ฉางอันสิบสองชั่วยาม
ทดลองอ่านนิยาย ฉางอันสิบสองชั่วยาม เล่ม 2 ตอนที่ 1
บทที่เก้า
ปลายยามโหย่ว
รัชศกเทียนเป่าปีที่สาม เดือนอ้าย วันที่สิบสี่ ปลายยามโหย่ว
เมืองฉางอัน อำเภอฉางอัน อี้หนิงฟาง
ในห้องสารภาพบาปทั้งมืดทั้งแคบ คนผู้เดียวรั้งอยู่นานย่อมรู้สึกว่าหายใจไม่สะดวก อย่าว่าแต่บัดนี้มีคนสองคนเบียดกัน
ถานฉีกับจางเสี่ยวจิ้งถูกขังอยู่ในความมืด แทบจะหน้าแนบหน้า ไม่มีที่ว่างให้ถอย แม้แต่ลมหายใจของอีกฝ่ายก็สัมผัสได้ ร่างจางเสี่ยวจิ้งค้างอยู่ในท่าขัดเขินเยี่ยงนี้ มันตะโกนอีกหลายครั้ง หากภายนอกปราศจากความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย สังฆานุกรที่ชื่ออีซือผู้นั้นสุดท้ายก็จากไปเช่นนี้หรือ
อย่าว่าแต่ถานฉี แม้แต่จางเสี่ยวจิ้งเองก็คิดไม่ถึงว่านักบวชที่วาจาสุภาพยามจะพลิกหน้าเป็นปฏิปักษ์ก็พลิกทันที มันเองแม้สัมผัสผู้คนมานับไม่ถ้วน ทว่ากลับไม่อาจตามนักบวชที่ชื่ออีซือนี้ทัน ด้วยใบหน้ากับท่วงท่านั้นชวนให้ไว้เนื้อเชื่อใจเหลือเกิน
จางเสี่ยวจิ้งใช้กำปั้นทุบประตูเล็กอย่างรุนแรงหลายครั้ง ประตูเล็กไม่เคลื่อนแม้แต่น้อย ห้องไม้แม้ดูบอบบาง แต่ไม้ที่ใช้กลับเป็นไม้ไป่ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็ง มิใช่แรงมนุษย์จะโยกคลอนได้
“แม่นางถานฉี ล่วงเกินแล้ว”
จางเสี่ยวจิ้งยืดร่างท่อนบนแทบจะแนบหน้าถานฉี มันคิดจะขยับช่วงเอวให้มีที่ว่างพอจะชักมีดจั้งตาวออกมาได้ ถานฉีเข้าใจเจตนาของมัน แต่ก็ยังใจเต้นเป็นตีกลอง นางมิเคยใกล้ชิดกับบุรุษคนใดมากถึงเพียงนี้มาก่อน รู้สึกว่าลมหายใจกระชั้นหนักๆ นั้นกำลังแทรกเข้าจมูก นางตกใจจนไม่กล้าเคลื่อนไหว
จางเสี่ยวจิ้งชักมีดสั้นออกช้าๆ เล็งปลายแหลมกับซอกประตูอย่างระมัดระวัง เลื่อนลงล่าง คมมีดบางๆ กระทบโซ่กุญแจด้านนอก ทว่าห้องนี้แคบเกินไป เกร็งแรงไม่ได้ ยิ่งมิพักต้องกล่าวถึงเรื่องเงื้อฟันทำลาย วิธีเดียวที่กระทำได้ก็คือใช้ปลายมีดเฉือนดาลของประตูเล็ก ซึ่งกินเวลานานมากเกินไป
ถานฉีรู้สึกเรื่องทั้งหมดเหลวไหลเหลือเกิน ร่องรอยเชว่เล่อฮั่วตัวสาบสูญ วิกฤตฉางอันราวตั้งไข่เรียงซ้อน พวกมันกลับถูกสังฆานุกรรูปหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอันใด ใช้เหตุผลที่มิทราบควรพรรณนาว่ากระไร กักขังเอาไว้ในสถานที่ผีสางซึ่งมิทราบว่าเป็นที่แห่งใด
นางมองจางเสี่ยวจิ้ง บุรุษผู้นี้สมควรคิดหาวิธีหนีออกไปได้ในไม่ช้า! เฉกเช่นเมื่อครั้งที่อยู่กองทหารม้าราชองครักษ์ขวา มันย่อมมีวิธีการ หากแต่ตาข้างเดียวของจางเสี่ยวจิ้งพยายามเบิกโตในแสงสลัว เม้มปากแน่นเหมือนเป็นสัตว์ร้ายที่ถูกขังกรง ครั้งนี้คล้ายว่ามันเองก็อับจนปัญญา
ถานฉีจู่ๆ ก็ฉุกคิด เมื่อใดกันหนอที่ตนเริ่มเห็นมันเป็นขุนเขาให้พึ่งพาได้ เติงถูจื่อผู้นี้เคยพูดไว้ ครั้งนี้ขอยืมตัวนางเพราะต้องการยืมสติปัญญาของนาง หากมัวแต่รอให้มันคิดหาวิธี นางมิใช่ทำให้คุณชายเสียหน้าหรอกหรือ! พอคิดถึงตรงนี้ถานฉีก็พยายามขยับศีรษะ ดูว่าพอจะมีโอกาสบ้างหรือไม่
ทั้งสองคนขยับพร้อมกันอย่างมิทันระวัง แก้มจึงสัมผัสกัน ผิวหน้าหยาบกร้านเสียดสีใบหน้าของถานฉีจนเจ็บแสบ นางหน้าแดงไปถึงคอทันที คิดจะหลบก็ไม่อาจหลบ
จังหวะนี้นี่เองด้านนอกแว่วเสียงฝีเท้า คนทั้งสองหยุดนิ่งพร้อมกัน
เสียงของอีซือดังอยู่ด้านนอก น้ำเสียงภาคภูมิใจยิ่ง “สองท่านกำลังก่นด่าอยู่ในใจอย่างแน่นอนว่าข้าปากหวานท้องกระบี่…อ้อ ขออภัยๆ ข้าลืมไป ปากหวานท้องกระบี่เลิกใช้กันนานแล้ว ใช้คำว่าปากปราศรัยใบหน้าแย้มยิ้มเถิด เพราะคำว่าใบหน้าแย้มยิ้มนี้ข้ายังพอรับไหว ฮ่าๆ”
คนผู้นี้ไม่ทราบว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อใด บางทีอาจมิได้จากไปที่ใดตั้งแต่แรก บุรุษที่ถานฉีเคยพบพานนับว่ามีมากมาย ทว่าผู้ชื่นชอบลุ่มหลงใบหน้าตนเองนี่นับเป็นคนแรก
“ปลอมตัวเป็นสามีภรรยา บุกเข้ามาถึงวัดข้า ที่แท้มีเจตนาใดกันแน่” อีซือถาม หากจะบอกว่าน้ำเสียงของมันขุ่นเคืองโกรธแค้น มิสู้กล่าวว่าตื่นเต้นดีใจจะถูกต้องชัดเจนกว่า
ถานฉีกำลังจะเอ่ยปากเสียดสี แต่จางเสี่ยวจิ้งกลับห้ามนางไว้ ปลดป้ายเอวมาเคาะบานประตู เสียงร้อนใจ “ข้าเป็นแม่ทัพของจิ้งอันซือ จางเสี่ยวจิ้ง กำลังทำคดีใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของเมืองฉางอัน รีบปล่อยพวกข้าเดี๋ยวนี้ นี่คือป้ายประจำตัวของจิ้งอันซือ สามารถแจ้งทางการตรวจสอบได้”
“จิ้งอันซือ? ไม่เคยได้ยินมาก่อน คงมิใช่พูดจาเกินจริงอีกกระมัง” อีซือส่องหน้าต่างเล็กดูป้ายเอว “วันพรุ่งนี้ให้ข้าไปสอบถามกับกรมศาสนาก่อน ถึงเวลานั้นย่อมรู้ความจริง”
“เช่นนั้นย่อมไม่ทันกาลแล้ว! ปล่อยพวกข้าเดี๋ยวนี้!” ร่างจางเสี่ยวจิ้งกระแทกผนังอย่างแรง ทำให้ห้องไม้โยกไหว
อีซือยื่นนิ้วมือเรียวยาว โบกพลางทำเสียงจุปาก “ข้าเป็นสังฆานุกรในนิกายจิ่งเจี้ยว มีหน้าที่ปกป้องรักษาอาราม ในเมื่อมีคนร้ายปลอมตัวเป็นสาธุชนเข้ามาภายในวัด ไม่ตรวจสอบให้กระจ่าง ไยมิใช่บกพร่องต่อหน้าที่เล่า”
มันพูดจาสุภาพนุ่มนวล ใช้ภาษาหนังสือ ทว่าเวลานี้ถานฉีกับจางเสี่ยวจิ้งกลับรู้สึกรำคาญแทบตายแล้ว
จางเสี่ยวจิ้งเน้นอย่างจริงจังเคร่งเครียด “ฟังข้า ตอนนี้ในวัดปอซือแห่งนี้มีคนร้ายอุกฉกรรจ์ซ่อนตัวอยู่ เกี่ยวพันถึงชีวิตคนหลายสิบหมื่น หากทำให้การใหญ่ของราชสำนักเสียหาย พวกเจ้าต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา!”
ชีวิตคนหลายสิบหมื่น? คนร้ายอุกฉกรรจ์? สองคำนี้ทำให้ตาอีซือวาบประกาย “หนึ่ง พวกเราเป็นวัดต้าฉิน มิใช่วัดปอซือ สอง หากมีบุคคลอันตรายถึงเพียงนี้จริง ก็เป็นเรื่องของวัดเราจัดการสะสางเอง ผู้ทรงธรรมที่คิดตามหาก็คือมันผู้นั้นหรือ”
“ถูกต้อง มันคือขุนนางโย่วซาแห่งทูเจวี๋ย เมื่อสามเดือนก่อนมาถึงฉางอัน จิ้งอันซือพบว่ามันปลอมตัวเป็นนักบวช ซ่อนตัวอยู่ในวัดปอซือแห่งนี้” คำพูดจางเสี่ยวจิ้งรัวเร็วไม่ยอมให้คนปอซือที่ชื่นชอบใช้ภาษาหนังสือผู้นี้เป็นฝ่ายควบคุมจังหวะการสนทนาอีกต่อไป
“ก็บอกแล้วว่าเป็นวัดต้าฉิน…เฮ้อ” อีซือคล้ายเริ่มหวั่นไหว มันกลอกนัยน์ตา บนใบหน้าสง่างามปรากฏรอยยิ้มตื่นเต้นดีใจ “พวกท่านสำนึกผิดอยู่ที่นี่ก่อน ให้ข้าไปตรวจสอบสักครู่ ขอชมดูว่าคำพูดเป็นความจริงหรือมุสา”
ครานี้จางเสี่ยวจิ้งร้อนรนขึ้นมาจริงๆ แล้ว มันเค้นคอตะเบ็งเสียง “ชาวทูเจวี๋ยคนนี้มีกำลังหนุนหลังกล้าแข็งมาก ไม่อาจหยั่งถามโดยพลการ โปรดเปิดประตูเดี๋ยวนี้ มอบให้มือปราบผู้เชี่ยวชาญจัดการ”
“อ้อ? หมายถึงผู้เชี่ยวชาญสองคนที่ถูกข้าขังไว้ในห้องสารภาพบาปน่ะหรือ” อีซือหัวเราะเยาะ ใช้นิ้วชี้ไปที่ทั้งสองดวงตาของตน “สองตาของข้าอีซือผ่านอุทกแห่งวสันตฤดูชำระล้าง พวกท่านสามารถเปิดโปงคนร้าย ข้าก็ย่อมกระทำได้เช่นกัน” จากนั้นมันไม่แยแสเสียงตะโกนของจางเสี่ยวจิ้งอีก หันกายจากไป
อีซือสาวเท้าก้าวเดินไปตามโถงทางเดิน ท่าทียังคงสงบนิ่ง แต่ชายผ้าชุดยาวสีขาวด้านหนึ่งพลิ้วกระพือสูงมาก แสดงให้เห็นว่าจิตใจผู้สวมกำลังตื่นเต้นกระตือรือร้น
นักบวชจิ่งเจี้ยวยกย่องการบำเพ็ญเพียรถ่อมตน ในแต่ละปีโต้เถียงวิพากษ์กันไม่กี่ครั้ง อีซือทะนงตนว่าร่ำเรียนคัมภีร์โบราณของจงหยวนแตกฉาน ทว่าตลอดมาไม่เคยมีโอกาสได้สำแดงภูมิความรู้ ทำให้นึกผิดหวังอยู่บ้าง ครั้งนี้ยากเย็นยิ่งนักกว่าจะมีโอกาส มันย่อมไม่ยอมปล่อยโดยง่ายดาย
หากว่าคำพูดของบุรุษผู้นั้นมิใช่เรื่องมดเท็จ นี่จะเป็นโอกาสอันประเสริฐ อีซือเดินไปถึงอุโบสถใหญ่ เห็นกางเขนยักษ์ตระหง่านบนที่สูง จึงพนมมือภาวนาด้วยศรัทธาแรงกล้า
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ครั้งนี้มีโอกาสสร้างความดีความชอบ ย่อมได้รับความเชื่อถือจากราชสำนัก นิกายจิ่งเจี้ยวเราจักได้เป็นที่ยอมรับ
มันภาวนาเสร็จก็ตรงไปยังเรือนพักด้านข้างของอุโบสถใหญ่ ที่นั่นมีแปลงปลูกผลแตงและผัก นักบวชนิกายจิ่งเจี้ยวไม่แบ่งวรรณะศักดิ์ชั้น ลงแรงเพาะปลูกเก็บเกี่ยวด้วยตนเอง ดังนั้นเรือนพักจึงทำแปลงเพาะปลูกอยู่ด้านข้าง ทั้งหมดล้วนเป็นเรือนหินสองชั้นหลังคาเรียบขนาดเล็ก
ฐานะของอีซือเป็นสังฆานุกร รู้ความเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในวัดจิ่งซื่อเป็นอย่างดี หนึ่งเดือนก่อนที่นี่มีนักบวชรูปหนึ่งมาเยือนจริงๆ นามว่าผู่เจอ เป็นชาวซู่เท่อ ในใบสงฆ์ระบุว่ามาจากวัดจิ่งซื่อในแคว้นคัง สถานะนักบวชอาวุโส หลังจากผู่เจอมาถึงวัดจิ่งซื่อที่อี้หนิงฟางก็วางตัวสันโดษ ปกติไม่ค่อยคบค้าเสวนากับผู้ใด เพียงแต่ออกไปข้างนอกบ่อยครั้ง ทางวัดก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสตั้งใจเผยแผ่คำสอน มิได้บังคับควบคุมแต่อย่างใด
ฟังจากที่จางเสี่ยวจิ้งบอกมา นักบวชอาวุโสผู่เจอผู้นี้คือคนที่สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าวเพียงผู้เดียว
คนผู้นี้อายุเกินหกสิบ ทางวัดจัดแจงห้องหับให้พักอาศัยเดี่ยวบนชั้นสองห้องมุม อีซือเรียกนักบวชผู้ดูแลสถานที่ให้ไปด้วยกัน ตนเองเดินไปที่ประตู เคาะประตูพลางร้องเรียก “ท่านผู่เจอ” แต่ไม่มีเสียงตอบ มือของอีซือผลักเบาๆ ประตูที่ไม่ใส่กลอนก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดแล้วเปิดออก
การตกแต่งภายในห้องเล็กมิได้แตกต่างจากห้องพักของศาสนจารย์รูปอื่นๆ ใต้หน้าต่างจัดวางกางเขนชุบทอง สองฟากมีหีบฝาโค้งสำหรับใส่ผ้าฟากละหนึ่งหีบ พื้นปูพรมหนาทอจากขนอูฐผืนหนึ่ง
อีซือสังเกตพบว่ากาสุราทรงแพะมังกรคว่ำอยู่กลางพรม สุราองุ่นสีแดงเข้มไหลออกมาจากพวย ย้อมพรมจนเปียกชุ่มเป็นดวงใหญ่ นักบวชตื่นตัวระแวดระวังทันที ยกชายชุดคลุมยาวขึ้นเหน็บกับสายรัดเอว ก่อนจะย่างเท้าอย่างช้าๆ เข้าไปภายในห้องนอน
พลันเมื่ออีซือเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาคือดวงตากลมเหลือกลานของนักบวชอาวุโส สีหน้าประหลาดใจสุดขีด ศีรษะพาดบนธรณีประตูนอนหน้าหงายอยู่บนพื้น ทรวงอกมีมีดสั้นคมกริบปักอยู่ เกือบไร้เลือดเนื้อ แขนของนักบวชเฒ่าสั่นระริก ไม่ทราบว่ายังมีลมหายใจเฮือกสุดท้าย หรือว่าตายแล้วแต่ยังเหลือแรงอาฆาต
อีซือตกตะลึง นี่…มิใช่คนร้ายหรือบุคคลอันตรายร้ายกาจที่ว่าหรอกหรือ ไฉนจึงถูกสังหารเสียได้เล่า
นักบวชผู้ติดตามเดินเข้ามา พอเห็นฉากน่าสยดสยองก็ร้องอุทานเสียงหลง เข่าอ่อนระทวยทรุด อีซือกลอกตา ไม่ได้รีบร้อนก้มลงไปตรวจสอบ หากแต่กวาดตามองทั่วห้องอย่างว่องไวรอบหนึ่ง
ในความเงียบสงัดของชั่วเวลาสั้นเพียงดีดนิ้วสองสามครั้ง ทันใดนั้นมันก็คว้าเชิงเทียนทองแดงข้างมือขว้างไปทางมุมห้องอย่างแรง
มุมห้องตรงนั้นวางฉากบังตาเล็กทำจากไม้ไผ่สองบาน ปกติใช้ปิดบังถังปัสสาวะ ฉากน้ำหนักเบามาก ถูกเชิงเทียนทองแดงหนักอึ้งฟาดก็ล้มคว่ำทันที ด้านหลังพลันปรากฏบุรุษซึ่งอำพรางใบหน้าผู้หนึ่งกระโจนออกมา
“ลูกไม้ชั้นต่ำเช่นนี้คิดว่าจะรอดสายตาของข้าอีซือได้หรือ” อีซือครึ่งหนึ่งนั้นตื่นเต้น อีกครึ่งคือปลุกปลอบใจตัวเองแล้วตวาดขู่
หน้าต่างของห้องนี้หันออกทางทิศเหนือ อีกทั้งยังเป็นชั้นสองตรงกับแสงโคมทางเดินพอดี เมื่อสักครู่อีซือก็สังเกตเห็นแล้วว่าแสงโคมส่องเข้ามาถึงมุมห้อง ระหว่างเงาของฉากทั้งสองบานสมควรเป็นร่องแสง ทว่าพริบตาเดียวนั้นเงาฉากสองบานกลับเชื่อมเป็นผืนเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าด้านหลังฉากบังตามีคนซ่อนอยู่
หลังจากฆาตกรสังหารคนแล้ว ยังไม่ทันหลบหนีก็ได้ยินเสียงเคาะประตู จึงได้แต่ต้องซ่อนตัวอยู่หลังฉากชั่วคราว คาดไม่ถึงว่าจะถูกอีซือพบเห็น
ในเมื่อถูกเปิดโปง บุรุษผู้ปิดบังโฉมหน้าก็ไม่ร่ำไร ชักมีดพุ่งเข้าใส่อีซือทันที อีกฝ่ายตกใจผงะถอยหลัง แต่ไม่ทันเสียแล้ว ความคิดหนึ่งวาบผ่านในสมองของนักบวชอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่นี้ควรแสร้งทำเหมือนไม่พบความผิดปกติ แล้วล่าถอยไปแจ้งทางการ
ทว่าบัดนี้คิดสำนึกเสียใจก็สายไปแล้ว คมมีดของบุรุษที่ปิดบังโฉมหน้าคุกคามดุดัน อีซือไม่คำนึงถึงท่วงท่างดงาม ทรุดหมอบลงแทบพื้น ฝืนหลบพ้นอาวุธนี้ไปได้ ไม่รอให้อีกฝ่ายแทงซ้ำ มันก็คว้าเตาอุ่นเท้าที่วางข้างเตียงสาดออกไปทันที
เตาอุ่นเท้าทำจากเหล็กชนิดมีด้ามจับ ด้านในบรรจุถ่านเชื้อเพลิง ใช้สร้างความอบอุ่นยามราตรี อีซือคว้าเตาได้ก็สาด ข้างในเตาคล้ายกับเผาอะไรมาก่อน ขี้เถ้าเล็กละเอียดปลิวฟุ้ง ทำให้ภายในห้องขมุกขมัวด้วยควันและเถ้าธุลี อีซือถือโอกาสนี้คลานหนีออกจากรัศมีการจู่โจมของมือสังหารผู้อำพรางใบหน้า ลุกขึ้นยืนพร้อมกับมือที่ยังคงถือเตา
ทันใดนั้นมันได้ยินเสียงร้องอนาถ เป็นเสียงของนักบวชผู้ดูแลสถานที่ที่ติดตามตนเข้ามานั่นเอง มิต้องกล่าวแล้ว บุรุษผู้อำพรางใบหน้าเมื่อเล่นงานอีซือไม่สำเร็จย่อมลงมือสังหารนักบวชรูปนั้นแทน
อีซือเดือดดาลยิ่ง คนเหล่านี้บุกรุกศาสนสถาน ซ้ำยังเข่นฆ่านักบวชถึงสองรูป นี่ถือเป็นการดูหมิ่นสังฆานุกรอย่างอุกฤษฏ์ มันสาดถ่านที่เหลืออยู่ในเตาอุ่นเท้าออกไปอย่างไม่คิดชีวิต แล้วกระโดดขึ้นไปบนเตียงไม้
ข้างเตียงของนักบวชอาวุโสจะแขวนไม้เท้าเอาไว้อันหนึ่งเพื่อเตือนใจไม่ให้ลืมรากเหง้า ไม้เท้าทำจากไม้มะเดื่อแคว้นซาน ที่นั่นเป็นแหล่งปฐมกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้าแห่งจิ่งเจี้ยว บุรุษที่อำพรางใบหน้าแม้พกพาศาสตราแหลมคม แต่อีซือคุ้นเคยกับสภาพการตกแต่งของห้องมากกว่า
อีซือคว้าไม้เท้าที่แขวนบนผนัง จิตใจพอจะสงบลงบ้าง มันไม่ต้องการเอาชนะ ขอเพียงถ่วงเวลาไว้ได้สักช่วงเวลาหนึ่ง เหล่านักบวชซึ่งทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์อารามก็จะมาถึง มันอาศัยความยาวของไม้เท้าต้อนบุรุษผู้อำพรางใบหน้าไปทางมุมห้อง
ไม่ช้าบุรุษที่ปิดบังใบหน้าผู้นั้นก็คิดได้ว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังถ่วงเวลา ดังนั้นจึงไม่ยอมพัวพันด้วยอีกต่อไป หันหลังหนี แล้วกระโจนออกทางหน้าต่าง
อีซือรีบวิ่งไปข้างหน้าต่าง ไม่เห็นแม้แต่เงาร่างของอีกฝ่าย เมื่อมันเงยหน้าก็พบว่าบุรุษที่อำพรางใบหน้าผู้นั้นถึงกับใช้ระเบียงที่ยื่นออกมาไต่ขึ้นบนหลังคา
เจ้าเข้าใจว่านักบวชเราล้วนเป็นชนชั้นอ่อนแอปวกเปียกหรือ!
อีซือแค่นหัวเราะอย่างเยือกเย็น ปากคาบไม้เท้า พลิกข้อมือทั้งสอง โหนไต่กรอบหน้าต่าง เหยียดยืดตัว แล้วพลิกร่างขึ้นบนหลังคาอย่างรวดเร็ว
หลังคาวัดจิ่งซื่อเรียบและกว้างเหมาะสำหรับวิ่งตะบึงยิ่ง ต่างคนต่างวิ่งไล่กันไม่ลดละ กระโดดจากหลังคาหนึ่งไปอีกหลังคาหนึ่งด้วยฝีเท้าที่ไม่ยอมหยุด บุรุษผู้อำพรางใบหน้าคล่องแคล่วว่องไว อีซือก็ไม่ยอมลดละแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังคล่องแคล่วยิ่งกว่าเสียอีก
ตั้งแต่เล็กจนโตอีซือถือกำเนิดจากทะเลทรายแดนประจิม ปกติกิจกรรมที่โปรดปรานก็คือกระโดดโลดโผนไปๆ มาๆ ระหว่างโตรกหินถ้ำทราย นานวันเข้าก็ฝึกฝนจนกลายเป็นวิชาตัวเบาปีนป่ายไต่ทะยาน ไม่ว่าสถานที่สูงหวาดเสียวใดก็เปรียบเสมือนพื้นราบ มันเรียกวิชานี้เอาเองว่าวิชาทะยานถ้ำ
มือสังหารเลือกทางหนีเช่นนี้ พอดีเกาถูกที่คันของมัน
เห็นอีซือยิ่งตามยิ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ บุรุษผู้อำพรางใบหน้าทะยานร่างข้ามช่องว่างระหว่างสองหลังคา พลันพลิกตัวกลับแทงมีดออกกลางอากาศ อีซือตามมาด้านหลังกระโดดลอยตัวสูงปะทะกับทิศที่คมอาวุธหันใส่พอดี คนอยู่กลางอากาศไม่สามารถหลบหลีกได้ สถานการณ์คับขันมันรีบตลบชายด้านหน้าของชุดขาว พริบตาที่มีดแทงทะลุเสื้อตัวยาว อีซือก็กระชากอย่างแรง หักเหการจู่โจมเบนออกหลายส่วน พอดีกรีดผ่านไหล่ไป ทิ้งรอยเลือดไว้สายหนึ่ง
อีซืออาศัยท่วงท่านี้ใช้ศีรษะพุ่งกระแทกอกของบุรุษผู้อำพรางใบหน้า ชนมันล้มลงกับพื้น คนทั้งคู่กลิ้งหลายตลบบนหลังคา กอดรัดประชิดตัว อีซือระบายลมหายใจ กุมไม้เท้าฟาดหัวมันพลางคำราม “จะอย่างไรข้าก็เป็นเชื้อสายขัตติยะปอซือ มิอาจปล่อยเจ้าอาละวาดที่นี่!”
ขณะมันกำลังฟาด ทันใดนั้นศรหน้าไม้ดอกหนึ่งก็แหวกอากาศปักใส่ไม้เท้า หากวิถีเบี่ยงไปสักเล็กน้อย เกรงว่าคงทะลุคอหอยอีซือเป็นแน่แท้ ฉวยจังหวะที่นักบวชกำลังตะลึงค้าง บุรุษที่อำพรางใบหน้ารีบผลักอีกฝ่ายออก กระโจนลงจากตึกสองชั้น
อีซือคิดไม่ถึงว่ามือสังหารผู้นี้ที่แท้ยังมีพรรคพวก มันวิ่งไปทางขอบหลังคา เห็นที่ไกลออกไปมีคนผู้หนึ่งในมือถือหน้าไม้เล็งมาที่ตน นักบวชรีบก้มศีรษะ พอดีกับที่ศรเฉียดหนังหัวมันไป
ฉวยจังหวะนี้เองบุรุษผู้อำพรางใบหน้าลุกขึ้นจากพื้น วิ่งซวนเซไปสมทบกับพรรคพวก มือหน้าไม้โยนอาวุธในมือทิ้ง ทั้งสองวิ่งผ่านเสาศิลาจารึกคำสอนแปดเหลี่ยม ตรงไปทางประตูใหญ่วัดจิ่งซื่อ
คิดจะไล่ตามในตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว อีซือได้แต่ส่งเสียงโหวกเหวก หวังว่าจะมีนักบวชบริเวณประตูได้ยิน นักบวชเหล่านั้นกำลังวุ่นวายกับการแจกของให้คนผ่านทาง รอบตัวเสียงดังอึกทึกมาก ไฉนจะรู้ว่าด้านหลังของตนมีมือสังหารวิ่ง
อย่างไรก็ดีที่ประตูกลับมิได้มีเพียงพวกผู้ทรงศีล
ทหารหลี่ว์เปินกลุ่มนั้นที่รักษาการณ์อยู่ตามคำสั่งของจางเสี่ยวจิ้งเฝ้าประตูอยู่แต่แรกแล้ว พอเห็นคนทั้งสองที่เปี่ยมรังสีอำมหิตปรากฏตัวก็พากันชักอาวุธ เข้าล้อมเป็นทรงพัด
มือสังหารทั้งคู่ท่าทีตอบสนองว่องไวยิ่งนัก รีบล้วงเหรียญทองแดงออกจากในอกเสื้อโยนขึ้นฟ้า เงินร่วงลงมาดุจนางฟ้าโปรยบุปผา เหล่าผู้สัญจรชมงานเทศกาลโดยรอบพากันร้องตะโกน
“โปรยทานแล้ว!”
โปรยทานเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของฉางอัน โปรยเหรียญยามชมโคมให้ผู้คนเก็บ เชื่อว่ายิ่งโปรยมากยิ่งได้กุศลแรง ทว่าธรรมเนียมที่ไม่ดีนี้มักก่อเรื่องร้ายเนืองๆ จึงถูกทางการสั่งระงับ เมื่อชาวบ้านรู้ว่ามีคนกล้าโปรยทานอย่างเปิดเผยก็ต่างตื่นเต้นยินดี จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ฝูงชนจำนวนมากเบียดเสียดหลั่งไหลมาทางนี้ในพริบตา ทั้งบุรุษสตรีทั้งชราทารกพากันรุมล้อมเข้ามาแย่งชิง ที่แห่งนี้พลันสับสนอลหม่าน
รอเมื่อเหรียญถูกเก็บไปพอสมควร มือสังหารทั้งสองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงทหารหลี่ว์เปินสิบกว่านายยืนตะลึงอยู่กับที่ มองเลิ่กลั่กไปรอบด้าน เวลานี้อีซือปีนลงมาจากหลังคาแล้ว รีบวิ่งไปปากประตู เห็นสภาพเหตุการณ์ก็รีบถามว่า “พวกท่านมีแม่ทัพผู้หนึ่งเรียกว่าจางเสี่ยวจิ้งหรือไม่ หน้ายับ เอกเนตร”
ทหารมองมันด้วยสายตางุนงง ไม่กล่าววาจา
“เอ่อ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น ตาบอดข้างหนึ่ง”
“อ้อ เช่นนั้นมิผิดพลาด เป็นแม่ทัพจางนั่นเอง” ครานี้ทหารค่อยกระจ่าง ฟังเข้าใจในบัดดล
อีซือกุมหัว ใบหน้างดงามฉายแววยุ่งยากใจ แม้มันคารมเป็นเลิศ แต่กลับไม่ทราบว่าควรชี้แจงกับทหารนายนี้อย่างไรดีว่าแม่ทัพจางท่านนี้เพิ่งถูกตนจับขังไว้
กวงเต๋อฟาง จิ้งอันซือ
ที่ถูกสังหารเป็นคนแรกคือเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยส่งเอกสารคนหนึ่ง มันกำลังประคองม้วนหนังสือเดินไปหอสังเกตการณ์ใหญ่ ทันใดนั้นก็เห็นเงาดำสิบกว่าสายทะยานเข้ามา เพิ่งเบิกตาดูก็ถูกดาบสั้นเล่มหนึ่งเสียบทะลุคอหอย
จากนั้นที่ถูกจู่โจมต่อเป็นทหารยามสองนาย พวกมันมีหน้าที่เฝ้าสวนดอกไม้ด้านหลังและทางเดินเชื่อมมาตำหนักใหญ่ ขณะกำลังสนทนาสัพเพเหระกัน จู่ๆ ร่างของทั้งสองก็แข็งทื่อ ล้มฟาดพื้นพร้อมกัน ลำคอถูกลูกศรสั้นปักคนละดอก
เงาดำผู้เป็นหัวหน้าเดินถึงจุดนี้พลันหยุดชั่วคราว มันก็คือคนที่เมื่อครู่ปีนหอสังเกตการณ์ใหญ่นั่นเอง มันก้มลงถอนลูกศรออกจากศพของทหารยามทั้งสอง บรรจุเข้ารางยิงอีกครั้ง จากนั้นส่งสัญญาณมือว่าปลอดภัย
เงาดำห้าสายรีบรุดไปข้างหน้า กระจายออกประจำตำแหน่งที่สูงกับสองฟาก เล็งหน้าไม้ไปยังทางเดินเชื่อมต่อสวน หลายคนพุ่งตรงไปปากคูน้ำ ลากกระสอบผ้าป่านหนักมากมาหลายใบ พวกมันเปิดกระสอบ แต่ละคนหยิบกระบอกพ่นเรียบง่ายและไหดินเผาขนาดเล็กจำนวนหนึ่งออกมา
กระบอกพ่นนี้เป็นท่อทรงกระบอก ด้านหน้าเจาะรู ด้านหลังมีก้านดันน้ำ หัวก้านดันน้ำหุ้มสำลีแน่นหนา ยัดเข้าไปในกระบอก เมื่อเป็นเช่นนี้ยามดึงหนึ่งครั้งก็จะสูบน้ำเข้าทางรูเก็บไว้ด้านใน สามารถพ่นของเหลวออกด้วยการดันเพียงครั้งเดียว สิ่งนี้เดิมใช้สำหรับดับเพลิง แต่เสียหายง่ายมาก ทั้งปริมาณน้ำที่พ่นออกก็น้อย ดังนั้นจึงไม่แพร่หลายเท่าใดนัก
แต่หากต้องการใช้งานเพียงครั้งเดียวกลับเหมาะมือยิ่ง
พวกมันใช้กระบอกพ่นสูบน้ำจากไหดินเผาอย่างเยือกเย็น หัวหน้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองไปทางมุมชายคาของตำหนักใหญ่จิ้งอันซือที่อยู่ไกลออกไป ร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายกระหายฆ่าฟัน ทันใดนั้นมันยกมือปลดผ้าที่ปิดบังใบหน้าออก โยนใบสะระแหน่เข้าปาก เคี้ยวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ในราตรีนี้จมูกเหยี่ยวงองุ้มของหลงปัวยิ่งดูน่าสะพรึงกลัว
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยของจิ้งอันซือซึ่งทยอยเดินกลับจากไปปลดทุกข์ผ่านมาสองสามคน แต่ละคนล้วนถูกฆ่าโดยไม่รีรอ ศพถูกทิ้งลงในคูน้ำด้านข้าง
รอจนกระทั่งทุกคนบรรจุกระบอกพ่นเต็มแล้วประทับบนบ่า หลงปัวจึงใช้ภาษาซู่เท่อสั่งการ “แบ่งเป็นสามหน่วย หนึ่งหน่วยไปตำหนักใหญ่ สองหน่วยแยกไปตำหนักปีกขวาและปีกซ้าย หน่วยที่ไปตำหนักปีกด้านซ้ายดูตำหนักหลังด้วย เมื่อลงมือให้ใช้หน้าไม้กับพวกองครักษ์บู๊ ใช้มีดกับเจ้าหน้าที่บุ๋น ใช้กระบอกพ่นกับวัตถุ ต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ในทันที”
มันเน้นย้ำ “ทั้งหมดนี้ต้องลงมือให้เสร็จภายในหนึ่งเค่อ”
คนทั้งกลุ่มพยักหน้าพร้อมกัน หลงปัวถ่มใบสะระแหน่ที่เคี้ยวจนแหลกลงพื้น โพกผ้าปิดหน้าอีกครั้ง “ไปส่งโคมไฟให้นายท่านทั้งหลายในจิ้งอันซือกันเถิด”
ประตูเล็กของห้องสารภาพบาปเปิดแง้มออก ลำแสงที่ไม่เห็นมานานชำแรกสู่ครรลองทัศน์ ถานฉีกับจางเสี่ยวจิ้งหรี่ตาพร้อมกัน รู้สึกยังปรับตัวไม่ใคร่ได้
อีซือกลับไม่ปิดบังอันใด ชิงเป็นฝ่ายออกหน้าขออภัยก่อนด้วยวาจายาวยืดยากเข้าใจ ทั้ง ‘จารจำโทษานุโทษนิรันดร์’ ทั้ง ‘สลักทัณฑ์ตราโทษให้ถึงที่สุด’ เหมือนกำลังร่ายประกาศสำนึกผิดของคนสมัยราชวงศ์ก่อนหน้า ท่องออกมาเป็นชุด
ถานฉีตัดบทมันโดยไม่อ้อมค้อม ถามว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไร อีซือที่รู้ตัวว่าทำผิดไปแล้วจึงเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ใบหน้าจางเสี่ยวจิ้งเคร่งเครียด ไม่สนใจเอาความมัน สั่งให้รีบพาตนไปดู
นักบวชอาวุโสผู่เจอที่บาดเจ็บสาหัสถูกหามเข้าไปในห้องภาวนาห้องหนึ่ง มีหมอประจำวัดช่วยยื้อชีพ บาดแผลจากอาวุธที่ทรวงอกของมันลึกมาก คนเจ็บหมดสติไปแต่แรกแล้ว
จางเสี่ยวจิ้งเข้าไปดูอย่างละเอียด นี่เป็นใบหน้าราวกับม้า ทั้งแคบทั้งยาว เต็มไปด้วยรอยย่น จมูกกว้างตารียาว มิใช่รูปลักษณ์เช่นชาวภาคกลางเด็ดขาด ทว่าหากจะกล่าวว่าเป็นรูปลักษณ์เช่นชาวทูเจวี๋ยก็ยังไม่ใคร่ชัดเจน
เรื่องนี้ตึงมืออย่างยิ่ง นักบวชอาวุโสผู่เจอแท้จริงแล้วจะเป็นโย่วซาหรือไม่ ยามเฉพาะหน้านี้ไม่อาจพิสูจน์ยืนยัน แต่จิ้งอันซือต้องยืนยันแน่ชัดจึงจะสามารถดำเนินการขั้นต่อไปได้
ห้องพักของคนผู้นี้ถูกตรวจค้นแล้วครั้งหนึ่ง นอกจากใบสงฆ์ก็ไม่มีข้าวของที่ใช้เชื่อมโยงบ่งบอกฐานะประจำตัวอื่นใดอีก ยิ่งกว่านั้นใบสงฆ์ยืนยันอันใดไม่ได้เลย ชาวทูเจวี๋ยสามารถทำปลอมได้หรือกระทั่งสามารถฆ่านักบวชอาวุโสผู่เจอตัวจริงเพื่อชิงใบสงฆ์มาใช้
จางเสี่ยวจิ้งครุ่นคิดครู่ใหญ่ ก้มลงดึงเสื้อคลุมตัวยาวบนร่างผู้อาวุโส อีซือรีบท้วง “ล่วงเกินร่างธรรมมิเหมาะกระมัง”
ถานฉีน้ำเสียงเย็นชา “หากมันคือโย่วซาแห่งทูเจวี๋ยจริง ยังต้องพูดถึงว่าร่างธรรมไม่ร่างธรรมอีกหรือ” โทสะที่เมื่อครู่ถูกขังในห้องเล็กอัดอั้นเต็มอก นางให้นึกขุ่นแค้นสังฆานุกรโง่เขลาทว่าอวดฉลาดคนนี้ยิ่งนัก
จางเสี่ยวจิ้งไล่หมอให้หลบไป ตลบชุดคลุมขึ้น เห็นท้องน้อยทางขวาล่างของร่างชราปรากฏรอยแผลเป็นสายหนึ่งยาวมาก ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง ราวกับอสรพิษกระหวัดพัน หนังสองข้างม้วนเข้า จางเสี่ยวจิ้งยื่นนิ้วลูบคลำก่อนเงยหน้า บอกว่านี่คือแผลเป็นจากดาบม่อตาว
ด้ามดาบม่อตาวยาวสี่ฉื่อ ส่วนคมดาบยาวสามฉื่อเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเลิศที่กองทัพถังใช้รบบนหลังม้า ดูความยาวของรอยแผลเป็นกับตำแหน่งบาดแผล คนผู้นี้คงเคยถูกดาบม่อตาวฟันทางขวางครึ่งดาบบนหลังม้า ทว่าถึงกับยังมีชีวิตรอดมาได้ ช่างมีชะตากล้าแข็งเสียจริง
จางเสี่ยวจิ้งเลาะลงมาถึงหว่างขาของชายชรา ช่วงขาหนีบพบรอยด้านหนาเป็นปื้น ซึ่งเป็นร่องรอยที่เกิดจากการขี่ม้าเป็นเวลานาน สองข้างของช่วงเอวมีเนื้อแข็งนูนขึ้นสองก้อน หากคนผู้หนึ่งสวมชุดเกราะเป็นเวลายาวนาน เกราะชิ้นล่างที่เคลื่อนไปมาย่อมเสียดสีกับผิวหนังจนเกิดรอยเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นเกราะแกร่งคุณภาพดีเลิศอีกด้วย
ควบขี่อาชานานปี สวมชุดเกราะนานปี ซ้ำปรากฏบาดแผลที่เกิดจากดาบม่อตาวของกองทัพถัง ฐานะแท้จริงของนักบวชอาวุโสที่ไม่ข้องเกี่ยวโลกีย์ผู้นี้กระจ่างชัดแล้ว
“ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดนักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ยจึงลักพาตัวบุตรีหวังจงซื่อ ที่แท้เป็นเจตนาส่วนตัวของโย่วซานี่เอง” จางเสี่ยวจิ้งยืดตัว ปัดมือไปมา
ชาวดินแดนทุ่งหญ้ามีวัฒนธรรมการล้างแค้น บาดแผลอันเกิดจากศัตรูต้องใช้เลือดสดๆ ของทายาทศัตรูมาล้างจึงจะยุติ ผู้สูงศักดิ์เยี่ยงโย่วซาน่าจะเคยสู้รบปะทะกับหวังจงซื่อแล้วได้รับบาดเจ็บสาหัส ยังแค้นฝังใจ ครั้งนี้มาถึงฉางอัน นอกจากควบคุมเรื่องเชว่เล่อฮั่วตัวแล้วมันยังถือโอกาสลักพาตัวบุตรีหวังจงซื่อเพื่อเยียวยาแผลใจของตน
กล่าวย้อนกลับ หากมิใช่เพราะมันคิดชำระแค้นส่วนตัว เกรงว่าจิ้งอันซือคงยังมิอาจสืบสาวถึงนักรบสุนัขป่า
ถานฉีสงสัย “แต่ว่าผู้ใดเล่าที่สังหารโย่วซา”
จางเสี่ยวจิ้งตอบ “แน่นอนว่าต้องเป็นบุคคลที่หมายหลอกใช้นักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ย เมื่อได้น้ำมันดิบมาครอบครองแล้ว โย่วซาย่อมหมดประโยชน์ให้ใช้สอย เพื่อป้องกันมิให้พวกเราลูบเถาปะแตงจึงต้องสะบั้นสัมพันธ์ทั้งปวงทิ้ง โย่วซาผู้นี้ใจคดทรยศ หักหลังได้กระทั่งเผ่าพันธุ์ตนเองเพียงเพื่อหมายใช้ชีวิตสุขสบายมั่งมีในบั้นปลาย หึ คิดไม่ถึงว่าผู้มาเยือนมันกลับเป็นดาวพิฆาต”
เอ่ยถึงตรงนี้ยิ่งกังวลใจกว่าเดิม องค์กรลับนี้ฝีมือโหดเหี้ยมเด็ดขาด นอกจากโย่วซาเกรงว่าเบาะแสอื่นๆ ย่อมกำลังถูกกำจัดทิ้งทีละสาย การสืบสวนของกองพิทักษ์นคราคงประสบความลำบากมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้พวกมันเริ่มลงมือเก็บกวาดร่องรอย แสดงว่าใกล้ถึงเวลากระทำการใหญ่ ส่วนจิ้งอันซือยังไร้เบาะแส
โย่วซาสลบไสลไม่ได้สติ ถามอันใดย่อมไร้คำตอบ ในห้องพักของมันเองก็ปราศจากเบาะแสที่น่าสนใจ สมองของจางเสี่ยวจิ้งหมุนเร็วรี่ ทว่าคิดหาหนทางใดไม่ออก ความอ่อนล้าประดังขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ขณะนั้นนึกสิ้นหวังอยู่บ้าง
ตามหลักแล้วจางตาเดียวมิใช่คนยอมรับความพ่ายแพ้โดยง่ายเช่นนี้ อาจเพราะบางทีเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป หรืออาจเพราะแรงกดดันสั่งสมเป็นเวลายาวนาน จางเสี่ยวจิ้งเอนหลังพิงผนังห้องภาวนา หลับตาข้างเดียวนั้น กระทั่งฝุ่นในตายังคร้านลูบออก
เวลานี้นี่เองโย่วซาบนที่นอนพลันไอเสียงดังคล้ายกำลังจะฟื้น ในเสมหะปนด้วยเลือดมากมาย ทั้งร่างกระตุกรุนแรง หมอประจำวัดพุ่งเข้ามากดแขนขาของชายชรา เหงื่อท่วมศีรษะ “ต้องส่งโรงหมอ มิฉะนั้นจะช่วยไม่ทัน!”
หง่าง…หง่าง…หง่าง…
ระฆังที่แขวนอยู่ ณ อุโบสถใหญ่ของวัดปอซือส่งเสียงดังกังวาน นักบวชทั้งหลายพากันหยุดเท้าไม่ทราบว่าเกิดเหตุอันใด บุรุษสองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังหามคนเจ็บบนเปลไม้ที่ทำขึ้นลวกๆ ออกจากเขตเรือนพัก ใช้พรมขนอูฐคลุมร่างช่วงบนเอาไว้ มุ่งหน้าออกไปนอกวิหาร
นักบวชรอบด้านวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ ฟังว่ามีผู้ทรงธรรมรูปหนึ่งถูกแทง บัดนี้กำลังส่งตัวไปโรงหมอ จึงพร้อมใจกันสวดภาวนาให้สหายธรรมผู้นี้
ดีที่วันนี้เป็นวันเทศกาลโคมไฟซั่งหยวน โรงหมอประจำฟางทุกแห่งล้วนตระเตรียมพร้อมสรรพเปิดตลอดทั้งคืน ที่นอกประตูใหญ่ รถเทียมโคคลุมผ้าใบน้ำมันคันหนึ่งรุดมาถึง รถลากประเภทนี้ใช้แรงโคฉุดลาก แม้จะช้าแต่ไม่โคลงเคลง บนพื้นปูพรม สองข้างหลังคามีผ้าม่านห้อยปิด เหมาะสำหรับใช้ขนส่งผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
บุรุษทั้งสองยกร่างนักบวชชราขึ้นรถเทียมโคจากทางท้ายรถอย่างระมัดระวัง บนรถลากมีหมอฝึกหัดผู้หนึ่งรออยู่ รีบช่วยวางผู้ป่วยนอนราบ ป้อนยาโสมยืดชีวิตเม็ดหนึ่ง เนื่องจากภายในของรถลากแคบเล็ก ดังนั้นบุรุษทั้งสองจึงไม่สามารถนั่งไปด้วยได้ หมอฝึกหัดให้พวกมันไปรอที่โรงหมอก่อน จากนั้นแขวนกระดิ่งฉุกเฉินขอทางสีน้ำเงินสลับขาวไว้นอกรถ ตะโกนสั่งสารถีออกรถ
เมื่อรถเทียมโคออกตัว กระดิ่งฉุกเฉินขอทางแกว่งไกวไปมา ในกระดิ่งกรอกตะกั่วเอาไว้ เสียงแตกต่างกับกระดิ่งทั่วไป ผู้คนที่สัญจรไปมารายรอบเมื่อได้ยินก็รู้ว่ามีคนเจ็บรีบส่งพบหมอ ต่างหลบออกเป็นทางสายหนึ่ง หลีกเลี่ยงแปดเปื้อนกระแสอัปมงคล
ด้วยเสียงกระดิ่งนี้เอง รถจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวแหวกผ่านฝูงชน ลัดเลาะไปตามท้องถนนแสนอึกทึกคึกคัก มุ่งหน้าไปทางโรงหมอ ประมาณครึ่งลี้ก็ลับหายไปจากสายตาคนในวัดปอซือ ทันใดนั้นรถแล่นออกจากถนนใหญ่ เลี้ยวเข้าตรอกเล็กแห่งหนึ่ง ตรอกด้านนี้มิได้ประดับโคมจึงมืดสนิท
สารถีจอดรถเทียมโค กระแอมหนึ่งที หมอฝึกหัดที่นั่งด้านในรถลากก็ชักมีดสั้นเล่มหนึ่งจากเอว แทงใส่ผู้ป่วยที่นอนบนแคร่หาม พลันปรากฏมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกจากใต้พรม คว้าจับข้อมือของอีกฝ่ายรวดเร็วปานสายฟ้า
พรมถูกตลบขึ้น ชายผู้มีตาดุร้ายข้างเดียวก็พลิกกายหยัดขึ้นจากแคร่ แยกเขี้ยวหัวเราะกล่าวว่า “ผู้เป็นหมอต้องมีใจเมตตาดุจบิดามารดา ไฉนจึงลงมืออำมหิตเช่นนี้เล่า”
หมอฝึกหัดผู้นั้นรู้ตัวว่าติดกับ หน้าเปลี่ยนสี รีบพลิกข้อมือแทงอีกครั้ง มีดสั้นปักบนร่างของฝ่ายตรงข้าม แต่บังเกิดเสียงโลหะกระทบกัน จางเสี่ยวจิ้งที่สวมเกราะอยู่ก่อนแล้วถือค้อนเหล็กขนาดเล็กสีดำเมื่อมฟาดหัวเข่ามัน ในรถเทียมโคคับแคบ ค้อนนี้นับว่าเป็นอาวุธทรงพลังที่สุด หลบไม่พ้น ตั้งรับก็รับไม่อยู่ เพียงลงมือก็ทุบหัวเข่าแหลก
มือสังหารร้องเสียงหลงหงายล้มไปด้านหลัง ขากรรไกรพลันขยับ จางเสี่ยวจิ้งเห็นดังนั้นก็รีบฟาดค้อนเข้าที่จุดไท่หยางข้างขมับ มันหมดสติทันที จางเสี่ยวจิ้งใช้มือขวาบีบกรามล่างของอีกฝ่าย ยาพิษสีดำเม็ดหนึ่งร่วงออกมาจากในปาก
สารถีได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในรถ รู้สึกผิดปกติ ขณะกำลังหันหลังกลับไปดู ปลายตรอกหวีดเสียงธนูแหวกอากาศสองดอก ปักมือเท้าของมัน ร่างล้มตึงตกจากรถทันที
พลซุ่มยิงที่ยืนอยู่ปากตรอกวางคันธนูใหญ่ลง ทหารหลี่ว์เปินข้างกายมันพุ่งเข้าไปล้อมรถเทียมโค น่าเสียดายที่หลังจากสารถีร่วงตกรถ เห็นว่าตนเองไม่อาจหนีรอด ชิงกลืนยาพิษ หน้าดำคล้ำ ตายไปก่อนแล้ว
ถานฉีที่ยืนข้างพลซุ่มยิงระบายลมหายใจยาว
เมื่อครู่นางถามอีซืออย่างละเอียดจึงได้ทราบว่ายามมือสังหารหลบหนี ผู่เจอยังไม่สิ้นลม นางคะเนว่ามือสังหารเหล่านี้จะต้องกลับมาหยั่งเชิงดูว่าคนรอดหรือไม่ จางเสี่ยวจิ้งจึงวางแผนซ้อนแผนเช่นนี้
มาตรว่าได้พยานรอดชีวิตมาเพียงปากเดียวก็ย่อมดีกว่าไร้หนทางเลย
จางเสี่ยวจิ้งพยุงร่างของหมอฝึกหัดที่สลบไปแล้วลงจากรถ ส่งตัวให้ทหารข้างๆ มันปลดเกราะโซ่ออก ลูบคลำชายโครง มีดเมื่อสักครู่แม้แทงไม่ถึงกระดูก แต่ยังแทงจนปรากฏรอยฟกช้ำดำเขียว จางเสี่ยวจิ้งแค่นยิ้มนวดแผล นี่สมควรเป็นบาดแผลเบาที่สุดของวันนี้แล้ว
ทหารหลี่ว์เปินตรงปากตรอกชูโคมไฟใหญ่จำนวนหนึ่ง ส่องสว่างไสวไปด้านหนึ่ง จางเสี่ยวจิ้งพิงข้างรถเทียมโคกดแผลพลางมองไปทางทิศของโคมไฟ ภายใต้แสงไฟ เงาคนวูบไหว ในกลุ่มคนที่ยืนอยู่ปากตรอกมีเงาร่างหนึ่งงดงามที่สุด สะดุดตาที่สุด
ครั้งนี้เคราะห์ดีได้ถานฉีคาดการณ์ไว้ จึงจับเป็นได้หนึ่งคน มิเสียทีที่ได้หลี่ปี้อบรมสั่งสอน
สตรีนางนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ตาข้างเดียวอันขุ่นมัวของจางเสี่ยวจิ้งประทับเงาร่างถานฉีอย่างลึกซึ้งเป็นครั้งแรก
ถานฉีหารู้ไม่ว่าจางเสี่ยวจิ้งซึ่งอยู่ในที่มืดกำลังคิดอันใด เนื่องจากนางกำลังรับมือคนน่ารำคาญ
อีซือรีบรุดมาจากในวัด มันเห็นแผนการสำเร็จก็มิอาจไม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก หากมือสังหารทั้งสองล้วนหนีไปได้ เรื่องเสียหน้ายังมิพักต้องเอ่ยถึง แต่วัดปอซือ…ไม่สิ…วัดต้าฉินอาจต้องแบกรับชื่อฉาวโฉ่ข้อหา ‘สมคบกบฏ’ นิกายจิ่งเจี้ยวเผยแผ่คำสอนในจงหยวนเดิมทีก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว หากมีเรื่องเสื่อมเสียอีกคงลำบาก
ถานฉีถลึงตาใส่อีซือ “ท่านโอ้อวดว่าสายตากระจ่างมิใช่หรือ เข้ามาชี้ตัวสิ ดูว่าทั้งสองคนนี้ใช่มือสังหารที่ประมือกับท่านหรือไม่” อีซือกำลังเตรียมอ้าปาก ถานฉีพลันตวาด “ตอบเพียงใช่หรือไม่ใช่ก็พอ”
อีซือได้แต่ต้องกลืนคำพูดมากมายลง เดินไปอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ช้าก็ดูออกทันทีว่าสารถีคือมือสังหารที่ลงมือฆ่าโย่วซา หมอฝึกหัดคือคนที่คอยคุ้มกันด้านนอก นักบวชเงยหน้า “เอ่อ ใช่…”
“แน่ใจหรือไม่” ถานฉีไม่ใคร่เชื่อถือนักบวชผู้นี้
“สองตาข้านี้เห็นขนอ่อนสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิ ชัดแจ้งดั่งมองเห็นเพลิง” อีซือทำท่าใช้สองนิ้วชี้ที่ดวงตาสีเขียวมรกตของตัวเองยืนยัน ส่วนวาจาสองประโยคนี้ หนึ่งมาจากคัมภีร์เมิ่งจื่อ อีกหนึ่งมาจากพงศาวดารซั่งซู กล่าวได้ว่าภาษาสูงส่งงดงาม ใช้คำเหมาะสมมาก
น่าเสียดายถานฉีฟังแล้วเพียงส่งเสียงตอบรับว่า “อ้อ” เท่านั้น ปล่อยให้ความตั้งใจของมันสูญเปล่า
สถานะมือสังหารบัดนี้ยืนยันแน่ชัดแล้ว อีกทั้งยังจับเป็นได้อีกหนึ่งคน ถานฉีบอกทหารข้างกายว่า “รายงานกลับไปยังจิ้งอันซือเถิด ให้ทางนั้นเตรียมสอบปากคำ”
พลแจ้งข่าวชูโคมม่วงเฉพาะกิจ ส่งข่าวไปทางหอสังเกตการณ์อี้หนิงฟาง โคมไฟโบกขึ้นหลายครั้งแล้วลงหลายครั้ง หัวคิ้วพลแจ้งข่าวขมวดน้อยๆ รู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ หอสังเกตการณ์อี้หนิงฟางที่อยู่ห่างออกไปส่งสัญญาณโคมม่วงกะพริบ คล้ายกำลังส่งข้อความ
โคมสีม่วงในที่สุดก็ดับ พลทหารหันหน้ามารายงานถานฉีด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
“หอสังเกตการณ์ตอบกลับว่าหอสังเกตการณ์ใหญ่ข่าวสารขาดหาย ไม่อาจติดต่อจิ้งอันซือได้”
ตำหนักใหญ่ของจิ้งอันซือในเวลานี้เป็นเช่นเดียวกับด้านนอก แสงเทียนแสงโคมสว่างไสว ผู้คนเดินไปเดินมา เพียงแต่เทียนเป็นเทียนเรียบง่าย คนเป็นคนทำงานหนัก ต่างกับบรรยากาศชมโคมด้านนอกที่เตร็ดเตร่ท่องเที่ยวสนทนา ฟุ่มเฟือยสำเริงสำราญ
หลี่ปี้อยู่ที่โต๊ะของตน หยิบม้วนคัมภีร์เคล็ดวิชาบำเพ็ญเซียนขึ้นมาอ่านหลายบรรทัด ทว่าจิตใจวุ่นวาย อ่านอักษรแยบยลลึกซึ้งเหล่านั้นไม่เข้าหัวแม้แต่น้อย มันจึงหันมาหยิบแส้ปัด เปลี่ยนมาใช้ปลายนิ้วลูบขนหางม้าละเอียดลื่นแทน
พวกจางเสี่ยวจิ้งไปอี้หนิงฟางเนิ่นนานไม่รายงานกลับมา หอสังเกตการณ์ทุกแห่งไม่มีข่าวสารใดๆ ส่งเข้ามาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว มันให้พลส่งสารส่งข้อความไปเร่งก็ยังไม่ตอบกลับ แม้แต่สวีปินก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด
หลี่ปี้ไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้อย่างยิ่ง นี่ทำให้มันรู้สึกว่าเรื่องราวทั้งปวงหลุดไปจากความควบคุมของตน
เรื่องนักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ย เรื่องเชว่เล่อฮั่วตัว เรื่องไส้ศึกในจิ้งอันซือ เรื่องที่จางเสี่ยวจิ้งหลอกล่อปิดบัง เรื่องระหว่างเสนาบดีหลี่กับรัชทายาท ไม่มีแม้สักเรื่องที่ยุติปิดผนึกเก็บเข้าคลังรักษา เกาะเกี่ยวเข้าด้วยกันทุกทิศทุกทาง เชื่อมต่อเป็นตาข่ายซับซ้อนสุดขีดพันรัดใจหลี่ปี้
นาฬิกาน้ำที่มุมตำหนักบอกเวลาอีกหนึ่งเค่อ ยังคงไม่มีข่าวสารจากอี้หนิงฟาง หลี่ปี้ตัดสินใจให้พลส่งสารไปเร่งรัดพวกมัน น้ำเสียงครั้งนี้เข้มงวดเคร่งเครียดกว่าเดิม หลังจากกำชับสั่งการก็เหลือบมองทางนาฬิกาน้ำแวบหนึ่ง พบว่าชุยชี่หายตัวไปจากตำแหน่งเดิมที่เคยยืนแล้ว
นี่เป็นเรื่องใดกัน หลี่ปี้พลอยรู้สึกว่ามีที่ใดสักแห่งไม่ถูกต้อง
เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมาจากภายนอก ตอนแรกเป็นเสียงตวาด จากนั้นกลายเป็นตกใจ เสียงตกใจพลันกลายเป็นร้องน่าอนาถ นิ้วมือหลี่ปี้ที่กำลังลูบขนหางม้าเกร็งทันที สองตาสาดประกายแหลมคมมองไปทางประตูเข้าสู่ตำหนักใหญ่
บุรุษผู้อำพรางหน้าในชุดดำจำนวนหลายสิบคนกรูเข้ามาอย่างดุร้าย หน้าไม้สิบกว่าอันเหนี่ยวไกพร้อมกันทันที ระดมยิงใส่องครักษ์ในชุดทหารกับพวกปู้เหลียงเหรินสิบกว่านายอย่างแม่นยำ พากันร่วงลงกับพื้น จากนั้นคนครึ่งหนึ่งบรรจุลูกศรชุดใหม่ อีกครึ่งชักดาบ ฟันใส่เจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ที่สุด เจ้าพนักงานผู้อ่อนแอเหล่านั้นไม่ทันระวังตัว ไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงต้านทานรับมือ พริบตาโลหิตก็สาดกระจายไปทั่ว
โจรร้ายเหล่านี้เหมือนพายุพัดกระหน่ำเข้าในตำหนักอย่างมิเกรงกลัวอันใด
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหลือเกิน คนอื่นในโถงตำหนักไม่ทันมีท่าทีใดๆ ได้แต่ตะลึงงันมองเหม่อดูสิ่งที่เกิดขึ้น มีเพียงปู้เหลียงเหรินนายหนึ่งที่หลบพ้นการจู่โจมระลอกแรก มันชักบรรทัดเหล็กพุ่งเข้ารับมืออย่างห้าวหาญ เสียงดังฉึก ลูกศรหน้าไม้ดอกหนึ่งยิงเข้าเบ้าตามัน ดวงตานุ่มหยุ่นพลันระเบิดกระจาย เลือดและของเหลวสีขาวกระเซ็นเปรอะเปื้อนใส่ร่างเจ้าหน้าที่งานจิปาถะที่ยืนติดกัน เจ้าหน้าที่คนนั้นพยายามใช้มือเช็ดเสื้อผ้าอย่างเอาเป็นเอาตายพลางกรีดร้องเสียสติ เสียงร้องนั้นขาดห้วงในบัดดล คอหอยมันปรากฏลูกศรสีดำมะเมื่อมแทงทะลวง
หลงปัวก้าวเท้าข้ามธรณีประตูตำหนัก เคี้ยวใบสะระแหน่ โยนหน้าไม้เปล่าสองอันทิ้งไปด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ถึงเวลานี้คนของจิ้งอันซือทั้งหลายจึงคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน เสียงร้องเอะอะเอ็ดตะโรดังขึ้นทุกทิศทุกทาง บ้างก้มเอวหลบ บ้างวิ่งเตลิดคิดหนีออกไปนอกตำหนัก ขอบโต๊ะแต่ละตัวกระแทกกันเสียงดังปึงปัง สถานการณ์วุ่นวายสับสนอลหม่าน ทว่าทุกประตูถูกควบคุมไว้แล้ว ผู้ใดคิดวิ่งออกไป หากไม่ถูกดาบฟันก็ถูกหน้าไม้ยิงตาย
“หยุดร้อง! ก้มลง! ไม่ฆ่า!” เสียงแหลมร้ายกาจของหลงปัวดังก้องทั่วตำหนักใหญ่ ในคำพูดนี้แฝงท่าทีเสียดสีแดกดันอย่างรุนแรง เพราะนี่ก็คือคำที่ทหารหลี่ว์เปินมักใช้ยามออกปฏิบัติหน้าที่ บัดนี้กลับย้อนมาใช้ถึงบนศีรษะของจิ้งอันซือเองแล้ว
คนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุ๋น ไม่อาจต้านทานการฆ่าฟันกราดเกรี้ยวได้แต่อย่างใด ถูกหลงปัวตะคอกใส่เช่นนี้ คนที่เสียขวัญก็พากันนั่งยองลง กระทั่งไม่กล้าหายใจแรง ทั้งตำหนักมีเพียงคนผู้เดียวยังยืนอยู่ในท่วงท่าเดิม
เมื่อควบคุมสถานการณ์ได้แล้วหลงปัวจึงเดินเข้าภายในตำหนักทีละก้าว ก้าวเดินพลางเหลียวมองไปรอบด้านอย่างสนอกสนใจ นี่ก็คือกองพิทักษ์นคราจิ้งอันซือที่เล่าลือกันกระมัง ศูนย์กลางอันเป็นหัวใจปกป้องฉางอัน นอกจากทหารราชองครักษ์แล้วยังสามารถสั่งการกองกำลังทหารทั่วทั้งเมือง น่าเสียดายที่ตัวมันเองก็เหมือนกับหัวใจ เป็นเพียงก้อนเนื้ออ่อนนุ่ม หากถูกกระบี่แทงใส่ทรวงอกย่อมฉีกขาดในคราเดียว
หลงปัวเดินผ่านโต๊ะไม้แต่ละแถวๆ รองเท้าหุ้มข้อหนังวัวเหยียบย่ำม้วนหนังสือที่ร่วงตกพื้นอย่างไม่ปรานี เสียงไม้ไผ่แตกหักเสียดหู มันหยุดที่หน้าโต๊ะทรายตัวใหญ่ครู่หนึ่ง ทั้งยังหักกำแพงฟางท่อนหนึ่งยกขึ้นส่องดูตรงหน้าอย่างสนใจ จุปากชมเชย “วิเศษแท้ๆ หากพวกทูเจวี๋ยได้เห็นของสิ่งนี้ เกรงว่าคงริษยาแทบขาดใจ”
เจ้าหน้าที่เฒ่าเงยหน้าขึ้นพลันถอนใจหดหู่ หลงปัวจ้องหน้ามัน “ปวดใจหรือ นี่ยังเป็นเพียงโต๊ะทราย หากฉางอันทั้งเมืองกลายเป็นเช่นนี้ เจ้าจะมิปวดร้าวใจยิ่งกว่านี้หรอกหรือ” พูดพลางถอนหายใจอย่างอาลัย ดึงมีดออกมาเล่มหนึ่งปาดคอเจ้าหน้าที่เฒ่า ชายชราล้มลงบนโต๊ะทราย ถนนในฉางอันถูกย้อมจนแดงฉานด้วยสีเลือด
กลุ่มคนแตกตื่นเสียขวัญกันอีกระลอก แล้วก็ถูกพวกอำพรางหน้าตวาดสั่งให้เงียบ หลงปัวตะโกนก้อง “ทุกท่านจงรู้ไว้ พวกเราคือปลวก วันนี้มาที่นี่เพราะคิดโยกคลอนต้นไม้ใหญ่เยี่ยงจิ้งอันซือสักครา”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่เคยได้ยินชื่อของขบวนการนี้มาก่อน
หลงปัวเดินเชื่องช้าไปด้านหลังโต๊ะทราย ที่นี่มีฉากบังลมแถวหนึ่งล้อมเป็นพื้นที่ส่วนตัวขนาดเล็ก ยกพื้นสูงด้วยแผ่นไม้ สามารถมองลงมาเห็นทั้งตำหนัก ชายหนุ่มในชุดยาวสีเขียวยืนอยู่ด้านบน มือถือแส้ปัด ดวงตาจ้องมองหลงปัว สีหน้าสงบนิ่ง
“ผู้บัญชาการหลี่ ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว” หลงปัวแสร้งคารวะครั้งหนึ่ง เดินทีละก้าวขึ้นสู่ยกพื้น
“พวกเจ้าเป็นผู้ใด คิดกระทำการใด” หลี่ปี้มิคิดลดตัวโต้เถียงกับมันแต่อย่างใด นั่นไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
“ปลวก มิใช่บอกต่อท่านไปแล้วหรือ”
“ข้าถามชื่อจริงของเจ้า”
“น่าเสียดายนัก ตอนนี้ผู้มีอำนาจที่นี่มิใช่ท่าน” หลงปัวชิงแส้ปัดในมือหลี่ปี้ไปหักสองท่อน จมูกงองุ้มดั่งเหยี่ยวแทบจะทิ่มใส่หน้าผากของอีกฝ่าย
บรรดาเจ้าหน้าที่บุ๋นด้านล่างของยกพื้นพากันตกใจ ส่งเสียงครางอืออาแผ่วเบา เป็นห่วงผู้บังคับบัญชาของตน ทว่าหลี่ปี้กลับมิได้แสดงความหวาดกลัวใดๆ ขมวดคิ้วเข้มถึงที่สุด
“จิ้งอันซือทุกยามทุกเค่อล้วนมีข่าวสารเข้าออก เจ้าคิดว่าจะปิดบังได้อีกนานเท่าใด”
หลี่ปี้มิได้ขู่ขวัญฝ่ายตรงข้าม ที่มันพูดเป็นความจริง จิ้งอันซือติดต่อกับภายนอกตลอดเวลา เพียงไม่นานทหารที่เฝ้าระวังด้านนอกต้องพบความผิดปกติ ศาลว่าการจิงจ้าวก็อยู่ติดเพียงรั้วกั้น กำลังหลักของกองพลหลี่ว์เปินตั้งค่ายอยู่ด้านใต้ของจยาฮุ่ยฟางที่ไม่ไกลนัก เพียงส่งสัญญาณแจ้งเตือนออกไปก็จะมีกำลังหนุนเสริมเข้ามาไม่ขาดตอน คนร้ายกลุ่มนี้แม้เก่งกาจเกินคนก็ไม่อาจต้านทานได้
กระทั่งคิดจับตัวประกันยังเป็นไปไม่ได้ กฎหมายถังระบุชัดแจ้ง จับตัวประกันจู่โจมทั้งตัวประกัน ไม่เปิดโอกาสให้คำนึงถึงความเป็นตายแต่อย่างใด
“มิต้องให้ผู้บัญชาการกังวลใจ พวกเราชาวปลวกลงมือใช้เวลาไม่นาน”
หลงปัวชูมือ พวกบริวารหยิบกระบอกพ่นออกมา ลงมือพ่นไปทุกที่ โดยที่พ่นออกมาจากกระบอกพ่นมิใช่น้ำ หากแต่เป็นของเหลวสีดำเหนียวเหนอะ อีกทั้งยังมีกลิ่นแสบจมูก พวกมันพ่นไม่เลือก พ่นทั้งคน ทั้งสิ่งของ เจ้าหน้าที่ถูกของเหลวพ่นจนดำไปทั่วร่างได้แต่ตัวสั่นงันงก โต๊ะทรายตัวนั้นยิ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ ฉางอันทั้งเมืองถูกสีดำเคลือบทับเกือบหมดสิ้น
“น้ำมันดิบเหยียนโจว” หลี่ปี้เค้นคำนี้ลอดไรฟัน เบิกตากว้างแทบฉีก
“ของที่เหลือจากการกลั่น หวังว่าผู้บัญชาการหลี่จะไม่นึกรังเกียจ” หลงปัวกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ หยิบชุดไฟจากเอวโยนเล่นไปมาในมือ คนในตำหนักมองสิ่งนี้อย่างหวาดหวั่น หัวใจเต้นเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า
ชายที่ปิดหน้าผู้หนึ่งถลันเข้ามาในโถง ชูมือขวาเป็นสัญญาณว่าตำหนักปีกด้านขวาตกอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว
หลงปัวมองนาฬิกาน้ำที่มุมตำหนัก พึงพอใจอย่างยิ่งกับความเร็วนี้ ขณะนี้ขาดเพียงข่าวจากตำหนักปีกด้านซ้ายเท่านั้น
กลุ่มอำพรางโฉมบุกจู่โจมตำหนักปีกด้านซ้ายอย่างสะดวก ที่นี่เป็นคลังเก็บม้วนหนังสือตำราจำนวนมหาศาล คล้ายไม่มีทหารเฝ้าระวังใดๆ พวกมันไม่ไว้ชีวิตแม้แต่สักคน ศพเจ้าหน้าที่นับสิบทอดร่างกองตามพื้น
หัวหน้าหน่วยทำสัญญาณมือหลายครั้ง นำคนถือกระบอกพ่นเดินพ่นของเหลว จากนั้นให้รองหัวหน้าหน่วยนำคนออกไปทางหลังตำหนัก ภารกิจของพวกมันยังขาดเพียงคุกของตำหนักหลังที่มิได้ควบคุม
รองหัวหน้าหน่วยนำคนไปห้าคน เลาะไปตามทางเดินข้างตำหนักปีกด้านซ้าย มุ่งหน้าไปตำหนักหลัง
จากตำหนักปีกด้านซ้ายถึงตำหนักหลังต้องผ่านประตูโค้งเล็กๆ เบื้องหลังประตูเป็นสวนน้อย จากนั้นเลาะกำแพงภูเขาจำลองอีกช่วงหนึ่งแล้วเลี้ยวก็จะเป็นที่ตั้งของคุกตำหนักหลัง ไม่มีทางแยก
การจู่โจมที่ผ่านมาราบรื่นเหลือเกิน จิ้งอันซือที่เลื่องชื่อดูราวกับไร้พลังตอบโต้แม้แต่น้อย พวกมันทุกคนจึงผ่อนคลายยิ่ง ตำหนักหลังแห่งนี้มีเพียงห้องขังไม่กี่ห้อง กวาดให้ราบเรียบได้ในชั่วเวลาดีดนิ้วไม่กี่ครั้ง
พวกมันเดินข้ามประตูโค้ง เบื้องหน้าพลันกว้างใหญ่ เจ้าของเดิมสร้างภูเขาจำลองสูงชันไว้กลางสวนน้อยนี้ สลักอักษรคำว่า ‘เผิงไหล’ ยังมีศาลาน้อย กระท่อมหญ้า ทางเดิน เขียวขจีด้วยพฤกษาครบถ้วน ช่วงโค้งไหล่เขายังมีถ้ำ ป้ายขวางด้านบนเขียนว่าถ้ำเสินเซียน กล่าวได้ว่าสร้างเป็นขุนเขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในเนื้อที่น้อยนิด ดูงดงามท่ามกลางความมืดยิ่งนัก
รองหัวหน้าหน่วยไม่มีแก่ใจเสพสุนทรียะอันสูงส่ง คนทั้งกลุ่มเดินเรียงแถวยาวเลาะไปตามทางด้านข้างภูเขาจำลอง
ขณะที่คนรั้งท้ายเดินผ่านภูเขาจำลอง ในถ้ำเสินเซียนของภูเขาจำลองพลันปรากฏมีดสั้นเล่มหนึ่งแทงออกมาจากข้างในปักเข้าหน้าอกของมันพอดี คนผู้นั้นร้องอุทานพลางทรุดลงกับพื้น ห้าคนที่เหลือรีบหันกลับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงยกหน้าไม้ยิงทันที จนภูเขาจำลองแทบกลายเป็นตัวเม่นในพริบตา
ยิงหมดแล้ว พวกมันจึงเข้าไปตรวจดู พบว่าถ้ำเสินเซียนนี้มีทางออกสองด้านเชื่อมถึงกัน ผู้ลอบจู่โจมหนีไปอีกทางหนึ่ง กลับไปตำหนักหลังแต่แรก
นี่เป็นศัตรูนอกเหนือความคาดหมายโดยแท้ รองหัวหน้าหน่วยโมโหมาก กดฝ่ามือลงออกคำสั่งให้จากนี้ไปต้องระมัดระวัง
ดังนั้นสี่คนที่เหลือจึงจัดกระบวนเป็นรูปสามเหลี่ยม หนึ่งคนเดินหน้า สามคนตามหลัง งอศอกยกหน้าไม้ ย่อเข่าเดินแนบเชิงกำแพงภูเขาจำลอง มุ่งไปยังตำหนักหลังอย่างระมัดระวัง
ปลายสุดของกำแพงภูเขาจำลองช่วงนี้เป็นทางเลี้ยว ผ่านทางเลี้ยวไปเป็นทางเชื่อม ตรงปลายสุดก็คือคุก ชุยชี่กับเหยาหรู่เหนิงในเวลานี้หลังแนบกำแพงทางเชื่อม เหงื่อเย็นชุ่มโชก ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
เมื่อครู่ชุยชี่ซ่อนตัวในถ้ำเสินเซียน เดิมคิดจะลอบฟังความเคลื่อนไหวเบื้องนอกสักพัก ประจวบกับที่คนทั้งห้าเดินผ่านมา ชุยชี่หยั่งเชิงขุมกำลัง คิดไม่ถึงว่าการตอบโต้ของฝ่ายตรงข้ามร้ายกาจปานนี้ หากช้าไปสักครึ่งจังหวะคงถูกยิงจนร่างพรุนเป็นกระชอนแล้ว
คนเหล่านี้ท่าทีตอบสนองว่องไวกล้าแกร่งยิ่งกว่าทหารหลี่ว์เปินซึ่งฝึกปรือมาอย่างดี หน้าไม้ที่พวกมันใช้มีพลังทำลายล้างสูงถึงระดับยิงทะลุหินภูเขาจำลองได้
“พวกมันเป็นภูตผีจากที่ใดกัน…” ชุยชี่เลียริมฝีปากแห้งผาก ใจเต้นระส่ำ เหยาหรู่เหนิงชะโงกศีรษะออกจากข้างกำแพงไปเล็กน้อย ศรหน้าไม้ดอกหนึ่งแหวกอากาศมาทันที ชุยชี่รีบดึงมันกลับ ปลายลูกศรเฉี่ยวหน้าผากของเหยาหรู่เหนิง ทิ้งไว้เพียงรอยแผลเลือดทางยาว
เหยาหรู่เหนิงซึ่งเพิ่งรอดตายหวุดหวิดหน้าซีดเผือด สองขาสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว มันไม่คิดเลยว่าในความมืดการยิงของฝ่ายตรงข้ามยังคงแม่นยำถึงเพียงนี้
“โง่เง่า! ตอนนี้พวกมันจัดรูปขบวนเดินหน้าตรวจค้น หน้าไม้ขึ้นสายพร้อมยิง ยื่นหัวออกไปก็มีแต่ตาย!” ชุยชี่ด่าราวกับกำลังอบรมทหารใหม่
เหยาหรู่เหนิงไม่มีใจคิดต่อล้อต่อเถียงเอ่ยถามว่า “จากนี้ไปจะทำอย่างไร”
ชุยชี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ทางเชื่อมสายนี้ไม่มีที่หลบซ่อน ถ้าพวกมันเลี้ยวมา พวกเราก็จบสิ้น รีบถอยกลับไปที่คุกก่อน อาศัยประตูต้านทาน”
ศัตรูร้ายอยู่ตรงหน้า ความองอาจของทหารกล้าที่เพาะบ่มจากหล่งซานของชุยชี่คล้ายหวนคืนมาอีกครา
เหยาหรู่เหนิงพยายามรวบรวมสติ “ได้! ขอเพียงต้านทานจนตำหนักใหญ่ส่งกำลังหนุนมาก็ปลอดภัยแล้ว! โจรร้ายที่ปล้นคุกคราวนี้ก็จะหนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว”
ชุยชี่ฝืนยิ้ม คิดพูดบางสิ่งแต่กลับหยุด มันหาได้ประเมินสถานการณ์ในแง่ดีเยี่ยงนั้น
ปล้นคุกหรือ? หอสังเกตการณ์ใหญ่ที่สูงถึงเพียงนั้นยังไร้แสงโคมแล้ว นั่นเป็นศูนย์กลางรับส่งข่าวของจิ้งอันซือ ผู้ใดกันจะปล้นคุกเอิกเกริกอุกอาจเยี่ยงนี้ ดูจากจำนวนคนของฝ่ายตรงข้ามกับฝีมืออันร้ายกาจ ชุยชี่ก็รู้สึกว่าทางตำหนักใหญ่อาจเคราะห์ร้ายมากกว่าดี มันเข้าใจการรักษาความปลอดภัยภายในของจิ้งอันซือกระจ่างเสียยิ่งกว่ากระจ่าง นิยามได้ด้วยสี่คำ ‘แข็งนอกอ่อนใน’
ผู้คนต่างเห็นว่านี่คือศูนย์กลางของฉางอัน ทั้งยังเป็นที่ทำการของเหล่ามือปราบ ผู้ใดจะกล้าขุดดินเหนือเศียรเทพไท่ซุ่ย ด้วยเหตุนี้กระทั่งหลี่ปี้ที่เฉลียวฉลาดก็ยังไม่ใช้สมองกับเรื่องนี้มากเท่าใด
ผลลัพธ์คือมีคนกล้าขุดเข้าจริงๆ มิหนำซ้ำยังขุดหลุมใหญ่มหึมา
ชุยชี่หาได้คิดพลีชีพแก่จิ้งอันซือแม้แต่น้อย ทว่าบัดนี้ปราศจากที่ให้หลบหนี มันจึงมิอาจไม่ปลุกปลอบกำลังใจและสติดูว่าจะผ่านพ้นมหันตภัยครั้งนี้ได้อย่างไร
มารดามันเถอะ ข้าไม่ได้เป็นคนของจิ้งอันซือแล้วแท้ๆ จะมาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นอันขาด! มันด่าทอในใจอย่างแค้นเคือง รู้สึกว่าโชคชะตาของตนย่ำแย่เกินไปจริงๆ
ทั้งสองคนวิ่งกลับมาคุก ที่เรียกว่าคุกแท้จริงนั้นเป็นเพียงห้องเก็บฟืนซึ่งดัดแปลงทำเป็นห้องขัง กั้นเพียงซอกแคบๆ สามซอก ลูกกรงหน้าต่างทำจากไม้ ประตูไม่ได้เสริมความแข็งแรงใดๆ บานพับทองแดงสั้นเล็กสองอันเพียงยกเท้าถีบก็หลุดออก
ชุยชี่เรียกผู้คุมสามคนมา อธิบายสั้นๆ ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ผู้คุมเหล่านี้ก็เป็นทหารสังกัดกองพลหลี่ว์เปิน แม้จะรู้ว่าชุยชี่ทรยศ ทว่าบัดนี้เลือกเชื่อฟังอดีตหัวหน้าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด พวกมันทั้งห้าลงมือทันที ลากตู้ไม้ โต๊ะ และหีบไม้ไผ่ไปขวางยันหลังประตู จากนั้นใช้โซ่กุญแจผูกเข้าด้วยกัน ชุยชี่ยังหยิบสุราไหหนึ่งที่ผู้คุมซ่อนไว้ออกมาราดบนซี่ไม้ของหน้าต่าง
เหยาหรู่เหนิงล้วงระเบิดควันลูกหนึ่งโยนออกไป สิ่งนี้ใช้ยามราตรีประสิทธิภาพไม่ดี ทว่าก็ดีกว่าไม่มี
ศัตรูอยู่ใกล้เพียงเบื้องหน้า ยามฉุกละหุกได้แต่ต้องกระทำเช่นนี้
เหยาหรู่เหนิงตระเตรียมทุกสิ่งพร้อมแล้ว เปิดประตูห้องขังที่อยู่ข้างหลังของตน เหวินหรั่นนั่งบนพื้นปูฟาง นางล้างหน้าล้างตาแล้วสางผมลวกๆ รวบไว้บนหัว ดูกระปรี้กระเปร่ามากกว่าเมื่อครู่ เหยาหรู่เหนิงเอ่ยอย่างรู้สึกติดค้างว่า “ต้องรออีกสักครู่ใหญ่จึงจะสอบปากคำได้ บัดนี้เกิดเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย…”
เหวินหรั่นเชื่อใจเหยาหรู่เหนิงมาก นางเงยหน้า “ยุ่งยาก? เกี่ยวกับผู้มีพระคุณของข้าหรือไม่” ยามกะทันหันเหยาหรู่เหนิงไม่รู้จะพูดอย่างไร ได้แต่ส่ายหน้าบอกเป็นทำนองว่ามันก็ไม่รู้ สายตาของเหวินหรั่นทอดข้ามไหล่มัน เห็นคนด้านนอกกำลังวุ่นอยู่กับการเสริมประตูหน้า
“เสียงท่านกำลังสั่น ข้าคิดว่าจิ้งอันซือปลอดภัยมากเสียอีก…” ถูกทรมานเคี่ยวกรำมาครึ่งวัน เหวินหรั่นจะมากจะน้อยก็รู้สึกเฉลียวใจขึ้นบ้าง รู้ว่าสภาพเยี่ยงนี้ค่อนข้างย่ำแย่
เหยาหรู่เหนิงแค่นยิ้มพลางปลอบใจว่า “อย่าคิดมาก สักครู่จงย้ายเข้าด้านในคุก อย่าอยู่ใกล้ด้านนอก สิ่งนี้ขอมอบให้แม่นาง” มันส่งมีดสั้นด้ามทำจากเขาวัวอันประณีตด้ามหนึ่งให้นาง นี่เป็นอาวุธตกทอดประจำตระกูลที่มันพกติดกายตลอดมา
เหวินหรั่นลังเลครู่หนึ่ง รับมีดสั้นเอาไว้ นางมักใช้มีดสั้นหั่นเครื่องหอมเป็นประจำ จึงไม่รู้สึกแปลกกับการถือของเช่นนี้ในมือแต่อย่างใด ชุยชี่ตะโกนเรียกจากด้านนอก เหยาหรู่เหนิงรีบลุกออกไป
“อ๊ะ เอ่อ ท่าน…” เหวินหรั่นไม่ทราบว่ามันชื่ออันใดได้แต่เรียกท่านๆ เหยาหรู่เหนิงหันหน้ามา เหวินหรั่นถามมันว่า “ข้าสามารถช่วยพวกท่านได้หรือไม่”
“หา?”
“คนมากขึ้นอีกผู้หนึ่งย่อมดีมิใช่หรือ หากพวกท่านเกิดเรื่อง ข้าเองก็คงไม่รอด” เหวินหรั่นกุมมีดสั้นไว้ในมือ น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “ผู้มีพระคุณเคยบอกว่าชีวิตต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยตนเอง”
“โธ่ จิ้งอันซือต้องอาศัยผู้หญิงออกไปสู้รบแล้วหรือ กลายเป็นสถานที่อันใดไปแล้ว แม่นางวางใจเถิด ทางตำหนักใหญ่ต้องส่งกำลังหนุนมาในไม่ช้า” เหยาหรู่เหนิงกำหมัดแน่น มิทราบว่ากำลังปลอบใจนางหรือปลอบใจตัวเอง
เหวินหรั่นเงียบลงอย่างผิดหวัง เหยาหรู่เหนิงไม่อาจปลอบนางอีกต่อไป หันเดินไปที่ประตู
ชุยชี่กำลังมองออกไปด้านนอกผ่านร่องประตู ภายนอกมืดสนิท พอเห็นรางๆ ว่าที่ไกลออกไปมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนมาทางนี้ หนึ่งคนอยู่หน้า สามคนตามหลัง ด้านหลังคล้ายยังมีคนอีกผู้หนึ่งติดตาม
ศรหน้าไม้ทั้งหมดล้วนเล็งตรงมาทางด้านหน้า ไม่มีผู้ใดรับผิดชอบระวังหลัง จุดอ่อนนี้ทำให้ชุยชี่กังวลใจมาก เพราะนี่ย่อมไม่ใช่จุดอ่อน หากแต่พวกมันมิต้องพะวงหลัง ตำหนักปีกด้านซ้ายไม่แน่ว่าอาจถูกยึดเสียแล้ว
เป้าหมายของคนเหล่านี้คล้ายใหญ่กว่าที่คาดไว้
“บัดซบ หากมีเกาทัณฑ์สั้นสักอัน อย่างน้อยยังพอจะก่อกวนการวางตำแหน่งของพวกมันได้บ้าง” ชุยชี่คำรามด้วยความแค้นใจ อาวุธยิงของตนถูกริบไปตอนเข้ามาจิ้งอันซือเป็นครั้งที่สอง เนื่องจากงานตรวจสอบจับตาไม่จำเป็นต้องพกของเล่นชนิดนี้
เหยาหรู่เหนิงเงยหน้า แต่กลับถูกชุยชี่กดลงไป “ก่อนพวกมันบุกเข้ามาจะยิงหน้าไม้เข้าหน้าต่างหนึ่งชุด เจ้าอยากตายหรือ!”
เหยาหรู่เหนิงคลานกลับไปด้านหลังกองสิ่งกีดขวางแล้วเอ่ยเบาๆ “นายกองชุย…เอ่อ ขอบคุณ”
“ข้าเพียงช่วยชีวิตตัวเอง” ชุยชี่จ้องที่ช่องประตูด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เหยาหรู่เหนิงรู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง ครั้งนี้ไม่มีความเคียดแค้นใดแล้ว เหยาหรู่เหนิงล้วงๆ ค้นๆ จนได้เซี่ยจื้อหยกตัวหนึ่งจากอกเสื้อ
“หากข้าตาย ช่วยส่งของสิ่งนี้กลับบ้านข้าได้หรือไม่”
“เซี่ยจื้อหยก? ของหายากเชียวนะ ปกติมิใช่แกะเป็นตัวผีซิวหรือกิเลนหรอกหรือนี่” ผู้คุมด้านข้างคนหนึ่งอุทานอย่างแปลกใจ
“เซี่ยจื้อสามารถแยกแยะคดตรง เขาเดี่ยวชนอธรรม ไม่เสียทีที่เป็นตระกูลมือปราบพิทักษ์คุณธรรม สัตว์เทพตัวนี้ต่างจากของตระกูลอื่น” ชุยชี่มองปราดเดียวก็ดูที่มาออก มันส่งของคืนให้ รำพึงกับตัวเองว่า “อย่าเอาให้ข้าเลย ข้าเป็นคนทรยศ เกรงเขาของมันจะทิ่มแทงข้า”
ท่ามกลางความมืด มองเห็นสีหน้าของชุยชี่ไม่ถนัด เหยาหรู่เหนิงยังคิดจะกล่าวอะไรต่อ แต่ชุยชี่ตวาดขึ้นก่อน “มาแล้ว!”
ศัตรูเข้าใกล้มากพอที่จะอยู่ในระยะยิง คนนำหน้ากลิ้งไปตามพื้นแนบร่างที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว สี่คนด้านหลังเล็งมายังหน้าต่างคุก หากมีหัวคนยื่นออกมาก็ต้องแหลกกระจุยทันที
คนนำหน้าทดลองผลักประตู ประตูไม่ขยับ นี่คาดไว้ก่อนแล้ว สี่คนด้านหลังยิงหน้าไม้ใส่หน้าต่างพร้อมกัน จากนั้นพุ่งมาถึงหน้าประตู เหยาหรู่เหนิงกับชุยชี่ที่ซ่อนตัวหลังประตูได้กลิ่นฉุนเสียดจมูกทันที กลิ่นนี้พวกมันคุ้นเคยมาก คือน้ำมันดิบเหยียนโจวที่เกือบสร้างความวุ่นวายโกลาหลแก่ฉางอัน
“บัดซบ! พวกมันไม่คิดจะพังประตูแต่แรกแล้ว!” ชุยชี่หน้าถอดสีทันใด “พวกมันคิดเผาที่นี่ให้วอดต่างหาก!”
หากสิ่งนี้ติดไฟขึ้น ไม่เผาห้องเก็บฟืนวอดวายหมดสิ้นย่อมไม่เลิกรา ศัตรูกระทำเช่นนี้คือคิดบีบคั้นให้เปิดประตูออกมาเอง เหยาหรู่เหนิงสบตากับชุยชี่ ไร้หนทางอื่น ได้แต่ต้องบุกทะลวงออกไป
พวกมันกับผู้คุมย้ายของกีดขวางอีกครั้ง ทันใดนั้นประตูถูกถีบเปิดออกจากด้านนอก คนชุดดำหน้าสุดบุกเข้ามาดุจเสือดุจสุนัขป่า ผู้คุมและเหยาหรู่เหนิงที่คุมประตูอยู่ถูกชนหงายกระแทกพื้น คนชุดดำวางหน้าไม้ เปลี่ยนมาชักดาบ
ขณะเปลี่ยนอาวุธก็เปิดช่องว่างในชั่วพริบตา ชุยชี่ผู้มากประสบการณ์กำลังรอโอกาสนี้อยู่ มันกระโจนเข้าไปปานพยัคฆ์ร้าย
มีดสั้นในมือมันเงื้ออยู่นานแล้ว แทงเข้าร่างคนชุดดำคนนั้นทันทีและไม่ลืมบิดด้ามอาวุธ จังหวะนี้คนที่สองก็กระโจนเข้ามา ชุยชี่ไม่มีเวลาดึงมีด ได้แต่ใช้หัวกระแทกชน คนชุดดำถูกการต่อสู้ไม่คิดชีวิตของชุยชี่เล่นงานจนปั่นป่วน มิอาจไม่ถอยหลังหนึ่งก้าว
ชุยชี่ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตามประชิดติดต่อยหมัดออก มันไม่รู้วิชาหมัดมวยใด ทว่าทุกหมัดเปี่ยมความหนักหน่วงสาแก่ใจ ภายใต้ความกดดันสุดขีด ร่างกายของมันสลัดความวิตกกังวลทั้งหมดในฉางอันทิ้งไป เรียกความห้าวหาญเมื่อครั้งยังอยู่หล่งซานกลับคืนมาอีกครั้ง
“หล่งซานชุยชี่! หล่งซานชุยชี่!” แรกนั้นมันยังเสียงเบา แต่ยิ่งต่อยเสียงยิ่งดัง สุดท้ายแล้วถึงกับคำรามกึกก้อง จู่โจมปานพยัคฆ์คลั่ง คนชุดดำคนที่สองต้านรับไม่ไหวถูกต่อยล้มลงกับพื้น มันกระทืบเท้าใส่ เกิดเสียงกระดูกหัก ทรวงอกของฝ่ายตรงข้ามถูกกระทืบยุบทันที
เวลานี้คนชุดดำคนที่สามเพิ่งบุกเข้ามา ชุยชี่พัวพันรับมืออยู่เพียงที่ประตู ประตูคุกแคบมาก เมื่อขวางอยู่เช่นนี้คนชุดดำด้านหลังก็ไม่สามารถข้ามสหายของตนมาช่วยกลุ้มรุมชุยชี่ได้
เหยาหรู่เหนิงและผู้คุมอีกสามคนฉวยโอกาสตะเกียกตะกายลุกขึ้นรุมล้อมตี กลายเป็นสี่ตีหนึ่งทันที
ทันใดนั้นเองเสียงฉึกดังขึ้น หน้าไม้ยิงออก ที่ล้มลงมิใช่คนฝ่ายคุก หากแต่เป็นคนชุดดำที่ยืนขวางอยู่ปากประตู รองหัวหน้าหน่วยซึ่งอยู่ด้านนอกเห็นมันไม่อาจบุกเข้าไปและไม่คิดล่าถอย จึงยิงศรหน้าไม้ดอกนี้เจาะทะลุร่างคนของฝ่ายตน ปักใส่ร่างชุยชี่ด้วย
ใครก็คิดไม่ถึงว่าคู่อริจะสังหารพวกเดียวกันเองอย่างเลือดเย็น ทุกคนไม่ทันมีท่าทีใด ชุยชี่ก็คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ล้มลงไปพร้อมกับคนชุดดำ
จังหวะนี้เองระหว่างผู้คุม เหยาหรู่เหนิง กับคนชุดดำด้านนอกหามีสิ่งใดกำบังไม่ รองหัวหน้าหน่วยกับคนชุดดำอีกคนรีบถอย ทิ้งระยะห่าง ชุยชี่ที่ล้มอยู่บนพื้นรีบเงยหน้าตะโกนให้ระวัง นั่นเป็นหน้าไม้ชนิดยิงต่อเนื่อง
สายไปแล้ว
ไม่มีประตูคุกช่วยกำบัง ถึงแม้พวกมันมีอีกเท่าตัวก็มิอาจต้านทานอาวุธของศัตรู ศรหน้าไม้พุ่งออก ผู้คุมสามคนถูกยิงล้มลงทันที เหยาหรู่เหนิงกัดฟันกรอดหมายจะบุกออกไป กลับถูกศรปักเข้าที่ไหล่ซ้าย ล้มตะแคงลงบนธรณีประตู ชุยชี่แม้บาดเจ็บ ร่างท่อนบนไม่อาจเคลื่อนไหว แต่กัดฟันหยิบดาบบนพื้นขว้างออกไป รองหัวหน้าหน่วยใช้หน้าไม้กันดาบ จากนั้นเตะคนกระเด็น
การรุกกลับของฝ่ายที่อยู่ในคุกยุติเพียงเท่านี้ ตายสามบาดเจ็บสอง สูญเสียกำลังรบไปสิ้น
สีหน้าของรองหัวหน้าหน่วยใต้ผ้าปิดปั้นยากยิ่ง เผชิญหน้ากับคุกเล็กๆ เพียงเท่านี้แต่กลับทำให้มันสูญเสียทหารมือดีไปถึงสามนาย มันให้บริวารที่เหลือเพียงคนเดียวลากเหยาหรู่เหนิงกับชุยชี่เข้าข้างใน โยนไว้หน้าประตูห้องขัง ชักมีดออกมา
“พวกเจ้าจะต้องเสียใจที่เมื่อครู่ไม่สู้จนตัวตาย” รองหัวหน้าหน่วยเค้นคำรามอย่างอำมหิต
ฉึก
เสียงโลหะชำแรกเลือดเนื้อ
รองหัวหน้าหน่วยประหลาดใจมาก มันยังไม่ลงมือ เหตุใดจึงมีเสียงเช่นนี้ มันมองเหยาหรู่เหนิงกับชุยชี่อีกครา ทั้งสองคนมิมีอันใดผิดปกติ รองหัวหน้าหน่วยตะลึงรีบเบี่ยงกายกลับไปดู เห็นบริวารที่เหลือคนสุดท้ายยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สั่นเทิ้มทั่วร่าง ปลายมีดแหลมอาบเลือดทะลุทรวงอกออกมา
รองหัวหน้าหน่วยพบว่าบริวารของตนผู้นี้หันหลังให้ห้องขัง พวกมันไม่ทันได้ตรวจว่าด้านหลังมีคนหรือไม่
ปลายมีดถอนออกไปช้าๆ คนชุดดำคุกเข่าทรุดดังตุบ ร่างระทวยลงกับพื้น เห็นด้านหลังของมันคือเหวินหรั่นที่กำลังตกตะลึง นางยืนอยู่หลังลูกกรง ในมือกุมมีดสั้นประจำตระกูลของเหยาหรู่เหนิงเอาไว้แน่น
การลอบจู่โจมนี้ไม่ว่าผู้ใดล้วนคาดคิดไม่ถึง เหยาหรู่เหนิงม่านตาหดลง ตะโกนบอกให้นางรีบหนี
ช้าไปแล้ว รองหัวหน้าหน่วยปราดเข้าไปบีบข้อมือของเหวินหรั่น เหวินหรั่นเจ็บจนหวีดร้องเสียงแหลม มีดสั้นตกลงพื้นศิลา เหยาหรู่เหนิงข่มความเจ็บปวด กัดฟันพุ่งเข้าใส่ รองหัวหน้าหน่วยเตะมันออกไป ตะคอกอย่างมีโทสะ “อย่าร้อนใจ พวกเจ้าแต่ละคนอย่าได้คิดตายดี!”
รองหัวหน้าหน่วยปลดแถบหนังออกจากเอว มัดเหวินหรั่นเอาไว้กับลูกกรงคุก ก่อนจะก้มกายหยิบกระบอกพ่นจากศพของพรรคพวก ฉีดพ่นของเหลวดังฟู่ๆ เนื้อตัวของพวกมันทั้งสามเหนียวเหนอะหนะไปด้วยน้ำมันดิบ
เมื่อเตรียมทุกอย่างพรักพร้อมแล้ว รองหัวหน้าหน่วยยิ้มเหี้ยมเกรียม หยิบชุดไฟออกมาจุดเสียงดังแชะ ไฟในมือติดพึ่บ
เหยาหรู่เหนิงรู้ว่าอีกไม่นานจะเกิดเรื่องน่าอนาถใด แต่มันกลับไร้เรี่ยวแรงหยุดยั้ง มันมองไปทางเหวินหรั่นอย่างสิ้นหวัง นางยังเหม่อลอย มันเบนสายตาไปทางชุยชี่ เห็นแต่เลือดเต็มใบหน้า ดูสีหน้าไม่ออก
เหยาหรู่เหนิงแหงนหน้าเหม่อมองครู่หนึ่ง แววตาเด็ดเดี่ยว หันไปกระซิบบอกชุยชี่ “นายกองชุย อีกครู่เมื่อไฟติด ข้าจะพุ่งไปกอดรัดมัน รีบฉวยโอกาสนี้หนี”
ชุยชี่ลืมตาขึ้น จ้องมองอีกฝ่าย
“ในเมื่อท่านมิใช่คนของจิ้งอันซือก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งชีวิตเพื่อจิ้งอันซือ แต่ช่วยพาแม่นางผู้นี้ไปด้วย นางไร้ความผิด”
ชุยชี่หัวเราะส่งเสียงพ่นลมทางจมูก เหยาหรู่เหนิงไม่เข้าใจว่ามันทำเสียงฮึด้วยเหตุใด แต่ไม่ได้ถาม ชายหนุ่มที่ตัดสินใจสละชีวิตแล้วข่มกลั้นความเจ็บปวดรุนแรงที่ไหล่ งอขาซ้ายเตรียมกระโจนทันทีที่ไฟเผาร่างตนเอง
มือของมันกำลังสั่น ขากรรไกรก็กำลังสั่น หางตามีของเหลวที่ควบคุมมิได้กำลังหลั่งไหล ชุยชี่พลันยืดแขนข้างหนึ่งพาดบ่าเหยาหรู่เหนิง “สองขาเจ้ายังดี ยังมีโอกาสวิ่งหนี ไยต้องทำเช่นนี้”
“คนทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบต่อการเลือกของตน” เหยาหรู่เหนิงไม่หันหน้ากลับมา ชุยชี่ได้ยินแล้วไหล่สั่นเล็กน้อย
ในที่สุดรองหัวหน้าหน่วยก็จ่อไฟเข้ากับเชื้อไฟ ใยอ้ายหรงตากแห้งในมือมันกลายเป็นลูกไฟสีเขียวจ้า มันกวาดตามองเหยื่อตัวดำทั้งสาม แล้วเอ่ยอย่างโหดเหี้ยมไร้ปรานี
“เต้นระบำชาวหูกลางกองไฟกันเถิด อย่างไรเสียเวลาตายของพวกเจ้ายังต้องรออีกยาวนานนัก”
เพื่อป้องกันมิให้ไฟถูกร่างตนเอง รองหัวหน้าหน่วยจึงถอยหลังหลายก้าว แผ่นหลังประชิดห้องขังอีกห้อง มันคำนวณว่าระยะห่างปลอดภัยมากพอ จากนั้นยกแขนเตรียมจะปาใยอ้ายหรงออกไป
แขนยาวข้างหนึ่งพลันลอดออกจากซี่ลูกกรงห้องขังด้านหลังมัน ชิงผ้าเชื้อไฟมาอย่างง่ายดายหย่อนลงในรูของกระบอกพ่น
ภายในกระบอกพ่นยังเหลือน้ำมันดิบอีกกว่าครึ่ง เมื่อหย่อนผ้าลูกไฟใส่ก็ได้ยินเสียงดังพึ่บ เปลวไฟแสบตาพวยพุ่งออกจากกระบอกพ่น ห่อหุ้มร่างรองหัวหน้าหน่วยในพริบตา
รองหัวหน้าหน่วยกลายร่างเป็นคบไฟมนุษย์ เปลี่ยนคุกที่มืดสนิทให้สว่างไสวทันทีทันใด มันแผดร้องโหยหวน ทว่าความร้อนทำให้เส้นเสียงสุกอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงขาสองข้างที่ยังเตะถีบอย่างสิ้นหวัง ราวกับกำลังเต้นระบำอย่างชนนอกด่านไม่มีผิด ผ่านไปไม่นานร่างค่อยล้มฟาดพื้นดังโครมกลายเป็นถ่านดำเกรียม เปลวเพลิงยังคงลุกไหม้ร้อนแรง
“พวกเจ้าลืมข้าเฉินเซินแห่งเซียนโจวแล้วกระมัง!”
ชายคนหนึ่งตะโกนเสียงเกรี้ยวกราดออกมาจากในห้องขัง
เหยาหรู่เหนิงครานี้ค่อยนึกออก ในคุกนี้ยังขังนักโทษเอาไว้อีกผู้หนึ่ง บุรุษหนุ่มที่ชื่อเฉินเซินนั่นปะไร เนื่องจากมันทำลายแผนการของจิ้งอันซือที่ไหวหย่วนฟาง จึงถูกจับตัวส่งมาขังที่นี่ แทบจะถูกลืมเลือนไปแล้ว มันขดตัวซุกอยู่ในซอกลึกสุด ประกอบกับความมืดของห้องขัง ทุกคนรวมถึงรองหัวหน้าหน่วยล้วนไม่สังเกตเห็นว่ายังมีคนผู้นี้อีกหนึ่งคน
คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วผู้ช่วยชีวิตกลับเป็นเจ้าคนโชคร้ายผู้นี้
ในที่สุดผู้บุกรุกทั้งห้าล้วนถูกกำจัดสิ้น เหยาหรู่เหนิงผู้หนีรอดออกจากความตายถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันกลับไปพูดอย่างดีใจกับชุยชี่ว่า “นายกองชุย ทางนี้ปลอดภัยชั่วครู่แล้ว เรารีบไปตำหนักใหญ่กันเถิด!”
“ตำหนักใหญ่ทางนั้นเกรงว่าเคราะห์ร้ายมากกว่าดี ข้าไม่ไปหรอก” ชุยชี่ตอบเฉยชา เหยาหรู่เหนิงขัดเคืองเล็กน้อย มันเมื่อครู่ยังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันกับตน ไฉนยามนี้คืนกลับสภาพเดิมอีกเล่า
“หากท่านเกรงลำบากใจ ข้าจะอธิบายกับท่านผู้บัญชาการเองว่าท่านหาได้หวาดหวั่นหลบหนีศัตรูไม่” เหยาหรู่เหนิงคะยั้นคะยอ
ชุยชี่มิได้ตอบคำ เพียงฝืนยิ้มเล็กน้อย เลื่อนมือออกจากท้องน้อย เผยให้เห็นปลายศรหักคาอยู่ท่อนหนึ่ง เลือดทะลักออกมาชุ่มโชกทั่วสาบเสื้อท่อนล่าง