พาสหายร่วมสถานศึกษาในตึกหน้าเดินทางขึ้นเหนือไปยังค่ายชายแดน มิทราบว่าต้องคลุกคลีกับผู้คนไปมากน้อยเท่าไร แม้สองปีมานี้มันจะรู้สึกได้ว่าท่าทีที่ทุกคนปฏิบัติต่อมันค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่มันก็ไม่สนใจ ยังคงใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายยุ่งเหยิง มิได้ปลีกตัวเร้นกายไปอยู่ในดินแดนโลกุตระแต่อย่างใด

    นี่เป็นผลมาจากการที่มันเป็นตัวแทนเข้าสู่โลกิยะของสถานศึกษา และเป็นผลมาจากสันดานเดิมของมัน จึงทำให้มันไม่สามารถตัดเยื่อใยและความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อโลกิยะให้ขาดได้ ถึงแม้จะฆ่าซย่าโหวไปแล้วก็ตาม ดังนั้นเมื่อเห็นสีหน้าเคารพนบนอบจนถึงขั้นยำเกรง รวมทั้งแววตาตื่นเต้นดีใจของเหล่าผู้ฝึกฌาน หนิงเชวียก็ถึงกับตะลึงไป เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มันรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของสถานศึกษา รับรู้ได้ถึงความเคารพนับถือจนถึงขั้นยำเกรงที่ผู้ฝึกฌานทั้งหลายมีต่อสถานศึกษาผ่านทางตัวมัน

    ไม่ว่าจะเป็นความนับถือก็ดี ความยำเกรงก็ช่าง ทั้งหมดล้วนให้ความรู้สึกที่ดีทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้หลังตั้งสติได้หนิงเชวียจึงคลี่รอยยิ้มนุ่มนวลคารวะตอบอย่างสุภาพ

    แม้ในโลกของเฮ่าเทียนผู้ฝึกฌานนิกายเต๋าจะมีจำนวนมากสุด แต่แคว้นต้าถังถึงอย่างไรก็เป็นแคว้นที่มีแสนยานุภาพเป็นอันดับหนึ่งในปฐพี จึงย่อมต้องมีค่ายสำนักที่ได้รับอิทธิพลจากแคว้นต้าถังอย่างลึกซึ้งเช่นกัน ดังนั้นจอมกระบี่ที่มาจากแคว้นต้าเหอคนหนึ่งผู้เชื่อว่าสำนักของตนมีความใกล้ชิดกับสถานศึกษา จึงไม่ลังเลที่จะคุกเข่าลงตรงหน้าหนิงเชวียแล้วโขกศีรษะคารวะดั่งศิษย์รุ่นหลังพึงกระทำต่อผู้อาวุโสสำนักเดียวกัน ก่อนลุกเดินไปยืนข้างๆ โม่ซันซันด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

    การแสดงออกเช่นนี้อาจจะดูน่าขันอยู่บ้าง แต่ผู้ฝึกฌานส่วนใหญ่มิได้รู้สึกขบขัน ตรงกันข้ามกลับรีบทำตามเพราะต่างก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลยิ่ง หากพวกมันเป็นผู้ฝึกฌานแคว้นต้าเหอเกรงว่าคงจะคุกเข่าเร็วกว่าจอมกระบี่ผู้นั้นเสียอีก เพราะข้างกายเซียนเซิงสิบสามมีผู้งมงายอักษร พวกมันสามารถกอดขาประจบประแจงนาง ใช้ความเป็นคนแคว้นเดียวกันทำความใกล้ชิดกับยอดคนของสถานศึกษาได้

    ทว่าถึงอย่างไรก็ยังมีคนที่เห็นภาพตรงหน้าเป็นดั่งเข็มทิ่มแทงตา ส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมา เสียงนี้ทำลายบรรยากาศทันที บรรดาผู้ฝึกฌานที่กำลังแสดงคารวะอยู่เป็นที่วุ่นวายหันขวับไปมองอย่างตกตะลึง ก่นด่าอยู่ในใจ มารดามัน ใครหนอช่างบังอาจเสียจริง

    ผู้ที่กล้าส่งเสียงหัวเราะเยาะขึ้นขัดจังหวะย่อมต้องการแสดงออกว่าตัวเองไม่เกรงกลัวสถานศึกษา วันนี้อาศรมเทพแห่งซีหลิงมิได้ส่งคนมา ส่วนบรรดาหลวงจีนในวัดลั่นเคอก็มิรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงยังอยู่กันที่เชิงเขา ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีคุณสมบัติพอที่จะเผชิญหน้ากับสถานศึกษา หรือพูดให้ถูกก็คือคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะเผชิญหน้ากับสถานศึกษา ก็เหลือแต่เพียงศิษย์ศาลากระบี่แคว้นหนานจิ้นเท่านั้น

    นับตั้งแต่เทพกระบี่หลิวไป๋มีชื่อเสียงโด่งดัง ถูกเหล่าผู้ฝึกฌานยกย่องให้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดิน แคว้นหนานจิ้นที่เชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นแคว้นที่มีแสนยานุภาพเข้มแข็งเป็นอันดับสองก็ยิ่งทระนงถือดีมากขึ้นจนบางครั้งก็ยังไม่เห็นแคว้นต้าถังอยู่ในสายตา ศิษย์ศาลากระบี่ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลิ่วไป๋ ยามออกเดินทางผาดโผนจึงมักถูกคนมองว่าชอบถือดีประกาศศักดาอยู่เสมอ

    ทว่าทุกคนเข้าใจผิด แม้แต่ศิษย์ศาลากระบี่ก็ยังมิกล้าแสดงความลบหลู่ดูหมิ่นคนของสถานศึกษา เพราะต่อให้พวกมันเคียดแค้นสถานศึกษาเรื่องหลิ่วอี้ชิงสักเพียงใด แต่ในความเคียดแค้นนั้นก็ยังมีความยำเกรงแฝงอยู่

    ที่แท้ผู้ที่ส่งเสียงหัวเราะเยาะกลับเป็นชาวหนานจิ้น มิหนำซ้ำยังเป็นถึงรัชทายาทของแคว้น!

    หลังแน่ใจว่าผู้ที่ยืนเคียงข้างโม่ซันซันคือหนิงเชวีย สายตาของรัชทายาทก็ฉายแววอาฆาต แม้จะรู้ว่าสถานศึกษามีสถานะอย่างไรในแคว้นต้าถัง และรู้ว่าตนไม่ควรบุ่มบ่ามก่อเหตุทะเลาะวิวาทด้วย ทว่าพอเห็นท่าทีประจบสอพลอที่เหล่าผู้ฝึกฌานมีต่อหนิงเชวีย มันก็หมดสิ้นความอดทน

    มันเดินตรงไปที่ลำธารผ่านกลุ่มคนที่หลีกทางให้ พอเห็นโม่ซันซันก็รีบเปลี่ยนสีหน้าและแววตา กล่าวเสียงเคร่งขรึม

    “คนแล้งน้ำใจเยี่ยงนี้ไหนเลยมีคุณสมบัติยืนข้างกายประมุขหุบเขา เซียนหมากล้อมที่ข้าพามาคือมือดีของแคว้น อีกประเดี๋ยวคงจะแก้หมากกระดานนั้นสำเร็จ เจ้าขึ้นเขาไปพร้อมกับข้าก็ได้”

    ริมลำธารเงียบกริบ สีหน้าของคนที่อยู่ในบริเวณนั้นดูกระอักกระอ่วนพิกล คล้ายอยากหัวร่อแต่ก็มิกล้า

    สองปีมานี้เรื่องราวความรักระหว่างชายหญิงที่ถูกโจษจันมากที่สุดมิใช่เรื่องของผู้งมงายบุปผาแคว้นเยวี่ยหลุนกับองค์ชายหลงชิ่งแคว้นเยี่ยนที่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เป็นเรื่องรักสามเส้าของหนิงเชวียแห่งสถานศึกษากับผู้งมงายอักษรแคว้นต้าเหอและสาวใช้ซังซัง เรื่องราวทั้งหมดได้ถูกเล่าลือไปไกลจนแทบพูดได้ว่าไม่มีใครไม่รู้

    แรกเริ่ม ภาพของซังซังยังเป็นเพียงแค่เงาอันรางเลือน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสาวใช้คนนี้เป็นใคร จึงหมดปัญญาจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเซียนเซิงสิบสามถึงได้ทำเช่นนี้ ทิ้งให้ผู้งมงายอักษรต้องผิดหวังและช้ำชอก ดังนั้นทุกคนจึงพากันเข้าข้างผู้งมงายอักษร โกรธเคืองแทนนางที่ไม่ได้รับความยุติธรรม

    ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดโลกของผู้ฝึกฌานก็ได้รับรู้ ที่แท้สาวใช้ตัวน้อยคนนั้นกลับเป็นถึงผู้สืบทอดคนเดียวของต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่าง โดยเฉพาะเมื่ออาศรมเทพแห่งซีหลิงประกาศฉายาเทวีแห่งแสงสว่างออกมาอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สถานการณ์ก็พลิกเปลี่ยนไปในทันที อย่างน้อยในความคิดของผู้คน ซังซังหาได้มีฐานะด้อยไปกว่าผู้งมงายอักษรไม่ เรื่องราวของหนึ่งบุรุษสองสตรีจึงเริ่มมีสีสันมากขึ้น

    ด้วยเหตุนี้ พอวาจาเสียดสีเย้ยหยันออกจากปากของรัชทายาทแคว้นหนานจิ้น เหล่าผู้ฝึกฌานก็นึกถึงเรื่องรักสามเส้านี้ขึ้นมาในทันที รวมถึงเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่าเทวีแห่งแสงสว่างไม่เคยอยู่ห่างจากเซียนเซิงสิบสาม

    พวกมันรีบหันขวับไปมองรถม้าสีดำเป็นตาเดียว สีหน้าแววตาบัดนี้เปลี่ยนเป็นสำรวมยิ่งกว่าตอนมองหนิงเชวียเสียอีก แววหวาดหวั่นที่แฝงอยู่ในความยำเกรงก็ดูเด่นชัดขึ้น

    มีคนได้สติก่อน รีบพุ่งตัวไปคุกเข่าดังโครมโขกศีรษะลงตรงหน้ารถม้า ไม่นานคนที่เหลือก็รีบกรูกันเข้าไป รอบรถม้ายามนี้จึงมีแต่ศีรษะดำเรียงเป็นพรืด

    “ขอต้อนรับเทวีแห่งแสงสว่างมาเยือนดินแดนแห่งโลกิยะ”

    เสียงสงบนิ่งของซังซังดังมาจากในรถ

    “ลุกขึ้นเถอะ”

    หนิงเชวียเผลอยิ้มออกมา มันคิดไม่ถึงว่าน้ำเสียงของนางจะให้ความรู้สึกน่าเกรงขามถึงเพียงนี้

    เหล่าผู้ฝึกฌานคล้ายถูกปลดเปลื้องน้ำหนักออกจากบ่า ทยอยกันลุกขึ้น แต่ยังคงรักษาท่าทีสำรวมเอาไว้ แม้ตรงเข่าจะเปื้อนเศษดินเศษหญ้าก็ไม่มีผู้ใดกล้าก้มตัวลงปัด

    เห็นภาพนั้นแล้วรัชทายาทแคว้นหนานจิ้นก็ยิ่งรู้สึกคันในหัวใจ มันเพิ่งตระหนักว่าแม้แต่คนข้างกายหนิงเชวียก็ยังมีฐานะไม่ด้อยไปกว่าตัวมันเอง และหากคนผู้นี้ได้สืบทอดตำแหน่งต้าเสินกวนหน่วยแสงสว่างขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ ฐานะยังจะต้องสูงไปกว่าเสด็จพ่อของมันเสียอีก

    ทันใดนั้นเสียงของซังซังก็ดังขึ้นมาอีก

    “ผู้งมงายอักษร ยินดีเป็นเพื่อนข้าขึ้นเขาหรือไม่”

    สีหน้ารัชทายาทแคว้นหนานจิ้นเปลี่ยนเป็นบูดเบี้ยวขัดตาทันที สีหน้าของผู้คนที่เฝ้ามองอยู่ก็ยิ่งน่าสนใจ

    หนิงเชวียหัวใจกระตุก มันเข้าใจดีถึงสาเหตุที่ซังซังเรียกโม่ซันซันขึ้นรถม้าไปด้วยกัน ก่อนหน้านี้ซังซังเรียกโม่ซันซันว่าประมุขหุบเขา ยามนี้กลับเปลี่ยนเป็นเรียกผู้งมงายอักษร มันรู้ว่าความแตกต่างของสองคำนี้มีนัยยะ แม้จะปราศจากเจตนาร้าย แต่ก็อาจจะทำให้โม่ซันซันไม่พอใจ

    โม่ซันซันมิได้ไม่พอใจ เพียงแต่รอยยิ้มดูเฝื่อนขมอยู่บ้าง นางมีหรือจะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดซังซังถึงเรียกนางขึ้นรถม้า รัชทายาทกล่าวว่าหนิงเชวียเป็นคนแล้งน้ำใจ ซังซังต้องการทำให้ทุกคนเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหนิงเชวีย นี่คือเรื่องระหว่างพวกนางสองคน

    นอกจากนี้การที่ซังซังเชิญนางขึ้นเขาด้วยกันยังเท่ากับเป็นการหักหน้ารัชทายาท ช่วยระบายโทสะให้หนิงเชวีย เห็นได้ชัดว่าซังซังยอมกระทำทุกอย่าง แม้เรื่องที่ทำไม่แน่ว่าจะตรงกับความต้องการของนาง

    โม่ซันซันถอนใจเบาๆ การที่ซังซังนึกถึงแต่หนิงเชวีย ต้องการให้หนิงเชวียเบิกบานใจโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของตัวเองช่างเป็นเรื่องที่คาดคิดไม่ถึงจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นนางจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้หรือไม่

    เพื่อเห็นแก่หน้าตาของหนิงเชวีย ซังซังทำได้ทุกอย่าง โม่ซันซันคิดในใจ เช่นนั้นการที่นางต้องเป็นฝ่ายเดินไปขึ้นรถม้าจะนับเป็นกระไรได้

     

    หลังมองผู้งมงายอักษรหายลับเข้าไปในประทุนรถ สายตาทุกคู่ก็เลื่อนมาที่หนิงเชวียอีกครา คราวนี้นอกจากจะฉายแววเคารพยำเกรงแล้วยังเพิ่มความเลื่อมใสขึ้นมาอีกด้วย หนิงเชวียรู้ว่าความจริงของเรื่องมิได้เป็นดั่งที่พวกมันคาดคิดกัน แต่คนพวกนี้เป็นอะไรกับมัน ไยต้องอธิบายให้เปลืองแรง ด้วยเหตุนี้มันจึงแค่เดินไปตบสะโพกเจ้าดำเบาๆ เป็นสัญญาณให้ออกรถ

    รถม้าเคลื่อนตัวช้าๆ หนิงเชวียนั่งหน้าประทุนรถ มองใบหน้าบูดบึ้งของรัชทายาทด้วยจิตใจที่เบิกบานขึ้น เนื่องจากจุดหมายในการเดินทางครั้งนี้คือรักษาอาการป่วยให้ซังซัง มันจึงไม่อยากก่อเรื่อง พยายามสงบจิตสงบใจไม่เอาเรื่องปะทะฝีปากกันเมื่อเช้าวานกับวาจาเสียดสีเย้ยหยันเมื่อครู่นี้มาเป็นอารมณ์ การทำเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับนิสัยของมัน ดังนั้นลึกๆ ในใจจึงมีความอัดอั้นอยู่ไม่น้อย

    รถม้ากำลังจะวิ่งผ่านหน้ารัชทายาท แต่กลับหยุดจอดลง หนิงเชวียปรายตามองอีกฝ่ายก่อนทอดถอนใจพึมพำเสียงดัง

    “ลมพัดผิวน้ำเป็นระลอกคลื่น*…”

    หางเสียงมันยังไม่ทันจางหายก็มีเสียงคนเผลอหัวร่อออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คนอื่นที่เหลือแม้จะครั่นคร้าม พยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นเสียงหัวร่อเอาไว้ ทว่าก็ยังไม่วายขยิบหูขยิบตาให้แก่กัน

    ต่อให้มีฐานะสูงส่งเป็นถึงรัชทายาท แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของคนอื่น ท่านอาศัยอะไรจะมาก้าวก่าย ท่านชอบผู้งมงายอักษร ทว่าผู้งมงายอักษรไม่แม้แต่จะแลท่าน ท่านคิดจะยั่วยุให้ผู้งมงายอักษรกับเซียนเซิงสิบสามแตกคอกัน แต่กระทั่งเทวีแห่งแสงสว่างยังไม่พูดอะไรสักคำ แล้วจะถึงรอบให้ท่านพูดหรือ

    นี่ช่างเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘ลมพัดผิวน้ำเป็นระลอกคลื่น เกี่ยวข้องอันใดกับท่าน’ อย่างแท้จริง

    บรรดาผู้ติดตามกับศิษย์ศาลากระบี่แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่มีใครบันดาลโทสะ ตรงกันข้ามคนเหล่านี้กลับก้มหน้าด้วยความอับอาย ในความคิดของพวกมัน ความขายหน้าในวันนี้ล้วนเป็นรัชทายาทรนหาที่เอง

    รถม้าเคลื่อนตัวอีกครั้ง หลังแล่นผ่านรัชทายาทไปแล้ว คำพูดท่อนหลังของหนิงเชวียจึงค่อยดังตามมา

    “…เกี่ยวข้องอันใดกับมารดาเจ้า”

    รัชทายาทเดิมทีก็โกรธจนตัวสั่นอยู่แล้ว พอได้ยินวาจาหยาบคายเช่นนี้ก็ถึงกับหน้ามืดแทบกระอักเลือดออกมา

    หนิงเชวียเลิกม่านมองเข้าไปในประทุนรถ เห็นซังซังมีสีหน้าไม่เลวก็คลายความกังวล แต่พอเห็นนางกับโม่ซันซันนั่งเงียบกันไปทั้งคู่ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจอย่างแรง

    ยังคงขึ้นไปหาฉีซานต้าซือก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที มันปลอบใจตัวเองเช่นนี้ก่อนหันไปตบสะโพกเจ้าดำเบาๆ เป็นสัญญาณให้เร่งฝีเท้า ทว่ารถม้ายังไม่ทันได้ขึ้นสะพานก็ถูกขวางไว้

    ผู้ขวางมิใช่รัชทายาทแคว้นหนานจิ้น หากแต่เป็นคำพูดเย็นชาประโยคหนึ่ง

    “ต่อให้เป็นศิษย์สถานศึกษาก็มิอาจไม่เคารพกฎ หรือจอมปราชญ์สอนสั่งศิษย์มาแบบนี้”

    ผู้กล่าวคือหลวงจีนเฒ่าที่นั่งอยู่ข้างกระดานหมาก

    รถม้าหยุดลงตรงหน้าสะพาน หนิงเชวียไม่ชอบฟังวาจาถือดีวางตัวเป็นผู้อาวุโสอย่างนี้เป็นที่สุด โดยเฉพาะการยกอาจารย์ขึ้นมาข่มมัน แต่อาการป่วยของซังซังทำให้มันต้องทน

    “กฎอะไร”

    หลวงจีนเฒ่าตอบ

    “ต้องเอาชนะหมากกระดานนี้เสียก่อนจึงจะข้ามสะพานไปได้”

    หนิงเชวียส่ายหน้า

    “กฎเป็นสิ่งตายตัว แต่คนไม่ใช่”

    นี่คือคำพูดที่มันบอกกับโม่ซันซันเมื่อครู่

    หลวงจีนเฒ่าโต้กลับ

    “มีแต่ต้องรักษากฎเอาไว้ คนจึงจะสามารถอยู่ต่อไปได้”

    มิทราบว่าหลวงจีนเฒ่ารูปนี้รู้ถึงจุดประสงค์ที่มันมาหรือไม่ ดังนั้นจึงคิดใช้คำพูดประโยคนี้มาข่มขู่ หนิงเชวียขมวดคิ้ว

    “ท่านกำลังบอกว่าต่อให้อาจารย์ข้ามาที่นี่ ท่านก็ยังจะยืนกรานให้ท่านผู้เฒ่าเอาชนะหมากล้อมกระดานนี้ให้ได้เสียก่อนจึงจะสามารถพบกับฉีซานต้าซือได้อย่างนั้นรึ”

    หลวงจีนเฒ่าตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    “หากจอมปราชญ์มา ศิษย์พี่ฉีซานคงลงมาต้อนรับเองแต่แรกแล้ว แต่ต่อให้จอมปราชญ์สามารถมองข้ามกฎทุกข้อในโลกนี้ แต่นั่นมิได้เหมารวมไปถึงศิษย์ของมัน”

    หนิงเชวียจ้องตาหลวงจีนเฒ่าก่อนถาม

    “นิกายพุทธกล่าวว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนเท่าเทียมกัน คน สุกรหรือสุนัขต่างก็เป็นหนึ่งชีวิต แม้ข้าจะยังห่างจากอาจารย์อีกไกลโข ประหนึ่งเอาสุกรหรือสุนัขไปเทียบกับคน แต่พวกเราก็ยังคงเท่าเทียมกัน ดังนั้นอาจารย์ไม่สนใจกฎ แล้วทำไมข้าจะต้องสนใจเล่า”

    หลวงจีนเฒ่ากล่าวเสียงเฉยชา

    “ศิษย์สถานศึกษามีคารมคมคายอย่างที่ได้ยินมาจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้อาตมาไม่นึกอยากฟัง”

    หนิงเชวียยิ้มน้อยๆ

    “ดังนั้นพูดไปพูดมาก็ยังคงเป็นหลักการเดิมๆ กำปั้นใครแข็งกว่าคนนั้นก็เป็นฝ่ายชนะ กฎที่ท่านว่าจะขวางได้ก็แต่พวกที่ไม่มีความสามารถพอที่จะแหกกฎเท่านั้น”

    หลวงจีนเฒ่าขมวดคิ้ว

    “หรือเซียนเซิงสิบสามเข้าใจว่าตัวเองมีความสามารถอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งหลายในโลก”

    หนิงเชวียตอบ

    “ข้าก็ไม่รู้ เลยคิดจะลองดูสักหน่อย”

    พูดจบก็ยื่นมือเข้าไปในรถม้า รับคันธนูที่ซังซังประกอบรอไว้แต่แรก จากนั้นพาดลูกธนูเข้ากับสายน้าวเล็งไปที่หลวงจีน

    “ท่านเล่า อยากลองดูหรือไม่”

    อากัปกิริยาของหนิงเชวียดูไหลลื่นเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นตอนรับคันธนู หรือตอนพาดลูกธนูกับสาย มองไปคล้ายกับกำลังหยิบตะเกียบมาพุ้ยข้าวกินอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ตอนมันน้าวสายเล็งไปที่หลวงจีนเฒ่า บรรยากาศในบริเวณนั้นกลับเกิดกลิ่นอายสังหารเย็นยะเยียบแผ่ปกคลุมทันที

    ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นของหลวงจีนเฒ่าพลันขาวเผือด นี่มิใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความเดือดดาลและคาดไม่ถึง จีวรบนร่างมันยามนี้ถึงกับไหวพลิ้วขึ้นมา

    แน่นอนว่าหลวงจีนเฒ่ารู้จักปฐมธนูสิบสามดอก อาวุธวิเศษที่สั่นสะเทือนโลกของผู้ฝึกฌานชิ้นนี้ทำให้องค์ชายหลงชิ่งที่เคยยิ่งใหญ่และสมบูรณ์เพียบพร้อมต้องตกอยู่ในสภาพคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงมาแล้ว

    ที่ทำให้หลวงจีนเฒ่าเดือดดาลและไม่เข้าใจก็คือมันเป็นมหาเถระที่เร้นกายอยู่ในวัดลั่นเคอ เพียงเพราะต้องการรักษากฎของเขาหว่าซาน เซียนเซิงสิบสามถึงกับบังเกิดจิตสังหารคิดใช้อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดกับมัน มิหนำซ้ำดูจากสีหน้าอันสงบนิ่งของอีกฝ่าย หากตนยังยืนกรานขัดขวางคงไม่แคล้วต้องถูกยิงจริงๆ! ให้ตายเถอะ เซียนเซิงสิบสามอาศัยอะไรถึงได้กล้าทำเช่นนี้!

    เหล่าผู้ฝึกฌานที่กำลังมองรถม้าสีดำเคลื่อนจากไปด้วยความเคารพยำเกรงต่างก็ถูกภาพตรงหน้าทำเอาแตกตื่นจนปากอ้าตาค้างเช่นเดียวกันกับหลวงจีนเฒ่า ไม่เข้าใจในการกระทำของหนิงเชวีย

    การขึ้นเขามาขอพบฉีซานต้าซือจะต้องปฏิบัติตามกฎของวัด หลายสิบปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครได้รับการยกเว้น แม้แต่จ้าวบัลลังก์เหลียนเซิงเองก็ยังต้องปฏิบัติตาม ถึงท่านจะเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์ รู้สึกว่าการทดสอบแบบนี้ทำความเสื่อมเสียให้กับชื่อเสียงของสถานศึกษา คิดจะบุกเข้าไปด้วยกำลัง นั่นก็ยังพอทำเนา แต่ไฉนพอเริ่มต้นก็คิดจะสังหารคนแล้ว!

    ผู้ฝึกฌานที่มีอายุแล้วบางคนจู่ๆ ก็นึกไปถึงเรื่องราวแต่เก่าก่อน ภาพของเคอเซียนเซิงที่เคยก่อมรสุมโลหิตขึ้นในแผ่นดินหลายต่อหลายครั้งผุดขึ้นในหัว พวกมันรับรู้อย่างตื่นตระหนกว่าหนิงเชวียในตอนนี้ก็เหมือนกับเคอเซียนเซิงในตอนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน ความกลัวทำให้พวกมันรีบก้มหน้าไม่กล้ามองไปทางรถม้าสีดำอีก

    หัวธนูคมกริบส่องแสงเย็นยะเยียบ แต่กลับไร้ซึ่งประกายวาววับ นั่นเป็นเพราะลูกธนูดอกนี้ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย นี่บอกได้ว่ามือที่จับก้านธนูอยู่นั้นมั่นคงดั่งภูผา และจิตใจของเจ้าของมือก็ยังหนักแน่นเฉยชาจนน่ากลัว

    หลวงจีนเฒ่ารู้ว่าอีกไม่กี่อึดใจตนอาจต้องนอนทอดร่างกลายเป็นศพ นี่เป็นเพราะมันชราเกินไป และปฐมธนูสิบสามดอกดอกนี้ก็อยู่ใกล้เกินไป ไม่เหลือทางให้มันได้ลองหลบหลีกแม้แต่น้อย ใบหน้าเหี่ยวย่นของมันพลันฉายแววพรั่นพรึง ก่อนเปลี่ยนเป็นเศร้าสลดและเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ในที่สุด

    “มิเสียแรงที่เป็นผู้เข้าสู่โลกิยะของสถานศึกษา”

    หลวงจีนเฒ่ามองหนิงเชวียขณะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา

    “ท่าทีและการกระทำอันป่าเถื่อนเลือดเย็นของเจ้าล้วนถอดแบบมาจากเคอเฮ่าหรานทั้งหมดทั้งสิ้น ทว่าอาตมายังคงต้องรักษากฎ เพราะโลกที่ไร้กฎระเบียบย่อมมีแต่ความวุ่นวาย คนที่ไม่รักษากฎอย่างเจ้ากับเคอเฮ่าหรานทำได้ก็แค่คร่าชีวิตอาตมา แต่มิอาจทำให้อาตมาบังเกิดความขลาดเขลาได้”

    “ข้าไม่รู้ว่าอาจารย์อาเคยทิ้งความทรงจำอันน่าเจ็บปวดอันใดไว้ให้กับต้าซือ แต่ในฐานะศิษย์ของสถานศึกษา ข้าขอบอกว่าอาจารย์อามิใช่คนป่าเถื่อนเลือดเย็น

    เพียงแต่เมื่อถึงคราวที่คนไม่รักษากฎต้องเผชิญหน้ากับคนรักษากฎ สุดท้ายย่อมต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยินยอมเป็นผู้หลบทาง ตอนนี้ข้าก็แค่ต้องการให้ต้าซือถอยให้หนึ่งก้าว”

    หลวงจีนเฒ่าถามเสียงเย็น

    “เพราะเหตุใดผู้ที่ถอยจะต้องเป็นผู้ที่รักษากฎ”

    หนิงเชวียกล่าว

    “ก่อนตอบคำถามนี้ ข้ารู้สึกว่าพวกเราควรถกกันให้เข้าใจก่อนว่าเพราะเหตุใดพวกท่านถึงต้องตั้งกฎขึ้นมาเพื่อให้ผู้อื่นทำตาม และเพราะเหตุใดผู้อื่นจะต้องทำตามกฎที่พวกท่านตั้ง อันที่จริงพวกท่านก็รู้อยู่แก่ใจ กฎทั้งหลายเป็นเพียงแค่ข้อบังคับที่ผู้เข้มแข็งกว่ากำหนดขึ้นมาเพื่อควบคุมหรือหาประโยชน์จากผู้ที่อ่อนแอกว่า และนี่ก็คือจุดที่ทำให้ข้านับถืออาจารย์อามากที่สุด เพราะแม้อาจารย์อาจะเข้มแข็งเกรียงไกรจนสามารถมองข้ามกฎเกณฑ์ทั้งหลายในโลกได้ แต่กลับไม่เคยคิดจะสร้างกฎมาบังคับผู้อื่นแม้แต่ข้อเดียว”

    หลวงจีนเฒ่าพลันแค่นเสียงหัวร่อ กล่าวเสียงแข็งกระด้าง

    “ในโลกนี้มีใครสามารถมองข้ามกฎเกณฑ์ทั้งหมดได้ อาตมาขอเตือนเจ้าไว้ตรงนี้ เคอเฮ่าหรานสุดท้ายก็ยังถูกฟ้าพิฆาต!”

    ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าหนิงเชวียแม้จะสงบนิ่ง แต่คิ้วกลับกระตุกขึ้นเล็กน้อย

    ผู้ที่ศิษย์ทุกคนบนเขาหลังสถานศึกษาเคารพนับถือที่สุดคือจอมปราชญ์ แต่ผู้ที่พวกมันเทิดทูนบูชาที่สุดกลับเป็นอาจารย์อาผู้ถือกระบี่ขี่ลาดำออกผาดโผนไปทั่วทิศและต้องตายไปก่อนวัยอันควร

    หากได้ยินว่ามีผู้ใดไม่ให้ความเคารพจอมปราชญ์ ศิษย์บนเขาหลังสถานศึกษาอาจจะเพียงแค่ยิ้มแย้มอย่างไม่ใส่ใจ เพราะจอมปราชญ์เป็นผู้อาวุโสที่ไม่ถือในเรื่องพวกนี้ อีกอย่าง ตอนนี้จอมปราชญ์ยังมีชีวิตอยู่ หากมีผู้ใดกล้าทำให้บันดาลโทสะ จอมปราชญ์ยังสามารถไปถล่มสำนักหรือแคว้นเล็กๆ นั้นได้ด้วยตัวเอง

    ผิดกับอาจารย์อาที่ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ไม่สามารถใช้กระบี่พูดแทนตัวได้อีก ดังนั้นหากได้ยินว่ามีผู้ใดกล้ามาลบหลู่ดูหมิ่นอาจารย์อา ศิษย์บนเขาจะไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะเสี่ยงตายสู้กับมันผู้นั้น

    พูดถึงความกล้าในการฆ่าคน หนิงเชวียมีมากกว่าผู้ใด แต่เพราะอาการป่วยของซังซัง หลังมาถึงเขาหว่าซานมันจึงต้องพยายามอดทนอดกลั้น

    แต่ตอนนี้มันไม่คิดจะทนอีกต่อไป สายธนูถูกน้าวจนบังเกิดเสียง นี่บอกได้ว่าหากธนูดอกนี้แล่นออกไปจะต้องมีคนตายอย่างแน่นอน

    “ข้าไม่ฟังคำเตือนของใคร”

    มันมองหลวงจีนเฒ่าด้วยสายตาแน่วนิ่งขณะกล่าวต่อ

    “แต่คำเตือนของข้าท่านจะต้องฟัง รถม้าของข้ากำลังจะขึ้นสะพาน หากคิดขัดขวาง ข้าจะสังหารท่านด้วยธนูดอกนี้”

    ทุกคนในที่นั้นเห็นสีหน้าอันสงบนิ่งของหนิงเชวียก็ไม่ติดใจสงสัยในความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่และความสามารถของมัน

    เฉิงจื่อชิงจากศาลากระบี่ที่เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอด เห็นบรรยากาศตึงเครียดจนไม่มีใครกล้าขยับก็อดถอนใจมิได้ สาวเท้าเดินไปข้างหน้าคิดจะขัดขวางหนิงเชวียเอาไว้ ทว่าเพิ่งเดินไปได้แค่ก้าวเดียวมันก็ต้องชะงักเท้าด้วยความแตกตื่นตกใจเมื่อพบว่าแม้แต่ตัวมันก็ยังไม่มีความสามารถพอที่จะยับยั้งอานุภาพของปฐมธนูสิบสามดอกได้

    รถม้าสีดำวิ่งช้าๆ ตรงไปที่สะพาน หลวงจีนเฒ่าลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว เตรียมรอรับความตายที่กำลังจะมาถึง

    ผู้ใดจะสามารถยับยั้งเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้

    ทันใดนั้น บนทางขึ้นเขาก็มีเสียงกระดิ่งดังแว่วมา เสียงกระดิ่งติงๆ ตังๆ ฟังดูสดใส ทั้งยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของความมีเมตตา

    นกกระเต็นหลายตัวพอได้ยินเสียงก็พากันบินออกจากป่าไผ่โผเกาะลงบนพื้นถนน กระโดดโลดเต้นไปมาเพื่อจะเข้าหาเสียงกระดิ่ง ราวกับเป็นสานุศิษย์ผู้เปี่ยมด้วยศรัทธา ต้องการคืบคลานเข้าไปกราบไหว้

    ชั่วขณะนั้นเอง เสียงชราเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เสียงนี้แหลมสูงจนเสียดแก้วหู ทั้งยังเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย ไม่เข้ากับบรรยากาศอันเงียบสงบของนิกายพุทธแม้แต่น้อย นกกระเต็นที่เมื่อครู่ยังกระโดดไปมาอย่างร่าเริงถึงกับนิ่งจังงังไปด้วยความงุนงง

    “หนิงเชวีย ข้าคิดไว้ไม่ผิด เจ้ายังคงป่าเถื่อนเลือดเย็นเหมือนเดิม หรือนี่ก็คือสันดานของพวกเจ้าชาวถัง แต่เจ้าอย่าลืม ที่นี่คือวัดลั่นเคอ เจ้าเข้าใจว่าในโลกนี้ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าอย่างนั้นรึ”

    สิ้นเสียงแหลมสูงไปได้ไม่กี่อึดใจ อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากเชิงเขา เสียงนี้ทุ้มหนักราวกับเสียงระฆังยามเช้า และก็คล้ายเสียงสวดท่องคัมภีร์ยามเย็น บรรดานกกระเต็นที่หยุดอยู่กับที่ด้วยความมึนงง บัดนี้เริ่มกระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลดอีกครา

    “ที่นี่คือสถานที่ปลีกวิเวกของนิกายพุทธ เจ้าคิดว่าเป็นคนของสถานศึกษาก็จะมาพูดจาเพ้อเจ้อสังหารคนได้ตามแต่ใจอย่างนั้นรึ”

     

    (หมายเหตุ*** เนื้อหานิยายที่นำมาให้ทดลองอ่านยังไม่ผ่านกระบวนการไฟนอล)

    ติดตามต่อได้ในหนังสือสยบฟ้า พิชิตปฐพี เล่ม 21 ฉบับเต็ม

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in สยบฟ้า พิชิตปฐพี

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน เพลงยุทธ์ก้องหล้า เซียนสุราไร้เทียมทาน เล่ม 1 ครั้งที่ 2

      บทที่ 4 แม่น้ำแห่งอั้นเหอ   ความหนาวเย็นอ่อนๆ มาเยือนเมืองที่งดงามประณีตแห่งนี้ด้วยสายฝนที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อน กลิ่น...

    Facebook