• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยายเพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 20 บทที่ 3

    บทที่ 3

    ดาบชำระแค้น

     

    ‘ศิษย์พี่โจว!’

    ซางเส้าฉีตะโกนด้วยสุ้มเสียงที่แทบจะแหบแห้ง สองตาดุดันจ้องเขม็งไปยังศัตรูที่กรูเข้ามาดั่งกระแสคลื่น

    ผ้าโพกศีรษะของมันไม่รู้หายไปที่ใดนานแล้ว ผมเผ้าเสมือนเมฆที่แผ่ออกถูกโลหิตสดและเหงื่อเปียกซึมแนบติดอยู่บนหน้า แถบผ้าพันด้ามกระบี่ยาวอู่ตังในมือก็ถูกเลือดและเหงื่อซึมจนนูนขึ้นมา ยามนิ้วมือของมันกุมกระบี่ก็รู้สึกอ่อนนุ่มแฝงลื่นเหนียวราวกับสิ่งที่ถืออยู่ในมือหาใช่อาวุธไม่ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าขยะแขยงชนิดหนึ่ง

    เป็นสัตว์ประหลาดที่ดูดกลืนเลือดคนและวิญญาณได้

    ในที่สุดวันนี้ซางเส้าฉีในวัยสิบเจ็ดปีก็รู้ว่าการต่อสู้ที่แท้จริงเป็นเช่นนี้ วุ่นวายและชวนให้สะพรึง เต็มไปด้วยอุบัติเหตุและความผิดพลาดที่มิอาจล่วงรู้ หากจมลงในบ่อโคลนก็ไม่รู้จะหลุดออกมาได้เมื่อใด

    นี่คือคนละโลกกันอย่างสิ้นเชิงกับการรำกระบี่ประลองกระบวนท่าอันงดงามบนลานฝึกยุทธ์ยามปกติ

    แต่กลับเป็นความจริงที่นักสู้ต้องเผชิญ

    โจวเฉาได้ยินเสียงเรียกของซางเส้าฉีท่ามกลางการต่อสู้อันวุ่นวายจึงวิ่งมาโดยไม่แม้แต่จะคิด ขณะนี้มันเชื่อในตัวศิษย์น้องที่อายุน้อยกว่าตนเองถึงสิบปีผู้นี้อย่างเต็มเปี่ยม เปิดศึกได้ไม่นานโจวเฉาก็หลงทางในถ้ำต้าฮวนสี่เพราะบุกเข้ามาลึกเกินไปจึงพลัดหลงกับสามสิบแปดกระบี่อู่ตังคนอื่นๆ หากมิใช่ถูกซางเส้าฉีหาพบ มันคงถูกนักรบเดนตายลัทธิอู้อี๋ที่ราวกับมีจำนวนไม่สิ้นสุดเหล่านั้นฉีกร่างไปนานแล้ว

    ขณะถอนไปข้างกายซางเส้าฉี โจวเฉาจึงมองเห็นผู้ที่อยู่ด้วยยังมีเหรินหยวนอิงและโม่หลิงอวิ๋นสหายร่วมสำนัก ศิษย์พี่โม่หลิงอวิ๋นผู้ล่ำสันครึ่งหน้าถูกยาพิษที่ลัทธิอู้อี๋ใช้กระเซ็นใส่ แม้เช็ดออกไปได้ทันเวลา แต่ยังคงถูกกัดกร่อนเป็นแผลที่มีควันผุดขึ้นมาผืนหนึ่ง บังเกิดกลิ่นเหม็นออกมาเป็นระยะ สีหน้าของโม่หลิงอวิ๋นก็ดำเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังต่อต้านกับพิษที่เข้าสู่กระแสเลือด แต่รูปร่างและปณิธานของมันน่าอัศจรรย์นัก ท่วงท่ายังคงเปี่ยมด้วยกำลังวังชาเหมือนปกติ

    สาวกอู้อี๋ที่ไม่สนความเป็นความตายและสวมอาภรณ์จากเศษผ้าหลากสีเหล่านั้นคำรามพลางบุกมาตามเฉลียงทางเดินอันมืดสลัวเหมือนเช่นแมลงเหี้ยมโหดฝูงหนึ่ง ซางเส้าฉีมองดูดวงตาคลุ้มคลั่งที่เปล่งประกายสีแดงทุกคู่นั้นก็รู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ

    อาจารย์ประเมินศัตรูต่ำเกินไปแล้ว! คิดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีวิทยายุทธ์ก็ไม่ต้องกลัว การบุกเข้ามาในถ้ำโดยตรงเช่นนี้ ผลสุดท้ายกลับต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักหน่วง

    หากกล่าวเพียงเรื่องพลังยุทธ์ ในสายตามือกระบี่อู่ตัง นักรบเดนตายลัทธิอู้อี๋เหล่านี้ไม่ต่างอันใดกับแพะ แต่สิ่งที่เผชิญอยู่ตรงหน้ากลับเป็นจำนวนศัตรูที่เหนือคาดหมาย ลักษณะพื้นที่ที่ซับซ้อนดุจเขาวงกต อาวุธลับและพิษร้ายที่ยากป้องกันหลากชนิด กอปรกับภาวะจิตใจบ้าระห่ำไม่กลัวตายของฝ่ายตรงข้ามทำให้สามสิบแปดกระบี่อู่ตังที่บุกเข้ามาตกอยู่ในอันตรายทันที ซางเส้าฉีเห็นกับตาว่าปี้หรง จ้าวเฉินเฟิงและทังป๋อเหยียนศิษย์พี่ที่วิชากระบี่สูงส่งทั้งสามคนถูกสังหารอย่างอนาถทีละคนท่ามกลางความวุ่นวาย

    สถานที่ตั้งรับที่ซางเส้าฉีเลือกในขณะนี้คือตำแหน่งหนึ่งในถ้ำที่คดเคี้ยวและคับแคบ เป็นฐานที่มั่นที่จะสำแดงพลังยุทธ์เหนือมนุษย์ของมือกระบี่อู่ตัง ใช้น้อยชนะมากได้

    คนทั้งสี่เคียงไหล่ร่วมรบต้านการโจมตีของสาวกอู้อี๋เอาไว้ได้ดังคาด การสังเกตของซางเส้าฉีมิผิด นักรบเดนตายลัทธิอู้อี๋เหล่านี้เสพยาประหลาดใดไม่ทราบ แม้ความสามารถในการต่อสู้เพิ่มขึ้นเพราะเข้าสู่ภาวะคลุ้มคลั่งไร้ความกลัว แต่ก็ทำให้หัวสมองไม่ปลอดโปร่ง กระทำการเรียบง่าย รู้แต่เพียงพอเห็นศัตรูก็โถมเข้ามาโจมตี ขาดกลยุทธ์โอบล้อมพัวพัน ขอเพียงมือกระบี่ทั้งสี่แห่งสำนักอู่ตังป้องกันด่านนี้เอาไว้ได้ ฝ่ายตรงข้ามก็จะดาหน้าเข้ามาหาความตายระลอกแล้วระลอกเล่า

    แต่คนทั้งสี่ก็สิ้นเปลืองแรงกายไม่หยุดด้วยเช่นกัน พวกมันไม่อาจสู้เช่นนี้ไปตลอด ซางเส้าฉีคิดในใจก่อนส่งสายตาไปยังศิษย์พี่โม่หลิงอวิ๋น โม่หลิงอวิ๋นเข้าใจจึงร่นถอยจากด้านข้างไปตามกลยุทธ์ที่ตกลงไว้ก่อนหน้า

    เหลือเพียงนักรบที่อ่อนล้าสามคนต้านศัตรู สถานการณ์ต่อสู้เปลี่ยนเป็นยากเย็นกว่าเดิมในทันใด ซางเส้าฉีรับรู้ได้ถึงความกดดันที่หนักขึ้น ในใจมันตะโกนบอกตนเอง

    มีชีวิตอยู่ต่อไป! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!

    ยามนี้ศิษย์พี่เหรินหยวนอิงด้านขวาของมันถูกดาบล้มลง

    ซางเส้าฉีกัดฟันแน่น แกว่งกระบี่เสมือนบ้าคลั่ง อีกทั้งปลุกใจโจวเฉาสหายร่วมสำนักเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ เปล่งเสียงคำราม

    ‘อู่ตังไม่ตาย! อู่ตังไม่ตาย!’

     

    ซางเฉิงอวี่ผลักซากศพทหารภูผาเหล็กถูกเกาทัณฑ์ที่ทับอยู่บนร่างออกและลุกขึ้นมาจากดาดฟ้าเรือของเรือเร็ว

    มันกระแอมหลายครั้ง ในลมหายใจที่พ่นออกมาล้วนมีกลิ่นไม้ไหม้เกรียม เสื้อขนสัตว์สีขาวตัวนั้นก็ถูกย้อมเป็นสีเทาเข้มแล้ว มันลูบข้างเอว กระบี่ประจำตัวยังอยู่

    ทหารที่คุมเรือสองนายล้วนกระโดดลงเรือก้าวขึ้นพื้นดินริมฝั่งไปแล้ว หนึ่งในนั้นวิ่งหนีไปพลางป้องแขนซ้ายที่ถูกเกาทัณฑ์หลั่งเลือดไปพลาง ซางเฉิงอวี่ทอดมองไปข้างหน้าจึงรู้ว่าตนเองกลับถึงริมฝั่งค่ายตำบลเฉียวเซ่อแล้ว

    ความทรงจำอันแสนสั้นและห่างไกลเมื่อครู่สดใหม่โดยแท้จริงในใจมัน ทำให้มันลืมว่าตนเองอยู่ที่ใดไปชั่วขณะ มันมองดูบนเรือเร็วอีกครั้ง ตอนนี้เหลือเพียงมันผู้เดียวที่มีชีวิต ทหารภูผาเหล็กอีกแปดนายหากมิได้ตายเพราะการสู้รบก่อนหน้าก็ถูกศัตรูดักโจมตีใช้เกาทัณฑ์ปลิดชีพระหว่างทางหนีกลับขึ้นฝั่ง

    ซางเฉิงอวี่จำขั้นตอนการหนีตายทั้งหมดได้ไม่ชัด รู้เพียงตั้งแต่เรือรบใหญ่ถูกเพลิงเผาไหม้รุนแรงจนถึงขึ้นเรือเร็วลำนี้อย่างน้อยก็เปลี่ยนเรือแล้วสองครั้ง ความทรงจำทั้งหมดล้วนถูกเปลวไฟ หมอกควัน และเสียงปืนใหญ่รบกวน

    มันปีนจากขอบเรือขึ้นฝั่งอย่างโซเซเล็กน้อย เดินไปสิบกว่าก้าวจึงปรับเปลี่ยนลมหายใจได้และคืนสู่ท่วงท่ายามปกติ มันเหลียวมองโดยรอบริมฝั่ง ทหารในที่ไกลล้วนกำลังวิ่งหนีสุดชีวิต มันจำต้องเดินไปยังค่ายตามลำพัง

    ในที่สุดสองขาก็เหยียบบนพื้นทรายอย่างมั่นคงอีกครั้ง ซางเฉิงอวี่รู้สึกสบายใจเล็กน้อย มันมิได้หันหน้ามองไปในทะเลสาบสักแวบ เพราะรู้ว่าสงครามนี้สิ้นสุดแล้ว

    ซางเฉิงอวี่เดินไปทีละก้าวพลางหวนนึกถึงความทรงจำเก่าๆ ที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่ สามสิบปีก่อนมันใช้สถานะศิษย์เยาว์วัยที่สุดแห่งสามสิบแปดกระบี่อู่ตังเข้าร่วมศึกเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของสำนัก ตอนนั้นในบรรดาศิษย์ที่เถี่ยชิงจื่อ (กงซุนชิง) ถ่ายทอดวิชาด้วยตนเอง ซางเส้าฉี (นามเดิมของซางเฉิงอวี่) คือผู้เดียวที่มีพรสวรรค์ที่สุดที่ถูกยอมรับ และได้รับความโปรดปรานจากเถี่ยชิงจื่อที่สุดก่อนเหยาเหลียนโจวปรากฏตัว ด้วยเหตุนี้จึงได้เข้าร่วมมหาสงครามทำลายล้างลัทธิอู้อี๋ในวัยสิบเจ็ดปี แต่นอกจากผู้รอดชีวิตจากการศึกแล้ว มีน้อยคนยิ่งนักที่รู้ว่าสำนักอู่ตังอาศัยมันจึงชนะในศึกนั้น

    ซางเฉิงอวี่หวนนึกถึงภาพที่ปรากฏในหัวเมื่อครู่ มันกับโจวเฉาอาศัยแรงของสองคน อุทิศชีวิตต้านการโจมตีของนักรบเดนตายลัทธิอู้อี๋เอาไว้เช่นไร ขณะต่อมาพวกมันอ้อมไปหาโม่หลิงอวิ๋นด้านข้าง ใช้พลังอันแข็งแกร่งของมันกระแทกเสาหินต้นหนึ่งจนหนัก เสาหินที่ค้ำยันต้นอื่นๆ ล้มทับสาวกอู้อี๋ที่รวมตัวบุกโจมตีตายไปกว่าครึ่ง ก่อนพวกมันทั้งสามจะสังหารผู้รอดชีวิตที่เหลือทั้งหมด…

    ภายใต้การบัญชาการของซางเฉิงอวี่ พวกมันรบชนะศัตรูที่มีจำนวนมากกว่ายี่สิบเท่า

    สงครามทั้งสนามล้วนอาศัยซางเฉิงอวี่จึงพลิกผัน เนื่องจากเถี่ยชิงจื่อประเมินความร้ายกาจของลัทธิอู้อี๋ต่ำไป ตั้งแต่นำสามสิบแปดกระบี่อู่ตังบุกเข้าถ้ำต้าฮวนสี่ซึ่งหน้า ผลสุดท้ายถูกลอบโจมตีต่อเนื่องและเสียหายร้ายแรง เป็นซางเฉิงอวี่บัญชาการศิษย์พี่จัดรูปขบวนใหม่ ใช้ลักษณะพื้นที่สำแดงพลังต่อสู้เฉพาะตัวที่เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามของสำนักอู่ตังจึงเอาชนะลัทธิอู้อี๋ได้ แต่สุดท้ายอู่ตังก็เหลือเพียงหกคนรวมเถี่ยชิงจื่อที่รอดชีวิตกลับมา

    ในตอนนั้นซางเส้าฉีก็ตระหนักได้แล้วว่าตนเองเหนือกว่าอาจารย์ในด้านการนำทัพและอาจแข็งแกร่งกว่าผู้ใดในสำนักอู่ตัง เฉกเช่นสามสิบปีให้หลังมันที่อาฆาตแค้นมิได้ควบคุมอำนาจทหารกำลังหลักของตำหนักหนิงอ๋อง มันในปีนั้นก็คิดว่าหากผู้ที่นำอู่ตังโจมตีลัทธิอู้อี๋คือมันมิใช่อาจารย์ ศิษย์พี่ที่รอดกลับมาอย่างน้อยคงมีมากกว่านี้สองเท่า…

    ผลสุดท้ายประวัติศาสตร์กลับกำลังซ้ำรอย

    ซางเฉิงอวี่แค่นหัวเราะ มองดูค่ายที่ค่อยๆ ใกล้ขึ้นด้านหน้า หน้าค่ายไม่มีผู้ใดเฝ้าดูแล้ว มีทหารกองทัพหนิงอ๋องหนีออกมาจากภายในไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่าพวกมันต่างรู้ว่ากองกำลังหลักในทะเลสาบพ่ายแพ้แล้ว ที่ตั้งค่ายบนฝั่งแห่งนี้จะถูกตีแตกเมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับเวลา หากฉวยโอกาสหนีตายเสียตอนนี้อาจยังมีโอกาสรอดสักนิด

    สำหรับซางเฉิงอวี่การหนีเอาชีวิตรอดไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเกินไปนัก ขอเพียงมิได้อยู่ในน้ำ มันเชื่อว่าด้วยพลังยุทธ์ของตนเองจะบุกทะลวงการตามจับของฝ่ายศัตรูนั้นมิได้ลำบากยากเย็น…นอกเสียจากพบเจอหกกระบี่บ้านแตก นั่นก็ยากจะคาดการณ์แล้ว

    ในเมื่อศึกนี้แพ้พ่าย ซางเฉิงอวี่จึงจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเหยาเหลียนโจวเมื่อวาน มอบความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ให้เหยาเหลียนโจวสืบทอด ตนเองถอยไปเป็นผู้ช่วย

    ยอมจำนนต่อผู้ที่มันเคียดแค้นที่สุด

    ในใจซางเฉิงอวี่ สิ่งที่เหยาเหลียนโจวชิงไปมิใช่เพียงวันเวลาและสุขภาพของมัน แต่ยังชิงอาจารย์ไปด้วย

    เห็นชัดๆ ว่าข้าต่างหากเหมาะสมที่จะสืบทอดอู่ตัง แต่อาจารย์กลับยินยอมมอบให้เหยาเหลียนโจวที่มีความเชื่อเหมือนกันกับตนเอง

    และความเชื่อนั้นกลับพังทลายแล้ว สุดท้ายเหยาเหลียนโจวยังคงไล่ตามอำนาจทางโลกกับข้า…นี่คือเรื่องน่าขัน…

    ซางเฉิงอวี่เดินเข้าประตูค่ายที่ไม่มีผู้ใดเฝ้ารักษา ทหารที่ประจันหน้าผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะมองดูมันสักแวบ…ในทัศนะพวกมัน ยามนี้ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างแม่ทัพกับทหารแล้ว

    มันเดินไปยังกระโจมของตัวเอง เหยาเหลียนโจวและอูจี้หงคงรอคอยอยู่ในนั้น

    แม้ซางเฉิงอวี่จะติดตามเหยาเหลียนโจวตามสัญญา แต่ในนั้นยังมีตัวแปรอย่างหนึ่ง เหยาเหลียนโจวยังคงมิได้ตัดสินใจละทิ้งตนเองในอดีตไปทั้งหมด จิตใจคลอนแคลนไม่แน่นอนระหว่างเป้าหมาย ‘นักสู้’ และ ‘กษัตริย์’ มันจะเลือกอย่างไรกัน ซางเฉิงอวี่หวังให้เป็นอย่างหลัง มีเพียงเหยาเหลียนโจวตั้งใจเป็นกษัตริย์ การช่วยเหลือของซางเฉิงอวี่จึงมีความหมาย และมีเพียงเดินบนเส้นทางสายนี้จึงจะพิสูจน์ว่าความคิดของซางเฉิงอวี่ในตอนแรกไม่ผิด

    ขอเพียงพิสูจน์ว่าข้าถูกต้อง ข้าก็ไม่ถือสาหากจะเป็นคนที่สอง

    อู่ตังไม่ตาย ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่านี้

    ซางเฉิงอวี่เคยบอกกับอูจี้หงว่าละทิ้งอู่ตังแล้ว แต่ผลสุดท้ายมันยังคงไม่หลุดไปจากพันธนาการนี้ เป็นเพราะอายุยิ่งมากยิ่งคิดถึงอดีตง่าย หรือว่าเพราะพ่ายแพ้ต่อจิงเลี่ยจึงทำให้ศักดิ์ศรีของนักสู้อู่ตังตื่นขึ้น ตัวมันเองก็ไม่รู้…

    ซางเฉิงอวี่เดินถึงภายในค่าย มองเห็นทหารมากมายล้วนกำลังพลิกหาสิ่งของมีค่าที่นำไปได้ กระโจมมากมายถูกรื้อจนล้มลงแล้ว ขยะหลากประเภทกระจายเกลื่อนพื้น ผู้ที่มาช้าไปก้าวหนึ่งล้วนหาของมีค่าไม่พบทั้งสิ้น จำต้องถือเสบียงอาหารจำนวนหนึ่งไป มีคนนั่งย่ออยู่บนพื้น ใช้ก้อนหินกะเทาะแผ่นสำริดบนเกราะศึกอย่างสุดชีวิต และมีคนถือดาบสามสี่เล่ม แต่กลับถูกพวกพ้องหวดลง

    “นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังพกดาบ?” พวกพ้องผู้นั้นกล่าวพลางกระชากกระทั่งดาบประจำตัวบนเอวคนผู้นั้นลงมา ซ้ำยังดึงเกราะป้องกันบนร่างของมันออก “คนมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าคือทหารแพ้ศึก เจ้าอยากตายหรือ”

    ซางเฉิงอวี่มองดูเหตุการณ์วันสุดท้ายในค่ายทหารแห่งนี้ ยังมีทหารหนีตายนายแล้วนายเล่า มันจึงปล่อยหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่

    คนของสำนักอู่ตังต้องไม่เป็นเช่นนี้ กองทัพในอนาคตของพวกเราก็จะไม่เป็นเช่นนี้

    ยังคงไม่มีผู้ใดสนใจมัน เหมือนมันกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว

    ซางเฉิงอวี่เดินไปถึงนอกกระโจมของมันประมาณสามสิบก้าว มองเห็นจากตรงนั้นกระโจมถูกรื้อทิ้งแล้วเช่นเดียวกัน มันไม่ผิดคาดสักนิด…นั่นเป็นกระโจมของยอดขุนพลเคลื่อนมังกร ผู้คนย่อมคิดว่าภายในซ่อนสมบัติล้ำค่าเอาไว้

    มันไม่เห็นเงาร่างของอูจี้หงหรือเหยาเหลียนโจว คนทั้งสองหนีออกจากสมรภูมิอย่างปลอดภัยหรือไม่ เดิมทีซางเฉิงอวี่ยังไม่กังวล แต่ตอนนี้อดร้อนรนเล็กน้อยอย่างเลี่ยงมิได้ กองทัพของหวังโส่วเหรินขณะนี้ต้องบีบต้อนมาจากทางน้ำและทางบกเพื่อถอนรากถอนโคนที่มั่นสุดท้ายของกองทัพหนิงอ๋องแห่งนี้อย่างแน่นอน หากเผชิญหน้ากองทัพจำนวนมาก ถึงแม้พวกมันสามคนร่วมมือกันก็ไม่อาจรับประกันว่าถอยหนีได้ทุกคน

    ยามนี้ซางเฉิงอวี่กลับพบว่าด้านข้างมีสายตาทอดมา มันหยุดฝีเท้าลงทันที

    มันหันไปมองดู กลับพบว่าหาใช่คนใดคนหนึ่งในสองคนนั้นที่หาอยู่ไม่…รูปร่างของคนผู้นี้ล่ำสันอย่างมาก

    แต่ก็หาใช่คนแปลกหน้าไม่

    ซีเสี่ยวเหยียนปลดแถบผ้าที่ห่อแขนขวาออกช้าๆ ซ้ำยังดึงแถบผ้าที่ปิดหน้าตาลงมา

    ซางเฉิงอวี่มองเห็นซีเสี่ยวเหยียนก็ประหลาดใจยิ่ง แต่จากนั้นก็บังเกิดความปีติยินดี มันเคยได้ยินว่าซีเสี่ยวเหยียนเคยเร่งกลับไปทำศึกในช่วงเวลาสุดท้ายของศึกเขาอู่ตัง ตอนนี้ดูเหมือนต่อให้เผชิญอันตรายมันก็ต้องกลับมาค่ายที่จวนจะถูกยึดแห่งนี้เพราะมิอาจทอดทิ้งเหยาเหลียนโจว

    อูจี้หงเคยบอกซางเฉิงอวี่ว่าเพลงดาบแกร่งกร้าวของซีเสี่ยวเหยียนเลิศล้ำเหนือผู้คน แม้แต่มันเองก็ต้านทานมิได้

    พวกเรายังได้แม่ทัพห้าวหาญแห่งอู่ตังอีกคนหนึ่งกลับมา

    ภายหน้าจะรับมือคนอย่างจิงเลี่ย ก็อาศัยมันได้

    แต่ไม่นานรอยยิ้มของซางเฉิงอวี่ก็แข็งทื่อขึ้น

    มันรับรู้ได้ถึงไอสังหารรุนแรงที่ซีเสี่ยวเหยียนแผ่ออกมา

    และมองเห็นใบหน้าเย็นชาของซีเสี่ยวเหยียน

    นี่มันอะไร…

    ขณะต่อมาผ้าคลุมใหญ่สีแดงบนไหล่ของซีเสี่ยวเหยียนก็ลอยออกไป มันยื่นมือกระชากด้านล่างทางซ้ายของเอวดึงซองผ้ายาวที่สะพายเฉียงอยู่ด้านหลังออก ด้ามดาบยาวที่พันด้วยหวายพลันปรากฏบนไหล่ขวาของมัน

    “รอ…”

    แขนขวาอันแปลกประหลาดของซีเสี่ยวเหยียนชูขึ้น ฝ่ามืออันแข็งหนาจับด้ามดาบด้านหลังเอาไว้

    วาจาทั้งมวลล้วนไร้ประโยชน์

    ความแค้นและจิตสังหารรุนแรงเช่นนี้ซางเฉิงอวี่คุ้นเคยอย่างยิ่ง เพียงแต่มันคิดไม่ถึงว่าจะประสบในขณะนี้

    แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการตอบสนองของมันที่เป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุด มือขวาของมันวางบนด้ามกระบี่ข้างเอวอย่างรวดเร็ว

    ซีเสี่ยวเหยียนที่รอคอยอยู่ในค่ายทหารมาโดยตลอดรู้ว่าโอกาสที่ตนเองจะลงมือต่อซางเฉิงอวี่ตัวต่อตัวมีเพียงรอความชุลมุนวุ่นวายขณะกองทัพหนิงอ๋องแพ้พ่าย แต่มันก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการพังทลายของกองทัพหนิงอ๋องจะรวดเร็วและราบคาบเช่นนี้ ทั้งยังกังวลว่าซางเฉิงอวี่ยังมีชีวิตหนีออกจากสมรภูมิได้หรือไม่ เคราะห์ดีที่ในที่สุดอีกฝ่ายยังคงปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าตนเอง

    เดิมทีซีเสี่ยวเหยียนฉวยโอกาสลอบโจมตีซางเฉิงอวี่ได้ แต่สุดท้ายมันยังคงเลือกเดินเข้าไปซึ่งหน้า อีกทั้งให้เวลาอีกฝ่ายกุมด้ามกระบี่เอาไว้

    การต่อสู้ซึ่งหน้าคือความเคารพสุดท้ายที่ซีเสี่ยวเหยียนมอบให้ศิษย์พี่สำนักอู่ตังผู้นี้

    นอกจากนี้เหลือเพียงความแค้นเสมือนเพลิงโหม

    พลังที่สั่งสมมานานปะทุในพริบตา ดาบยาวด้ามหวายอันหยาบกระด้างถูกชักออกจากฝัก ตัวคมสะท้อนประกายแสงอาทิตย์

    รูปร่างซีเสี่ยวเหยียนค่อนข้างเตี้ยกว่าซางเฉิงอวี่ แต่แขนประหลาดที่มีข้อต่อมากกว่าคนทั่วไปหนึ่งข้อของมันชักดาบฟันลงมาจากเบื้องบน ตำแหน่งปล่อยพลังสูงกว่าปกติ กระบวนท่าดาบยังคงมิได้ปล่อยออกมาซางเฉิงอวี่ก็รู้สึกเสียเปรียบเพราะถูกฝ่ายตรงข้ามกดดันจากที่สูง

    ซางเฉิงอวี่พลันหวนนึกขึ้นมาว่าตนเองก็เคยประหลาดใจในทารกแรกเกิดที่แขนเรียวเล็กประหลาดและมีพลังข้างนั้นซึ่งติดตามพวกมันจากถ้ำต้าฮวนสี่กลับเขาอู่ตังเมื่อสามสิบปีก่อนผู้นั้น

    ‘บางทีภายหน้ามันอาจฝึกวรยุทธ์ที่พวกเราคนใดก็ฝึกมิได้ออกมา’ เฉินชุนหยางหนึ่งในศิษย์พี่ที่รอดกลับมาเคยทำนายเช่นนี้

    ซางเฉิงอวี่ไม่เคยเห็นวรยุทธ์ของซีเสี่ยวเหยียนด้วยตาตัวเอง แต่อูจี้หงเคยพรรณนาความร้ายกาจของดาบขั้วหยางกระบวนนั้นต่อมัน

    ‘กระบี่ไท่จี๋ของข้ามิอาจแก้’ อูจี้หงกล่าวเช่นนี้ ‘หากมิใช่มีวิชาตัวเบาหลบเลี่ยงล่ะก็…โรมรันซึ่งหน้า ข้าคงพ่ายให้มัน’

    ทักษะไท่จี๋ของซางเฉิงอวี่ย่อมสมบูรณ์กว่าอูจี้หง ‘เช่นนั้นข้าเล่า’ ในตอนนั้นมันถามอูจี้หงเช่นนี้ ‘ทักษะไท่จี๋ของข้า เจ้าคิดว่ารับไว้ได้หรือไม่’

    อูจี้หงมิได้ตอบทันที มันคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว ‘ข้าไม่รู้จริงๆ…มิใช่เพราะข้าไม่มั่นใจต่อศิษย์พี่ เป็นเพราะมันยังเยาว์วัย ข้ามิอาจชี้ขาดว่าขณะพบเจอกันครั้งหน้าดาบของมันจะก้าวหน้าถึงขั้นใดอีก’

    แม้อูจี้หงกล่าวว่า ‘ไม่รู้’ แต่นั่นก็คือคำตอบอย่างหนึ่ง หมายความว่ามันคิดว่าฝีมือสูสีกันอย่างยิ่ง

    และไม่นานซางเฉิงอวี่ก็ได้รับคำตอบที่กระจ่างแจ้งกว่าเดิมด้วยตัวเอง

    ขณะประกายดาบนั้นฟาดฟันลงมา

    คราที่สังหารซือซิงเฮ่ามันใช้แผนสกปรกจึงไม่นับรวม ความจริงนี่คือครั้งแรกในรอบสิบเอ็ดปีที่ซางเฉิงอวี่ตัดสินตัวต่อตัวซึ่งหน้ากับผู้อื่น…ความรู้สึกที่ไม่ได้พบเนิ่นนานตั้งแต่พลาดบัลลังก์เจ้าสำนักอู่ตังตื่นขึ้นในร่างซางเฉิงอวี่ มันคิดว่าตนเองวางความปรารถนาเช่นนี้ลงได้นานแล้ว แต่ตอนนี้มันกระจ่างยิ่งนักว่าคำสอนสำนักอู่ตังที่ติดตรึงอยู่ในวิญญาณของมันหาได้ลบล้างง่ายดายเพียงนั้นไม่

    ข้างเอวของซางเฉิงอวี่เปล่งประกายสีเงินระยิบระยับออกมาเช่นกัน

    ทหารโดยรอบยังคงสนใจแต่หาของมีค่าหรือหลบหนี ไม่มีสักนายมองดูซางเฉิงอวี่กับซีเสี่ยวเหยียน ไม่มีผู้ใดสนใจว่าการตัดสินของยอดฝีมือขั้นสุดยอดแห่งยุคกำลังเกิดขึ้นตรงหน้าตนเอง

    ถึงแม้สนใจ ด้วยสายตาธรรมดาสามัญของพวกมันก็มิอาจจับภาพกระบวนท่าเช่นนี้ได้

    ในพริบตาที่ชักดาบ สีหน้าของซีเสี่ยวเหยียนกลับเยือกเย็นสุดขีด มันไม่จำเป็นต้องใช้แม้แต่วิชายืมภาวะ เพียงออกกระบวนภายใต้ภาวะว่างเปล่าอันไร้ซึ่งความคิด แต่พลังดาบนั้นกลับรุนแรงเสมือนระเบิด การประสานงานของร่างกายบรรลุถึงขั้นไร้ที่ติ พลังของเท้าและเอวถ่ายทอดขึ้นสู่อกและไหล่นำไปสู่แขนขวาอย่างเต็มเปี่ยม แขนประหลาดที่มีข้อต่อมากกว่าปกติหนึ่งข้อข้างนั้นเหมือนแปรเป็นแส้หนังอันเหนียวแน่นโจมตีเฉียงลงมาจากด้านบน

    ท่าทางแกว่งแขนออกดาบของมันไม่เหมือนกับดาบขั้วหยางแต่ก่อน ทว่าเหมือนเป็นการโยนดาบมากกว่าฟาดฟัน ขณะที่ออกกระบวนท่าเท้าขวาที่อยู่หน้าก็มิได้ออกแรงกระทืบพื้นเหมือนเมื่อก่อนอีก แต่เพียงสาวเท้าเหมือนไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย ดาบขั้วหยางที่พัฒนาแล้วนี้มิเพียงอาศัยแรงแกร่งกล้าอีกต่อไป แต่บรรลุถึงขั้นที่เรียบง่ายยิ่งขึ้นและมิได้เปลืองพลังมากนัก ซ้ำยังฉับไวยิ่งกว่าก่อนหน้าเสียอีก

    ซางเฉิงอวี่รู้สึกว่าดาบขั้วหยางกระบวนนี้ของซีเสี่ยวเหยียนกลับมีจุดสอดคล้องกับท่าฟองคลื่นตัดเหล็กของจิงเลี่ย

    ที่แท้นี่หาได้บังเอิญไม่ หลังจิงเลี่ยเข้าใจท่าฟองคลื่นตัดเหล็กก็ได้ถ่ายทอดเคล็ดลับความเข้าใจให้หู่หลิงหลัน ต่อมาหู่หลิงหลันไปยังเขาอู่ตังร่วมกับซีเสี่ยวเหยียน ระหว่างทางเคยแลกเปลี่ยนเพลงดาบหลายครั้ง หู่หลิงหลันจึงแสดงเคล็ดลับบางส่วนให้ซีเสี่ยวเหยียนดูโดยไม่รู้ตัว ให้ข้อคิดในการปรับปรุงดาบขั้วหยางต่อมัน เพียงแต่แม้กระทั่งตัวซีเสี่ยวเหยียนเองก็ไม่รู้ว่าเดิมนี่มาจากจิงเลี่ย

    ดาบขั้วหยางราวกับแปรคมดาบเป็นพลังไร้รูป ถึงแม้ใช้สายตาของซางเฉิงอวี่ก็มิอาจมองเห็นมุมและวิถีโคจรของกระบวนท่าดาบอย่างชัดเจน

    ยามเผชิญหน้าการฟันของดาบขั้วหยาง คนจำนวนมากมีเพียงสองทางเลือก หนึ่งคือหลบหลีก แต่เนื่องจากมองเห็นท่าดาบไม่ชัดจึงต้องถอยออกมาทั้งตัว ทำได้เพียงหลบเลี่ยงแต่มิอาจตอบโต้ แล้วดาบที่สองของซีเสี่ยวเหยียนก็จะตามมาอีก ผลสุดท้ายก็ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายสืบต่อ ทางเลือกที่สองคือใช้พลังต่อต้านเหมือนเช่นหู่หลิงหลันบนหออิ๋งฮวาในวันนั้น ทว่าด้วยพละกำลังและดาบเหยี่ยไท่อันหนักอึ้งของนางในปีนั้นก็ยังคงต้านทานมิได้ และอานุภาพดาบขั้วหยางของซีเสี่ยวเหยียนในวันนี้ยิ่งไม่มีผู้ใดต้านทาน

    เพียงแต่สำหรับซางเฉิงอวี่แล้วยังมีทางเลือกที่สาม

    กระบี่ยาวของมันยกขึ้นใช้วิถีโคจรเป็นวงโค้งอันแยบยลรับประกายดาบนั้น

    ถึงแม้มองไม่ชัด แต่ซางเฉิงอวี่ยังคงอาศัยสัญชาตญาณกับประสบการณ์คาดคำนวณได้

    และที่เหลือมันมอบให้วิทยายุทธ์สูงสดของสำนักอู่ตัง ‘ไท่จี๋’

    ดาบกระบี่ปะทะกัน แต่กลับหาได้บังเกิดเสียงดังตามมาไม่

    ประกายแสงไม่มีทางเบี่ยงเบน แต่ประกายที่ปะทะกันกลุ่มนั้นกลับกรีดเป็นเส้นโค้งประหลาดตาระหว่างคนทั้งสอง ไปสุดลงทางซ้ายของร่างกายซางเฉิงอวี่

    ยอดวิชานำสู่เวิ้งว้าง

    กระบี่ไท่จี๋ของซางเฉิงอวี่รับดาบขั้วหยางที่พลังไร้เทียบเทียมนี้ของซีเสี่ยวเหยียนไว้ได้สำเร็จและขจัดปัดป่ายออกไป

    ที่กระบี่ไท่จี๋กระบวนนี้สำเร็จได้ นอกจากอาศัยทักษะและวิชาสูงส่งของตัวซางเฉิงอวี่แล้วยังเป็นเพราะก่อนหน้านี้มันเคยใช้ไท่จี๋รับท่าฟองคลื่นตัดเหล็กของจิงเลี่ย หลังได้ซึมซับประสบการณ์อันตรายอย่างยิ่งครั้งนั้น ทำให้มันยิ่งมั่นใจขณะใช้

    ครานั้นกระบี่อู่ตังประจำตัวของซางเฉิงอวี่ถูกดาบของจิงเลี่ยทำลาย มันจึงคัดเลือกกระบี่เล่มนี้มาจากของทดแทนในคลังอาวุธกองทัพหนิงอ๋อง แม้ไม่เฉียบคมเหมือนกระบี่อู่ตัง แต่ตัวคมแข็งแกร่งยิ่งกว่า เหมาะแก่การใช้งานบนสมรภูมิ ด้วยเหตุนี้แม้จะต้องรับพลังดาบอันป่าเถื่อนของซีเสี่ยวเหยียน แต่หาได้บิดเบี้ยวหักงอเหมือนคราวก่อนไม่

    ขณะที่แน่ใจว่าชักนำดาบขั้วหยางออกไปได้สำเร็จ กระบี่ยาวของซางเฉิงอวี่ก็หมุนเป็นวงกลมขนาดเล็กทันที กลับจากรับเป็นรุกจู่โจมเข้าใส่ซีเสี่ยวเหยียน

    สร้างช่องโหว่ที่มิอาจกู้คืนค่อยทำการสังหาร คือวิธีสุดยอดในการชิงชัยของกระบี่ไท่จี๋แห่งอู่ตัง

    แต่ขณะซางเฉิงอวี่ยังมิได้ปล่อยพลัง มันพลันรู้สึกว่าบนตัวกระบี่ถ่ายทอดแรงกดอันหนักอึ้งอย่างยิ่งมาอีก

    เป็นไปได้อย่างไร…

    ดาบยาวที่ถูกชักนำไปด้านข้างแต่เดิมกลับรั้งกลับมาดื้อๆ บีบต้อนซางเฉิงอวี่จากแนวขวาง

    นี่ขัดกับความรู้ต่อวิทยายุทธ์ของซางเฉิงอวี่อย่างสิ้นเชิง…ภายใต้การยืมแรงเหนี่ยวนำของไท่จี๋ คู่ต่อสู้ไม่อาจออกแรงสวนกลับเช่นนี้ได้เป็นอันขาด

    แต่พรสวรรค์และพลังของซีเสี่ยวเหยียนกอปรกับแขนประหลาดนั้นทำเรื่องที่เป็นไปมิได้นี้ออกมา คนธรรมดาหากถูกไท่จี๋ขจัดกระบวนท่าดาบไป หากรั้งดาบกลับมาดื้อๆ ก็ได้แต่อาศัยข้อต่อไหล่ ข้อศอก และข้อมือ หัวไหล่รับหน้าที่ออกแรงรั้งพลังที่ถูกชักนำเอาไว้ ใช้ข้อศอกคลี่คลายและเปลี่ยนแปลงพลังแล้วใช้ข้อมือรั้งดาบกลับมา แต่ไม่ว่าระดับพลังหรือการเคลื่อนไหวของข้อมือล้วนมีขีดจำกัด ถึงแม้วกดาบกลับมาได้ก็ไม่มีอานุภาพ นี่คือสาเหตุที่เมื่อถูกไท่จี๋สลายพลังก็มิอาจกอบกู้ ได้แต่ถูกตอบโต้ตาปริบๆ

    แต่ซีเสี่ยวเหยียนมีข้อต่อข้อศอกเพิ่มขึ้นมาหนึ่งข้อ กอปรกับพรสวรรค์และพลังที่หาได้ยากของมันจึงดึงดาบที่ถูกเหนี่ยวนำออกไปกลับมาดื้อๆ แล้วยังฟันซ้ำไปยังซางเฉิงอวี่ในแนวขวางได้ทันที กระบวนท่าเช่นนี้ในใต้หล้ามีเพียงมันผู้เดียวที่ทำได้

    ซางเฉิงอวี่มิอาจรู้ชัดว่าแรงกายที่แฝงอยู่ของซีเสี่ยวเหยียนยังมีมากเท่าใด ดาบนี้อาจต้านกระบี่ยาวของมันสวนลงบนร่างมันได้ทุกเมื่อ มันชี้ขาดทันทีว่าไม่ควรค่าแก่การเดิมพัน จึงละทิ้งช่องโหว่กระโดดหลบออกไปข้างหลังอย่างเบาหวิว

    มันไม่เคยคิดมาก่อนว่าในชีวิตของตนเองจะเผชิญหน้าสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเช่นนี้

    ซีเสี่ยวเหยียนไม่เคยคิดคำนวณการออกท่าไม้ตายนี้ มันเพียงอาศัยสัญชาตญาณกระทำ จากงุ่มง่ามกลายเป็นชาญชำนาญจนทำลายกระบี่ไท่จี๋ของซางเฉิงอวี่ซึ่งหน้าได้

    หลังซางเฉิงอวี่ถอยหลบคมดาบยาวที่โฉบขวางมา ซีเสี่ยวเหยียนก็ถือโอกาสยกดาบไว้ข้างหูซ้าย เป็นท่าต่อสู้เตรียมพลิกมือออกดาบแล้วฟันดาบขั้วหยางออกจากอีกด้านหนึ่ง

    ซางเฉิงอวี่ถือกระบี่อย่างระแวดระวัง มันประสานสายตากับซีเสี่ยวเหยียน ใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงเยือกเย็น ดวงตาไม่ปรากฏแววใดๆ…หรือสมควรกล่าวว่าในดวงตามันมีเพียงเป้าหมายแน่วแน่หนึ่งเดียวคือฟาดฟัน ทำลาย ดับสลายร่างของซางเฉิงอวี่

    ซางเฉิงอวี่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดมาก่อนในชีวิต แต่ขณะนี้ใจของมันบังเกิดความหนาวเย็นขึ้น มันคิดไม่ตกถึงสาเหตุที่ซีเสี่ยวเหยียนยึดมั่นจะฆ่ามันเช่นนี้ และนี่ไม่สำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญคือใครมีชีวิตอยู่ต่อไป

    แต่มันยังไม่อยากตาย

    หากต้องรับดาบขั้วหยางไว้อีกครั้ง ซางเฉิงอวี่ยังคงมั่นใจว่าทำได้ ปัญหาคือหากมิอาจตอบโต้ก็จะกลับสู่จุดเริ่มต้นอีก

    ข้ายังรับดาบได้เท่าใด

    มิอาจต่อสู้ยืดเยื้อคือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของซางเฉิงอวี่ โดยเฉพาะขณะใช้วิชาไท่จี๋

    ต้องตัดสินแพ้ชนะที่กระบวนนี้

    ซางเฉิงอวี่ที่ใช้ทักษะไท่จี๋ได้อย่างประณีตและสันทัดมาครึ่งชีวิต รู้ว่ายามเผชิญหน้าซีเสี่ยวเหยียนสุดท้ายก็ใช้ได้แต่ความแม่นยำ จังหวะ และมุมที่เรียบง่ายที่สุดไปพิชิตชัย ไม่มีหนทางอื่น

    มือของมันกุมกระบี่เบายิ่งขึ้น เหมือนถือพู่กันด้ามหนึ่ง

    ขณะซีเสี่ยวเหยียนพ่นลมก็พลิกมือฟันดาบขั้วหยางเฉียงลงมา

    นักดาบมากมายในใต้หล้า ใช้การพลิกมือจับดาบด้อยกว่าตั้งมือออกดาบ นี่คือโครงสร้างกระดูกของร่างกายมนุษย์ ทำให้ออกแรงได้ไม่ง่ายนัก และยากจะควบคุมตัวดาบรวมถึงกำหนดพลัง แต่ด้วยข้อต่อที่เพิ่มขึ้นหนึ่งข้อของซีเสี่ยวเหยียนทำให้มันควบคุมดาบในวงกว้างกว่าคนทั่วไปได้ ดาบขั้วหยางปล่อยออกยามนี้จึงแข็งแกร่งเช่นเดียวกับขณะตั้งมือ

    เฉกเช่นก่อนหน้า ดาบยาวเหมือนหายวับไปในชั่วขณะ แปรเป็นแสงกลุ่มหนึ่งจู่โจมใส่ด้านขวาของลำคอซางเฉิงอวี่

    อีกครั้งที่ซางเฉิงอวี่มิได้ใช้เพียงสายตาจับภาพของดาบนี้ แต่ใช้ประสาทสัมผัส ประสบการณ์ และสัญชาตญาณทั้งหมด

    มัน ‘มองดู’ จนกระจ่างยิ่งนัก

    กระบี่ยื่นยาวออกไป

    ซางเฉิงอวี่ออกกระบี่นี้ด้วยภาวะจิตใจว่างเปล่าทั้งหมดเหมือนซีเสี่ยวเหยียน มือขยับตามปรารถนา ปลายกระบี่แทงออก ขยับมือวาดเบาๆ จนเหมือนยื่นนิ้วชี้ไปยังยอดเขาอันงดงามในที่ไกล

    แต่เร็วอย่างยิ่ง

    อีกทั้งหันหาวิถีโคจรแกว่งแขนขวาโจมตีของซีเสี่ยวเหยียนอย่างแม่นยำ

    กระบี่ก่อลักษณ์อู่ตัง ท่าตามลักษณ์สกัดชีพจร

    แต่นี่มิใช่ท่าตามลักษณ์สกัดชีพจรธรรมดา ขณะออกกระบวนซางเฉิงอวี่ก้าวเท้าซ้ายเฉียงออกไปพร้อมก้มไปข้างหน้าเพื่อเอียงหลบพลังของดาบขั้วหยาง นี่คือวิธีเบี่ยงกายของท่าเท้าอสรพิษแห่งกระบี่เคลื่อนอู่ตัง ที่ซางเฉิงอวี่ทำเช่นนี้เป็นเพราะมันรู้ดีว่าต่อให้ท่าตามลักษณ์สกัดชีพจรของตนเองแทงถูกแขนซีเสี่ยวเหยียนก่อนหนึ่งก้าวก็ยังไม่พอหยุดยั้งพลังของดาบขั้วหยางทั้งหมด ตนเองอาจถูกพลังที่เหลือของดาบขั้วหยางฟันตายในจังหวะต่อมา ฉะนั้นขณะที่สกัดการโจมตีก็ต้องหลบวิถีโคจรของดาบที่ฟันมาด้วย

    ท่าทางที่ผสมผสานกระบี่เคลื่อนอู่ตังและกระบี่ก่อลักษณ์อู่ตังนี้ของซางเฉิงอวี่คิดค้นขึ้นได้ทันควันด้วยระดับความแตกฉานทางมรรคากระบี่อู่ตังสูงล้ำของมัน จะรับมือตามสถานการณ์หรือสร้างกระบวนท่าใหม่ออกมาตามปรารถนาหาใช่เรื่องแปลกอะไรไม่

    รูปแบบท่าทางนี้ของมันอาศัยการบิดร่างเป็นเกลียว หลบเลี่ยงไปพลางซ้ำยังต้องออกกระบี่จากมุมที่จำเพาะไปพลาง ความจริงท่วงท่าติดขัดและไม่ประสานงานกันอย่างยิ่ง กระบี่มิได้ใช้พลังจากขาและเอวเลย อาศัยเพียงยื่นแขนออกไป ภายใต้สถานการณ์ปกติกระบวนท่ากระบี่เช่นนี้ไม่เข้าขั้นเหมือนผู้เริ่มเรียนโดยแท้จริง แต่กระบวนท่ากระบี่ที่ไม่เข้าขั้นเช่นนี้กลับรับมือสถานการณ์เบื้องหน้าได้ เพียงเพราะกระบี่ของมันไม่จำเป็นต้องกำหนดพลัง ขอเพียงจังหวะ ตำแหน่งและมุมถูกต้องก็เพียงพอแล้ว อำนาจสังหารที่แท้จริงจะมาจากพลังที่ซีเสี่ยวเหยียนแกว่งแขนมา

    ที่ซางเฉิงอวี่ใช้เพลงกระบี่ที่พิสดารและท่าทางฝืนบิดเกลียวได้เร็วเพียงนี้ อาศัยพลังกล้ามเนื้อจากส่วนลึกของกระดูกเชิงกรานและบั้นเอวที่มองไม่เห็นซึ่งได้มาจากการฝึกปรือไท่จี๋หลายสิบปี

    กระบี่ที่รูปลักษณ์ภายนอกยากมองเห็น กลับเป็นการตกผลึกจากทักษะและความเฉลียวฉลาดของจอมกระบี่ชื่อเสียงไม่โด่งดังผู้นี้

    ท่าตามลักษณ์สกัดชีพจรออกทีหลังบรรลุถึงก่อน ปลายกระบี่แทงไปยังแขนข้างที่จับดาบของซีเสี่ยวเหยียน

    พลังดาบขั้วหยางรุนแรงเกินไป ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือหยุดลงกลางคันได้เลย

    ความรู้สึกที่ปลายกระบี่แทงเข้าเลือดเนื้อถ่ายทอดสู่ด้าม ซางเฉิงอวี่คุ้นเคยไร้เทียบเทียม

    ความรู้สึกแห่งชัยชนะ

    กระบี่ยาวแทงลึกเข้าหน้าแขนขวาของซีเสี่ยวเหยียน ตัดเส้นเอ็นขาดสะบั้น ทะลุตรงไปถึงข้อต่อข้อศอก พอกระแทกถูกกระดูกอันแข็งแกร่ง พลังของดาบขั้วหยางจึงถ่ายทอดมาอย่างแท้จริง แรงปะทะดีดสะท้อนฝ่ามือที่กุมกระบี่ของซางเฉิงอวี่จนง่ามมือฉีกขาดเช่นกัน

    ออกกระบี่ภายใต้ท่วงท่าบิดเกลียวเช่นนี้ ซางเฉิงอวี่ยากที่จะต้านรับพลังกระแทกนี้ได้ ด้ามกระบี่หลุดจากมือมัน แต่ซางเฉิงอวี่รู้ว่าไม่เป็นไร ดาบขั้วหยางถูกทำลายแล้ว แขนข้างที่กุมดาบของซีเสี่ยวเหยียนก็พิการ ขอเพียงมันฉวยโอกาสหลบออกไป ภายหลังค่อยเก็บอาวุธที่พบเจอได้ทั่วไปเล่มหนึ่งมาใช้ก็จัดการซีเสี่ยวเหยียนได้ทันที ผลแพ้ชนะชัดเจนแล้ว

    มันก้มตัวก้าวเฉียงสืบต่อ ให้พลังที่เหลือจากดาบขั้วหยางของซีเสี่ยวเหยียนโฉบผ่านด้านข้าง

    แต่ยามนี้ซางเฉิงอวี่พลันนึกได้ว่าตนเองยังมีเรื่องหนึ่งคำนวณพลาด

    มันไม่ทันแม้จะเสียใจ จุดไท่หยางด้านขวามีแรงปะทะรุนแรงอย่างยิ่งถ่ายทอดมา หัวสมองในกะโหลกโยกคลอนโดยพลัน เส้นเลือดฝอยตาขวาแตกออกเพราะแรงปะทะ ในจิตใต้สำนึกเหมือนมีประกายสีขาวกลุ่มหนึ่งระเบิดออก

    เป็นซีเสี่ยวเหยียนอาศัยพลังของดาบขั้วหยางโจมตีด้วยศอก

    แม้ท่าตามลักษณ์สกัดชีพจรของซางเฉิงอวี่จะทำลายข้อมือของซีเสี่ยวเหยียนแล้ว แต่มันลืมไปว่าอีกฝ่ายยังมีข้อต่อข้อศอกที่สอง

    กระบวนท่านี้ของซีเสี่ยวเหยียนหาได้ผ่านการคิดคำนวณออกมาไม่ เป็นเพียงความยึดมั่นที่จะสังหารซางเฉิงอวี่ สั่งการให้มันยังคงเปลี่ยนแปลงพลังที่เหลือใช้ศอกโจมตีขณะกระบวนท่าดาบถูกทำลาย

    กะโหลกซางเฉิงอวี่ถูกกระแทกจนแตกร้าว เบ้าตาและรูจมูกมีโลหิตนองออกมาพร้อมกัน ดวงตาทั้งสองเหลือกขาว

    ซีเสี่ยวเหยียนกลับไม่รู้สึกอะไรสักนิดที่แขนข้างหนึ่งถูกทำลาย มันก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง บนแขนขวายังคงเสียบไว้ด้วยกระบี่ยาว มันยื่นมือซ้ายยื่นออกไปจับลำคอของซางเฉิงอวี่เอาไว้

    ถึงแม้อยู่ในภาวะแทบหมดสติสลบไสลแล้ว แต่ซางเฉิงอวี่ยังคงตอบสนอง สองมือมันเหนี่ยวแขนซ้ายของซีเสี่ยวเหยียนใช้มวยไท่จี๋ออกมาเองหมายตรึงอีกฝ่ายเอาไว้

    แต่มือซ้ายของซีเสี่ยวเหยียนเองก็สำแดงพลังอ่อนของมวยไท่จี๋ที่ฝึกหนักมาหลายปีทำลายเพลงหัตถ์ของซางเฉิงอวี่ มันใช้นิ้วทั้งห้าบีบลำคอซางเฉิงอวี่ไว้แล้วปล่อยพลังแกร่งของหมัดพิฆาตสองภวะออกมาในอึดใจเดียว ยกทุ่มทั้งร่างซางเฉิงอวี่ลงพื้นในฉับพลัน

    หากเป็นยามปกติ ทักษะมวยไท่จี๋ของซางเฉิงอวี่สูงกว่าซีเสี่ยวเหยียนไม่รู้เท่าใด แต่ภายใต้ภาวะถูกกระแทกกึ่งสลบไสลขณะนี้ การสลายพลังและการตอบสนองของซางเฉิงอวี่ล้วนเฉื่อยช้า มิอาจตอบโต้ได้เลย

    ซางเฉิงอวี่ที่ถูกบีบคอไม่มีที่ว่างให้ดิ้นรนขจัดพลังแต่อย่างใด ท้ายทอยมันกระแทกบนพื้นอย่างหนักหน่วง

    พลังทำลายดุจดั่งการปะทะของค้อนเหล็กสองครั้ง ทำให้หัวสมองซางเฉิงอวี่ถูกทำลายจนมิอาจกู้คืน

    ซีเสี่ยวเหยียนคุกเข่าข้างเดียวบนหน้าอกซางเฉิงอวี่ที่นอนอยู่ มือซ้ายยังคงบีบลำคอของมันไว้ไม่ปล่อย ปลายนิ้วทั้งห้านิ้วเพิ่มแรงไม่หยุด

    “เดิมทีนางนัดกับข้าแล้ว”

    ซีเสี่ยวเหยียนก้มมองใบหน้าที่บวมช้ำผิดรูปของซางเฉิงอวี่จากด้านบนและกล่าวคำในที่สุด

    “ล้วนเป็นเจ้า…ล้วนเป็นเจ้า…”

    สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของซางเฉิงอวี่เหมือนเช่นจมอยู่ในน้ำ มันเพียงได้ยินคำพูดของซีเสี่ยวเหยียนอย่างแผ่วเบาแต่ไม่อาจเข้าใจ ไม่รู้ว่า ‘นาง’ ผู้นั้นหมายถึงผู้ใด และไม่สำคัญแล้ว

    ช่วงเวลาสุดท้าย ในใจซางเฉิงอวี่คิดไม่หยุดเพียง

    น่าเบื่อจริงๆ ชีวิตนี้ของข้าไม่เคยทำสำเร็จแม้แต่เรื่องเดียว…

    ซีเสี่ยวเหยียนคร่อมอยู่บนร่างซางเฉิงอวี่ มือซ้ายบีบลำคอของมันเอาไว้เสมือนเชือดสัตว์สืบต่อ ซางเฉิงอวี่ไม่มีท่าทางดิ้นรนใดๆ อีกแล้ว

    ทหารโดยรอบค่ายคิดว่าเป็นเพียงการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอะไรสักอย่างของแม่ทัพทั้งสอง มิได้มองดูพวกมันอีกสักแวบเดียว

     

     

    ติดตามต่อได้ในหนังสือ เพลงกลอนคลั่งยุทธ์เล่ม 20 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook