เพลงกลอนคลั่งยุทธ์
ทดลองอ่านนิยายเพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 18 บทที่ 2
บทที่ 2
หลวงจีนเมืองอันตราย
พระพุทธรูปหินสลักองค์นั้นสึกกร่อนเพราะผ่านกาลเวลาเนิ่นนาน ดวงตาที่ไม่มีชีวิตประดุจความว่างเปล่า ไร้ซึ่งความโศกเศร้าหรือสุขสันต์
หยวนซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าพระพุทธรูป สายตาของมันจดจ่อไปยังดวงตาของรูปสลัก ราวกับจวนจะเข้าใจอะไรบางอย่างจากในดวงตาของพระพุทธรูปหินนั้น ขอเพียงมองดูอีกครู่หนึ่งก็จะตีความได้ แต่พระกลับมิได้ชี้ทางให้มัน
หยวนซิ่งผ่อนคลายแววตา ชมดูพระพุทธรูปหินสลักเต็มองค์ เล่าลือกันว่าพระพุทธรูปหินสลักปางขี่มังกรองค์นี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง งานแกะสลักประณีตแต่ไม่โดดเด่น รูปพระพุทธองค์ยืนขี่มังกรร้ายสง่างามเงียบสงบและยิ่งใหญ่ แม้ถูกกาลเวลาและภัยธรรมชาติกัดกร่อนรอยสลัก แต่ยังคงทำให้ผู้ชมหัวใจสั่นคลอน เป็นเหตุให้พระพุทธรูปองค์นี้กลายเป็นสิ่งขึ้นชื่อในวัดหลงฝอ (พระมังกร) เมืองอันชิ่ง ผู้มากราบไหว้จากใกล้ไกลมากมายอย่างยิ่ง ควันธูปไม่ขาดสาย หยวนซิ่งเองก็หลงใหลต่อพระพุทธรูปหินสลักปางขี่มังกรองค์นี้เช่นเดียวกัน ในวันเวลาขณะพักอยู่ ณ วัดหลงฝอ มันล้วนมาชื่นชมพระพุทธรูปหินสลักองค์นี้ที่อุโบสถหลังวัดทุกวันในตอนเช้าตรู่ซึ่งยังไม่มีศาสนิกชนเข้าวัดมากราบไหว้ หยวนซิ่งเป็นหลวงจีนบู๊เส้าหลิน แรกเริ่มย่อมถูกท่วงท่าแข็งแกร่งของมังกรทมิฬที่สยบยอมนั้นดึงดูด แต่หลายเดือนต่อมามันอ่านคัมภีร์ไม่น้อยในวัด สายตาที่มองดูพระพุทธรูปหินสลักก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป สังเกตเห็นหน้าตาอันอ่อนโยนของพระพุทธรูปมากยิ่งขึ้น
ทั้งมีบารมีพิชิตสัตว์ร้าย แต่ก็มีความเมตตาที่มองทะลุเวรกรรมของสรรพสัตว์ คือลักษณ์จริงที่แสดงออกมาของพระพุทธรูปหินสลักองค์นี้
นี่คือความขัดแย้งที่หยวนซิ่งเผชิญขณะตั้งใจแสวงหาพลังยุทธ์มาตลอดในอดีต
ต้องทำอย่างไรจึงจะบรรลุถึงขั้นนี้…
หยวนซิ่งนั่งขัดสมาธิดูพระพุทธรูปสืบต่อเนิ่นนาน กระทั่งแสงแดดนอกหน้าต่างค่อยๆ สว่างขึ้น มันจึงลุกขึ้นยืน ประนมมือไหว้พระพุทธรูปแล้วเดินไปยังหอไตร
นอกจากพระพุทธรูปหินสลักปางขี่มังกรแล้ว วัดหลงฝอแห่งเมืองอันชิ่งยังลือชื่อด้านการเก็บรักษาพระไตรปิฎกเก่าแก่ นับจากหยวนซิ่งแยกทางกับพวกพ้องหกกระบี่บ้านแตก ออกจากค่ายหน้าสุ่ยเหยียนพเนจรไปทุกแห่งหน ระหว่างเดินทางได้ไปยังแถบเขตแดนของเจียงซี อันฮุย และหูก่วงทั้งสามมณฑล ขณะอยู่ที่นั่นมันได้ยินว่าพระสุตตันตปิฎกที่วัดหลงฝอเมืองอันชิ่งมณฑลอันฮุยมีมากมายอย่างยิ่ง กระนั้นมาถึงที่นี่ก็ยังอัศจรรย์ใจ
บนวิถียุทธ์มิอาจเหนือกว่าจิงเลี่ย ทำให้หยวนซิ่งรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง ราวกับชีวิตสูญเสียเป้าหมาย แต่ก่อนที่วัดเส้าหลินมันมัวเมากับวิทยายุทธ์ มักเกียจคร้านศึกษาตำรา บัดนี้กลับครุ่นคิดว่าตนเองจะหาทิศทางอะไรได้จากในตำรับตำราหรือไม่…
หยวนซิ่งทั้งไม่มีใบบรรพชิต และไม่เคยเปิดเผยความเป็นมาของตนเองต่อคนในวัดหลงฝอ แต่ซู่ฮุ่ยไต้ซือเจ้าอาวาสมองออกในแวบเดียวว่าหยวนซิ่งมิใช่หลวงจีนธรรมดา ต้องเคยมีประสบการณ์อย่างมากเป็นแน่ จึงมิได้ถามมากก็อนุญาตให้มันเข้าพักที่วัด และหยวนซิ่งเองก็พักอยู่หลายเดือน
วันเวลาเหล่านี้ที่วัดหลงฝอ หยวนซิ่งกลับมิได้รักษากฎระเบียบในวัดแม้แต่น้อย แต่มีกิจวัตรฝึกฝนและพักผ่อนชุดหนึ่งเป็นของตัวเอง เช้าตรู่มันจะนั่งขัดสมาธิชมดูพระพุทธรูปหินสลักปางขี่มังกรตามลำพัง จากนั้นไปอ่านหนังสือที่หอไตร เวลาที่เหลือหยวนซิ่งมิได้อยู่ในวัดมากนัก แต่เดินเล่นในเมืองอันชิ่ง ยังหยอกเย้ากับเด็กข้างถนนในเมืองอยู่บ่อยๆ ชาวบ้านอันชิ่งล้วนรู้ว่าวัดหลงฝอมีหลวงจีนประหลาดผู้นี้มา เพียงแต่หยวนซิ่งหาได้ทำผิดศีลเช่นดื่มสุรากินเนื้อหรือสัพยอกสตรีไม่ ผู้คนเพียงเห็นมันเล่นสนุกก็มิได้ตำหนิติเตียน ซู่ฮุ่ยเข้าใจว่าหยวนซิ่งแค่กระทำการตามใจตนเอง จึงมิได้ควบคุมมัน
หยวนซิ่งดูพระพุทธรูป อ่านตำรา และเที่ยวเล่นกับเด็กทุกวัน หากกล่าวว่ามันเข้าใจอะไรบางอย่างด้วยเหตุนี้ก็ไม่ถึงขั้นนั้น มันเพียงรู้สึกว่าเช่นนี้เหมือนทำให้ตนเองจิตใจสงบ พลองเสมอคิ้วกับเกราะมนุษย์ทองคำครึ่งร่างที่มันพกพาล้วนฝากเก็บไว้ในห้องเก็บของในวัดอยู่ตลอด หลายเดือนที่ผ่านมาล้วนมิได้แตะต้อง
หยวนซิ่งในปัจจุบันผอมกว่าตอนที่อยู่ค่ายหน้าสุ่ยเหยียนรอบวงหนึ่ง แม้ล่ำสันกว่าเหล่าหลวงจีนที่วัดหลงฝออยู่มาก แต่กลับไม่แข็งกร้าวเช่นก่อนหน้าอีกต่อไป ฝีเท้าที่เดินอยู่บนเฉลียงทางเดินของวัดก็นุ่มนวลขึ้นเช่นกัน ผ่านวันเวลาช่วงนี้หยวนซิ่งรู้สึกว่าประสาทสัมผัสต่อรอบด้านของตนเองฉับไวขึ้นกว่าเดิม เหมือนเช่นขณะนี้ มันผ่านต้นไม้ต้นหนึ่งข้างเฉลียงทางเดิน สิ่งที่เห็นในสายตาก่อนหน้าเป็นเพียงต้นไม้เท่านั้น แต่ในตอนนี้ขอเพียงมันรวบรวมสมาธิเล็กน้อย แม้กระทั่งเส้นใบของใบไม้สีเขียวใต้แสงแดดก็มองเห็นได้
ยามนี้มันสังเกตเห็นว่าด้านหน้าไม่เหมือนกับทุกเช้ายามปกติ หน้าประตูหอไตรมีคนกำลังเอะอะโวยวาย
หยวนซิ่งเดินหน้าเข้าไปใกล้ เลี้ยวผ่านมุมหนึ่งของเฉลียงทางเดินก็มองเห็นหลวงจีนหลายรูปยืนอยู่นอกประตูหอไตรดังคาด พวกมันกำลังย้ายกล่องไม้ใหญ่ที่แข็งแรงหลายใบเข้าด้านใน ซู่ฮุ่ยไต้ซือเจ้าอาวาสก็อยู่ในนั้น คอยบัญชาการศิษย์เคลื่อนย้าย
ซู่ฮุ่ยเห็นหยวนซิ่งเดินหน้ามาประนมมือแสดงมารยาทก็รีบกล่าวทันที “เจ้ามาพอดี! ในวัดนับว่าเจ้ามีเรี่ยวแรงมากที่สุด รีบช่วยเหลือเหล่าศิษย์พี่เถอะ”
หยวนซิ่งชะโงกสำรวจดู เห็นเพียงหลวงจีนกำลังใช้กระดาษน้ำมันหลายชั้นห่อหุ้มพระไตรปิฎกเก่าแก่ที่เก็บรักษาไว้หลายชุดอย่างระมัดระวัง ค่อยใส่เข้าในกล่องไม้เบาๆ
“เจ้าอาวาส นี่มันเกิดอะไรขึ้น” หยวนซิ่งเกาผมสั้นพลางถาม อาศัยอยู่ที่วัดหลงฝอแม้ปลงผมโกนเคราได้เป็นประจำ แต่เส้นผมและขนของหยวนซิ่งเจริญงอกงามเกินไปโดยแท้จริง หลังโกนได้สองสามวันศีรษะก็ปกคลุมไปด้วยเส้นผมอีกแล้ว
“ต้องเร่งเก็บตำรา” ซู่ฮุ่ยไต้ซือขณะนี้สีหน้ากระวนกระวาย หยวนซิ่งมาอาศัยได้หลายเดือนแล้วแต่ก็ไม่เคยเห็นมันเป็นเช่นนี้ “ฝังลงในดินก็ดี ซ่อนไว้ในหุบเขาลึกนอกเมืองก็ดี มิอาจให้ตกอยู่ในมือของโจร”
หยวนซิ่งได้ยินคำว่าโจรก็เลิกคิ้วขึ้น ไหล่ทั้งสองห่อลงเล็กน้อย เข้าสู่ภาวะระแวดระวังยามต่อสู้รางๆ หลวงจีนข้างกายมันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ก็อดมิได้ที่จะตกใจจนหยุดมือ
คนผู้นี้เป็นหลวงจีนมาจากที่ใดกันแน่
“เป็นข่าวที่ได้รับมาเมื่อวานจากทางจวนว่าการ” ซู่ฮุ่ยไต้ซือกล่าวพลางหลับตาประนมมือเบาๆ ท่องอมิตาภพุทธด้วยเสียงแผ่วเบาจึงกล่าว “เปลี่ยนฟ้าแล้ว พายุนั้นคงจะพัดมาที่อันชิ่ง”
เมื่อเหยียบบนถนนเมืองอันชิ่ง หยวนซิ่งพบว่าบรรยากาศรุ่งเรืองสุขสบายยามปกติในเมืองเลือนหายไปแล้ว แทนที่ด้วยความวิตกกังวลจนแม้แต่อากาศก็ชวนอึดอัด ร้านค้าในตลาดกว่าครึ่งปิดประตูสนิท ผู้สัญจรที่บางตาเดินผ่านอย่างรีบเร่ง ทุกคนล้วนก้มศีรษะมิได้ทักทายกัน รถไม้ที่บรรทุกเสบียงอาหารแต่ละคันทิ้งรอยล้อไว้กึ่งกลางเส้นทาง บางครั้งมีทหารป้องกันเมืองจูงม้าปรากฏตัว หัวไหล่คอนดาบทวน ทุกคนล้วนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ใบหน้าปรากฏสีดำเทาเล็กน้อยเหมือนถูกคำสาป
เด็กที่เล่นด้วยกันทุกวันยามปกติ ไม่เห็นแม้แต่คนเดียว
หยวนซิ่งขมวดคิ้วหนาขึ้นขณะมองดูสภาพนี้ในเมือง ความคิดวูบหนึ่งปรากฏในหัวสมองของมันปานสายฟ้า เหมือนเชื่อมต่อกับอะไรบางอย่าง มันอยากหลบตาหลีกหนี แต่มิอาจ
ทว่ามันมองเห็นแล้ว ท้องถนนในเมืองอันชิ่ง แปรเป็นภูเขาศพทะเลโลหิต
มันกะพริบตา ได้สติกลับมา ภาพเหตุการณ์นั้นก็เลือนหายไป ทุกสิ่งเบื้องหน้าเฉกเช่นปกติ
มันรู้ว่าชั่วขณะนั้นเมื่อครู่ตนเองมองเห็นอะไร
เป็นอนาคต…หรือกล่าวได้ว่าเป็นอนาคตที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งในนั้น
ไม่ว่าข้าจะเดินไปที่ใด การต่อสู้ หลั่งเลือด และตกตายก็จะติดตามข้าหรือ
หรือว่าเดิมทีบนโลกก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ข้ามีวาสนามองเห็นเวรกรรมกระจ่างชัดขึ้น…
หยวนซิ่งยืนอยู่กึ่งกลางท้องถนนเงียบๆ คล้ายยืนทำสมาธิ ผู้ที่ผ่านทางล้วนไม่มีเวลาว่างสนใจหลวงจีนประหลาดรูปนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยวนซิ่งจึงขยับขึ้นอีกครั้งในที่สุด มันยื่นมือสกัดทหารที่ผ่านทางหลายนายเอาไว้
“พาข้าไปพบผู้ที่ใหญ่ที่สุดในพวกเจ้า”
ขณะหยางรุ่ยกำลังก้าวเข้าประตูจวนว่าการของเจ้าเมืองอันชิ่ง เรื่องกลัดกลุ้มในทรวงอกก็พรั่งพรูขึ้นมา แต่มันรู้ว่าหน้าที่ของตนเองในวันนี้มีเพียงอย่างเดียว
หากทำให้มันยอมสู้ตายไม่ได้ ข้าจะไม่ก้าวออกจากประตูนี้เป็นอันขาด
ขณะนี้หยางรุ่ยสวมชุดลำลอง มิได้สวมใส่เสื้อผ้าต่อสู้และพกกระบี่ แต่ผู้ใดมองเห็นสักแวบก็รับรู้ได้ถึงอำนาจทหารอันน่าเกรงขามของมัน รูปร่างมันหาได้สูงใหญ่ไม่ องครักษ์พกดาบสี่คนที่อารักขาอยู่ซ้ายขวาทุกคนล้วนสูงกว่ามันหนึ่งศีรษะ แต่ใบหน้าเข้มคล้ำซูบผอมของมันคมคายอย่างยิ่ง ดวงตาเรียวเล็กทั้งสองเฉียบคมดั่งเหยี่ยว ราวกับมองทะลุใจคนได้ทุกเมื่อ อาชีพขุนนางบู๊สามสิบปีมานี้ของหยางรุ่ยราบรื่นด้วยดี มีครึ่งหนึ่งล้วนอาศัยสายตานี้สยบลูกน้อง
ท่วงทีเช่นนี้หยางรุ่ยติดมาจากบิดา หยางรุ่ยมีชาติกำเนิดจากตระกูลนักสู้ พอเกิดมาก็ถูกลิขิตให้เข้าร่วมกองทัพ นับตั้งแต่ต้าหมิงสถาปนาแคว้นเป็นต้นมา ขุนนางบู๊เว่ยสั่วเลือกระบบสืบทอด กลายเป็นการปฏิบัติโดยมิชอบอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเหลวแหลกด้านการทหาร ลูกหลานตระกูลนักสู้มากมายพึ่งใบบุญบรรพชนรับตำแหน่งในกองทัพ ไม่มีจิตใจฮึกเหิมแสวงหาความก้าวหน้าแม้แต่น้อย รู้จักเพียงใช้ตำแหน่งวางอำนาจบาตรใหญ่ ละเลยวิทยายุทธ์ขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์และวิชาทหาร ผ่านไปหลายรุ่นกองทัพราชสำนักจึงเห็นความเสื่อมโทรมมากยิ่งขึ้น หยางรุ่ยกลับมิใช่หนึ่งในนั้น มันติดตามบิดาศึกษาเรื่องกองกำลังตั้งแต่เด็ก วัยฉกรรจ์หลังสืบตำแหน่งในกองทัพก็แสดงความสามารถด้านการบัญชาการออกมา ได้รับการเลื่อนขั้นตั้งแต่เยาว์วัย ซ้ำยังถูกส่งไปเป็นผู้ดูแลการซ่อมแซมทางน้ำและเรือที่เมืองไหวอัน ภาระหน้าที่หนักหนาอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นหยางรุ่ยถูกส่งมาบัญชาการกองทัพอันชิ่ง เป็นเช่นเดียวกับซุนซุ่ยและหวังโส่วเหริน ทั้งหมดล้วนเป็นการจัดการของหวังฉยงเสนาบดีกรมทหาร หยางรุ่ยรู้ว่าตนเองรับหน้าที่ผู้ช่วยผู้บัญชาการท้องถิ่นนี้ มีความสำคัญระดับใดในใจใต้เท้าเสนาบดี มันเองก็มิกล้าละเลยหน้าที่ หลายปีที่ผ่านมาปกครองกองทัพเข้มงวดอย่างยิ่ง การจัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์และเครื่องมือก่อสร้างป้องกันล้วนไม่ขาดตกบกพร่อง
ความกังวลของเสนาบดีหวัง วันนี้กลายเป็นเรื่องจริง หยางรุ่ยรู้ว่าถึงเวลาออกโรงของตนเองแล้ว
ทว่าเจ้าเมืองอันชิ่งคิดอย่างไร มันกลับมิอาจแน่ใจ
เพราะความสัมพันธ์ด้านงานราชการ หยางรุ่ยกับจางเหวินจิ่นเจ้าเมืองยังคงนับว่าสนิทกัน พูดคุยก็ค่อนข้างถูกคอ จางเหวินจิ่นเป็นขุนนางซื่อตรง จัดอยู่ในพวกเดียวกันกับหยางรุ่ย
แต่หลายปีที่คลุกคลีอยู่ในวงราชการได้สั่งสอนเรื่องหนึ่งแก่หยางรุ่ย ทุกเรื่องขณะยังไม่เกิดผลประโยชน์หรือวิกฤตใหญ่หลวง ล้วนมิอาจมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนได้ชัดเจน ตอนนี้คือเวลาเช่นนั้น
เมื่อเข้าสู่โถงด้านหน้าของจวนว่าการ หยางรุ่ยใช้องครักษ์ทั้งสี่อยู่รอคอยด้านนอกแล้วติดตามข้ารับใช้ของเจ้าเมืองเข้าสู่เรือนด้านในเพียงลำพัง ตามธรรมเนียมถึงแม้เป็นขุนนางบัญชาการของกองทัพก็มิอาจพกอาวุธและทหารเข้าสู่ส่วนในของโถงราชการเจ้าเมือง มันเดินไปพลางครุ่นคิดถึงสถานการณ์นี้ตรงหน้าไปพลาง
มันที่ความคิดอ่านถี่ถ้วนและคุ้นเคยกับการทหาร ย่อมเป็นเช่นเดียวกับหวังโส่วเหริน รู้ทันทีว่าก้าวต่อไปของกองทัพกบฏตำหนักหนิงอ๋องแห่งหนานชางจะเดินอย่างไร มันต้องเคลื่อนไปทางบูรพาตามทิศทางน้ำ บุกโจมตีหนานจิง
และเมืองอันชิ่งก็เฝ้ารักษาปากด่านทางน้ำสายหนึ่งที่สำคัญที่สุดบนแม่น้ำก่อนถึงหนานจิง
หยางรุ่ยเข้าใจยิ่งนักว่าหากจูเฉินเหาโจรกบฏเข้ายึดหนานจิงและสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิทันทีจะเป็นภัยพิบัติอันใหญ่หลวงเพียงใดต่อต้าหมิง
และพวกเราก็สกัดอยู่ด้านหน้า มีเพียงพวกเรา
ส่วนทัพใหญ่ราชสำนักทางเหนือจะมาสนับสนุนทันหรือไม่ หยางรุ่ยไม่ฝากความหวังแม้แต่น้อย หากแต่เป็นหวังโส่วเหรินแห่งเจียงซีใต้ที่มันยังคงเฝ้ารออยู่บ้าง ทว่าขณะนี้ผู้ตรวจการหวังยังคงอยู่บนโลกหรือไม่ก็ไม่รู้ชัด ถึงแม้ผู้ตรวจการหวังยังไม่ถูกโจรกบฏจับ ไม่ว่ามันจะใช้ทหารได้ลึกลับยากหยั่งเช่นไรก็ไม่อาจกรีธาทัพมาได้ภายในไม่กี่วัน
กองทัพโจรมาถึงเมืองคือเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ปัญหาเพียงอยู่ที่จะเปิดประตูต้อนรับ หรือปิดประตูสู้ตาย
เรื่องนี้สำหรับหยางรุ่ยไม่เป็นปัญหา มันเองก็เชื่อมั่นว่ากองทัพของตนเองจะไม่ลังเลแต่อย่างใด
ตอนนี้มันกำลังจะเข้าไปพิสูจน์ว่าคนผู้นั้นในจวนว่าการแห่งนี้คือพวกพ้องที่มีเจตจำนงเหมือนกันหรือไม่
เมื่อถึงหน้าประตูห้องรับแขกของเรือนด้านใน ข้ารับใช้เจ้าเมืองที่มากับมันก็หยุดยืนร้องเสียงดัง ”ผู้บัญชาการหยางมาพบ” ในประตูถ่ายทอดคำตอบที่คลุมเครือเสียงหนึ่ง ข้ารับใช้ผู้นั้นจึงผลักประตูออก เชิญหยางรุ่ยเข้าสู่ภายใน
หยางรุ่ยเข้าไปด้านในแล้ว แต่กลับมิได้รับการต้อนรับจากจางเหวินจิ่น เห็นเพียงใต้เท้าจางยังคงหันหลังให้ประตู ก้มศีรษะมองดูโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งกึ่งกลางห้อง
เงาหลังของจางเหวินจิ่นสูงใหญ่กว่าหยางรุ่ย แม้สวมเครื่องแบบขุนนางบุ๋น แต่ตัวยืดตรงดูแข็งแรงอย่างยิ่ง มันแผ่กลิ่นอายแกร่งกร้าวเช่นนี้ออกมาเอง คล้ายคลึงกับหวังโส่วเหรินและอู่เหวินติ้งอยู่รางๆ นี่หาได้บังเอิญไม่ เพราะคนทั้งสามล้วนมีประสบการณ์ร่วมกัน ต่างเคยถูกหลิวจิ่นมหาขันทีกดขี่แต่รอดมาได้ ในปีนั้นจางเหวินจิ่นเคยถูกจับเข้าคุก เสี่ยงตายรอดชีวิตกลับมา ค่อยถูกเพิกถอนผลงานและตำแหน่ง ลดขั้นเป็นปุถุชน กระทั่งหลังหลิวจิ่นถูกประหารจึงถูกเรียกใช้อีกครั้ง
หยางรุ่ยทอดมอง เห็นบนโต๊ะเบื้องหน้าจางเหวินจิ่นจัดวางไว้ด้วยแผนที่หลายใบ ยังมีสมุดและกระดาษที่กางออกจำนวนหนึ่ง
“ใต้เท้าเจ้าเมือง” หยางรุ่ยแสดงมารยาท
จางเหวินจิ่นหันหน้ามาแสดงมารยาทคืนเช่นกัน รูปร่างหน้าตาของมันกับหยางรุ่ยกล่าวได้ว่าต่างกันสุดขั้ว สีผิวขาวผ่อง โครงหน้าสี่เหลี่ยมจัตุรัส ปากจมูกแบนราบหาได้ยื่นออกมาไม่ ดวงตาทั้งสองกลับใหญ่มาก กล่าวได้ว่าเป็นรูปโฉมพิลึก
คนทั้งสองสบตากันแต่กลับมิได้กล่าวคำ หยางรุ่ยเตรียมพร้อมไว้แล้วในใจก่อนมาถึง ยามจำเป็นจะใช้กองทัพข่มขู่เจ้าเมืองจางบีบให้มันทำศึก แต่ขณะนี้เผชิญหน้าจางเหวินจิ่นตัวเป็นๆ หยางรุ่ยกลับรู้สึกว่าถูกอำนาจฝ่ายตรงข้ามสยบ
ในขณะเดียวกันจางเหวินจิ่นเองก็กำลังสังเกตหยางรุ่ยโดยไม่กล่าวสักคำ
หยางรุ่ยมิอาจทนรับบรรยากาศตึงเครียดเช่นนี้ได้อีกจึงกำลังจะเอ่ยปาก แต่จางเหวินจิ่นกลับกล่าวคำก่อนมันก้าวหนึ่ง
“กองทัพโจรกบฏตำหนักหนิงอ๋องยิ่งใหญ่เกรียงไกร หาใช่กองทัพป้องกันอันชิ่งเราจะต้านทานได้ หากกล่าวว่าใช้ไข่กระทบหิน มิสู้หลีกเลี่ยงคมของมันก่อนจะดีกว่า ถอนกำลังทั้งหมด วันหน้ารวมตัวทัพใหญ่ค่อยวางแผนตอบโต้”
หยางรุ่ยได้ฟังก็รู้สึกหายใจไม่ออก กำปั้นทั้งสองบีบแน่น แต่ก่อนที่มันจะโต้เถียงได้ จางเหวินจิ่นก็กล่าวคำอีก
“คำพูดข้างต้นนี้ หากเป็นสิ่งที่ใต้เท้าหยางจะกล่าว ข้าไม่มีทางให้ท่านออกจากเรือนหลังนี้โดยเด็ดขาด”
หยางรุ่ยฟังแล้วทนไม่ไหวอีกต่อไป มันเปล่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
จากเสียงหัวเราะนั้น จางเหวินจิ่นรู้ถึงเจตนาเดิมของหยางรุ่ย มันเองก็ยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา
หลังหยางรุ่ยหัวเราะรอบหนึ่งก็ถอนหายใจแล้วแค่นยิ้มกล่าว “ข้าคิดว่านั่นคือ…”
“คิดว่าอะไร” จางเหวินจิ่นเก็บรอยยิ้มทันที ใบหน้าข่าวผ่องเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำโดยพลัน ดวงตาถลึงจนใหญ่กว่าเดิม “หลิวจิ่นข้ายังไม่กลัว จะกลัวจูเฉินเหาผู้นี้?”
หยางรุ่ยมิกล้าหัวเราะแล้ว มันประสานสองมือขออภัยทันที นิสัยแข็งกร้าวเช่นนี้ของจางเหวินจิ่น ทำให้หยางรุ่ยสะดุ้งโหยงโดยแท้จริง อดมิได้ที่จะคิดว่า บางทีอาจเป็นเพราะมันเคยผ่านคราเคราะห์ของหลิวจิ่น จึงมีอุปนิสัยเช่นนี้กระมัง
ทว่าในช่วงเวลาสำคัญนี้ สิ่งที่พวกเราต้องการที่สุดคือความกล้าหาญเช่นนี้…ไม่ว่าผู้ใดมองเห็นล้วนต้องรู้สึกว่าพวกมันเป็นคนบ้ากระมัง
ยามนี้จางเหวินจิ่นปรบมือ หลังฉากบังลมแผ่นหนึ่งในห้องรับแขกมีบุรุษสองคนเดินออกมาช้าๆ พวกมันต่างถือดาบเดี่ยวแวววับ นอกประตูอีกด้านหนึ่งถ่ายทอดเสียงฝีเท้ามาพร้อมกัน
มือดาบสองคนนั้นสบตากับเจ้าเมืองจางและเก็บดาบกลับคืนในฝักข้างเอวทันที ก่อนออกจากประตูไปโดยมิได้มองดูหยางรุ่ย จากไปพร้อมกับอีกสามคนที่ซ่อนตัวอยู่นอกเรือน
หยางรุ่ยมองมือดาบ ซ้ำยังมองดูจางเหวินจิ่น มันอดมิได้ที่จะผุดเหงื่อเย็น อุบายของขุนนางบุ๋นผู้นี้เผ็ดร้อนกว่าตนเสียอีก หยางรุ่ยยินดีอย่างยิ่ง ตนเองกับจางเหวินจิ่นยืนอยู่ในระนาบเดียวกัน
จางเหวินจิ่นกลับมิได้นำมาใส่ใจ ซ้ำยังก้มหน้ามองบนโต๊ะ หยิบแผนที่แผ่นหนึ่งมาดูอย่างละเอียด หยางรุ่ยเข้าไปมองดู บนโต๊ะวางเต็มไปด้วยแผนที่ทั้งนอกและในเมืองอันชิ่ง ยังมีสมุดบัญชีบันทึกกองกำลัง จำนวนเรือและเสบียงทรัพย์สิน
“กลางดึกเมื่อคืนข้าส่งคนไปยังที่อยู่ของพ่อค้ารุ่มรวยแต่ละคนในเมือง ยับยั้งพวกมันเอาไว้ ห้ามมิให้ผู้ใดหนีออกไปสักคนเดียว เช้าวันนี้ยังจัดสรรเสบียงอาหารจากแต่ละตำบลในเมืองมาที่เมืองอันชิ่ง อีกทั้งออกคำสั่งให้ระดมผู้กล้าป้องกันเมือง หากโชคดีล่ะก็ ข้าเดาว่าภายในสามวันทหารที่ป้องกันเมืองจะเพิ่มขึ้นราวสองพันนาย” หยางรุ่ยฟังแล้วเลื่อมใสอย่างยิ่ง การตอบสนองต่ออันตรายกับความสามารถในการปฏิบัติการของเจ้าเมืองจางชวนให้มันที่เป็นขุนนางบู๊รู้สึกละอายใจโดยแท้จริง
แต่ในขณะเดียวกันมันรู้ดีว่าใช้กำลังทหารป้องกันเมืองเช่นนี้ เทียบกับกองทัพกบฏเสมือนพยัคฆ์หมาป่าหลายหมื่นใต้อาณัติจูเฉินเหา ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยจริงๆ หยางรุ่ยหาได้รับมอบคำสั่งทหารจากราชสำนักไม่ มิอาจระดมกองทัพป้องกันจากเว่ยสั่วแต่ละแห่งใกล้เคียงได้ตามใจชอบ ทหารในกองทัพของเมืองอันชิ่งมีเพียงร้อยกว่านาย ศึกนี้ทำได้เพียงอาศัยการเกณฑ์ทหารชาวบ้านที่หาได้เคยฝึกฝนและมีประสบการณ์ทำศึกเท่าใดไม่ หากพวกมันประจันหน้ากับกองทัพกบฏที่กว่าครึ่งมีภูมิหลังเป็นโจรเหล่านั้นของตำหนักหนิงอ๋อง ขอเพียงหวาดกลัวลุกลามก็จะพังทลายได้ทุกเมื่อ…
เบื้องหน้าจางเหวินจิ่น หยางรุ่ยระงับความวิตกกังวลนี้เอาไว้ หยิบแผนที่แผ่นหนึ่งขึ้นมาดูเช่นกัน
“วันนี้ข้าจะส่งลูกน้องไปจัดตั้งผู้กล้าในเมือง แบ่งสันกลุ่มกองและตำแหน่งหน้าที่” มันกล่าวต่อจางเหวินจิ่น “ยังมีเรื่องราวมากมายต้องเตรียมพร้อม สะสมและสร้างเครื่องยิงหินและอาวุธยุทโธปกรณ์ป้องกันเมืองอื่นๆ จัดการหน้าที่เช่นถ่ายทอดคำสั่ง หุงหาอาหาร รักษาบาดแผล และขนส่งขณะต่อสู้ เสริมจุดอ่อนที่ขาดการซ่อมแซมของกำแพงเมือง ยังมีพยายามสร้างสรรพอาวุธให้มากขึ้นอีก”
หยางรุ่ยมองดูจางเหวินจิ่นทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ
“ต่อให้ต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดก็ต้องเปลี่ยนอันชิ่งเป็นคูเมืองปราการเหล็กที่ทำให้โจรกบฏเห็นแล้วหัวหดให้จงได้!”
จางเหวินจิ่นฟังสิ่งที่หยางรุ่ยกล่าวก็ชื่นชมความกล้าหาญรอบคอบของมันอย่างยิ่ง แผนการเตรียมการป้องกันเมืองทั้งหมด มันกระจ่างอยู่ก่อนแล้วอย่างเห็นได้ชัด
แต่มันทั้งสองล้วนเข้าใจยิ่งนักว่าศึกป้องกันที่ต่างกันที่ความแข็งแกร่งสนามนี้ จุดสำคัญที่สุดยังคงเป็นขวัญกำลังใจ ต้องทำให้กองทัพป้องกันทั้งหมดเชื่อว่าฝ่ายตนเอาชนะได้
เรื่องที่จำเป็นที่สุด กลับมักจะยากที่สุดเช่นกัน
ยามนี้ประตูเรือนด้านในถ่ายทอดเสียงเคาะพักหนึ่ง ผู้เข้ามาคือข้ารับใช้เมื่อครู่
“ใต้เท้าทั้งสองท่าน นอกจวนว่าการมีคนมาขอพบ”
จางเหวินจิ่นยังคงมีกิจธุระสารพัดต้องหารือกับหยางรุ่ยจึงหงุดหงิดยิ่งนัก แต่ข้ารับใช้ประจำตัวผู้นี้ติดตามมันมาหลายปีแล้ว มีทั้งความสามารถและประสบการณ์ จางเหวินจิ่นฟังออกว่าหากผู้มาเป็นเพียงสามัญชน ข้ารับใช้ไม่มีทางรบกวนมันขณะนี้เป็นอันขาด
“เป็นผู้ใด” จางเหวินจิ่นตะโกนถาม หยางรุ่ยเองก็รู้สึกแปลกใจ หันหน้ามองดูข้ารับใช้ผู้นั้น
ข้ารับใช้ผู้นั้นลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยปาก “เป็น…หลวงจีน”
โปรดติดตามตอนต่อไป…