ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย สยบฟ้าพิชิตปฐพี 24_2
บทที่ 2พุทธวจนะ
จะแยกทางกันได้ก่อนอื่นต้องไปให้ถึงเส้นทางก่อน…แต่ผู้คนในวัดไป๋ถ่าไม่ยอมให้หนิงเชวียพาซังซังหนีไป ฝูงชนที่ก่อนหน้านี้ถูกวิธีการที่โหดเหี้ยมของมันทำให้ตื่นตระหนกและหวาดกลัวตอนนี้ได้รับพลังและความกล้าหาญกลับมาอีกครั้งจากการที่เจ้าคณะฝ่ายเทศนามาเยือนโลกิยะ เจ้าคณะฝ่ายเทศนาจึงเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการหนีของหนิงเชวียและซังซัง
ศิษย์พี่ใหญ่ประคองหนิงเชวียให้ลุกขึ้น ไม่รู้เอาลูกธนูเหล็กจำนวนหนึ่งมาจากไหนส่งให้ในมือมันแล้วกล่าวว่า
“นี่คือลูกธนูเหล็กที่เจ้าทำหล่นไว้ที่เขาหว่าซาน ศิษย์น้องหกซ่อมให้แล้ว ถ้าเจ้าหนีออกไปได้ก็จัดการกับลวดลายของยันต์สักหน่อย ยังมีขวดเหล็กพวกนี้ศิษย์น้องหกก็เป็นคนทำ มันฝากให้ข้านำมาให้เจ้า”
หนิงเชวียรับลูกธนูเหล็กมาใส่ไว้ในกล่องแล้วนำขวดเหล็กอันหนึ่งมามัดไว้กับหัวลูกธนู กล่าวว่า
“ข้ากับซังซังจะไปเอง ศิษย์พี่ไม่ต้องไปส่งหรอก”
ศิษย์พี่ใหญ่มองไปยังฝูงชนที่แน่นขนัดริมทะเลสาบรวมทั้งเจ้าคณะฝ่ายเทศนาที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แล้วกล่าวว่า
“ถ้าพวกเจ้าไปกันเองได้ไยต้องรอข้ามา”
หนิงเชวียเห็นความเหนื่อยล้าตรงหว่างคิ้วของศิษย์พี่ก็ไม่สบายใจ ตามความเห็นของมันแม้ศิษย์พี่ใหญ่จะอยู่ในด่านไร้ระยะที่เหนือกว่าด่านทั้งห้าแล้ว แต่หากต้องเผชิญกับเจ้าคณะฝ่ายเทศนาที่อยู่ในด่านอมตวัชระก็ยังคงไม่มีโอกาสชนะ
ศิษย์พี่ใหญ่รู้ว่ามันกำลังกังวลเรื่องใดจึงมองมันแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า
“ที่จริงแล้วมีไม่กี่คนในโลกนี้ที่สามารถชนะต้าซือเจ้าคณะ ข้าไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น แต่อย่างน้อยข้าก็ถ่วงเวลาได้”
จากนั้นกล่าวต่อว่า
“ต้าซือเท้าเหยียบผืนดินหนา กายใจเป็นอมตวัชระ มีจุดอ่อนเพียงข้อเดียวคือเชื่องช้าเกินไป และด้วยสัญญาในสมัยก่อนต้าซือไม่สามารถลงมือ ดังนั้นข้าจึงมั่นใจว่าจะส่งพวกเจ้าออกไปได้”
ตอนที่พวกมันศิษย์พี่ศิษย์น้องสนทนากันไม่ได้ตั้งใจที่จะลดเสียงให้เบาลงเลย เพราะไม่ว่าเสียงจะเบาแค่ไหนคิดว่าเจ้าคณะฝ่ายเทศนาก็คงได้ยินอยู่ดี
เจ้าคณะฝ่ายเทศนาลงไปนั่งขัดสมาธิ มือขวาจับที่กลางไม้เท้า สีหน้าสงบนิ่งเป็นธรรมชาติคล้ายไม่ได้ยินว่าพวกมันคุยอะไรกัน หรือไม่ก็ได้ยินแต่ไม่สนใจ
หนิงเชวียเห็นใบหน้าของยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดของนิกายพุทธผู้นี้แล้วความกังวลในใจก็ยิ่งเพิ่มทวี รู้สึกว่าหลังจากศิษย์พี่ใหญ่ลงมือจะต้องเจอปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน จึงยื่นมือไปคว้าแขนเสื้อของศิษย์พี่ใหญ่
ทว่าตอนที่ปลายนิ้วของมันควรจะสัมผัสถูกแขนเสื้อของศิษย์พี่ใหญ่ก็ปรากฏว่าคว้าได้ลมหอบหนึ่ง
ลมพัดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ เห็นเพียงเสื้อนวมบนร่างของศิษย์พี่ใหญ่สั่นเล็กน้อย จากนั้นเงาร่างพลันลบเลือนหายไปในอากาศ ไม่รู้ว่าคนไปยังที่ใด เหลือไว้เพียงคำคำเดียวดังกังวานอยู่ข้างหูมัน
“ไป”
หนิงเชวียรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลามากล่าวคำล่ำลาพิรี้พิไร ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่ลงมือแล้วมันก็ต้องใช้โอกาสนี้หนี ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับทำให้การเตรียมการของศิษย์พี่ใหญ่สูญเปล่า
ต่อให้ศิษย์พี่ใหญ่สามารถถ่วงเวลาเจ้าคณะฝ่ายเทศนาไว้ได้ระยะหนึ่ง แต่ฝูงชนในวัดไป๋ถ่าโดยเฉพาะชีเหมยต้าซือกับยอดฝีมือนิกายพุทธพวกนั้น รวมถึงยอดฝีมือนิกายเต๋าที่มาจากอาศรมเทพก็อาจรั้งมันกับซังซังไว้ได้ ดังนั้นมันจึงแบกซังซังหันหลังวิ่งกลับไปที่ทะเลสาบบริเวณเจดีย์ขาวโดยไม่ลังเล
ทว่าวินาทีต่อมาเท้าของมันพลันร่วงลง เหยียบลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง ยากที่จะยกขึ้นอีก
การหนีเพิ่งเริ่มก็พลันต้องหยุด
ไม่ใช่เพราะยอดฝีมือของสองนิกายขวางทางมัน และไม่ใช่เพราะฝูงชนกรูเข้าหามันอีกรอบ แต่เป็นเพราะมันสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่แปลกประหลาดรอบตัว มองเห็นคนจำนวนหนึ่งมีสีหน้าหวาดผวาก็เดาได้ว่าที่ด้านหลังต้องเกิดเรื่องที่น่าตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
หนิงเชวียหันกลับมาในทันที มองเจ้าคณะฝ่ายเทศนาที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่
ศิษย์พี่ใหญ่พลันหายไป เข้าสู่สภาวะไร้ระยะ เป้าหมายย่อมเป็นเจ้าคณะฝ่ายเทศนา
ด่านไร้ระยะเป็นแขนงหนึ่งของการฝึกฌานที่น่าพิศวงที่สุด เป็นฤทธิ์เดชสะท้านโลกซึ่งอยู่เหนือด่านทั้งห้า เหมือนเหินลม เหมือนเหยียบเมฆ ข้ามป่าข้ามเขาและทะลุไปแคว้นต่างๆ ได้ในชั่วพริบตา
โลกนี้ไม่มีการเคลื่อนที่ใดที่เร็วกว่าด่านไร้ระยะ แม้แต่วิชาคุมกระบี่หมื่นลี้ของเทพกระบี่หลิ่วไป๋
ตามการคาดคะเนของหนิงเชวีย หลังจากศิษย์พี่ใหญ่หายไป ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้งต่อสายตาผู้คนก็สมควรต้องไปถึงเบื้องหน้าของเจ้าคณะฝ่ายเทศนาแล้ว หรือไม่ก็ออกไปไกลเป็นพันลี้แล้วนำอาวุธที่ทรงอานุภาพบางอย่างกลับมาโจมตีใส่เจ้าคณะฝ่ายเทศนา
ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่ปรากฏตัวอีกครั้ง
แต่มันไม่ได้อยู่ที่เบื้องหน้าเจ้าคณะฝ่ายเทศนา
มันอยู่ห่างจากเจ้าคณะฝ่ายเทศนาไปไกล ท่าทางราวกับว่าเพิ่งก้าวไปเพียงก้าวเดียวก็ถูกบีบให้ต้องปรากฏตัว!
เห็นเจ้าคณะฝ่ายเทศนาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไกลออกไปสิบกว่าจั้ง เห็นเสื้อนวมบนร่างของศิษย์พี่ใหญ่สั่นไหว ฝุ่นละอองปลิวไปช้าๆ สีหน้าของศิษย์พี่ใหญ่เคร่งขรึมอย่างผิดปกติ ร่างกายก็ดูหนักขึ้นอย่างผิดปกติราวกับว่าไม่สามารถก้าวเดินได้อีก
ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่ารองเท้าหญ้าฟางของศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่ได้แตะพื้น ยังห่างจากพื้นประมาณครึ่งชุ่น แต่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกแม้เพียงนิด
ในตอนนั้นเอง เสียงท่องพระสูตรก็ดังขึ้นช้าๆ
เจ้าคณะฝ่ายเทศนานั่งขัดสมาธิ มือถือไม้เท้า สีหน้าสง่าน่าเกรงขาม เสียงที่เปล่งออกมาคล้ายเสียงแห่งพุทธะ
“ดังได้สดับมา…สามโลกล้วนเป็นอนิจจังและล้วนเป็นทุกข์ สิ่งที่มีมรรค แก่นฐาน สภาวะ และรูปลักษณ์ล้วนไร้ตัวตน ไม่มีลมไม่มีละอองน้ำ ไม่มีหมอก ไม่มีสายฟ้า ควรใช้ทัศนะที่สงบและบริสุทธิ์เช่นนี้มองสิ่งต่างๆ”
พระสูตรตอนนี้มาจากบรรพมายามหาเมตตา
พระสูตรตอนนี้กล่าวถึงศิษย์พี่ใหญ่
เมื่อเสียงแห่งพุทธะดังขึ้น สภาพแวดล้อมโดยรอบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดในทันที น้ำในทะเลสาบหยุดนิ่ง ต้นหลิวริมฝั่งโน้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง แสงเรืองรองบนเจดีย์ขาวที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดคล้ายถูกผนึกไว้ กระทั่งลมก็ไม่มี
ภายในวัดไป๋ถ่าเงียบสนิท ทะเลสาบ เจดีย์ และผู้คนต่างสงบนิ่ง ฟ้าดินและสรรพสิ่งกลับไปสู่สภาพแรกเริ่มเมื่อหลายหมื่นปีก่อนด้วยเสียงแห่งพุทธะ สงบนิ่งจนน่ากลัว
ในโลกที่สงบนิ่งอย่างที่สุดนี้ไม่มีลมแล้วจะเหินลมได้อย่างไร ไม่มีละอองน้ำแล้วจะเหยียบละอองน้ำได้อย่างไร ไม่มีหมอกแล้วจะทะลุหมอกได้อย่างไร ไม่มีสายฟ้าแล้วจะเคลื่อนไหวดุจสายฟ้าได้อย่างไร
เงาร่างของศิษย์พี่ใหญ่ถูกบังคับให้ลอยค้างอยู่ในโลกแห่งความสงบ เท้าไม่แตะพื้น จากนั้นค่อยๆ ร่วงลง เสื้อนวมหยุดนิ่งไม่สั่นไหวอีก สีหน้ายิ่งซีดเผือดลงอีก
ว่ากันว่าเคล็ดวิชาต่างๆ หากรวดเร็วกว่าย่อมได้เปรียบ แต่ด่านไร้ระยะที่เร็วที่สุดคิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับต้องเสียเปรียบแล้ว!
หนิงเชวียหันหลังไปเหยียบเท้าได้เพียงก้าวเดียวก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกตินี้ มันจึงหยุดเท้าแล้วหันกลับมาทำให้ได้ยินเสียงท่องพระสูตรและเห็นศิษย์พี่ใหญ่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน
มันตื่นตระหนกสุดขีด ไม่มีเวลามาขบคิดแล้วว่าทำไมด่านไร้ระยะของศิษย์พี่ใหญ่จึงถูกผู้อื่นทำลายได้ มันง้างสายธนูเหล็กอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ลูกธนูหนึ่งดอกเล็งยิงไปที่หน้าของเจ้าคณะฝ่ายเทศนา
ก่อนที่ศิษย์พี่ใหญ่จะปรากฏตัวมันเคยใช้ปฐมธนูสิบสามดอกยิงเจ้าคณะฝ่ายเทศนาแล้ว เผชิญหน้ากับเจ้าคณะฝ่ายเทศนาผู้เป็นอมตวัชระ ลูกธนูเหล็กที่มีอานุภาพน่ากลัวก็เป็นได้แค่กิ่งไม้แห้งๆ ไม่มีประโยชน์อันใด แต่มันก็ยังจะยิงดอกที่สองเพราะที่หัวของลูกธนูหนนี้มีขวดเหล็กอยู่ด้วย
มันไม่เชื่อว่าโลกนี้มีมนุษย์ที่ไม่ตายและไม่แตกดับอยู่จริง ต่อให้เจ้าคณะฝ่ายเทศนาเป็นอมตวัชระ สามารถไม่แยแสต่อการบาดเจ็บทางกาย แต่มันเชื่อมั่นว่าการระเบิดของขวดเหล็กแม้เผายอดฝีมืออันดับหนึ่งของนิกายพุทธผู้นี้ไม่ตาย อย่างน้อยก็สามารถรบกวนฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้ศิษย์พี่ใหญ่รอดพ้นจากภาวะคับขันตรงหน้าได้
ทว่าวินาทีต่อมามันก็เห็นภาพที่น่าประหลาดใจยิ่ง
ลูกธนูเหล็กยิงออกไป หางลูกธนูปลดปล่อยควันสีขาวกระจายออกไปรอบทิศ จากนั้นก็ร่วงลงช้าๆ หนิงเชวียคุ้นเคยกับขั้นตอนการพุ่งโจมตีของปฐมธนูสิบสามดอกเป็นอย่างดี รู้ว่าควันสีขาวเกิดจากการที่เจตนารมณ์แห่งยันต์ของลูกธนูเหล็กผสานเข้ากับลมในธรรมชาติ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นสภาพเช่นนี้
ลูกธนูเหล็กที่เดิมทีควรจะพุ่งหายไปไกลอย่างไร้สุ้มเสียงพอดีดออกจากสายกลับไม่ได้พุ่งหายไป แต่ยังรักษารูปเดิม พุ่งช้าๆ ไปไกลหลายจั้งแล้วตกสู่พื้นดิน
ลูกธนูเหล็กไม่อาจเข้าใกล้เจ้าคณะฝ่ายเทศนาได้เลย ขวดเหล็กที่หัวลูกธนูตกกระแทกพื้นเกิดเสียงทึบทึม อย่าว่าแต่ไม่มีการระเบิดที่ทรงอานุภาพอย่างที่คิดไว้ แม้แต่ประกายไฟก็ไม่มี!
หนิงเชวียหน้าซีดลงทันที สองแก้มคล้ายซูบตอบ ร่างกายสั่นสะท้าน จากนั้นมันก็ยื่นนิ้วชี้ของมือขวาออกไป เล็งไปที่เจ้าคณะฝ่ายเทศนาแล้วขีดขวางอย่างแข็งแรงดุจตะขอเหล็ก
นี่คือยันต์เทวะรูปแบบไม่แน่นอนหนึ่งเดียวที่มันเขียนได้…ยันต์รูปเอ้อร์
พาซังซังหนีตายอย่างต่อเนื่องมาหลายวัน ยิ่งในเหตุการณ์เฉียดตายที่หน้าบ้านร้าง เพราะตอนนั้นกังวลว่าจะสูญเสียพลังจิตมากเกินไปหนิงเชวียจึงอดกลั้นไม่ใช้ แต่ตอนนี้เห็นศิษย์พี่ใหญ่กำลังเผชิญกับอันตรายมันไหนเลยยังต้องลังเล!