• Connect with us

    Enter Books

    ฉางอันสิบสองชั่วยาม

    ทดลองอ่านนิยาย ฉางอันสิบสองชั่วยาม เล่ม 1 บทที่ 2

    บทที่สอง

    ต้นยามอู่

     

    รัชศกเทียนเป่าปีที่สาม เดือนอ้าย วันที่สิบสี่ ต้นยามอู่

    เมืองฉางอัน อำเภอฉางอัน ตลาดตะวันตก

     

    ตลาดตะวันตกอันคึกคักหาได้เงียบเชียบไปเพราะเหตุวุ่นวายเมื่อครู่ไม่ พอใกล้เที่ยงวัน ชาวบ้าน คหบดีและชนชั้นรุ่มรวยของแต่ละฟาง พ่อบ้านของตระกูลสูงศักดิ์ที่มาซื้อหาข้าวของ ขุนนางรอคัดเลือกบรรจุที่มาพำนักในนครหลวง ปราชญ์กวีจากที่ต่างๆ ทั่วแคว้น ต่างพากันกรูออกมา หวังชิงซื้อสินค้าต่างแดนใหม่ๆ ที่เพิ่งนำเข้าเมือง อีกทั้งยังหวังได้พบเห็นเหล่าสตรีมวยผมปักบุปผาเดินอยู่ในกลุ่มผู้สัญจร พวกนางไม่วางใจผู้อื่นจึงจำต้องมาเลือกซื้อด้วยตนเอง

    จางเสี่ยวจิ้งเดินไปตามถนน ฝีเท้าดั่งโบยบิน ที่ด้านหลังมันติดตามใกล้ชิดด้วยชายหนุ่มใบหน้ากลมยังแลดูไร้เดียงสาอยู่คนหนึ่ง คนผู้นี้ชื่อเหยาหรู่เหนิง เป็นเจ้าหน้าที่หนุ่มชั้นผู้น้อย เพิ่งเข้าร่วมจิ้งอันซือไม่นาน เริ่มงานจากเป็นมือปราบชานเมือง มีความสามารถผ่านตาไม่ลืมเลือน หลี่ปี้ส่งตัวคนผู้นี้มาช่วยงานจางเสี่ยวจิ้ง…แน่นอนว่าแฝงเจตนาจับตาดูด้วย

    “แม่ทัพจาง ท่านจะไปที่ใด” เหยาหรู่เหนิงอดใจไม่ได้ เอ่ยถามขึ้น ฝีเท้าจางเสี่ยวจิ้งเร็วเกินไป ผู้คนรอบข้างก็มีมาก มันต้องใช้สุดกำลังจึงติดตามทัน

    จางเสี่ยวจิ้งเท้ามิได้หยุด “ร้านโหรวจยาอวี้เจิน”

    ชื่อร้านโหรวจยาอวี้เจินนี้ เหยาหรู่เหนิงเคยได้ยิน เป็นร้านขายเครื่องประทินโฉม ยาบำรุงสำหรับสตรีโดยเฉพาะ ในร้านล้วนเป็นยาเนื้อเหลวบำรุงความงาม ตำรับลับจากพ่อค้าต้าอี้ ประสิทธิภาพดีอย่างน่าอัศจรรย์ มีชื่อเสียงมากในหมู่สตรีสูงศักดิ์เมืองฉางอัน เจ้าของร้านนับได้ว่าเป็นหนึ่งในเศรษฐีพ่อค้าแห่งตลาดตะวันตก

    ทันใดนั้นเหยาหรู่เหนิงปราดมาด้านหน้า ขวางมันไว้ “ขอให้ท่านบอกวัตถุประสงค์ที่จะไปที่นั่นด้วย”

    จางเสี่ยวจิ้งขมวดคิ้ว “นี่เป็นยามใดแล้ว เจ้ายังจะพิรี้พิไรอยู่ที่นี่อีก!”

    เหยาหรู่เหนิงยืนกรานด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้ฐานะท่านพิเศษ ก่อนกระทำการจำเป็นต้องบอกเหตุผลเสียก่อน และเพื่อให้ผู้บัญชาการหลี่วางใจด้วย”

    “ถ้าข้าไม่บอกเหตุผลเล่า”

    เหยาหรู่เหนิงกุมด้ามดาบที่เอว “ข้าสามารถจับกุมท่านกลับไปได้ทุกเวลา” วาจามันเพิ่งกล่าวจบ จางเสี่ยวจิ้งยื่นห้านิ้วออกจับคมดาบ บิดเบาๆ ดาบประจำกายเล่มนั้นก็หลุดมือ เหยาหรู่เหนิงรีบเบี่ยงร่างไปชิง ไม่ทันระวัง ถูกเท้าจางเสี่ยวจิ้งเกี่ยว คนล้มคะมำลงพื้นฝุ่นทันที

    จางเสี่ยวจิ้งก้มมอง เปรยเสียงเย็นชา “หากข้าคิดหนีจริง ตอนนี้เจ้าตายไปหลายครั้งแล้ว”

    กล่าวจบพลันหมุนกายจากไป เหยาหรู่เหนิงลุกขึ้นจากพื้น สภาพทุลักทุเล ไม่มีเวลาปัดดินบนร่าง ร่ำร้องไม่หยุดปาก “นี่ แม่ทัพจาง ท่านทำแบบนี้ ข้าจะรายงานเบื้องบน”

    จางเสี่ยวจิ้งไม่แยแสมันแม้แต่น้อย เดินตรงไปด้านหน้า เหยาหรู่เหนิงได้แต่ไล่ตามไปอย่างหัวเสีย

    โหรวจยาอวี้เจินอยู่ในตรอกโค้งฟากเหนือ สี่แยกถนนสอง ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตลาดตะวันตก จำเป็นต้องเลี้ยวเข้าไปด้านหลัง หลีกพ้นจากเสียงอึกทึกกับสายตาผู้คนของถนนด้านนอก

    เมื่อเข้าในร้านก็พบผนังดินหอมกรุ่นสามด้าน บนผนังมีชั้นยาวเก้าแถว บนชั้นหุ้มด้วยผ้าลายดอกสีชมพู ขวดแก้วกับเครื่องเคลือบใหญ่ๆ เล็กๆ วางเรียงราย เวลานี้สตรีในชุดผ้าคล้องไหล่สารพัดสีสิบกว่าคนก้มหน้าพูดคุยกระซิบกันเป็นพักๆ เผยให้เห็นลำคอขาวผ่องราวหิมะ กลิ่นหอมเข้มข้นฟุ้งกระจายอ้อยอิ่งอยู่รอบบริเวณ บันดาลให้ผู้คนดื่มด่ำลุ่มหลง

    คนงานเห็นผู้เข้ามาเป็นบุรุษก็ชะงัก จางเสี่ยวจิ้งสำแดงป้ายเอว ตวาดเสียงเฉียบขาด “จิ้งอันซือออกปฏิบัติการ นำข้าไปพบเจ้าของร้าน!” คนงานยังคิดพูดอีก ตาข้างเดียวของจางเสี่ยวจิ้งจึงหรี่ลง กวาดไปทางสตรีกลุ่มนั้น คนงานไม่กล้าขัด ได้แต่บอกจะไปรายงานเถ้าแก่ จางเสี่ยวจิ้งกลับคว้าแขนมัน เดินตรงไปด้านหลังร้าน “ข่าวการทหารไม่อาจชักช้า ข้าไปกับเจ้า!” คนงานยังคิดสะบัดหนี ถูกมันใช้ด้ามดาบกระทุ้งหลังเอว ไม่กล้าขยับแล้ว

    ง่ายดายเช่นนี้เอง จางเสี่ยวจิ้งจับตัวคนงานผู้ขาสองข้างสั่นเทิ้มเดินอาดๆ ไปยังด้านหลัง เหยาหรู่เหนิงตามติดอยู่ด้านหลัง มันกลับไม่แย้งวิธีการเช่นนี้ เวลาเหลือน้อยนัก ไฉนจะปล่อยให้เดินไปเดินมารายงานชักช้าอยู่ได้

    ด้านหลังร้านคือลานใหญ่ ชาวหูร่างอ้วนคนหนึ่งกำลังเอนหลังพิงม้วนพรมปอซือทอลายดอก มือซ้ายกุมจอกขายาว ศอกค้ำที่รองแขน นั่งพับขาซ้าย ด้านข้างมีเด็กรับใช้รองเท้าดำคนหนึ่งยืนประคองกาสุรารออยู่ ที่กลางสวน นางขับร้องรูปงามผู้หนึ่งกำลังร่ายรำไปรอบต้นเหมยพลางขับร้องบทเพลงชุนอิงจ้วน

    เมื่อพวกจางเสี่ยวจิ้งบุกเข้ามาย่อมขับร้องร่ายรำต่อไปไม่ได้อีก ผู้คุ้มกันสองคนเดินเข้าไปคิดขัดขวาง ทว่าเจ้าของร้านกลับขมวดคิ้ว โบกมือให้พวกมันถอยออกไป “นายท่านคือ…”

    “ผู้บัญชาการทหารประจำนครหลวง จางเสี่ยวจิ้งจากจิ้งอันซือ” จางเสี่ยวจิ้งปล่อยตัวคนงาน สำแดงป้ายเอวออก จากนั้นส่งสัญญาณให้เหยาหรู่เหนิงปิดประตูลาน

    “อ้อ…พญายมจางแห่งวั่นเหนียน?” เจ้าของร้านอยู่ฉางอันมาหลายปี คนที่พอมีชื่อเสียงมันล้วนเคยผ่านหู จางตาเดียวแห่งอำเภอวั่นเหนียน ฉายา ‘ห้าพญายม’ ด้วยดุร้าย โฉดชั่ว อำมหิต หัวรั้น ไร้น้ำใจ เป็นเทพมรณะผู้สยบเหล่าคนพาลสันดานโฉดฟากตะวันออก ทว่า…ฟังว่าหลายเดือนก่อนกระทำผิด ถูกจับกุม ตัดสินประหาร เหตุใดบัดนี้กลับออกจากคุกมาได้เล่า

    จางเสี่ยวจิ้งใบหน้าไร้ความรู้สึก ประสานมือ “มีคำถามหลายอย่าง จำเป็นต้องรบกวน”

    เจ้าของร้านยื่นนิ้วชี้ข้างขวาลูบเชื่องช้าที่หนวดริมปาก ไล่ไปถึงปลายหนวดที่โค้งงอนขึ้นสูง แล้วจึงวางนิ้วลงอย่างอาวรณ์ นี่พญายมจางไม่มีเงินฉลองเทศกาลแล้วหรือ ถึงกับมารีดไถร้านโหรวจยาอวี้เจิน ไม่คิดถามสักคำว่าร้านนี้มีสัมพันธ์กับคนของทางการอย่างไรบ้าง

    “พวกเจ้าใครก็ได้ มอบลู่เจวี้ยนสักพับให้ท่านจาง”

    ทางการกำหนดขนาดม้วนผ้าไหมสีพื้นหนึ่งพับยาวสี่สิบฉื่อสำหรับค้าขายปกติ หากต้องขนส่งทางไกลยังต้องพับซ้อนเพิ่มอีกสี่สิบฉื่อ เรียกว่าลู่เจวี้ยน มีเพียงล่อหรือม้าเท่านั้นที่สามารถบรรทุกได้ คนปกติยกไม่ขึ้นแต่อย่างใด การที่เจ้าของร้านเจตนาให้ลู่เจวี้ยนจึงแฝงนัยหยามเหยียด

    อยากได้เงินหรือ จงแบกไปเยี่ยงสัตว์เถิด!

    จางเสี่ยวจิ้งเดินขึ้นหน้าไป ทำท่าจะรับ เจ้าของร้านยิ้มหยาม ทว่ารอยยิ้มยังไม่ทันหายไปก็เห็นแสงขาววาบขึ้นเบื้องหน้าสายตา มีดแหลมคมเล่มหนึ่งค้ำอยู่บนลำคอมัน

    มิพักกล่าวถึงเจ้าของร้าน กระทั่งเหยาหรู่เหนิงก็ตกใจมาก เดิมมันเข้าใจว่านักโทษประหารคนนี้มีการคบหาอันใดกับเจ้าของร้าน คิดไม่ถึงว่าเปิดฉากก็ถึงกับลงมือเหี้ยมเกรียม เสียงเช้งดังขึ้น เหยาหรู่เหนิงชักดาบประจำกายออก แต่กลับไม่รู้ว่าควรคุ้มกันจางเสี่ยวจิ้ง หรือว่าควรห้ามมัน

    ยามนี้เหล่าคนงานของร้านกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามา เหยาหรู่เหนิงขวางดาบ ในใจหวาดหวั่น ตวาดเสียงเกรี้ยวกราดเลียนอย่างจางเสี่ยวจิ้ง “จิ้งอันซือออกปฏิบัติการ ทุกคนถอยไป!” คนงานกลุ่มนั้นก็ไม่กล้าบุกเข้ามา

    เสียงจางเสี่ยวจิ้งยังคงเย็นชา “คำถามของข้ายังไม่ได้เริ่มถาม”

    “หากกล้าแตะต้องข้าแม้แต่น้อยจะต้องถูกกระทืบตาย!” เจ้าของร้านอับอายกลายโทสะ

    จางเสี่ยวจิ้งก้มหน้าไปข้างหูเจ้าของร้าน “ไม่ขอปิดบัง ข้าเป็นนักโทษประหาร หากทำงานไม่สำเร็จ กลับไปก็มีแต่ทางตาย…เจ้าลองเดาดูว่าข้าจะทำเช่นใด”

    เจ้าของร้านมองตาข้างเดียวอันน่าสะพรึงกลัว ในใจหวาดหวั่น ที่มันหวาดกลัวที่สุดคือสุนัขบ้าที่ไม่ทำตามกฎระเบียบ หลังประกายตาแปรเปลี่ยนหลายครั้ง สุดท้ายได้แต่เอ่ยปาก “อยากถามอะไร”

    จางเสี่ยวจิ้งเลื่อนมีดออกเล็กน้อย “ระยะนี้เจ้าติดต่อกับชาวทูเจวี๋ยหรือไม่”

    เจ้าของร้านนึกประหลาดใจต่อคำถามนี้อยู่บ้าง ทว่าตอบอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่!”

    “ถ้าเช่นนั้นระยะนี้เจ้าได้ยินว่ามีคนทำการค้าใดติดต่อกับชาวทูเจวี๋ยหรือไม่”

    “ไม่เคยได้ยิน ชาวทูเจวี๋ยหรือ หายไปจากฉางอันนานแล้ว”

    ก่อนหน้านี้ในรัชศกเจินก้วน เผ่าทูเจวี๋ยเสื่อมถอยไปมาก หลังรัชศกเสี่ยนชิ่ง ทูเจวี๋ยตะวันตกก็แตกฉานซ่านเซ็น หลงเหลือเพียงไม่กี่เผ่าเร่ร่อนในดินแดนทุ่งหญ้าไปบ้างมาบ้าง ส่วนชาวทูเจวี๋ยที่อยู่ในฉางอันล้วนหลอมรวมเข้ากับชาวฮั่น นอกจากเชลยศึก ทูตกับบรรดาหัวหน้าเผ่าที่เข้าสู่ราชสำนักนครหลวงแล้ว ฉางอันก็ไม่ได้ยินชื่อทูเจวี๋ยมานานหลายปีแล้ว

    “มิสู้เรียกคนของเจ้ามาถาม บางทีพวกมันอาจจะรู้” จางเสี่ยวจิ้งยืนยัน

    เจ้าของร้านได้แต่เรียกพวกคนงานเข้ามา ถามทีละคนว่าได้ติดต่อกับชาวทูเจวี๋ยบ้างหรือไม่ ผลสุดท้ายแน่นอนว่าย่อมไม่มี จางเสี่ยวจิ้งโบกมือให้พวกมันกลับออกไป ถามต่อว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดในตลาดตะวันตกมีแผนที่ฟางของเมืองฉางอัน”

    เจ้าของร้านได้ยินก็รีบส่ายศีรษะไปมา “คนอื่นมีหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ว่าข้าไม่มี” มันบอกเพิ่มอีกว่า “นี่ฝ่าฝืนกฎบ้านเมือง เทียบเท่ากบฏ ผู้ใดกล้าลอบเก็บส่วนตัว”

    จางเสี่ยวจิ้งเก็บมีด ถอยหนึ่งก้าว “บอกเจ้าตามจริงเจ้าจะได้รู้ ระยะนี้มีชาวทูเจวี๋ยหลายคนลอบเข้าฉางอัน คิดก่อเรื่องวุ่นวายในเทศกาลซั่งหยวน เพียงยังขาดแผนที่ฟางของเมืองฉางอัน เจ้าไม่ลอบเก็บไว้สักชิ้นก็ดีแล้ว มิเช่นนั้น หลังเรื่องนี้ราชสำนักสอบสวนพบว่าเป็นผู้ใดลอบเก็บแผนที่ฟาง นั่นก็เป็นเภทภัยใหญ่หลวงโดยแท้”

    เช่นนี้เจ้าของร้านจึงเข้าใจแล้วว่าไฉนเจ้าหน้าที่ผู้นี้ลงมือร้อนรน ตวาดตะคอก ที่แท้มีสาเหตุนี้แฝงอยู่ มันเหยียดกายตรง เปลี่ยนท่าทีเป็นกังวลสนใจ “ข้าแม้เพียงเป็นคนทำการค้า หากก็มีใจรับใช้ตอบแทนราชสำนัก ไม่ทราบว่าชาวทูเจวี๋ยหลายคนนั้นรูปร่างหน้าตาเช่นไร ความเป็นมาเช่นไร จะได้ช่วยท่านจับตาดู”

    จางเสี่ยวจิ้งปฏิเสธอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องรู้ หากพบเห็นคนน่าสงสัย รีบแจ้งทางการก็ใช้ได้แล้ว…อ้อ เรื่องนี้เป็นความลับราชสำนัก ห้ามแพร่งพรายต่อผู้อื่น”

    “ย่อมไม่แพร่งพราย ไม่แพร่งพราย” เจ้าของร้านรับคำถี่ๆ ขณะกำลังจะเรียกหญิงรับใช้ยกฝิ่นสกัดมาสักหลายขวดให้เอาติดไม้ติดมือ พอเงยหน้า ทั้งสองคนก็ออกไปแล้ว เจ้าของร้านเห็นพวกมันไป เนื้อแก้มอวบอูมทั้งสองข้างพลันหดตัว เรียกคนสนิทมากระซิบข้างหูหลายคำ

    พวกจางเสี่ยวจิ้งออกมา ยืนอยู่ใต้ป้ายธงที่ตรงข้ามกับปากตรอกโค้ง เอ่ยกับเหยาหรู่เหนิง “เจ้าจำหน้าคนงานทุกคนในร้านเมื่อครู่ได้หรือไม่”

    เหยาหรู่เหนิงพยักหน้า

    จางเสี่ยวจิ้งกล่าวว่า “จับตาดูประตูหน้ากับประตูหลังของร้านให้ดี มีคนน่าสงสัยใดออกมา ให้ปู้เหลียงเหรินตลาดตะวันตกรับช่วงตามต่อ ดูว่าพวกมันเข้าร้านใด จำชื่อร้านไว้”

    เหยาหรู่เหนิงฟังแล้วจึงเข้าใจในบัดดล จางเสี่ยวจิ้งกำลังใช้แผนเคาะขุนเขาสะท้านพยัคฆ์ หลังก่อกวนไปเมื่อครู่ เจ้าของร้านย่อมตื่นตกใจ รีบไปเตือนพวกคนทำการค้าที่ลอบวาดแผนที่ฟาง…เมื่อเป็นเช่นนี้ เพียงจับตาคนนำสารของร้านโหรวจยาอวี้เจินก็สามารถรู้ว่าผู้ใดลอบเก็บแผนที่ฟาง มีคนของร้านนำทาง นี่ย่อมยุ่งยากน้อยกว่าตรวจค้นทีละบ้าน

    กระทำเช่นนี้ดูเหมือนหยาบเถื่อน ทว่าประหยัดเรี่ยวแรงที่สุด เหยาหรู่เหนิงพลันเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อจางเสี่ยวจิ้ง หากมิใช่เจ้าหน้าที่มือเก่าเจนจัดนานปีย่อมคิดแผนนี้ไม่ออก ระดับหนักเบายึดกุมได้พอเหมาะยิ่ง

    “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าร้านโหรวจยาอวี้เจินมีปัญหา” เหยาหรู่เหนิงถามอย่างอยากเรียนรู้

    จางเสี่ยวจิ้งตอบด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “สุ่มเลือก พ่อค้าใหญ่ในตลาดตะวันตกมีที่ทำการค้าซื่อตรงตามระเบียบไม่กี่คน”

    เหยาหรู่เหนิงอุทานเบาๆ “อา! หากว่าสุ่มเลือกผิดเล่า”

    “เช่นนั้นฉางอันทั้งเมืองย่อมพินาศ”

    “…”

    เหยาหรู่เหนิงเข้าใจว่าแม่ทัพจางกำลังเย้าเล่น ทว่าบนใบหน้าฝ่ายตรงข้ามไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย

    เหยาหรู่เหนิงเป็นคนจิงจี เมืองฉีโจว คนในตระกูลรุ่นต่อรุ่นล้วนเป็นมือปราบ บิดาและลุงต่างพลีชีพปราบโจรผู้ร้าย ต่อมาราชสำนักเมตตาเป็นกรณีพิเศษ ให้มันเลื่อนตำแหน่งมาเป็นขุนนางที่ฉางอัน ดังนั้นก่อนออกเดินทางมันประกาศคำสาบาน จะต้องเป็นขุนนางมือปราบแห่งฉางอันที่เหล่าคนโฉดชั่วได้ยินชื่อเป็นต้องหวาดหวั่นคร้ามกลัว ไม่เสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูล

    จางเสี่ยวจิ้งเป็นหัวหน้าปู้เหลียงเหรินเก้าปี ทั่วทั้งอำเภอวั่นเหนียนล้วนถูกสยบ ในสายตาเหยาหรู่เหนิงนับเป็นวีรบุรุษในดวงใจอันสมบูรณ์แท้ ก่อนมันออกเดินทางเคยได้ปลุกปลอบใจตนเอง ต้องเรียนรู้จากผู้อาวุโสผู้นี้ให้มากไว้ ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าอาจได้เป็นหัวหน้าปู้เหลียงเหรินหรือกระทั่งนายกองระดับอำเภอ คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพจางคนนี้ไม่เป็นเช่นที่ตนคิดไว้

    มือปราบอาวุโสในความคิดของเหยาหรู่เหนิงสมควรเพียบพร้อมคุณธรรมน่าเกรงขาม เปล่งประกายเจิดจ้าคล้ายดาบยาวม่อตาว อาชญากรล้วนยอมสยบ ทว่าแม่ทัพจางท่านนี้ไม่ว่าวาจาหรือการกระทำใดๆ ล้วนแฝงความชั่วร้าย บอกไม่ถูกว่าเป็นที่ใดชั่วร้าย รู้สึกเพียงว่าคล้ายนำพาบรรยากาศชวนให้หวาดหวั่นจากด้านมืด ทันใดนั้นมันคิดถึงวาจาที่หลี่ปี้กำชับก่อนออกมา ‘คนผู้นี้ให้จับตาแต่ไกล ไม่อาจสนิทสนมด้วย’ มิอาจไม่หนาวเหน็บหัวใจ

    เวลานี้จางเสี่ยวจิ้งพลันถาม “เจ้าเป็นมือปราบนานเท่าไรแล้ว”

    “อา…สามเดือนกับแปดวัน” เหยาหรู่เหนิงตอบ

    “เช่นนั้นข้าถามเจ้า เป็นมือปราบสมควรกระทำเช่นใด”

    “ชิงชังความชั่วดุจความแค้นของตนเอง!”

    จางเสี่ยวจิ้งส่ายหน้าไปมาด้วยความเสียดาย “เช่นนั้นก็มีชีวิตอยู่ในเมืองนี้ได้ไม่นาน”

    เหยาหรู่เหนิงลุกขึ้นยืน “ข้าเคารพท่านในฐานะผู้อาวุโส และชื่นชมวิธีการของท่าน แต่ท่านอย่าได้คิดใช้วาจาเช่นนี้ข่มขู่ข้าให้หนีไป ข้ายังคงจะทำหน้าที่ช่วยงานท่านต่อไป พร้อมกับรายงานความเคลื่อนไหวที่น่าสงสัยทั้งหมดต่อเบื้องบน นอกเสียจากท่านฆ่าข้าทิ้ง”

    พบคนหัวรั้นเยี่ยงนี้ จางเสี่ยวจิ้งก็จนปัญญา มันโบกมือเป็นนัยเชิญตามสะดวก ไม่พูดอันใดอีก

    บรรดาปู้เหลียงเหรินทยอยรวมตัวเข้ามา เหยาหรู่เหนิงสั่งการหลายคำ จู่ๆ พลันคิดถึงเรื่องปลีกย่อยได้อย่างหนึ่ง หันกลับมาถามว่า “แม่ทัพจาง ยามฉุกละหุกระดมพลได้จำกัด ร้านพวกนั้นปกติคนเข้าออกมากมาย ควรสะกดรอยเช่นไรดี”

    “สะกดรอยชาวหู เรื่องเช่นนี้พวกมันไม่เชื่อใจคนต่างเผ่า” จางเสี่ยวจิ้งตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

    ความจริงแต่ไรมาต้าถังล้วนไม่ใส่ใจเรื่องเชื้อชาติสายเลือด ชาวฮั่นชาวหูในฉางอันผสมกลมกลืนกัน ขุนนางบู๊บุ๋นที่ไม่ใช่คนจงหยวนก็มากมายนัก แม้ในหมู่คนของจิ้งอันซือก็พอมีเจ้าหน้าที่ชาวหูหลายคนที่เชี่ยวชาญการคำนวณหรือเรื่องการค้าต่างๆ กันไป กระนั้นพวกที่ยึดมั่นถือมั่นเรื่องสายเลือดคนฮั่นก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง

    “เกี่ยวพันถึงชาวหู จะแจ้งนายตลาดตะวันตกก่อนหรือไม่…” เหยาหรู่เหนิงเพิ่งออกความเห็นก็ถูกจางเสี่ยวจิ้งแทรกอย่างไม่เกรงใจทันที

    “เรื่องเฉพาะหน้า ข้าต้องการมือเท้า ไม่ใช่ปาก!”

    เหยาหรู่เหนิงไม่กล้าเสียเวลาอีก รับคำสั่งไปถ่ายทอดต่อทันที จิ้งอันซือไม่มีเจ้าหน้าที่ปู้เหลียงเหรินของตนเอง ปู้เหลียงเหรินล้วนเรียกตัวมาจากฟางและหน่วยงานราชการต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง จำเป็นต้องใช้เวลาอยู่บ้างกว่าจะมารวมตัวกันได้พอสมควร

    จางเสี่ยวจิ้งยืนอยู่ใต้ป้ายธง สองมือกอดอกนิ่ง สีหน้าเฉยเมย ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอันใด ยามนี้ดวงอาทิตย์ใกล้โคจรถึงกลางศีรษะแล้ว เวลากำลังผ่านไปเช่นแม่น้ำเว่ยสุ่ยไหลรี่รวดเร็ว ตาข้างเดียวของมันจ้องมองหอสังเกตการณ์ที่ไกลออกไปไม่วางตา บนหอสังเกตการณ์เงียบสงบ ยังไม่มีธงใดๆ โบก

    ข่าวที่มันรอคอยอีกข่าวหนึ่ง ถึงบัดนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหว

     

    เวลาเดียวกันนี้เอง จิ้งอันซือที่ห่างจากตลาดตะวันตกเพียงหนึ่งฟางกั้นกำลังวุ่นวายกับงานอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    ขุนนางเจ้าหน้าที่ทั้งหมดต่างก้มหน้าอยู่กับม้วนหนังสือจำนวนมหาศาล ในตำหนักได้ยินเพียงเสียงเปิดม้วนเอกสาร

    พวกคนรับใช้หอบม้วนหนังสือจากภายนอกเพิ่มเข้ามาอีกไม่หยุดหย่อน กองไว้หน้าโต๊ะเจ้าหน้าที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ พวกมันจะถูกกางออก เสียบบนชั้นไม้ไผ่ เช่นนี้แล้วย่อมสามารถกวาดตาอ่านโดยตรง ไม่ต้องเสียเวลากางม้วนหนังสือ

    แต่ละคนต่างมีชั้นเสียบสามชั้น ชั้นหนึ่งใช้กางม้วนหนังสือ ชั้นหนึ่งใช้อ่านมอง ชั้นหนึ่งใช้ปลดม้วนหนังสือ เพื่อประกันว่าเงยหน้าเมื่อไรล้วนมีเอกสารให้อ่านได้ทันที

    พวกมันจำเป็นต้องกระทำงานที่ทั้งง่ายและลำบากงานหนึ่งให้เสร็จภายในสองเค่อ

    หลังรัชศกไคหยวน การค้าระหว่างทูเจวี๋ยกับต้าถังขาดช่วงยาวนาน ทว่าสินค้าจากทั้งสองฝ่ายหาได้ขาดหายไปเพราะเหตุนี้ไม่ พ่อค้าแดนประจิมหัวแหลมเห็นโอกาสค้าขายนี้แต่แรกแล้วจึงลอบสร้างเส้นทางค้าขายทางอ้อมขึ้นมา พวกมันรับซื้อสินค้าจำพวกเนื้อสัตว์แปรรูปและขนสัตว์จากดินแดนทุ่งหญ้า แอบอ้างเป็นสินค้าจากแดนประจิม นำเข้าในฉางอัน จากนั้นขนแพรฝ้ายชาเกลือจากฉางอันลัดเลาะออกไปสู่ดินแดนทุ่งหญ้า พ่อค้าใหญ่ชาวหูในฉางอันจำนวนไม่น้อยล้วนผูกสัมพันธ์การค้าซับซ้อนกับชาวทูเจวี๋ย

    หลี่ปี้นำหนังสือผ่านด่านของขบวนพ่อค้าที่เข้าออกฉางอันภายในห้าปีนี้มาทั้งหมด จุดสำคัญตรวจสอบจำนวนเข้าออกของสินค้าสี่ประเภท ได้แก่ หนังแกะ เอ็นวัว เกลือ เครื่องเหล็ก สองอย่างแรกเป็นสินค้าพื้นถิ่นของดินแดนทุ่งหญ้า สองอย่างหลังเป็นสินค้าที่ดินแดนทุ่งหญ้าต้องการอย่างยิ่ง พ่อค้าคนใดมีสินค้าผ่านมือยิ่งมาก แสดงว่าติดต่อใกล้ชิดกับชาวทูเจวี๋ย…หมายความว่ามีโอกาสสูงที่เฉาพั่วเหยียนจะไปหาพ่อค้าคนนั้น

    นี่เป็นแผนซึ่งจางเสี่ยวจิ้งบอกต่อหลี่ปี้ก่อนมันออกจากจิ้งอันซือ

    ยามปกติตรวจสอบยอดตัวเลขเหล่านี้ กรมทะเบียนราษฎร์ต้องก้มหน้าก้มตาตรวจสอบนานหลายวันกว่าจะได้ผลลัพธ์ ทว่ายามนี้เวลามีค่ากว่ามุกหยก หมู่คนที่คลุกคลีอยู่กับหนังสือบันทึกเหล่านี้ซึ่งยืมตัวมาจากกรมต่างๆ จึงได้แต่ทุ่มสุดชีวิต ชั้นไม้ไผ่จวนจะไม่พอใช้

    แม้หลี่ปี้ไม่ได้ร่วมตรวจสอบตัวเลขกับพวกมัน แต่เดินมือไพล่หลังกลับไปกลับมาระหว่างโต๊ะหนังสือไม่หยุด คล้ายราชบัณฑิตเฒ่าแห่งสำนักบัณฑิตหลวง ผ่านไปครู่ใหญ่ มันกวาดตามองนาฬิกาน้ำมุมตำหนักแวบหนึ่ง จากนั้นส่ายศีรษะอย่างกลัดกลุ้มใจ เดินวนกลับไปด้านหน้าโต๊ะทราย

    “ถานฉี เจ้าเห็นว่าจางเสี่ยวจิ้งผู้นี้เป็นเช่นไร” หลี่ปี้จู่ๆ ก็ถามขึ้น

    ถานฉีกำลังวางรายงานล่าสุดจากหอสังเกตการณ์ลงบนโต๊ะทราย ได้ยินหลี่ปี้ถามมิอาจไม่ย่นจมูกอย่างรังเกียจ “เนื้อหน้าเกิดแต่เนื้อใจ ข้าว่ามันก็คือเติงถูจื่ออัปลักษณ์ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณชายไฉนนำอนาคตไปผูกไว้กับนักโทษประหาร”

    ถานฉีมีเลือดผสมฮั่นและหู สันจมูกสูงโด่ง นัยน์ตาสีอำพันอ่อน นางเป็นเด็กรับใช้ที่เกิดในบ้านหลี่ปี้ มารดาเป็นคนเสี่ยวป๋อลวี่ เติบโตมาในบ้านตระกูลหลี่ ฉลาดหลักแหลมรอบรู้ หลี่ปี้ไว้วางใจมาก ยามสนทนาวาจามักไม่สำรวมนัก

    ได้ยินคำถามของถานฉี หลี่ปี้ใช้ปลายนิ้วเคาะพื้นโต๊ะ “เมื่อครั้งจักรพรรดิไท่จงทรงช่วยชีวิตหลี่เว่ยกงจากลานประหาร เคยตรัสว่าใช้คนมีความชอบมิสู้ใช้คนต้องทัณฑ์ จักรพรรดิไท่จงทรงสามารถใช้สอยหลี่เว่ยกง ไฉนข้าจะไม่สามารถบงการคนผู้นี้”

    ถานฉีเหยียดปาก “มันมีที่ใดคู่ควรให้เปรียบกับหลี่เว่ยกง”

    “ข้าเห็นมันลอบมองเจ้าตลอดเวลา เจ้าอย่าเลียนเยี่ยงแม่นางหงฝูเชียวนะ”

    “…” ถานฉีหน้าแดงกะทันหัน ไม่รู้จะว่ากล่าวอย่างไรต่อ ได้แต่ถลึงตาค้อนใส่ หลี่ปี้หัวร่อ ความเหน็ดเหนื่อยคลายลง ทันใดนั้นพลันถอนใจแผ่วเบา

    “หากเจ้ารู้ความเป็นมาของมันก็ไม่กล่าวเช่นนี้แล้ว”

    “หรือเป็นยักษ์มารกลับมาเกิดใหม่” ถานฉีเหยียดมุมปาก

    หลี่ปี้เล่า “สมัยรัชศกไคหยวนที่ยี่สิบสาม ซูลู่ข่านทูเจวี๋ยแห่งเผ่าทูฉีซือยกทัพมาล้อมตีเมืองปัวฮ่วนของอันซี ขณะนั้นทางเหนือของเมืองปัวฮ่วนสามสิบลี้มีป้อมหอควันหนึ่งป้อม ทหารสองร้อยยี่สิบนาย พวกมันปิดป้อมต้านรับทัพใหญ่ทูเจวี๋ย ต้านทานได้ถึงเก้าวัน รอเมื่อกองกำลังรักษาเขตแดนเป่ยถิงของเก่อจยาอวิ้นนำทัพมาถึง ในเมืองก็เหลือรอดชีวิตเพียงสามคน ทว่ายังรักษาธงชัยประจำทัพเอาไว้มิให้ล้มลง…จางเสี่ยวจิ้งก็คือหนึ่งในสามคนที่โชคดีรอดชีวิต”

    ถานฉีตกใจมาก ใช้แขนเสื้อปิดปาก ลำพังเพียงคำบอกเล่าที่ไม่เติมแต่งหลายคำนี้ก็รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดน่าอนาถ

    “จางเสี่ยวจิ้งกลับมาพร้อมกับความดีความชอบ ได้เลื่อนเป็นนายกองทหารม้า หากยินยอมอดทนบากบั่นในกองทัพสักหลายปี ย่อมสามารถสลัดชุดทหารขึ้นเป็นขุนนาง อนาคตรุ่งเรือง น่าเสียดายมันขัดแย้งกับผู้เป็นนาย ได้แต่ออกจากกองทัพ ย้ายชื่อออกมาเป็นหัวหน้าปู้เหลียงเหรินของอำเภอวั่นเหนียน ทำงานยาวนานถึงเก้าปี ครึ่งปีก่อนมันถูกจองจำเนื่องจากฆ่านายตนเอง”

    ถานฉีสูดหายใจอย่างสะท้านขวัญ ผู้บังคับบัญชาของหัวหน้าปู้เหลียงเหริน นั่นมิใช่นายกองประจำอำเภอของอำเภอวั่นเหนียนหรอกหรือ ล่างฆ่าบน เจ้าหน้าที่ฆ่าขุนนาง นั่นเป็นโทษมหันต์ เป็นหนึ่งในสิบโทษร้ายแรงที่ไม่อาจอภัยของกฎหมายต้าถัง

    “มันไฉนจึงฆ่าหัวหน้าของตน” นางถาม ทว่าหลี่ปี้เพียงส่ายหน้าเล็กน้อย ถานฉีรู้จักนิสัยของคุณชาย ไม่สมควรพูดย่อมมิพูดเด็ดขาด จึงเปลี่ยนคำถาม

    “เหตุใดคุณชายจึงเลือกคนอันตรายเยี่ยงนี้”

    หลี่ปี้ยกฝ่ามือขึ้นตะปบคว้าอากาศ “มีเพียงคนอันตรายที่สุดจึงสามารถกระทำงานยากลำบากที่สุดได้สำเร็จ บัดนี้ฉางอันอันตรายดั่งตั้งไข่ซ้อน มิอาจไม่ลงยาร้อนที่สุด แรงที่สุด”

    ถานฉีทอดถอนใจรำพึง “แต่ไรมาข้ามิเคยสงสัยสายตาคุณชาย เพียงแต่ผู้คนรอบข้างจะคิดเช่นไร อีกทั้งผู้ตรวจการเฮ่อจะคิดเช่นไร ยังมีคนในวังท่านนั้น…เพื่อท่านผู้นั้น คุณชายแบกรับทุกสิ่งไว้กับตัวเองมากเกินไปแล้ว”

    นางรู้จักราชสำนักต้าถังอย่างลึกซึ้งมาก สถานที่เช่นจิ้งอันซือนี้เป็นเป้าโดยธรรมชาติ หากบังเกิดเรื่องผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ผู้ดูแลก็ต้องเผชิญหอกแจ้งธนูลับนับไม่ถ้วน

    หลี่ปี้ขวางแส้ปัดไว้กับข้อศอก ประกายตาเด็ดเดี่ยว “จะเพื่อท่านผู้นั้นก็ตาม เพื่อประชาราษฎร์ก็ตาม เมืองฉางอันนี้ต้องมีสักคนหนึ่งปกปักรักษา…นอกจากข้ายังจะมีผู้ใดมีทั้งปัญญากับความกล้าเยี่ยงนี้ แม้ข้าเป็นผู้บำเพ็ญพรตก็มีจิตใจช่วยเพื่อนมนุษย์เช่นกัน ปณิธานของข้าผู้คนทั้งหลายไม่จำเป็นต้องล่วงรู้”

    จังหวะนี้สวีปินคว้ากระดาษใบหนึ่งวิ่งร้อนรนเข้ามาหา ปากร่ำร้องว่า “รายชื่อออกมาแล้ว!”

    พวกสวีปินสร้างเรื่องมหัศจรรย์ไม่ใหญ่ไม่เล็กขึ้นจนได้ ถึงกับคัดรายชื่อออกมาได้ภายในสองเค่อจริงดังคำสั่ง รายชื่อมีอยู่เจ็ดแปดชื่อ ล้วนเป็นร้านค้าชาวหูที่มีสินค้าสี่ชนิดเข้าออกค่อนข้างมากในห้าปีนี้ จัดเรียงตามจำนวน

    หลี่ปี้เพียงกวาดตามองรายชื่อแวบหนึ่งแล้วสั่งการทันที “ถ่ายทอดคำสั่งไปหอ…ไม่ได้ หอสังเกตการณ์ถ่ายทอดช้าเกินไป…ตอนนี้จางเสี่ยวจิ้งอยู่ที่ใด”

    ถานฉีรู้ว่าคุณชายเข้าสู่สภาวะทำงานแล้ว นางหยุดยิ้มแย้มทันที ชี้ไปที่โต๊ะทราย “ตลาดตะวันตกสี่แยกที่สอง หน้าตรอกโค้งฟากเหนือ เหยาหรู่เหนิงอยู่ด้วยกับมัน”

    บนโต๊ะทราย แทนตัวจางเสี่ยวจิ้งคือตุ๊กตาสีเทาเดียวดายตัวหนึ่ง แตกต่างกับตุ๊กตาดินเผาสีแดงที่แทนกองพลหลี่ว์เปิน และตุ๊กตาดินเผาสีดำแทนนักรบสุนัขป่า

    “ใช้ม้าเร็ว ส่งรายชื่อชุดนี้ไปให้มัน” หลี่ปี้สั่งการ

    ระเบียงทางเดินมีม้าเร็วประจำการ เตรียมพร้อมรับคำสั่ง ใช้สำหรับส่งข่าวเนื้อหาซับซ้อนโดยเฉพาะ รายชื่อถูกบรรจุเข้ากระบอกรูปปลาอย่างรวดเร็ว ม้าเร็วสอดเข้าในแขนเสื้อ เหยียบโกลน พุ่งทะยาน เสียงฝีเท้าม้าไกลออกไปอย่างรวดเร็ว

    ในเวลาเดียวกันนั้น เหล่าพลส่งสารก็เข้ามา พอดีเบียดสวนกับม้าเร็ว

    “รายงาน ผู้ตรวจการเฮ่อย้อนกลับมา” พลังปอดของมันกล้าแข็ง ยามกล่าวชื่อพลังเสียงเต็มเปี่ยม

    หลี่ปี้ขมวดคิ้ว ผู้อาวุโสไฉนกลับมาเร็วปานนี้ นี่ไม่ปกติ มันมองถานฉีแวบหนึ่ง นางเข้าใจนัยแฝง เคียวไม้ผลักตุ๊กตาดินเผาสีเทาตัวแทนจางเสี่ยวจิ้งออกจากโต๊ะทรายทันที

    พลส่งสารส่งมอบสารที่เพิ่งส่งมาถึงหลายฉบับ ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องให้หลี่ปี้อ่านแล้วลงนามรับ มันอ่านพลางลงนามไปพลาง ทันใดนั้นหัวคิ้วเลิกสูง ดึงออกมาหนึ่งฉบับ ส่งให้เจ้าหน้าที่ผู้น้อยคนหนึ่งที่ด้านข้างทันที กระซิบสั่งหลายคำ

    หลี่ปี้เพิ่งสั่งการเสร็จ เฒ่าแซ่เฮ่อเดินเร่งร้อนเข้ามาในตำหนัก วาจาแรกก็โพล่งถามว่า

    “ฉางหยวน ท่านถึงกับเรียกใช้สอยนักโทษประหาร?”

     

    เหวินหรั่นตบเศษเทียนในมือทิ้งไป ขยับป้ายวิญญาณของบิดา จากนั้นถอนใจแผ่วเบาครั้งหนึ่ง “วันนี้เป็นเทศกาลซั่งหยวนนะ จะไปจริงหรือ”

    ในบ้านไม่มีผู้อื่น นางเพียงกำลังพึมพำกับตัวเอง

    เมื่อครู่มีคนมาส่งสารโข่วซิ่น ในโข่วซิ่นแฝงรหัสลับเอาไว้ นางรู้ว่าเป็นผู้มีพระคุณส่งมา

    โข่วซิ่นว่าให้นางรีบไปจากฉางอันทันที ทว่าไม่บอกรายละเอียด นี่ทำให้เหวินหรั่นค่อนข้างลำบากใจ นับแต่บิดาตาย นางตัดสินใจรับสืบทอดร้านเครื่องหอมนี้ ตัวคนเดียวกัดฟันบากบั่นรักษาร้าน อาศัยความเด็ดเดี่ยวกับความดื้อรั้น ทุกวันนี้การค้าของนางกำลังไปได้ดี เทศกาลซั่งหยวนทุกหนแห่งล้วนต้องการใช้เครื่องหอม เป็นเวลาหาเงินทำกำไรอันดี หากตนเองจากไปตอนนี้ก็ได้กำไรน้อยลง

    ทว่านี่เป็นคำสั่งของผู้มีพระคุณ เหวินหรั่นมิอาจไม่เชื่อฟัง หากมิใช่เพราะผู้มีพระคุณ ปีก่อนบ้านสกุลเหวินก็ย่อยยับไปนานแล้ว ยามบิดามีชีวิตอยู่ย้ำหนักแน่นให้นางต้องเชื่อฟังกระทำตามคำผู้มีพระคุณ

    นางทอดถอนใจอีกคำรบ จัดแจงห่อสัมภาระเสร็จสิ้นแล้วจึงเงยหน้ามองป้ายสินค้าบนผนังแวบหนึ่ง ป้ายไม้มากมายหนาแน่น แต่ละป้ายแทนใบสั่งจองสินค้าจำนวนมาก เหวินหรั่นรู้จักตัวหนังสือไม่มาก จดบัญชีไม่เป็น ได้แต่ใช้วิธีนี้บันทึกการค้า นางเห็นหนึ่งในป้ายไม้นั้นเขียนอักษร ‘หวัง’ ด้านข้างแต้มหมึกสีชมพูสิบสองจุด

    นี่เป็นคุณหนูใหญ่ของจวนแม่ทัพเจี๋ยตู้สื่อแห่งอันเหรินฟาง สั่งซื้อเครื่องหอมอวิ๋นเซียงสยบเทพชั้นเลิศสิบสองชิ้น กำหนดส่งไปวันนี้

    เหวินหรั่นขมวดคิ้วเรียวบางงดงามทั้งสองข้าง ใบสั่งจองสินค้ารายการนี้สำคัญต่อร้านเครื่องหอมเหวินจี้มาก คุณหนูท่านนั้นชมชอบเครื่องหอมของร้านยิ่งนัก ต้องการของใหม่จำนวนหนึ่ง หากสามารถสร้างความพึงพอใจ ภายภาคหน้าร้านของนางย่อมมีชื่อเสียงในหมู่สตรีชั้นสูง

    อันเหรินฟางอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของตุนอี้ฟาง คั่นด้วยถนนใหญ่สามสาย ไม่นับว่าห่างมาก เหวินหรั่นคิดว่าส่งสินค้านี้ไปก่อนแล้วจึงออกจากเมืองก็ยังไม่สาย

    เมื่อนางตัดสินใจแล้วจึงหันกลับไปหยิบอวิ๋นเซียงวางลงบนชั้นวางที่สานจากไม้ไผ่ แบกขึ้นหลังเดินออกไป เดิมเหวินหรั่นคิดเช่าล่อสักหนึ่งตัว ทว่าวันนี้เป็นวันฉลองเทศกาล สัตว์พาหนะของร้านขนส่งละแวกนี้ล้วนถูกจองหมดสิ้น เพิ่มราคาให้แล้วก็ยังไม่มีให้เช่า จนปัญญา ได้แต่แบกชั้นวางเครื่องหอมเดินไปเอง

    ราษฎรตามถนนยามนี้ค่อนข้างมาก นางเบียดเสียดอยู่ในหมู่คน ฝืนเดินไปถึงฉงเยี่ยฟางก็เดินต่อไปไม่ได้แล้ว ที่นี่เป็นที่ตั้งของอารามเสวียนตู ขุนนางและผู้สูงศักดิ์จำนวนมากมากราบไหว้สักการะ รถเทียมวัวเทียมม้าต่างๆ มากมายอออยู่ปากฟาง อัดแน่นบนถนน น้ำยังมิอาจลอด ชาวบ้านได้แต่หยุดเท้า อดทนรอ

    เหวินหรั่นยืนนิ่งรออยู่ในฝูงชน ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าฝั่งตรงข้าม ที่ชั้นสองของร้านสุราหัวมุมหนึ่งในไหวเจินฟาง สายตาชั่วร้ายน่าสะพรึงกำลังมองข้ามถนนกว้าง กวาดไปมาบนร่างนาง

    บุรุษวัยกลางคนสวมชุดขุนนางยาวสีเขียวอ่อนละสายตากลับ ยกจอกสุราขึ้นเชื่องช้า สองตาของมันเล็กหยี จมูกดั้งโด่งปลายงุ้ม ยามขยับริมฝีปากจะดึงปีกจมูกและหนังตา มองคล้ายมีงูตัวหนึ่งเลื้อยอยู่ใต้หนังตา

    “สตรีนางนั้น พวกเจ้าเห็นหรือไม่” มันจิบสุราคำหนึ่ง ถามน้ำเสียงเรียบเฉย

    เด็กหนุ่มในชุดแพรปักลายหลายคนที่ยืนข้างๆ ได้ยินคำถามก็พากันพยักหน้า

    บุรุษวัยกลางคนเอ่ยอย่างเคืองแค้น “คดีนางกับบิดานางปีที่แล้วกระทำจนเดือดร้อนใหญ่หลวง กระทั่งนายกองประจำอำเภอก็ต้องตาย ในเมื่อวันนี้ถูกข้าพบเข้า นี่นับเป็นเจตนาสวรรค์ แค้นนี้หากไม่ชำระ ผู้อื่นจะว่าข้าเฟิงต้าหลุนข่มเหงได้ง่าย…อีกสักครู่พวกเจ้าต้องดูแลนางให้ดี”

    เหล่าเด็กหนุ่มในชุดแพรปักลายพากันหัวเราะฮ่าๆ ประกายตาลามกหยาบช้า

    เฟิงต้าหลุนวางจอกสุรา “พวกเจ้าวางใจ ลงมือได้เต็มที่ พญายมจางอยู่ในคุกรอความตาย ครั้งนี้ผู้ใดก็ปกป้องนางไม่ได้” เมื่อเอ่ยชื่อนี้ ความหวาดกลัวกับความแค้นวาบขึ้นในประกายตามัน กระทั่งตัวเองก็ระบุได้ไม่ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกใดรุนแรงยิ่งกว่า มันโบกมือ หวังขับไล่ความรู้สึกชวนให้ไม่สบายใจนี้เสีย

    “ยังมัวยืนทำอันใด ยังไม่รีบลงมือ?”

    อันธพาลชุดแพรปักลายประสานมือลา วิ่งตึงตังลงไปชั้นล่าง

    เหวินหรั่นเบียดออกจากฉงเยี่ยฟางอย่างทุลักทุเล เดินมาตามถนนได้ช่วงหนึ่ง นางพลันพบว่ารอบกายเต็มไปด้วยอันธพาลหนุ่มหลายคน คนเหล่านี้แต่ละคนเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย อกเสื้อแบะออก ใต้ช่วงคอมองเห็นรอยสักสีเข้มหลายรอย

    เหล่าอันธพาลแรกเริ่มเพียงเดินโฉบไปมาอยู่ระยะใกล้ ต่อจากนั้นแต่ละคนสีหน้าเรียบเฉยประชิดเข้า เบียดคนเดินถนนอื่นๆ ออกไป ไม่นานนักด้านหน้าด้านหลังเหวินหรั่นล้วนถูกพวกมันยึดครอง แม้คนเหล่านี้เดินห่างกันระยะหนึ่ง ทว่าเรียงรายเป็นกำแพงมนุษย์ แกร่งมิอาจทลาย ปิดล้อมนางอยู่ภายในวงล้อม

    เหวินหรั่นรู้สึกไม่ถูกต้องอยู่บ้าง คิดแหวกออกไปด้านนอก คนหนุ่มอันธพาลเหล่านี้หัวร่อเย้านาง ขวางนางไว้ ใช้ไหล่กับแขนดันนางกลับไป เหวินหรั่นเดือดดาลมาก คว้าแขนคนหนึ่งในนั้นออกแรงผลัก ทว่าผลักไม่ไป กลับดึงชุดยาวลงมา เผยให้เห็นแขนสีดำทั้งสองแขน

    บนทั้งสองแขนของมันผู้นั้นสักอักขระสีเข้มบิดเบี้ยวข้างละหนึ่งแถว ‘เป็นมิกลัวจิงจ้าว ตายมิเกรงพญายม’

    นี่…นี่คือสัญลักษณ์ของพรรคเพลิงอัคคี! พรรคนี้ยึดครองอำเภอวั่นเหนียน เลี้ยงอันธพาลนักเลงหนุ่มๆ ไว้หลายร้อยคน เบาก็ทุบตีข่มเหง หนักก็ฆ่าคนปล้นชิง วันๆ เที่ยวอาละวาดตามท้องถนน ก่อกรรมทำเข็ญ กระทำเรื่องเหี้ยมโหดตามอำเภอใจ

    หรือว่า…นี่ก็คืออันตรายที่ในโข่วซิ่นของผู้มีพระคุณกล่าวถึง ทว่าเหวินหรั่นไม่เข้าใจว่าคนของพรรคเพลิงอัคคีไฉนมารังควานนาง

    เหวินหรั่นคล้ายตกลงไปในกระแสอันไหลแรง ไม่เป็นตัวของตัวเองแม้แต่น้อย ถูกกำแพงมนุษย์หนีบไว้ ไหลไปยังที่รกร้างด้านเหนือ เหวินหรั่นกัดฟันสู้ ดวงตามองผ่านช่องกำแพงมนุษย์ออกไปตลอดเวลา ทันใดนั้นนางเห็นมุมฟางด้านหน้ามีพลเฝ้าระวังหลายนายถือสองง่ามกำลังนั่งพักอยู่หน้าร้าน นางเร่งฝีเท้าชนอันธพาลคนหนึ่งออกไป วิ่งไปหาพลเฝ้าระวังพลางร้องตะโกน

    เหล่าพลเฝ้าระวังได้ยินเสียงร้องก็พากันคว้าสองง่าม ทว่าเมื่อพวกมันเห็นด้านหลังแม่นางมีอันธพาลสิบกว่าคนเดินตามมา สองแขนของแต่ละคนสักตัวอักษร ต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน เด็กหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ทางการไม่หวาดไม่เกรง ประสานมือกล่าวว่า “สตรีในบ้านไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน ทำให้นายท่านทั้งหลายขบขันแล้ว” กล่าวจบปลดเงินหลายพวงจากเอวส่งให้

    วาจานี้ล้วนเป็นเท็จ ทว่าเหล่าพลเฝ้าระวังกลับไม่คิดถามไถ่มากความ รับเงินไปก่อนจะพากันถอย พวกมันหัวร่อคิกคัก ฉุดเหวินหรั่นที่สิ้นหวังกลับเข้าในกำแพงมนุษย์ รถม้ามีประทุนโดยสารคันหนึ่งจอดอยู่ตรงทางแยกด้านหน้า หน้าต่างสองบานถูกผ้าดำปิดไว้ อันธพาลทั้งกลุ่มผลักและดันตัวนางขึ้นไปบนรถ จากนั้นสองคนกระโดดขึ้นไป ปิดประตูแน่นหนาจากด้านใน

    รถม้าแล่นออกช้าๆ เหวินหรั่นในความมืดหวาดกลัวมาก ทว่าไร้หนทางหลบหนี เวลาผ่านไปไม่นาน ทันใดนั้นเสียงระฆังกังวานดังมาจากนอกรถ เสียงระฆังนี้พิเศษมาก ในความกังวานแฝงความสดใส ได้ยินก็รู้ว่ามาจากระฆังพุทธการุณย์ทองม่วงแห่งวัดภิกษุณีจี้ตู้ จักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียนเคยบวชอยู่ที่นี่ ระฆังวัดหลอมจากโลหะชั้นเลิศ เสียงระฆังจึงต่างจากวัดอื่น

    เสียงระฆังนี้ทำให้ใจเหวินหรั่นสงบลงทันที

    หาใช่เพราะธรรมะไร้ขอบเขต หากแต่เพราะนางพลันคิดได้ว่า ความหวังยังไม่สิ้น

    วัดภิกษุณีจี้ตู้ตั้งอยู่ในอันเยี่ยฟาง เหวินหรั่นมากราบไหว้ที่นี่เนืองๆ คุ้นเคยถนนหนทางละแวกใกล้เคียงยิ่งนัก พลันที่นางได้ยินเสียงระฆังก็ระบุตำแหน่งที่อยู่ในเวลานี้ของตนได้ทันที บริเวณฟากตะวันตกของอันเยี่ยฟาง ใกล้อันเหรินฟางที่ตั้งใจจะไปมาก ระหว่างกลางมีเพียงถนนจูเชวี่ยกั้นเท่านั้น

    ถนนจูเชวี่ยเป็นถนนใหญ่แนวทิศใต้ทิศเหนือผ่ากลางเมืองฉางอัน กว้างราวหนึ่งร้อยก้าว ตรงสู่เขตพระราชฐานวังหลวง หากมีโอกาสวิ่งบนทางเสด็จส่วนพระองค์ ไม่แน่ว่าอาจสามารถหนีพ้นอันตราย

    เหวินหรั่นคิดเช่นนี้ แผ่นหลังพิงผนังห้องรถ เหยียดกายตรง มือนางในความมืดกระทบตะปูตัวหนึ่งที่คลายออกจากร่องพื้น

    นิสัยนางมิเคยยอมพ่ายแพ้โดยง่าย

     

    เสียงร้องเจ็บปวดอนาถที่ถูกข่มกลั้นถึงขีดสุดพลันดังสะท้าน ร่างเฉาพั่วเหยียนเกร็งเหยียดไปด้านหน้า สองตาแดงฉาน ท่อนไม้ในปากเกือบถูกกัดขาด

    ก้านศรสีดำเมื่อมท่อนหนึ่งถูกปลายมีดในมือช่างไผ่งัดออก เลือดสดฉีดพุ่งกระจาย จากนั้นมันวางมีดลง เย็บแผล พอกยา พันผ้าอย่างคล่องแคล่ว

    “ศรไม่มีหัว อันตรายไม่ถึงชีวิต เพียงแต่แขนใช้การไม่ได้หลายเดือน” ช่างไผ่อธิบาย ล้างเลือดบนมือในกะละมัง หน้าผากเฉาพั่วเหยียนผุดเหงื่อเปียกชุ่ม พยักหน้าอย่างอ่อนล้า

    เวลานี้ เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกประตู บุรุษหน้าดำคร่ำเครียดผู้หนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนี้ใบหน้าเป็นชาวทูเจวี๋ยขนานแท้ หน้ายาวเรียวเยี่ยงม้าเต็มไปด้วยริ้วรอยหยาบกร้านกับคิ้วดกขาวสองข้าง มันสวมชุดยาวแพรสีขาว แบบมิคล้ายภาคกลาง และก็ไม่เหมือนชุดคนนอกด่าน มีผ้าเย็บเป็นหมวกทรงกระบุงที่ท้ายทอยของชุด

    “ท่านโย่วซา” เฉาพั่วเหยียนกับช่างไผ่โค้งกายคารวะพร้อมกัน

    โย่วซามิใช่ชื่อคน หากแต่เป็นตำแหน่งขุนนางของทูเจวี๋ย ยามแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ออกปกครอง ฟากตะวันออกเรียกจั่วซา ฟากตะวันตกเรียกโย่วซา กุมอำนาจยิ่งใหญ่ บุคคลยิ่งใหญ่เยี่ยงนี้ถึงกับซ่อนตัวในเมืองฉางอัน หากถูกราชสำนักต้าถังรู้เข้าต้องเดือดร้อนใหญ่หลวงแน่นอน

    โย่วซากวาดตามองบาดแผลที่แขนเฉาพั่วเหยียนแวบหนึ่ง “ข้าเพิ่งได้รับข่าวซึ่งยืนยันแล้ว นักรบสิบห้านายที่เจ้านำมาด้วยล้วนไปเกิดใหม่แล้ว”

    โครม! เสียงเฉาพั่วเหยียนคุกเข่ากระแทกพื้น ละอายใจมาก คว้ามีดแหลมที่ด้านข้างขึ้นมาจ่อทรวงอก “ล้วนเป็นความผิดของผู้น้อย ยินยอมใช้ความตายไถ่โทษ”

    นักรบสุนัขป่าเป็นทหารองครักษ์ที่จงรักภักดีที่สุดของต้าข่าน พวกมันรับบัญชาเข้าฉางอันก็มิคิดมีชีวิตกลับคืนดินแดนทุ่งหญ้า ทว่าชีวิตนักรบสุนัขป่าเหล่านี้เดิมสมควรแลกด้วยเลือดของชาวฮั่นหลายร้อยคนจึงนับว่าได้จงรักภักดีต่อต้าข่านถึงที่สุด ตายอยู่ในโรงเก็บสินค้ารกร้าง สูญเปล่าโดยแท้

    โย่วซายิ้มเย็นชาพลางเอ่ย “ชีวิตของเจ้าเป็นของต้าข่าน มีสิทธิ์อันใดตัดสินด้วยตนเอง” มันกระชากมีดจากมือเฉาพั่วเหยียน โกนผมกลางกระหม่อมเฉาพั่วเหยียนออกหนึ่งปอยพันบนข้อมือ…ในดินแดนทุ่งหญ้าการทำเช่นนี้หมายถึงรับเอาวิญญาณของผู้ต้องโทษทัณฑ์ นับจากนี้เป็นต้นไป เฉาพั่วเหยียนตายโดยสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงร่างว่างเปล่าที่กระทำตามคำสั่งเท่านั้น

    “จากนี้ไปเจ้าจงนำคำสั่งทั้งปวงของข้าไปทำให้สำเร็จจึงจะอนุญาตให้ตายได้”

    หัวเฉาพั่วเหยียนก้มต่ำมาก ปราศจากวาจาแม้แต่คำเดียว โย่วซาผู้นี้สืบสายเลือดขัตติยะตระกูลอาสื่อน่า เป็นผู้บัญชาการปฏิบัติการฉางอันครั้งนี้ของทูเจวี๋ย และเป็นตัวแทนพระประสงค์ของต้าข่าน ความประสงค์ของมันก็คือชะตาชีวิตของเฉาพั่วเหยียน

    โย่วซาโยนมีดทิ้ง ยกมือออกคำสั่ง “เรื่องแผนที่ฟางเจ้าไม่ต้องกระทำแล้ว ข้าส่งผู้อื่นไปแล้ว ตอนนี้มีอีกงานหนึ่งมอบให้เจ้า”

    “อา…” เฉาพั่วเหยียนเงยหน้า

    โย่วซากล่าว “เพิ่งได้รับข่าวมาว่าบัดนี้เลือดเนื้อเชื้อไขของหวังจงซื่อแม่ทัพเจี๋ยตู้สื่อแห่งซั่วฟางพอดีอยู่ในนครหลวง เจ้าไปจับตัวลูกสาวมันมา ตัดนิ้วนาง ส่งแต่ละท่อนๆ ไปค่ายทหารถังที่อยู่ในดินแดนทุ่งหญ้า” ขณะมันเอ่ยวาจาเหล่านี้ มุมปากเผยให้เห็นความพึงพอใจอันโหดเหี้ยมโดยไม่รู้ตัว

    หวังจงซื่อเป็นฝันร้ายของทูเจวี๋ย เป็นคนชั่วอันดับหนึ่งที่ทำให้ชาวทูเจวี๋ยหายใจไม่ออก ยากนักที่นักรบสุนัขป่าจะเข้ามาถึงในฉางอันสักครั้ง ไม่มอบของขวัญชิ้นใหญ่สักชิ้นนับว่าเสียมารยาท

    ทว่าหัวคิ้วเฉาพั่วเหยียนกลับขมวดแน่น ปฏิบัติการฉางอันครั้งนี้วางแผนมานานมาก ล่วงมาถึงเวลาลงมือแล้ว ไหนเลยสามารถเปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจ มีเรื่องหนึ่งมันเก็บอยู่ในใจมาตลอด ชุยลิ่วหลางผู้นั้นก็เป็นโย่วซาจัดแจงมาด้วยตนเอง สุดท้ายกลับเป็นสายลับของชาวฮั่น มันหาได้ระแวงโย่วซาสมคบกับคนฮั่นไม่ ลำพังงานตรวจสอบขั้นแรกสุดนี้ยังกระทำไม่ได้ดี เป็นผลให้นักรบสุนัขป่าสิบกว่านายยังมิทันได้สำแดงฝีมือก็สูญชีวิต ทว่าคนถูกลงโทษกลับเป็นเฉาพั่วเหยียน

    นิสัยโย่วซาท่านนี้มิต่างกับบรรดาชนชั้นสูงทูเจวี๋ยนัก ทั้งมุทะลุ ทั้งดึงดันเอาตามอารมณ์ นิสัยเช่นนี้ในดินแดนทุ่งหญ้าบางทีอาจจะใช้ได้ ทว่าเมื่อเคลื่อนไหวในฉางอันกลับไม่เหมาะเป็นผู้บังคับบัญชา

    เฉาพั่วเหยียนฝืนสะกดข่มความคิดนี้ลงไป หมอบนอบน้อมอยู่แทบพื้น “เรื่องที่ตลาดตะวันตก ชาวฮั่นเตรียมการระมัดระวังมากแล้ว บางทีในเวลานี้อาจจะกางตาข่ายรอแล้ว ผู้น้อยกังวลใจว่า…แทรกเรื่องกะทันหัน ไม่ดีต่อแผนการใหญ่ กลับจะสับสนวุ่นวายได้ง่าย”

    สีหน้าโย่วซาเคร่งเครียดทันที นี่เป็นแผนแยบยลที่มันเพิ่งคิดออกมา ทว่าถึงกับถูกนักรบสุนัขป่าอันต่ำต้อยตั้งข้อสงสัย

    “หุบปาก!” โย่วซาเดือดดาล สะบัดแขนเสื้อ “พวกเจ้าเหล่านักรบสุนัขป่าไม่ต้องใช้ปาก ใช้เพียงเขี้ยวก็พอ!”

    เฉาพั่วเหยียนยังคิดจะแย้ง โย่วซาเตะมันพลิกหงายกับพื้น น่าเสียดายที่ในมือไร้แส้ มิเช่นนั้นต้องฟาดเจ้าสารเลวสามหาวผู้นี้ให้สาแก่ใจ

    มาถึงขั้นนี้แล้ว เฉาพั่วเหยียนได้แต่หุบปาก ลุกขึ้นจากพื้นอย่างเงียบงัน โขกหัวขออภัย ทว่าสองมือของมันกำเข้าเล็กน้อย เพลิงแห่งความไม่ยินยอมพร้อมใจแผดเผาอยู่ในประกายตา สร้อยคอหินสีห้อยแลบออกจากลำคอมัน ดูคล้ายร้อยสำเร็จจากมือเด็ก

    โย่วซาไล่เฉาพั่วเหยียนออกไป หมุนกายผลักประตูเปิดออก เดินไปข้างนอก

    ด้านนอกเป็นโรงงานกว้างใหญ่ ชาวทูเจวี๋ยหลายสิบคนกำลังทำงานไม้ท่ามกลางอากาศอ้าว พวกมันไม่ห้าวหาญกร้าวแกร่งเฉกเช่นนักรบสุนัขป่า ส่วนใหญ่หลังงองุ้ม สองมือใหญ่หยาบกร้าน หากแต่ช่างฝีมือเช่นนี้เป็นที่ต้องการของดินแดนทุ่งหญ้ายิ่งนัก ทว่าบัดนี้พวกมันกลับซ่อนตัวทำงานเหน็ดเหนื่อยอยู่ในโรงงานเล็กๆ นี้ รอบบริเวณยังมีนักรบสุนัขป่าร่างสูงใหญ่สิบกว่านายเดินไปมาจับตามอง ประกายตาแหลมคม

    ท่อนไผ่แต่ละท่อนถูกลิดกิ่งใบออก ตัดยาวราวสามฉื่อ ปลายทั้งสองเจาะรูเล็กราวครึ่งชุ่นฝั่งละสิบรู วางเอียงเรียงอยู่ใต้หน้าต่าง อีกห้าหกคนกำลังคัดแบ่งโคมไฟขนขึ้นรถม้า โคมไฟเหล่านี้ลักษณะต่างกันไป มีรูปผลน้ำเต้า ท้อเซียน ค้างคาว เมฆมงคล ลักษณะต่างกัน ขนาดก็เพียงไล่เลี่ยกัน แต่ที่เหมือนกันคือตรงกลางมีรูกลมหนึ่งรู สามารถเสียบลำไผ่เข้าไปได้

    โย่วซาปรบมือ ช่างทั้งหมดหยุดมือ มองมาทางมัน

    “ท่านข่านกำลังมองพวกเจ้าผ่านดวงตาของข้า” นี่คือวาจาเริ่มต้นของมัน ช่างทุกคนพากันคุกเข่าข้างเดียว มือขวาแตะอกซ้าย ก้มหัวลง

    “หลายปีก่อน พวกเราเหยียบย่ำเมืองแห่งนี้ตามอำเภอใจ สตรีกับวัวแพะของที่แห่งนี้พวกเรากวาดต้อนตามอำเภอใจ บัดนี้ พวกเรากลับหดหัวอยู่เพียงซอกมุมเดียวของดินแดนทุ่งหญ้า ยอมให้คนต้าถังกับคนหุยหูย่ำยีพวกเรา ทว่าครั้งนี้พวกเราจะกอบกู้ศักดิ์ศรีบรรพบุรุษคืนมา ออกเดินทางจากกระโจมแห่งฉัตรราชัน ผ่านพายุผ่านหิมะ ผ่านดงดาบผ่านห่าธนู ความแค้นเป็นพาหนะอันดีที่สุด มีเพียงมันเท่านั้นจึงนำพวกเรามาถึงฉางอันที่ไกลออกมาพันลี้ พวกเราแต่ละคนล้วนเป็นทูตนำสาส์นความพิโรธของต้าข่าน เป็นเปลวเพลิงแห่งการชำระแค้น บัดนี้ พวกเราเป็นเช่นงูที่เจาะเข้าในหัวใจศัตรู ใช้ก้อนหินจากที่อยู่อาศัยของพวกมันสร้างหลุมศพ ดวงตะวันไม่สาดส่องลานหญ้าศัตรูคู่แค้นชั่วนิรันดร์ สักวันหนึ่งพายุแลหิมะย่อมกระหน่ำลง!”

    คารมโย่วซายอดเยี่ยมยิ่งนัก เสียงของมันเจตนาลดแผ่วเบา ทว่าทุกคนในนี้สามารถได้ยินชัดเจน แต่ละคนล้วนคล้อยไปกับอารมณ์ของมัน

    “เมื่อครู่ข้าตรวจสอบจำนวนของพวกเจ้า ยังทำออกมาไม่เร็วพอ! นี่ไม่ใช่กระโจมปล่อง ไม่ใช่รถเข็นเด็ก นี่คือเชว่เล่อฮั่วตัวอันยิ่งใหญ่! พวกเจ้าจำเป็นต้องเร่งมือมากขึ้น ทำร่างเนื้อของมันให้สำเร็จ วิญญาณของมันเข้าใกล้ฉางอันแล้ว เมื่อถึงเวลาตะวันลับขอบฟ้า ทั้งสองรวมเป็นหนึ่ง พวกเราจะเห็นมันลงสู่ฉางอัน กลืนกินฉกรรจ์ชราสตรีทารกของเมืองนี้ให้สิ้น จากเลือดถึงกระดูก ไม่เหลือแม้แต่น้อย! ชื่อของพวกเจ้าจะสูงเกียรติยิ่งกว่าผู้กล้าที่กล้าหาญที่สุดของต้าข่าน พร้อมกันนั้นลูกหลานของพวกเจ้าจะได้รับการปกป้องจากบรรพชนและวิญญาณวีรบุรุษ!”

    วาจาท้ายสุดของโย่วซานั้นแผดก้อง ในดวงตาของช่างฝีมือกับพลรบสุนัขป่าทั้งหมดเต็มไปด้วยแววเหี้ยมโหดถึงขีดสุด พวกมันมิกล้าโห่ร้องตะโกน ได้แต่ทุบหน้าอก กระทืบเท้าเป็นจังหวะ ร้องเสียงเบา “เชว่เล่อฮั่วตัว! เชว่เล่อฮั่วตัว!” รองเท้าของพวกมันกระทืบพื้นบังเกิดเสียงตึงตังพร้อมกัน เฉกเช่นเสียงกลองศึกเคลื่อนทัพลงใต้

    เฉาพั่วเหยียนอยู่ในห้องเพียงลำพัง ยังคงค้างอยู่ในท่าคุกเข่าหนึ่งข้างมือกุมอก ทว่ามันกลับไม่ฮึกเหิมเช่นผู้คนนอกห้อง เพียงทอดตามองอย่างเย็นชาไปยังโย่วซาที่กำลังกู่ก้องถ้อยคำปลุกใจ

    เมื่อปลุกเร้าเสร็จสิ้น โย่วซาสั่งการอีกหลายคำจึงค่อยออกจากร้านไป

    หน้าประตูโรงงานสร้างเครื่องไผ่เป็นตรอกแคบยาวเชื่อมต่อถึงถนนใหญ่ โย่วซาเดินเชื่องช้าพลางยกสองมือดึงหมวกคลุมจากด้านหลังขึ้นปิดบังใบหน้าทูเจวี๋ยของตนเอง เผยให้เห็นสัญลักษณ์กากบาทปักดิ้นทองที่ด้านหลังชุดยาว จากนั้นหยิบประคำแก้วพวงหนึ่งออกมาแขวนบนคอ ใช้มือขวาบีบกางเขนไม้ตรงกลางประคำ

    เมื่อมันย่างเท้าออกสู่ถนนใหญ่ มันเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งแล้ว…คิ้วเมตตา ดวงตาเปี่ยมคุณธรรม อ่อนโยนน่าสนิทสนม ยิ้มและพนมมืออวยพรให้คนเดินถนนทุกคน “ขอให้พระเจ้าผู้เมตตาสถิตอยู่กับท่าน”

     

    ม้าเร็วควบตะบึงเข้ามา มิคิดชะลอหยุดแม้แต่น้อย โยนกระบอกปลาให้จางเสี่ยวจิ้ง จางเสี่ยวจิ้งยื่นมือคว้าจับมั่น

    เวลาเดียวกันนั้น ทางด้านเหยาหรู่เหนิงก็จับตาดูร้านโหรวจยาอวี้เจินเสร็จสิ้น รีบเร่งกลับมา ปฏิกิริยาของชาวหูเร็วมาก หลังจากจางเสี่ยวจิ้งกลับไป เจ้าของร้านรีบส่งคนรับใช้ห้าคนแยกย้ายไปร้านค้าห้าร้าน จากนั้นร้านค้าทั้งห้าก็ส่งคนแยกย้ายออกไปร้านอื่นอีก ดีที่เหยาหรู่เหนิงจัดวางกำลังคนเหมาะสมจึงได้รายชื่อร้านค้าที่ถูกแจ้งเตือนทุกร้านมาโดยไร้อุปสรรค

    บัดนี้ในมือจางเสี่ยวจิ้งมีรายชื่อสองชุด ชุดหนึ่งเป็นร้านค้าที่เก็บซ่อนแผนที่ อีกชุดหนึ่งเป็นพ่อค้าที่ติดต่อใกล้ชิดกับชาวทูเจวี๋ย นำรายชื่อสองชุดนี้มาเทียบกัน ก็เห็นร้านค้าที่น่าสงสัยชัดเจนทันที

    จิ้งอันซือสามารถหาสิ่งนี้ออกมาได้ภายในเวลาสั้นมากเยี่ยงนี้ นับว่ามหัศจรรย์อย่างแท้จริง

    “ผู้บัญชาการหลี่ความสามารถคู่ควรตำแหน่งอัครเสนาบดี” จางเสี่ยวจิ้งวางรายชื่อลง ชมเชยคำหนึ่งจากใจจริง มันเป็นหัวหน้าปู้เหลียงเหรินมานานปี คลี่คลายคดีนับไม่ถ้วน รู้ดีว่าหลายเรื่องไม่จำเป็นต้องสืบหาข่าวลับ ความจริงถูกบันทึกอยู่ในหนังสือที่ทุกคนเห็นอยู่ต่อหน้าแล้ว อยู่ที่ว่าจะสามารถหาพบหรือไม่…นี่คือศาสตร์ที่เรียกว่า ‘ระดมสรรพกำลัง’ หลี่ปี้เจตนารวบรวมขุนนางเจ้าหน้าที่เก่งกาจหมู่หนึ่งไว้ในจิ้งอันซือเป็นการเฉพาะ งานหลักคืออ่าน ตรวจตรา ค้นหา พอดีรับมือสถานการณ์เฉพาะหน้ายอดเยี่ยมยิ่งยวด เห็นได้ว่าคนผู้นี้ทรงภูมิปัญญา วิสัยทัศน์ยาวไกลยิ่งนัก

    จางเสี่ยวจิ้งส่งสัญญาณมือไปยังหอสังเกตการณ์ที่ไกลออกไป แจ้งว่าได้รับแล้ว จากนั้นเริ่มมอบหมายภารกิจ

    ในรายชื่อประกอบด้วยร้านค้าต้องสงสัยสี่ร้าน แม้ว่าสี่ร้านนี้ล้วนอยู่ตลาดตะวันตก ทว่ากระจายกันห่างมาก จางเสี่ยวจิ้งกับเหยาหรู่เหนิงได้แต่แยกกันนำกำลังคนไป

    ก่อนแยกกัน เหยาหรู่เหนิงขอคำแนะนำอย่างนอบน้อมว่าควรลงมือเยี่ยงไร จางเสี่ยวจิ้งชูหมัดขึ้น ทุบเบาๆ ที่หัวใจมันครั้งหนึ่ง “กำจัดคนที่ไม่ร่วมมือ ง่ายๆ เพียงนี้”

    เหยาหรู่เหนิงอยู่ในวงการมือปราบมิใช่ไม่เคยพบเจ้าหน้าที่ดุดันเหี้ยมเกรียม ทว่ามันไม่เคยพบที่ทำงานเถื่อนถึกเยี่ยงจางเสี่ยวจิ้ง คล้ายค้อนเหล็กหนักพันจวินแหวกอากาศ ไร้ความอดทน ไม่หยิบเงินทองออกทางปากขวดแต่ทุบขวดแหลกละเอียดเสียเลย เหยาหรู่เหนิงมีความรู้สึกประหลาดแบบหนึ่งว่าต่อให้ไม่ถูกบีบคั้นเรื่องเวลา คนผู้นี้ก็คงจะกระทำเยี่ยงนี้

    “รู้สึกไร้เมตตาไร้คุณธรรมหรือ” น้ำเสียงจางเสี่ยวจิ้งเสียดสี ชี้ไปยังคนเดินถนนรอบข้าง “เมตตาต่อศัตรูก็เท่ากับเกื้อหนุนความโหดเหี้ยมต่อชาวบ้านเหล่านี้…จงจำไว้ นี่คือบทเรียนแรกของเจ้า”

    “ทว่าตอนนี้พวกเรายังไม่รู้ว่าพวกมันเป็นศัตรูหรือไม่”

    “ไม่ร่วมมือก็คือศัตรู”

     

    ที่จางเสี่ยวจิ้งไปอันดับแรกเป็นร้านเครื่องทองเครื่องเงินชื่อร้านซีฝู่ เจ้าของร้านเป็นชาวแคว้นคัง ร้านซีฝู่แม้สินค้าหลักเป็นเครื่องทองเครื่องเงิน แต่ก็มักให้พ่อค้ารายใหญ่มากู้ยืมเงินซื้อขาย ดังนั้นจึงถูกบันทึกเข้ารายชื่อของจิ้งอันซือ

    หนังสือผ่านด่านที่เฉาพั่วเหยียนใช้ตอนเข้ามาในตลาดตะวันตกนั้นก็มาจากแคว้นคังนั่นเอง อีกทั้งยังประทับตรา เอกสารระดับนี้หากปราศจากความสนิทชิดเชื้อกับชนชั้นสูงของแคว้นคังอยู่บ้างย่อมได้มาไม่ง่าย…ควรรู้ว่าแคว้นคังเดิมทีก็เป็นแผ่นดินของคนเชื้อชาติทูเจวี๋ย แม้ทั้งสองแบ่งแยกนานปี แต่เผ่าพันธุ์สายเลือดนี้ผู้ใดกล้ารับรองเล่า

    แน่นอนว่านี่มิใช่เพราะดูแคลนเหยียดหยาม ความจริงในกลุ่มสี่ร้านต้องสงสัย สองร้านเป็นคนหู สองร้านเป็นคนฮั่น ไม่ลำเอียงแม้แต่น้อย จิ้งอันซือแตกต่างกับสำนักพิธีกรรมหงหลู ที่ผ่านมาไม่ค่อยใช้เจตนาร้ายรุนแรงในการประเมินคน

    ร้านซีฝู่อยู่ตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือของสี่แยกที่สามของตลาดตะวันตก ที่นี่เป็นทำเลทอง เป็นชุมทางถนนหลายสายมาบรรจบกัน เจริญรุ่งเรืองมาก หน้าร้านนี้ภูมิฐานต่างจากร้านอื่น สองฟากเป็นเสาขนาดสองคนโอบ ทาสีพื้นดำเมี่ยม ประดับด้วยมังกรขดพันรอบลายเมฆา จางเสี่ยวจิ้งเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วก้าวเข้าในร้าน

    ภายในร้านเงียบมาก ไม่ค่อยมีแขก เมื่อผ่านประตูเข้าไปก็ถูกยกพื้นสูงทรงเดือนโค้งขวางกั้น คอกเสมียนสูงกว่าคนปกติหนึ่งช่วงศีรษะพอดี พอจะมองเห็นแค่หน้าคอกอันว่างเปล่าเท่านั้น แต่ไม่เห็นสภาพหลังคอก มันเขย่ากระดิ่งทองแดงที่แขวนอยู่ด้านข้าง เฒ่าชาวหูไว้เคราแพะชะโงกหน้าออกมาจากหลังคอกอย่างรวดเร็ว มองมันลงมาจากที่สูง ใบหน้าไร้ความรู้สึก

    “รับของหรือขึ้นเงิน” ชายชราถามห้วนๆ น้ำเสียงไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง

    จางเสี่ยวจิ้งใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางเคาะหน้าคอกสามครั้ง สำแดงป้ายเอวออก “เจ้าหน้าที่ทางการ เจ้าเป็นเจ้าของร้านหรือ”

    อีกฝ่ายพยักหน้า

    จางเสี่ยวจิ้งพูดโพล่ง “บัดนี้พวกข้าสงสัยว่าร้านซีฝู่ลอบเก็บซ่อนแผนที่ฟางของเมืองฉางอัน คบคิดกับพวกทูเจวี๋ยที่แตกหนีหลบซ่อนอยู่ จำเป็นต้องตรวจค้น”

    ข้อกล่าวหานี้ร้ายแรงมาก แต่เจ้าของร้านกลับไม่เผยให้เห็นความรู้สึก ตอบอย่างเชื่องช้าว่า “ร้านข้าทำการค้าเครื่องทองเครื่องเงิน ไม่มีเรื่องแอบครอบครองซ่อนแผนที่ฟางเด็ดขาด อีกทั้งไม่เคยเป็นฝ่ายคิดสมคบกับชาวทูเจวี๋ย” ภาษาฮั่นของมันคล่องแคล่วมาก ไม่มีสำเนียงเพี้ยนแปร่งแม้แต่น้อย

    “เช่นนั้นต้องให้ข้าตรวจค้นจึงจะรู้”

    รอยย่นบนใบหน้าเจ้าของร้านกระตุกคราหนึ่ง ถลึงตามองจางเสี่ยวจิ้ง กล่าวว่า “เราผู้เฒ่าสนิทสนมกับขุนนางเจ้าเมือง เจ้าไยไม่ไปถามพวกท่านเหล่านั้นก่อน”

    ร้านเครื่องทองเครื่องเงินเยี่ยงนี้ปล่อยกู้ให้ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก มีผู้หนุนหลังมากมาย เจ้าหน้าที่ทั่วไปมิกล้ามาหาเรื่องโดยพลการ แววเหี้ยมเกรียมวาบขึ้นในดวงตาจางเสี่ยวจิ้ง ขณะจะลงมือ ทันใดนั้นปู้เหลียงเหรินนายหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา

    “แม่ทัพจาง ด้านนอกมีควันเหลืองขึ้นมาแล้ว!” มันตะโกนดังมาก

    จางเสี่ยวจิ้งขมวดคิ้ว รีบหมุนตัวกลับ เลิกผ้าม่านเดินออกไป หน้าร้านคนเดินถนนมากมายพากันหยุดเดิน ชี้มือชี้ไม้ไปทางท้องฟ้าฟากตะวันตกเฉียงเหนือ มันแหงนหน้ามอง เห็นที่ไกลออกไปมีลำควันสองสายลอยขึ้น ควันดำหนาแน่นสายหนึ่ง กับควันเหลืองค่อนข้างอ่อนจางอีกสายหนึ่ง ลอยสูงพันเข้าหากัน เมื่อปรากฏบนท้องฟ้าใสกระจ่างก็สะดุดตามาก

    ทิศทางนั้นเป็นร้านหย่วนไหลที่เหยาหรู่เหนิงไปตรวจค้น ร้านหย่วนไหลเป็นร้านของพ่อค้าชาวซูเล่อ ค้าขายวัว ม้า แพะคราวละมากๆ เป็นสินค้าหลัก สนิทสนมกับพวกทูเจวี๋ยมากเป็นพิเศษ น่าสงสัยไม่น้อยไปกว่าร้านซีฝู่แน่นอน

    ควันเหลืองปล่อยขึ้นจากระเบิดควันที่คนของจิ้งอันซือนำพาติดตัว เห็นควันเฉกเช่นเห็นศัตรู ต้องรีบรวมตัวไปหนุนช่วย เหยาหรู่เหนิงฝีมือมิใช่ชั่ว อีกทั้งนำปู้เหลียงเหรินเจ็ดแปดนายไปด้วย มันปล่อยควันเหลือง แสดงว่าต้องพบอุปสรรคร้ายแรงอย่างแน่นอน

    จางเสี่ยวจิ้งรีบระดมปู้เหลียงเหรินรอบบริเวณทันที วิ่งไปทิศทางนั้น ทว่าเมื่อวิ่งผ่านทางแยกแรก จางเสี่ยวจิ้งพลันหยุดกะทันหัน คนตามมาด้านหลังหยุดไม่ทันเกือบชนเข้า

    ความระแวงวาบขึ้นในสมองจางเสี่ยวจิ้ง

    มันนึกถึงคำพูดของเจ้าของร้านซีฝู่ ยิ่งรู้สึกน่าสงสัย ‘ไม่มีเรื่องแอบครอบครองซ่อนแผนที่ฟางเด็ดขาด และก็ไม่เคยเป็นฝ่ายคิดสมคบกับชาวทูเจวี๋ย’

    …ไม่เคยเป็นฝ่ายคิดสมคบ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นฝ่ายถูกบังคับหรือ

    คิดได้เช่นนี้แล้ว น้ำเสียงที่ตาเฒ่าเจ้าของร้านเอ่ยถึงขุนนางเจ้าเมืองนั้นค่อนข้างสะดุดขัด หรือว่ากำลังให้ลอบแจ้งต่อทางการ?

    จางเสี่ยวจิ้งสบถ ใช้ฝ่ามือตบหน้าตัวเองอย่างโมโห เพิ่งเข้าคุกไม่นานเท่าไร ตัวเองก็โง่งมสมองทื่อถึงปานนี้แล้ว หากย้อนกลับกาลก่อนหน้า ย่อมไหวตัวรู้สึกถึงเหตุไม่ชอบมาพากลทันที

    “พวกเจ้ารีบไปหนุนช่วยเหยาหรู่เหนิง ข้าจะกลับไปดูอีกครั้ง”

    จางเสี่ยวจิ้งหมุนกายกลับทันที วิ่งกลับมาร้านซีฝู่ด้วยความเร็วอันน่าตระหนก มาถึงหน้าประตู มันดึงหน้าไม้ออกมา แนบติดศอกซ้าย มือขวากุมมีดสั้นเสวียนตาว ย่อร่างเดินเข้าไป

    ในร้านยังคงเงียบเชียบดังเดิม ครั้งนี้ชายชราไม่ได้ยื่นหน้าออกมาต้อนรับ จางเสี่ยวจิ้งกวาดตามองรอบหนึ่งอย่างระมัดระวัง จากนั้นเดินไปถึงปลายสุดของยกพื้นสูงส่วนที่ติดกับเสาใหญ่ เตะประตูเล็กที่ด้านข้างให้เปิดออก เอียงร่างพุ่งเข้าไป…หน้าไม้ชี้ไปคอกเสมียนตลอดเวลา

    ที่ด้านหลังคอก จางเสี่ยวจิ้งเห็นร่างชราพิงที่เหยียบข้างผนังไม้ คออ่อนเอียงไปด้านข้าง ดวงตาเบิกโพลง มันปราดเข้าไปนั่งยองๆ ยื่นมือแตะข้างคอ พบว่าไม่มีสัญญาณชีพจรแล้ว มันพลิกร่างศพกลับด้าน เห็นหลังเอวปรากฏบาดแผลลึกมากหนึ่งแผล

    ชัดเจนมาก เมื่อสักครู่ขณะชายชราสนทนากับจางเสี่ยวจิ้งนั้น ด้านหลังคอกยังมีคนอีกผู้หนึ่งยืนอยู่ ถือมีดจ่อหลังหัวใจมัน ชายชราไม่กล้าร้องตะโกน ได้เพียงลอบส่งสัญญาณลับ น่าเสียดายอารามฉุกละหุกจางเสี่ยวจิ้งไม่ทันเฉลียวคิด เป็นผลให้เจ้าของร้านถูกฆ่าอนาถ

    สายตาจางเสี่ยวจิ้งเย็นเยียบ ถือหน้าไม้ราบขนาน เดินไปด้านหลังร้าน จากเมื่อสักครู่ที่มันออกจากที่นี่จนถึงขณะนี้ เวลายังไม่ถึงชั่วธูปครึ่งดอก คาดว่าฆาตกรยังไม่จากไป

    ด้านหลังของยกพื้นสูงมีห้องยาวค่อนข้างรก กลางห้องเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมหนึ่งตัว บนโต๊ะมีเอกสารบัญชีหลายม้วน ตาชั่งเล็กกับกรรไกรปลายแหลมวางอยู่ บนชั้นไม้จันทน์สูงๆ ต่ำๆ รอบด้านมีเครื่องทองเครื่องเงินประเภทต่างๆ ตั้งอยู่ แต่ละชิ้นขัดถูจนแวววาว บนพื้นมีหีบใหญ่สิบกว่าใบหุ้มขอบด้วยหนังสัตว์ หลายหีบเปิดฝาค้างไว้ แลเห็นเงินตรานานาแคว้นสีทองเจิดจ้าด้านใน

    ร้านซีฝู่นอกจากค้าขายเครื่องทองเครื่องเงิน ยังเป็นร้านแลกเงินอีกด้วย เงินตราแคว้นต่างๆ เช่น ต้าฉิน ปอซือ ต้าอี้ ที่นี่รับแลกเป็นเหรียญทองแดงของต้าถัง ม้วนผ้าแพรพรรณ หรือแลกกลับก็ย่อมได้ ดังนั้นร้านนี้จึงเป็นแหล่งรวมสินค้าจากนานาเขตแคว้น

    ศพลูกจ้างกับผู้คุ้มกันหลายศพทอดร่างอยู่กลางเงินทองเหล่านี้ พวกมันล้วนถูกแทงกลางหัวใจ เช่นนี้เลือดออกไม่มาก กลิ่นคาวเลือดไม่ถูกคนภายนอกรับรู้ได้ง่าย

    จางเสี่ยวจิ้งเดินผ่านภาพอเนจอนาถนี้ พอจะมองย้อนทวนเห็นฉากเมื่อสักครู่ นักรบสุนัขป่าบุกเข้ามา สิ่งแรกคือฆ่าพวกลูกจ้างในร้าน พอดีตนเข้ามา นักรบสุนัขป่าจึงบีบบังคับเจ้าของร้านออกรับหน้า เมื่อตนกลับออกไปก็ฆ่าเจ้าของร้านทันที

    นักรบสุนัขป่านี้ดุร้ายกว่าที่จิ้งอันซือคาดไว้เสียอีก เริ่มต้นก็มิคิดเจรจาโดยสงบแล้ว

    จางเสี่ยวจิ้งสูดลมหายใจลึกมากเฮือกหนึ่ง เห็นสุดปลายห้องยาวมีประตูเล็กเปิดแง้มไว้ บนบานประตูมีกุญแจที่เปิดแล้วแขวนอยู่ ลูกกุญแจเสียบคารูกุญแจ นี่สมควรเป็นห้องเล็กที่ร้านซีฝู่ใช้เก็บสิ่งของมีค่า จางเสี่ยวจิ้งเดินไปที่ประตู จับมือจับบนประตูดึงออกด้านนอกก่อน พบว่าไม่ขยับเขยื้อน เลยได้แต่ผลักเข้าด้านใน มันผลักแผ่วเบา รู้สึกมีแรงต้านเล็กน้อย ทันใดนั้นเสียงเครื่องโลหะกระแทกกันตึงตังดังต่อเนื่องมาจากด้านใน

    จางตาเดียวร้องในใจว่าแย่แล้ว รีบผลักประตูออกดู ที่แท้หลังประตูเป็นบันไดทอดลงด้านล่างไปสู่ห้องใต้ดิน ปลายบันไดมีจอกทองกลีบเบญจมาศที่ถูกกระแทกแบนไปแล้วตกอยู่ เห็นชัดเจนว่าผู้บุกรุกเปี่ยมประสบการณ์ วางภาชนะโลหะชิ้นหนึ่งไว้หลังประตู หากมีคนผลักประตูเข้ามา จอกทองกลิ้งตก ย่อมกลายเป็นสัญญาณเตือนทันที

    จางเสี่ยวจิ้งขึ้นสายหน้าไม้อีกครั้ง จากนั้นก้าวลงบันไดทีละขั้น มาถึงด้านล่าง ตรงหน้าเป็นทางเดินแคบเล็ก เลี้ยวที่ด้านหน้าก็เห็นแสงเทียนรำไร มันแนบร่างติดผนัง ยื่นหน้าไม้ออกไปก่อนช้าๆ จากนั้นพุ่งเข้าไป

    ในห้องไม่มีคน มีเพียงเทียนหนึ่งเล่มอยู่บนผนัง อาศัยแสงสลัวของเทียน จางเสี่ยวจิ้งเห็นห้องนี้ไม่ใหญ่ สิ่งของก็ไม่มาก แต่ทุกชิ้นเป็นของชั้นดี กระทบแสงเทียนแวววาว ก้มหน้าดูเห็นกลักใบชาลงทองลายเซียนขี่กระเรียนพลิกหงายอยู่ที่พื้น ลิ้นชักเปิดคาอยู่ ด้านในว่างเปล่า

    “บัดซบ!” จางเสี่ยวจิ้งก่นด่าเบาๆ แน่ชัดว่าเจ้าของร้านลักลอบซ่อนแผนที่ฟางไว้ในกลักใบชา สุดท้ายกลับถูกนักรบสุนัขป่าค้นหาจนพบ

    นี่ย่อมไม่ใช่ข่าวดี

    อีกด้านหนึ่งของห้อง พรมแขวนผนังห้อยตกลงมาข้างหนึ่ง บนผนังมีช่องดำมืดหนึ่งช่อง สามารถลอดคลานเข้าไปได้เพียงหนึ่งคน นี่เป็นช่องลับที่เจ้าของร้านเตรียมไว้สำหรับตนเอง พ่อค้าเหล่านี้เจ้าเล่ห์เสมอ มักเตรียมทางหนีทีไล่หลายทาง คาดว่าผู้บุกรุกคนนั้นได้ยินสัญญาณเตือน จึงรีบหนีออกไปทางช่องลับนี้ทันที

    จางเสี่ยวจิ้งปราดเข้าหาช่องลับ ทว่ากลับชะงักเท้าทันใด ถอดเสื้อตัวนอกออกม้วนเป็นก้อนกลม โยนเข้าในช่องลับก่อน เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงสายหนังดีดดังขึ้นในช่องลับทันที ศรหน้าไม้ดอกหนึ่งพุ่งเข้าปักกลางก้อนเสื้อ จางเสี่ยวจิ้งพลิกมือขึ้น หน้าไม้เล็งเข้าหาช่องลับยิงสวนขวับ จากนั้นรีบขึ้นสายบรรจุศรดอกใหม่แล้วยิงอย่างรวดเร็ว

    คนในช่องลับมากแผนการ เจตนาไม่ดับเทียนในห้อง ซุ่มตัวอยู่ในช่องลับ หากมีคนไล่ตามมาถึงช่องลับ บดบังแสงเทียน ย่อมกลายเป็นเป้าอันดียิ่ง ทว่าหน้าไม้นี้ยิงครั้งละหนึ่งดอก จางเสี่ยวจิ้งใช้เสื้อตัวนอกหลอกล่อ มันเสียไปหนึ่งดอก ตนชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบ ไม่ปล่อยให้มันขึ้นสายศรดอกที่สอง…ในช่องลับแคบเล็กเยี่ยงนี้มันย่อมจะไม่สามารถหลบได้

    ไม่ว่ายิงถูกคนหรือไม่ จางเสี่ยวจิ้งก็ทะยานร่างเข้าช่อง เสียงฝีเท้าในความมืดด้านหน้าวิ่งหนีร้อนรนไกลออกไป เห็นได้ว่าศรหน้าไม้สองดอกนั้นแม้ยิงถูกศัตรูก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต จางเสี่ยวจิ้งถือหน้าไม้ วิ่งพลางขึ้นสายไปพลาง ไล่ล่าไม่ลดละ ทว่าไล่ตามไปได้เพียงสิบกว่าก้าว ทันใดนั้นมันรู้สึกฝ่าเท้าเจ็บเล็กน้อย รีบยกเท้าขึ้นก้มลูบดู พบว่าที่แท้บนพื้นมีผลหนามเหล็กสาดกระจายอยู่ ถ้ามันเหยียบหนักกว่านี้เป็นต้องถูกแทงฝ่าเท้าทะลุ ถูกกับดักชะลอให้เสียเวลาไปเช่นนี้ ผู้บุกรุกก็หนีไกลออกไปกว่าเดิม

    เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่อึดใจ ทั้งสองคนปะทะกันหลายครั้งแล้ว จางเสี่ยวจิ้งกวาดผลหนามเหล็กออก ยกหน้าไม้ยิงสุ่มพลางตะโกนว่า “ยอมสยบจะไม่ฆ่า!” ทว่าที่ตอบรับมันมีเพียงเสียงฝีเท้าที่เร่งร้อนยิ่งกว่าเดิม

    ทางลับนี้ไม่นับว่ากว้าง ทว่าหักเลี้ยวโค้งกลับไม่น้อย ดีที่ตลอดทางไม่มีทางแยก ผู้บุกรุกวิ่งอยู่ด้านหน้า จางเสี่ยวจิ้งไล่ตามอยู่ด้านหลัง ไม่รู้ว่าคนด้านหน้าพกผลหนามเหล็กติดตัวมากน้อยเท่าไร ตลอดทางขว้างมาโดยคาดเดาไม่ได้ ขัดขวางความเร็วของจางเสี่ยวจิ้งมาก ทว่าศรสองดอกของจางเสี่ยวจิ้งเมื่อสักครู่ทำอันตรายผู้บุกรุกไม่น้อย นี่คะเนจากเสียงลากฝีเท้าโงนเงน

    ทั้งสองคนหนึ่งหนีหนึ่งไล่ เป็นระยะหลายร้อยก้าวโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้น จางเสี่ยวจิ้งต้องหรี่ดวงตา เห็นด้านหน้าบังเกิดแสงสว่าง ดูท่าใกล้ถึงทางออกแล้ว เป็นบ่อแนวดิ่ง เงาร่างคนผู้หนึ่งปีนบันไดไม้ขึ้นไป รอเมื่อจางเสี่ยวจิ้งวิ่งมาถึง คนผู้นั้นก็ปีนถึงยอดแล้ว มันผลักบันไดไม้หลายครั้ง พบว่าผลักไม่ล้ม อีกทั้งไม่มีเวลารื้อทิ้ง จึงได้แต่ขว้างหน้าไม้ไร้ลูกศรลงไป

    จางเสี่ยวจิ้งเบี่ยงร่างหลบ ยกหน้าไม้ยิงสวนออกไป น่าเสียดาย อาวุธเพียงเฉียดผ่านหนังหัวคนผู้นั้นพุ่งขึ้นฟ้า จางเสี่ยวจิ้งโยนหน้าไม้ทิ้งเช่นกัน ใช้ทั้งมือทั้งเท้าปีนบันไดขึ้นไป เมื่อมันยื่นหน้าออกมาตามทางออก หัวก็เกือบชนรอก

    ที่แท้ทางออกนี้ตบตาเป็นบ่อน้ำร้าง อุปกรณ์รอกขนน้ำต่างมีครบถ้วน จางเสี่ยวจิ้งปีนออกทางปากบ่อ ปฏิกิริยาแรกคือชักมีดสั้นแนบใบหูตนเองทันทีเพื่อป้องกันถูกลอบจู่โจม มีดสั้นทั้งสั้นและเบากว่าดาบเหิงตาว เหมาะใช้ต่อสู้ประชิดกาย เช่นปากบ่อที่มีพื้นที่แคบเล็กเช่นนี้

    ทว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น ผู้บุกรุกคล้ายสูญเสียความมั่นใจซุ่มโจมตี หลบหนีไปทันที

    จากระยะของทางลับและทิศทาง จางเสี่ยวจิ้งคะเนว่าที่นี่สมควรเป็นในไหวหย่วนฟางทางด้านใต้ของตลาดตะวันตก เจ้าของร้านคนนี้ร้ายกาจมาก ถึงกับสามารถขุดอุโมงค์ข้ามฟาง

    ในไหวหย่วนฟางมีชาวหูมากมายอาศัยอยู่รวมกัน หากปล่อยให้ผู้บุกรุกปะปนเข้าไปย่อมยุ่งยากมาก

    เห็นบนพื้นหญ้าปรากฏรอยเท้าทอดยาวออกไปไกล จางเสี่ยวจิ้งรีบไล่ตามไปทันที บ่อน้ำนี้อยู่ในลานด้านหลังของอารามขนาดเล็ก นี่เป็นศาลบูชาของพวกชาวบ้าน มีรูปเคารพเทพขุนเขาฮว่าซานประดิษฐานอยู่แท้ๆ แต่กระทั่งผนังศาลก็ไม่มี หน้าประตูเป็นถนนสายขวางของฟาง ช่วงเวลานี้เป็นเทศกาลโคม ชาวบ้านละแวกนี้พากันมากราบไหว้บูชา มีธูปเทียนไม่น้อย

    จางเสี่ยวจิ้งอ้อมไปถึงด้านหน้า เห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังแตกตื่น ชี้มือชี้ไม้ แผงขายขนมเปี๊ยะหลงปิ่งกับวุ้นถั่วแดงขนาดเล็กทั้งสองแผงล้มคว่ำอยู่ที่พื้น มองไปด้านหน้าอีกครั้ง เห็นชายหนุ่มที่สวมหมวกทรงยกท้าย หมอบอยู่ที่พื้น มือถือแส้ม้า ตะโกนด่าทอไปทางหนึ่ง เห็นได้ว่าม้าของมันถูกชิงเอาไปแล้ว

    จางเสี่ยวจิ้งหน้าเครียดกว่าเดิมทันที ถ้าปล่อยให้นักรบสุนัขป่าชิงม้าไปได้ ทุกอย่างที่ทำมาก่อนหน้าก็ล้มเหลวสิ้น มันแหวกกลุ่มคนพุ่งไปข้างถนน กระโดดขวางรถม้าชนิดโดยสารคนเดียวที่แล่นมาถึงพอดี สารถีถูกจู่โจมกะทันหันจึงฟาดแส้ตามสัญชาตญาณ ทว่ากลับถูกจางเสี่ยวจิ้งเตะตกรถม้า ในห้องโดยสาร สตรีผู้หนึ่งยื่นหน้าออกมาอย่างตื่นตกใจ จางเสี่ยวจิ้งตวาดเสียงดัง “จิ้งอันซือออกปฏิบัติการ! ขอยืมม้าเจ้าสักครา!” นางตกใจมือทาบอก ถอยหลังกลับเข้าไป

    จางเสี่ยวจิ้งเงื้อดาบฟันสายบังเหียนหลายเส้นที่เชื่อมม้ากับตัวรถ ทะยานร่างขึ้นบนหลังม้าไร้อาน สองขาออกแรงหนีบ อาชาออกตัวเร็วรี่ไปตามทางที่ชาวทูเจวี๋ยหนีไป

    ชาวบ้านพำนักอาศัยหนาแน่นในไหวหย่วนฟาง ถนนเบียดเสียด ม้าฝีเท้าเร็วปานใดก็มิอาจเร็วได้กว่านี้ จางเสี่ยวจิ้งเห็นร่างที่ควบม้าอยู่ด้านหน้าแล้วอย่างรวดเร็ว คนผู้นั้นวิชาขี่ม้าเยี่ยมยอด ชนแผงล้มไปตลอดทาง บังเกิดเสียงหวีดร้องกับเสียงร้องด่าไม่ขาดสาย ทว่ายังสามารถรักษาความเร็วเอาไว้ได้

    น่าเสียดาย ม้าที่จางเสี่ยวจิ้งชิงมานี้มิใช่ม้าสำหรับขี่ อีกทั้งปราศจากอานม้าเสริมกำลัง ไม่ว่าลงแส้เฆี่ยนอย่างไร อย่างมากเพียงสามารถรักษาระยะห่างกับชาวทูเจวี๋ยสามสี่ช่วงตัวเท่านั้น สามารถเห็นผ้าโพกที่ท้ายทอยมันชัดเจน แต่ไม่สามารถเข้าใกล้กว่านี้อีก

    ม้าสองตัวนี้หนึ่งไล่หนึ่งหนี ตะบึงไปตามถนนภายในฟาง บางครั้งชะลอเลี้ยวหักมุม ก่อเกิดฝุ่นควันคละคลุ้ง ทั้งรถม้าทั้งคนเดินถนนที่อยู่บนทางพากันหลบหลีก วุ่นวายสับสน ในที่สุดความวุ่นวายเยี่ยงนี้ทำให้ทหารประจำหลี่ในฟางตกใจแล้ว ทหารสองนายในมือมีง่ามไม้สำหรับคล้องม้าตื่น ยื่นมายังหัวม้าจากสองฟากถนน นักรบสุนัขป่าบิดขาขวา รั้งสายบังเหียนอย่างแรง ม้าส่งเสียงแผดร้อง ยกสองขาหน้าขึ้น พอดีหลบพ้นจากง่ามไม้ที่กระหนาบ จากนั้นมันเปลี่ยนท่าร่างเร็วรี่ ทะยานออกไปอีก

    ทว่าอุปสรรคเล็กน้อยนี้มอบเวลาแก่จางเสี่ยวจิ้งอย่างเพียงพอแล้ว มันเข้าไปใกล้หลายก้าว ล้วงระเบิดควันมาจากเอว ขว้างออกไปด้านหน้า ระเบิดควันนี้ประกอบด้วยไป๋หลิน หลิวหวง ดอกหญ้าหางม้า ยางสน การบูร เป็นต้น เมื่อปะทะลมจะลุกไหม้ ไหม้แล้วบังเกิดควัน เดิมใช้เป็นสัญญาณติดต่อของทหาร จิ้งอันซือก็มีตระเตรียมไว้ส่วนหนึ่งเช่นกัน

    มันขว้างคราวนี้ ระเบิดควันพุ่งตกเข้าไปในซองข้างอานม้าอย่างพอเหมาะ ชายหนุ่มที่ถูกชิงม้าน่าจะเป็นบัณฑิตที่กำลังไปเข้าพบผู้สูงศักดิ์ ในซองล้วนเป็นบทกลอนมากมายหลายปึก ระเบิดควันลุกไหม้ ลามติดกระดาษดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ควันเหลืองพวยพุ่งออกจากในซอง ราวกับเป็นธงใหญ่สะบัดไหวอยู่บนหลังม้า

    เมื่อเป็นเช่นนี้ นักรบสุนัขป่าต้องเผชิญสถานการณ์คับขันสองด้าน หากไม่แยแส ควันที่พวยพุ่งจะทำให้มันไม่อาจหลบซ่อน ทว่าซองนี้ใช้เชือกผูกติดข้างอานม้าแน่นหนา จะปลดออกจำเป็นต้องใช้มือข้างหนึ่ง ความเร็วม้าย่อมลดลง ตัวสารเลวที่ไล่ล่าอยู่ด้านหลังกลับไม่ยอมละทิ้งโอกาสแม้แต่น้อย

    มันเหลียวมองด้านหลังตามสัญชาตญาณ ในดวงตาข้างเดียวของผู้ไล่ล่าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา มิอาจไม่เหน็บหนาวหัวใจ ประกายตานี้มันคุ้นเคยยิ่งนัก นั่นเป็นประกายตาของสุนัขป่าที่อันตรายที่สุดแห่งดินแดนทุ่งหญ้า

    นักรบสุนัขป่ากัดฟัน พุ่งไปข้างหน้าอีกหลายก้าว ทันใดนั้นชักมีดสั้นออก แทงรูหูม้าอย่างรุนแรง ม้านั้นร้องโหยหวน ล้มลงกับพื้นเสียงสนั่น นักรบสุนัขป่ายืมแรงเหวี่ยงขณะล้มลงกระโจนเข้าไปในตรอกเล็กข้างถนน ลำตัวใหญ่โตของม้าปิดขวางปากตรอกไว้หมดสิ้น กลายเป็นเครื่องกีดขวางอันยอดเยี่ยม จางเสี่ยวจิ้งที่ด้านหลังจำเป็นต้องรั้งสายบังเหียนแน่น หยุดม้าไว้

    มันกลับไม่รีบร้อน เพราะเมื่อหอสังเกตการณ์ของไหวหย่วนฟางเห็นควันเหลืองจะตีกลองส่งสัญญาณแจ้งเตือนทันที ทหารประจำหลี่จะปิดตายประตูใหญ่ทั้งสองฟาก จากนี้ไปคือการจับตะพาบในไห มันไม่เชื่อว่านักรบสุนัขป่าผู้นี้ยังจะสามารถพบทางลับข้ามฟางเส้นที่สองได้อีก

    ทหารประจำหลี่ที่ขวางม้าทั้งสองนายนั้นวิ่งหอบหายใจมาถึง จางเสี่ยวจิ้งบอกฐานะตนเองต่อพวกมัน จากนั้นถามว่าทิศทางนี้สามารถไปนอกฟางได้หรือไม่ ทหารนายหนึ่งบอกว่านี่เป็นทางตัน จางเสี่ยวจิ้งถามอีกว่าอีกฟากหนึ่งของตรอกมีสิ่งปลูกสร้างอันใด ทหารประจำหลี่ลังเลครู่หนึ่ง แล้วแจ้งว่า

    “วิหารเซียนเจี้ยวของพวกบูชาไฟ” ทหารประจำหลี่กุมหัวอย่างกลุ้มใจ

    ตรอกนี้เมื่อเดินไปถึงปลายสุดจะพบลานกว้างราวสองร้อยก้าว กลางลานกว้างมีวิหารใหญ่สูงสองชั้น ผนังขาวกระเบื้องแดง สี่ด้านล้วนมีประตูโค้ง ลักษณะต่างกับศิลปะภาคกลางโดยสิ้นเชิง เหนือประตูมีรูปปั้นอูฐสามตัวยืนบนฐานดอกบัว หลังแบกจานกลม ในจานมีกองไฟ สองฟากเป็นปะรำพิธีรูปมนุษย์หัววิหคยืนรับใช้

    กระเบื้องหลังคาของวิหารแห่งนี้ล้วนเป็นสีแดงสด ลักษณะดั่งเปลวเพลิง แต่ละแผ่นเรียงซ้อนเป็นผืนกว้าง ทำให้ส่วนยอดดูเหมือนกองไฟโชติช่วง

    เมื่อจางเสี่ยวจิ้งกับทหารประจำหลี่บุกเข้ามาในลานกว้าง สาวกที่อยู่ในลานกว้างกำลังแตกตื่นวุ่นวาย พวกนิกายเซียนเจี้ยวในฉางอันไม่สร้างอารามใหญ่ ไม่เผยแผ่ศาสนา วิหารแห่งนี้มีไว้เพียงให้สาวกชาวหูในฉางอันประกอบพิธีกรรม ดังนั้นที่รวมตัวอยู่ในลานกว้างล้วนแทบจะเป็นคนต่างแดน

    พวกมันบัดนี้กำลังตกใจ พากันมองไฟทางวิหารเซียนเจี้ยว ตาข้างเดียวของจางเสี่ยวจิ้งหรี่ลง เห็นนักรบสุนัขป่าผู้นั้นยืนอยู่ปากประตู สองแขนจับตัวผู้อาวุโสคนหนึ่งเอาไว้ ผู้อาวุโสคนนั้นสวมชุดยาวสีขาวเดินลายขอบทอง สายรัดสีแดงสองเส้นผูกอยู่กลางหน้าอก

    ทหารประจำหลี่หน้าเผือด บอกว่านั่นคือเซียนเจิ้งประจำวิหารเซียนเจี้ยวแห่งนี้ สถานะเฉกเช่นเดียวกับเจ้าอาวาสวัดระดับหนึ่งของจีน หากเกิดเรื่องอันใดกับมัน เกรงว่าสาวกเซียนเจี้ยวทั้งหมดในไหวหย่วนฟางต้องเป็นเดือดเป็นแค้น จางเสี่ยวจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย มองไปทางด้านนั้น จนถึงบัดนี้มันเพิ่งจะเห็นหน้าตานักรบสุนัขป่าผู้นั้นชัดเจน ไม่ใช่เฉาพั่วเหยียน ใบหน้ามันกว้างแบนราวขนมเปี๊ยะ สองตาเล็กยาว จมูกใหญ่เต็มไปด้วยตุ่มแดง

    ในหมู่ชาวทูเจวี๋ย ผู้นับถือนิกายเซียนเจี้ยวมีจำนวนมาก ทว่าท่าทางนักรบสุนัขป่าผู้นี้ดุร้ายเหี้ยมโหดสุดขีด เกรงว่าศรัทธาต่อข่านมากกว่าพระเจ้าเสียอีก

    จางเสี่ยวจิ้งก้าวไปด้านหน้า เดินไปถึงหน้าบันไดวิหาร พูดภาษาทูเจวี๋ยอย่างคล่องแคล่ว “ตอนนี้เจ้าถูกล้อมไว้ทุกด้านแล้ว หากปล่อยตัวประกัน วางอาวุธยอมให้จับ ข้ารับประกันว่าจะปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงผู้กล้า”

    มีดสั้นของนักรบสุนัขป่าจ่อคอหอยเซียนเจิ้ง เสียงค่อนข้างแหบแห้ง “มีเพียงต้าข่านจึงคู่ควรนามผู้กล้า”

    จางเสี่ยวจิ้งแค่นเสียงฮึ พวกสุนัขป่าที่ถูกคัดเลือกมาฉางอันล้วนภักดีจนตัวตาย เกลี้ยกล่อมพวกมันให้ยอมแพ้ยากกว่าไม่ให้จักรพรรดิหลับนอนกับพระสนม คำพูดเพียงไม่กี่คำ อย่าคิดหวังให้มันยอมตาม

    ทว่ารับมือเรื่องจับตัวประกัน มันผู้ซึ่งอดีตเป็นหัวหน้าปู้เหลียงเหรินพอมีวิธีรับมืออยู่หรอก

    จางเสี่ยวจิ้งหัวเราะเย็นชา เดินไปข้างหน้า “เจ้าย่อมตายแน่นอน ทว่าชื่อของเจ้ากลับไม่ จากนี้ไปพวกข้าจะประกาศออกไปว่าเจ้าแพร่งพรายความลับทั้งหมดของต้าข่านกับราชวงศ์ อีกทั้งนำทางให้กองทัพใหญ่ต้าถังด้วยตนเอง ไม่ช้า ทั่วทั้งดินแดนทุ่งหญ้าย่อมรู้เรื่องคนผู้นี้ขายชาติ ทรยศทุกคนในเผ่า เป็นคนผู้นี้ลบหลู่เกียรติภูมิของนักรบสุนัขป่า”

    “เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่รู้จักชื่อข้า!” นักรบสุนัขป่าคำรามเสียงต่ำ

    “เจ้าพนันดูก็ย่อมได้”

    จางเสี่ยวจิ้งจ่อปลายอาวุธที่หน้าหว่างขามัน ทำท่ากรีดผ่านอากาศครั้งหนึ่ง หัวเราะแต่ไม่เอ่ยวาจาใด ตาเดียวข้างนั้นสาดประกายน่าสะพรึงกลัว นักรบสุนัขป่ารู้สึกลำคอแห้งผากทันที ข้อมือสั่นโดยไม่รู้ตัว

    พวกนักรบสุนัขป่ามีพิธีกรรมลับสุดยอด นักรบแต่ละนายที่จะได้เป็นนักรบสุนัขป่าล้วนต้องเข้าพิธีให้นางทาสสาวงามปรนนิบัติ ให้องคชาตของมันแข็งใหญ่เต็มที่ จากนั้นสักชื่อพิเศษไว้บนนั้น เมื่อองคชาตห้อยลงจะเห็นเพียงชื่อสุนัขป่า ต่อเมื่อแข็งใหญ่จึงค่อยเห็นชื่อของมัน ชาวทูเจวี๋ยเชื่อว่าองคชาตเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตอันกล้าแกร่ง พิธีนี้จะประทานชีวิตสุนัขป่าประทับร่างผู้กล้าหาญ

    นักรบสุนัขป่าผู้นี้ไม่แน่ชัดว่าจางเสี่ยวจิ้งรู้จักพิธีนี้ได้อย่างไร ทว่ามันรู้ตัวแล้วว่าหากศพของตนตกอยู่ในมือของชายผู้มีดวงตาข้างเดียว จุดจบย่อมไม่ใช่เรื่องดี

    “ปล่อยตัวประกัน ข้าจะให้เจ้าพลีชีพในการต่อสู้อย่างกล้าหาญ ไม่เช่นนั้นชื่อของเจ้าจะเป็นที่อดสูสืบทอดไปชั่วกาลนาน”

    จางเสี่ยวจิ้งเดินไปถึงระยะห่างจากมันห้าก้าวแล้วหยุดลง มันกำลังรอคอย รอคอยความหวาดกลัวเพาะตัวขึ้นในใจฝ่ายตรงข้าม เซียนเจิ้งแห่งนิกายเซียนเจี้ยวผู้นั้นหลับตาสุดชีวิต พึมพำกับตัวเอง มิทราบว่ากำลังร้องขอให้ปล่อยหรือว่ากำลังสวดภาวนา

    เหล่าสาวกรอบด้านจ้องมองการเผชิญหน้านี้อย่างตื่นเต้น บางคนคุกเข่าลงกับพื้น ล้อมวงก่อกองไฟขนาดเล็ก โยนเครื่องหอมกับน้ำมันเข้าไป นิกายเซียนเจี้ยวเทิดทูนบูชาไฟ กราบไหว้บูชาเทพอัคคี คนอื่นเห็นเช่นนี้ก็พากันกระทำตาม เพียงครู่เดียวทั่วทั้งวิหารก็มีกองไฟเล็กสิบกว่ากองแล้ว เสียงสวดดังกระหึ่มทั่วบริเวณ

    เวลาเดียวกันนี้เอง พลันบังเกิดเสียงตวาดดังขึ้นในลานกว้าง

    “คืนม้าของข้ามา!”

    เงาร่างคนผู้หนึ่งพุ่งออกมาจากในกลุ่มคน กระโจนเข้าหานักรบสุนัขป่า จิตใจนักรบเดิมทีก็ตึงเครียดถึงขีดสุดแล้ว พลันถูกจู่โจมกะทันหันจึงตวัดข้อมือตามสัญชาตญาณ เลือดฉีดออกจากลำคอของเซียนเจิ้งเป็นสายยาว ปากร้องอึกอัก ล้มคว่ำลงกับพื้น เงาร่างนั้นชนนักรบสุนัขป่ากลิ้งตกบันไดมาถึงพื้นล่าง

    นี่ก่อเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ แรกเริ่มเหล่าสาวกพากันร้องตะโกนด้วยความเสียขวัญ จากนั้นพากันรุมล้อมเข้ามา โอบล้อมนักรบสุนัขป่าที่กลิ้งตกบันได บริภาษเป็นเดือดเป็นแค้น กลุ้มรุมเตะตีทั้งหมัดเท้าฟากนี้บ้างฟากนั้นบ้าง จางเสี่ยวจิ้งรีบพุ่งเข้าไป ทว่าไม่อาจสามารถควบคุมเหล่าสาวกที่โกรธแค้นแม้แต่น้อย ผลักไปดันมา เบียดเสียดไปมา วุ่นวายสับสนสุดขีด จางเสี่ยวจิ้งกับทหารประจำหลี่สองนายพยายามแหวกเหล่าสาวกเบียดเข้าไป ปากก็ร้องตะโกนให้หลีกออก ทว่าล้วนถูกชนกระดอนออกไปทุกครั้ง

    ตอนนี้เอง กำลังพลสวมเสื้อดำหลายสิบนายวิ่งมาจากปากตรอก ไม่ใช่ทหารประจำหลี่ของฟางนี้ หากแต่เป็นปู้เหลียงเหรินที่ควบคุมอำเภอฉางอันโดยตรง ผู้นำมาก็คือเหยาหรู่เหนิง พวกมันเห็นควันเหลืองพวยพุ่งที่ด้านนี้จึงรีบรุดมาทันที ปู้เหลียงเหรินเหล่านี้แต่ละนายถือบรรทัดเหล็ก เข้ามาถึงก็รีบผลักดันเหล่าสาวกออกไป คนที่ไม่ยอมเชื่อฟังก็ให้ลิ้มรสบรรทัดเหล็ก ควบคุมสถานการณ์ไว้อย่างรวดเร็ว

    อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงการระงับเหตุชั่วคราวเท่านั้น คนส่วนใหญ่ไม่ยอมกลับไป พวกมันรวมตัวอยู่รอบด้าน ส่งเสียงร้องตะโกน รอทางการออกมาชี้แจง เซียนเจิ้งถูกฆ่าท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย เป็นเรื่องร้ายแรงใหญ่โตมากเหลือเกิน

    จางเสี่ยวจิ้งไม่อาจสนใจเรื่องอื่นได้อีก มันปราดเข้าไป เห็นนักรบสุนัขป่าผู้นั้นนอนทอดร่างอยู่ที่พื้น เลือดเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า แขนขาบิดเบี้ยว ถึงกับถูกทุบตีตายทั้งเป็น มันก้มลงค้นหาทั่วร่างนักรบสุนัขป่า สีหน้าพลันแตกตื่น

    แผนที่ฟางหายไปแล้ว

    แม้จางเสี่ยวจิ้งจิตใจกล้าแกร่งเกินคนก็ยังถึงกับเหงื่อกาฬไหลหลั่ง เมื่อสักครู่ขณะเหล่าสาวกชุลมุนวุ่นวาย ผู้คนกลุ้มรุมมาที่ร่างนักรบสุนัขป่าจำนวนมาก มิแน่ว่าอาจมีสักคนเล่นลูกไม้ ลอบขโมยเอาถุงติดตัวของมันไป…นี่คือผลดีสุดขีดของโชคชะตา หรือว่าถูกสายลับชาวทูเจวี๋ยฉวยโอกาสคว้าแผนที่ฟางไป…มันรีบเหลียวมองไปรอบด้าน ทว่าเห็นเพียงใบหน้าโกรธแค้นนับไม่ถ้วนขยับไปมา ไม่สามารถแยกแยะออก

    จางเสี่ยวจิ้งหันหน้ากลับไปด้วยความกลัดกลุ้ม คนที่ก่อเรื่องล้มอยู่หน้าเซียนเจิ้ง สีหน้าเลื่อนลอยทำอันใดไม่ถูก จางเสี่ยวจิ้งจำหน้ามันได้ คือชายหนุ่มที่เมื่อครู่ถูกนักรบสุนัขป่าชิงม้า

    “เจ้าชื่ออะไร” จางเสี่ยวจิ้งสะกดความหงุดหงิด

    “เฉินเซินจากเซียนโจว” ชายหนุ่มจ้องหน้ามันกลับ หาได้แสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย

    “เจ้าฆ่ามันทำไม”

    เฉินเซินโมโหแล้ว “มันชิงม้าของข้ากลางถนน ไฉนข้าจะไม่อาจไล่ตามมาเอาคืน” ทันใดนั้น สีหน้าเศร้าสร้อย สะอึกสะอื้น “ชิงม้าก็ชิงไปเถิด เหตุใดต้องฆ่าม้าเล่า เจ้าคิ้วเขียวเชื่องมาก อยู่กับข้ามาหลายปี กลับต้องมาตายที่ปากตรอกเช่นนี้…” เสียงมันชะงักหยุดครู่หนึ่ง “ม้าตายไปยังอาจชดใช้เงินทอง ทว่าบทกลอนของข้าถูกเผาหมดสิ้น นี่จะชดใช้อย่างไร”

    จางเสี่ยวจิ้งหามีเวลาฟังมันพร่ำบ่นไม่ สั่งเหยาหรู่เหนิงด้วยสีหน้าเครียด “นำคนผู้นี้กับศพนักรบสุนัขป่ากลับไป…อ้อ เรื่องที่ร้านหย่วนไหลเป็นอย่างไร ไฉนจึงปล่อยควันเหลือง”

    “เฮ้อ อย่ากล่าวถึงเลย ร้านหย่วนไหลมีฝูงสัตว์แตกตื่นกะทันหัน ม้าหลายตัวเตลิด ล้วนไม่มีทะเบียนตรา เมื่อพวกข้าไปถึงและแสดงตน คนของร้านกลับเข้าใจผิดว่านายตลาดตะวันตกจับสินค้าหนีภาษี ไม่ทันพูดจาอะไรก็ปะทะดุเดือด…” เหยาหรู่เหนิงอธิบายด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายพลางลูบหน้าผาก เห็นรอยแผลแคบยาวสดใหม่รอยหนึ่ง

    จางเสี่ยวจิ้งเอียงคอ ยังไม่ทันจะว่ากระไรต่อ ทันใดนั้นได้ยินเสียงตีกลองหลายครั้งดังมาจากหอสังเกตการณ์ที่ไกลออกไป นี่เป็นเสียงเตือน เป็นสัญญาณว่ากำลังจะมีคำสั่งจากจิ้งอันซือ ทั้งสองคนมองไปทางหอสังเกตการณ์พร้อมกัน ครู่หนึ่งพลเฝ้าระวังบนหอเริ่มโบกธง เหยาหรู่เหนิงรีบแปลทันที มันยิ่งแปลสัญญาณ สีหน้ามันยิ่งประหลาดพิกล

    จางเสี่ยวจิ้งถามว่า “เป็นผู้ใดส่งคำสั่ง ผู้บัญชาการหลี่หรือ”

    “ไม่ ผู้บัญชาการหลี่เป็นเพียงผู้ช่วย คำสั่งนี้ผู้ตรวจการเฮ่อส่งมาด้วยตนเอง”

    “ผู้ตรวจการเฮ่อ?”

    “อ๊ะ ท่านไม่รู้หรอกหรือ นี่คือหัวหน้าตัวจริงของจิ้งอันซือ…เฮ่อจือจาง”

    ได้ยินชื่อนี้ สีหน้าจางเสี่ยวจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย “คำสั่งว่าอย่างไร”

    เหยาหรู่เหนิงแปลคำสั่งครบถ้วนในใจแล้วก็ต้องถึงกับตะลึง นิ่งอึ้งไป ดีที่คำสั่งของหอสังเกตการณ์ล้วนต้องถ่ายทอดซ้ำสามรอบ มันรีบแปลอีกครั้ง พบว่าไม่ผิดพลาด มันหันมาทางจางเสี่ยวจิ้ง มือไม้ค่อนข้างงกเงิ่นอยู่บ้าง

    “ปลดผู้บัญชาการทหารประจำนครหลวงจางเสี่ยวจิ้งออกจากตำแหน่งทันที คุมตัวกลับหน่วยด่วน…”

     

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ฉางอันสิบสองชั่วยาม

    นิยายยอดนิยม

    Facebook