เพลงกลอนคลั่งยุทธ์
ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 13 บทที่ 2
บทที่ 2
รับการโจมตี
ทางตะวันออกของอารามอวี้เจินแหล่งฐานสำนักอู่ตังมีเรือนเงียบสงัดล้อมรอบด้วยป่าไผ่เขียวขจีหลังหนึ่งนามว่าโรงหย่างเจิ้ง เป็นสถานที่พักฟื้นรักษาตัวของศิษย์อู่ตังที่บาดเจ็บสาหัสเพราะฝึกฝน
แต่ยามนี้ป่าไผ่รอบด้านไม่เงียบสงัดแม้แต่นิดเดียว สุ้มเสียงครวญครางเจ็บปวดดังระงมอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่สำนักอู่ตังก่อตั้งขึ้นมา โรงหย่างเจิ้งหลังนี้ไม่เคยแออัดเช่นนี้
ในโรงหย่างเจิ้งเพิ่มเตียงผู้ป่วยจำนวนมากชั่วคราวเรียงแถวจนถึงปากประตูจึงจุศิษย์ที่บาดเจ็บใหม่สามสิบกว่าคนได้ครบทั้งหมด
สำนักอู่ตังมีศิษย์พิการกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากมิอาจฝึกยุทธ์ต่อไปได้จึงหันมาหยิบจับงานพลาธิการนอกเหนือการยุทธ์ต่างๆ ในนั้นมีสามคนฝึกวิชาแพทย์โดยเฉพาะ ตำรับยาที่บรรพชนอู่ตังทิ้งไว้เพียงพอที่จะรับมือกับสหายร่วมสำนักที่ฝึกทักษะจนบาดเจ็บยามปกติ แต่บัดนี้พวกมันต่างก็รับมือแทบจะไม่ไหว
เชิงเขาอู่ตังถูกกองทัพราชสำนักปิดกั้นทุกด้านไม่อาจเรียกหมอด้านล่างเขามาช่วยเหลือ ด้วยเหตุนี้ศิษย์พิการและศิษย์เยาว์วัยที่เพิ่งเข้าสำนักคนอื่นๆ จำนวนมากไปจนถึงครอบครัวจึงล้วนมาที่โรงหย่างเจิ้งเพื่อช่วยรักษาและดูแลนักรบที่บาดเจ็บเหล่านี้
อินเสี่ยวเหยียนเองก็อยู่ในนั้น นางนั่งอยู่ข้างเตียงมือกระบี่หนุ่มที่อายุน้อยกว่านางคนหนึ่ง เช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากให้มัน มือกระบี่ไม่มีกระบี่แล้ว มีเพียงขาซ้ายที่ถูกผ้าฝ้ายพันแผลแต่ยังคงมีเลือดซึมออกมา
มันคือเยี่ยเทียนหยางบุตรชายของเยี่ยเฉินยวนรองเจ้าสำนักอู่ตัง
หมออู่ตังถอนลูกตะกั่วที่ยิงเข้าลึกในขาซ้ายออกมาแล้วแต่กลับมิอาจหยุดยั้งความเลวร้ายของปากแผล ต่อให้พันไว้ด้วยผ้าอินเสี่ยวเหยียนก็ยังคงได้กลิ่นแปลกประหลาดนั้น
เนื่องเพราะตัวร้อนปรางแก้มแดงก่ำยิ่งทำให้เยี่ยเทียนหยางเหมือนเด็กอย่างเห็นได้ชัด อินเสี่ยวเหยียนเปลี่ยนผ้าชุบน้ำเย็นลดไข้ให้มัน
เยี่ยเทียนหยางคล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่น ยามเจ็บปวดก็ยื่นมือจับฝ่ามือของอินเสี่ยวเหยียนเอาไว้ ที่ผ่านมามันไม่เคยจูงมือกับดรุณีมาก่อน ต่อไปก็ไม่รู้ยังมีโอกาสหรือไม่ อินเสี่ยวเหยียนมิได้ขัดขืน เพียงให้มันจับไว้เงียบๆ เยี่ยเทียนหยางรู้สึกถึงความปลอดภัยอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่งในอาการสะลึมสะลือ
แรกเริ่มมาช่วยเหลือที่โรงหย่างเจิ้งคือความสมัครใจของนางเอง เดิมทีนางคิดว่าตนเองจะกลัว ดังคาด จุดที่สะดุดตาในโรงหย่างเจิ้งล้วนเป็นโลหิตกับเนื้อและกระดูกที่แหลกเละ ทั้งยังมีกลิ่นคาวเสียดจมูกกับกลิ่นเปรี้ยวของอ้วก…บ้างเป็นของผู้ที่รับหน้าที่ดูแลอาเจียนออกมา
แต่อินเสี่ยวเหยียนพบว่าตนเองกลับสุขุมอย่างผิดปกติ คำสั่งแต่ละอย่างของหมอนางล้วนจัดการอย่างใจเย็น ถึงขั้นหลายวันให้หลังนางได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ที่รับหน้าที่สั่งการในโรงหย่างเจิ้ง แต่ก่อนทำงานที่หออิ๋งฮวา นางคุ้นเคยกับการดูแลผู้อื่นอย่างละเอียดถี่ถ้วน…แน่นอนว่านั่นคือบรรยากาศและวิธีการอีกประเภทหนึ่งโดยสิ้นเชิง บัดนี้ไม่มีโคมไฟและคานสลัก ไร้การเล่นพนันดื่มสุรากับเสียงพิณและกลิ่นหอมของชาด ทว่าอินเสี่ยวเหยียนกลับรู้สึกว่าชีวิตของตนเองมีความหมายยิ่งขึ้น
…ถึงขั้นเป็นเวลาที่มีความหมายที่สุดตั้งแต่นางขึ้นเขาอู่ตังมา
นับตั้งแต่สำนักอู่ตังถูกกองทัพค่ายพลเสินจีล้อมโจมตี อินเสี่ยวเหยียนกับเหยาเหลียนโจวต่างพบหน้ากันน้อยลงเรื่อยๆ เวลาส่วนใหญ่เหยาเหลียนโจวล้วนอยู่ที่ตำหนักเจินเซียนคอยปรึกษาหารือกับซือซิงเฮ่า เยี่ยเฉินยวน และศิษย์ชั้นสูงคนอื่นๆ หรือรับฟังข่าวกรองจากศิษย์สายพญางูอย่างพวกฝานจง อินเสี่ยวเหยียนรู้ว่าตนเองติดตามบุรุษเช่นเหยาเหลียนโจว เรื่องประเภทนี้เป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยง ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่เคยตัดพ้อ
เพียงแต่นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนภูตพรายบนเขาอู่ตัง
แต่ตอนนี้อินเสี่ยวเหยียนรับรู้ได้ว่าผู้อื่นต้องการนางและในขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่
ภายใต้น้ำเย็นและความอบอุ่นเยี่ยเทียนหยางคล้ายได้สติแล้วเล็กน้อย ปล่อยฝ่ามือของอินเสี่ยวเหยียนด้วยความละอาย อินเสี่ยวเหยียนเผยยิ้มน้อยๆ ให้อภัยแก่มัน
“เจ้ารู้หรือไม่…วันนั้น…ข้าฆ่าศัตรูไปสามคน! สามคนแน่ะ…บอกบิดาข้าให้ข้าที…”
อินเสี่ยวเหยียนพอได้ยินคำว่า ‘ฆ่า’ ออกมาจากปากของชายหนุ่มผู้นี้ก็สั่นสะท้านในใจอย่างเลี่ยงมิได้แต่มิได้แสดงออกมาและเพียงพยักหน้าให้เยี่ยเทียนหยางเงียบๆ นางเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้ถ่ายทอดคำพูดนี้ให้เยี่ยเฉินยวน
นับแต่เยี่ยเทียนหยางบาดเจ็บ ห้าวันมานี้เยี่ยเฉินยวนเคยมาโรงหย่างเจิ้งดูบุตรชายเพียงครั้งเดียว
หลังสำนักอู่ตังพยายามลอบโจมตีคลังดินปืนค่ายพลเสินจีและสังหารทหารจำนวนมาก ขันทีจางหย่งผู้บัญชาการก็โกรธเกรี้ยวอย่างมากและสั่งการให้เปิดฉากบุกโจมตีอู่ตัง การรับมือกับมือกระบี่อู่ตังที่วรยุทธ์สูงส่ง ปืนใหญ่ย่อมเป็นอาวุธที่ดีที่สุด แต่เส้นทางเขาขึ้นอารามอวี้เจินช่างเล็กแคบเหลือเกิน ไม่เอื้อต่อการขนส่ง รูปขบวนเดินทัพที่แคบยาวยังถูกสำนักอู่ตังลอบโจมตีช่วงกลางได้ง่าย เป็นเหตุให้โหลวหยวนเซิ่งแม่ทัพค่ายพลเสินจีที่รับหน้าที่บัญชาการทัพหน้าเลือกใช้วิธีที่หยาบช้าที่สุดแต่ก็ได้ผลที่สุด รวบรวมและบังคับกรรมกรหลายพันคนในหมู่บ้านใกล้เคียงล่างเขาอู่ตังตัดต้นไม้ขุดหินเปิดเส้นทางเขาให้กว้างขวาง กระทั่งบรรลุถึงอารามอวี้เจิน
งานโยธาพอดำเนินการก็ถูกสายพญางูสืบรู้ทันที ฝานจงเดาได้ถึงจุดประสงค์ของฝ่ายตรงข้าม รีบรายงานเจ้าสำนักขอคำแนะนำว่ามีแผนอันใด
ภายใต้การเห็นพ้องต้องกันของพวกเยี่ยเฉินยวน เหยาเหลียนโจวสั่งการให้ส่งศิษย์ลอบโจมตีงานก่อสร้างมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกทหารค่ายพลเสินจีจับได้ ทุกครั้งนักสู้อู่ตังล้วนลงมือเป็นกลุ่มเล็กๆ อีกทั้งมีคำสั่งให้โจมตีแล้วหนีไปทันทีอย่างเคร่งครัด แม้การลอบโจมตีมิอาจสังหารทหารได้เท่าใดนัก แต่กลับทำให้ฝ่ายตรงข้ามหวาดระแวงไปทั่ว กรรมกรแตกตื่นตกใจ งานโยธาถูกการลอบโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่านี้ถ่วงเวลาไม่น้อย
ทว่าการบาดเจ็บล้มตายของศิษย์อู่ตังเองก็สั่งสมขึ้นเรื่อยๆ ครั้งหนึ่งที่น่าเวทนาที่สุดคือเคราะห์ร้ายถูกสังเกตเห็นก่อนจนการลอบโจมตีล้มเหลว มือกระบี่อู่ตังสิบสองคนถูกทหารค่ายพลเสินจีที่จัดขบวนอยู่ก่อนแล้วซุ่มยิงโดยพร้อมเพรียงกัน มีเพียงสองคนที่บาดเจ็บไม่หนักและหนีกลับมาโดยอาศัยซากศพเป็นเกราะกำบังพวกพ้อง นอกจากผู้บาดเจ็บจนมิอาจต่อสู้ได้อีกสามสิบกว่าคนที่โรงหย่างเจิ้งแล้ว ยังมีศิษย์อู่ตังยี่สิบสองคนที่ไปแล้วมิได้กลับมา
‘หยุดเถอะ’ เมื่อสูญเสียกำลังพลไปมากมายเพียงนี้ เหยาเหลียนโจวจึงออกคำสั่ง
แต่หลายวันมานี้กองทัพค่ายพลเสินจีเองก็บุกเข้าใกล้อารามอวี้เจินยิ่งขึ้นแล้ว…
เยี่ยเทียนหยางยังคงยื่นนิ้วมือสามนิ้วด้วยความภาคภูมิใจในตนเอง อินเสี่ยวเหยียนมองดูไม่รู้จะตอบอย่างไร เพียงแค่ตบหลังมือมันเบาๆ บอกเป็นนัยให้มันพักผ่อนเต็มที่
เยี่ยเทียนหยางยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอใจ คิดว่าอินเสี่ยวเหยียนที่งดงามกำลังชื่นชมตนเอง
ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่มันไม่มีวันรู้ ในวันนั้นมันเคร่งเครียดเกินไปขณะลอบโจมตีจนมิอาจจำแนกศัตรูกับกรรมกร มันหรี่ตาพลางแกว่งกระบี่ฟันสามคน ความจริงทั้งหมดล้วนเป็นชาวนาของหมู่บ้านที่เชิงเขา…
ยามนี้เงาร่างเงาหนึ่งตกทอดบนตัวอินเสี่ยวเหยียนและเยี่ยเทียนหยาง อินเสี่ยวเหยียนหันหน้ามองดู ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังนางคือโหวอิงจื้อที่พกกระบี่คู่สั้นยาวบนร่าง
มองเห็นโหวอิงจื้อมา ไม่ว่าอินเสี่ยวเหยียนหรือว่าเยี่ยเทียนหยางบนหน้าล้วนปรากฏสีสันออกมาทันที ดวงตาอ่อนเพลียแต่เดิมของเยี่ยเทียนหยางมีชีวิตชีวามากขึ้น ยื่นฝ่ามือไปด้านบน โหวอิงจื้อออกแรงจับมือกับมัน
“เสี่ยวอิง…เจ้าไม่ต้องมาทุกวัน…”
“อย่ากล่าวคำพูดโง่ๆ” โหวอิงจื้อกล่าว ดวงตากลับมองอินเสี่ยวเหยียน อินเสี่ยวเหยียนมองเห็นสายตาของมันทอดมาก็รีบหลบทันที
ในห้าวันที่เยี่ยเทียนหยางบาดเจ็บนอนอยู่ที่โรงหย่างเจิ้ง ทุกวันโหวอิงจื้อล้วนมาเยี่ยมเยือนมันอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ความจริงหลังโหวอิงจื้อลอบฝึกฝนเพลงกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียกับเยี่ยเฉินยวนวรยุทธ์ก็ก้าวหน้าอย่างมาก สามเดือนก่อนจึงได้ออกจากลานยุทธ์เสวียนสือที่ฝึกฝนด้วยกันกับเยี่ยเทียนหยางเลื่อนไปฝึกปรือที่ลานยุทธ์ซิงหนิงขั้นสูงสุด คนทั้งสองพบหน้ากันน้อยลงอย่างมาก หลายวันนี้เป็นวันเวลาที่มันกับเยี่ยเทียนหยางพบกันบ่อยที่สุดในระยะนี้
…แต่กลับเป็นสภาพการณ์เช่นนี้
โหวอิงจื้อมองดูแผลที่ขาของเยี่ยเทียนหยางและใช้สายตาสอบถามไปยังอินเสี่ยวเหยียน
อินเสี่ยวเหยียนลุกขึ้นมา กล่าวเสียงแผ่วเบาอยู่ข้างโหวอิงจื้อ “ศิษย์พี่หลี่ว์เปลี่ยนยาให้ไม่ขาดแต่ปากแผลยังคงไม่สมาน…ดูเหมือน…”
โหวอิงจื้อมองดูบริเวณเตียงที่ห่างออกไปหลายตัว หมอตาเดียวที่กำลังรักษาให้ผู้บาดเจ็บอีกคนหนึ่ง คือหลี่ว์โหย่วเลี่ยง หนึ่งในศิษย์พิการที่ศึกษาการแพทย์โดยเฉพาะสามคนแห่งสำนักอู่ตัง ผู้ที่ช่วยรักษาอยู่ด้านข้างมันก็เป็นคนตาเดียว อีกทั้งข้อมือซ้ายใช้การได้ไม่ค่อยดี เป็นเจียงหนิงเอ้อร์ที่เคยต้อนรับมันในวันแรกที่โหวอิงจื้อเข้าอู่ตัง
โหวอิงจื้อมองดูใบหน้าเยาว์วัยของเยี่ยเทียนหยางอีกครั้ง หวนนึกถึงเมื่อก่อนขณะเดินไปทุกแห่งหนบนเขากับมันเป็นประจำ ฝีมือปีนต้นไม้ของเยี่ยเทียนหยางคล่องแคล่วจนเหมือนลิง…วันเวลาเหล่านั้นจะไม่มีอีกแล้ว
“เสี่ยวอิง…บิดาข้า…จะมาเยี่ยมข้าอีกเมื่อใด…”
โหวอิงจื้อหน้าตาเคร่งขรึม ตอบไม่ได้ไปชั่วขณะ มันนึกถึงคำพูดที่เยี่ยเฉินยวนเคยกล่าวกับตนเองในวันนั้นขึ้นมาทันใด
…หากว่าเจ้าคือบุตรชายข้าคงดีมาก
อินเสี่ยวเหยียนเห็นโหวอิงจื้อนิ่งเงียบไปด้วยความลำบากใจจึงตอบแทนมัน “ก็บิดาเจ้าให้เสี่ยวอิงมาเยี่ยมเจ้าทุกวันอย่างไรเล่า”
เยี่ยเทียนหยางฟังแล้วรู้สึกโล่งอกเล็กน้อย
โหวอิงจื้อใช้ยิ้มน้อยๆ ขอบคุณอินเสี่ยวเหยียน
ผู้เยาว์วัยทั้งสามจึงคุยเล่นกันเป็นระยะเช่นนี้ ทำให้เยี่ยเทียนหยางลืมเลือนความเจ็บปวดของร่างกายชั่วคราว
อินเสี่ยวเหยียนรู้สึกเพียงในโรงหย่างเจิ้งที่บรรยากาศตึงเครียดแห่งนี้ ทุกวันเวลาที่โหวอิงจื้อมาเยี่ยมคือความสุขที่สุด
…มันเองจะคิดเช่นนี้หรือไม่นะ
…มันมาเยี่ยมเสี่ยวเยี่ยทุกวัน ในใจอยากมาเยี่ยมข้าด้วยหรือไม่…
“เสี่ยวอิง…” เยี่ยเทียนหยางคล้ายเหนื่อยแล้วแต่ยังคงฝืนยื่นมือออกไปจับมือของโหวอิงจื้ออีกครั้ง “เจ้าคือสหายที่ดีที่สุดในชีวิตข้า”
โหวอิงจื้อฟังประโยคนี้ ในดวงตากลับมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมา
เนื่องเพราะคำพูดประโยคนี้ทำให้มันนึกโยงถึงเยียนเสี่ยวลิ่ว
สหายที่มันเคยละทิ้งไม่สนใจเพื่อแสวงหาความแข็งแกร่งที่สุด แต่ตอนนี้กลับคล้ายแข็งแกร่งกว่ามัน
ครั้งแรกที่ได้ยินจากปากเหยาเหลียนโจวว่าเยียนเสี่ยวลิ่วยังคงมีชีวิตอยู่อีกทั้งยังก่อเรื่องที่ซีอาน โหวอิงจื้อก็อารมณ์เสียอย่างมากแล้ว ตอนนี้ยังได้รู้จากสหายร่วมสำนักอู่ตังว่าเยียนเสี่ยวลิ่วคือคนหนึ่งในหมายจับประกาศิตนักสู้หลวงของราชสำนัก ยิ่งทำให้ในใจมันคล้ายมีเสี้ยนหนามที่ถอนไม่ออกแท่งหนึ่ง
…มันคือหนึ่งในหกกระบี่บ้านแตกที่สั่นคลอนราชสำนักทำให้ยุทธภพปั่นป่วนซวนเซ แต่ข้ากลับยังคงเป็นมือกระบี่ไร้นามผู้หนึ่งในสำนักอู่ตัง
แต่พฤติการณ์อำมหิตของพวกเยียนเหิงบัดนี้ยังอาจนำมาซึ่งการล่มสลายของสำนักอู่ตังทางอ้อม ทำลายความฝันของโหวอิงจื้อ…พอคิดถึงตรงนี้โหวอิงจื้อก็แค้นเคืองในใจเล็กน้อย
ข้ามิอาจพ่ายเช่นนี้เด็ดขาด…ศึกนี้ที่เขาอู่ตังต้องชนะ! ข้ายังต้องอาศัยศึกนี้สร้างชื่อ!
อินเสี่ยวเหยียนมองดูสีหน้าน่ากลัวที่เผยออกมาของโหวอิงจื้ออยู่ด้านข้าง อดมิได้ที่จะนึกถึงเหยาเหลียนโจว
เวลาเช่นนี้โหวอิงจื้อเหมือนกับมันมาก…
แต่ไม่เหมือนกัน…โหวอิงจื้อกำลังพยายามก้าวไปข้างหน้า ยังคงต้องเผชิญหน้ากับความลำบากมากมาย…
เมื่อเทียบกันแล้วอินเสี่ยวเหยียนรู้สึกว่าเหยาเหลียนโจวช่างสมบูรณ์แบบเหลือเกิน…สมบูรณ์แบบจนบางครั้งทำให้นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนมิได้กำลังใช้ชีวิตด้วยกันกับ ‘คน’ ผู้หนึ่ง
“เสี่ยวอิง…” เยี่ยเทียนหยางร้องเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ขาดสาย ในที่สุดก็หมดสติไป มือที่จับโหวอิงจื้ออยู่ก็ตกลงมา คนทั้งสองมองดูมัน นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ
“ข้าเห็นเจ้าเหมือนเหนื่อยมาก” โหวอิงจื้อทำลายความเงียบงัน “จะไปนั่งที่ป่าไผ่ด้านนอกหรือไม่ พวกเราพูดคุยกันสักหน่อย” มันครุ่นคิดแล้วกล่าวเสริมอีกประโยค “เหมือนเช่นเมื่อก่อน”
อินเสี่ยวเหยียนพยักหน้าเงียบๆ ความจริงลอบใจเต้นระรัว
คนทั้งสองก้าวออกจากโรงหย่างเจิ้งที่เต็มไปด้วยบรรยากาศหดหู่นั้น แต่ก็มิได้เดินไปส่วนลึกของป่าไผ่ เพียงแค่นั่งลงบนเก้าอี้หินตรงพื้นที่ว่างหน้าประตูหลัก อินเสี่ยวเหยียนอย่างไรก็เป็นสตรีของเจ้าสำนักเหยา ต่อให้กฎของสำนักอู่ตังเปิดกว้าง พวกมันก็ต้องหลบซ่อน
แสงแดดยามบ่ายของคิมหันต์ฤดูลอดผ่านช่องว่างของใบไม้ตกต้องบนร่างคนทั้งสอง ลมเย็นพัดมาจากนอกป่าเอื่อยๆ พวกมันดื่มด่ำความเงียบสงบนี้อย่างเงียบๆ ในใจกลับมีความโทมนัสเล็กน้อยราวกับได้เห็นวันเวลาเช่นนี้จะต้องดับสูญล่วงหน้า
โหวอิงจื้อได้กลิ่นผมของอินเสี่ยวเหยียนโชยมาตามลม อดมิได้ที่จะใจสั่นสมาธิเตลิด มันมีอารมณ์ชั่ววูบที่อยากจะดึงนางมาจูบทันที
เหมือนเช่นในวันนั้นที่เขาชิงเฉิง มันเคยจูบซ่งหลี
โหวอิงจื้อพลันนึกขึ้นได้อย่างชัดเจนว่ายามนั้นพลันจูบซ่งหลีเพื่ออะไร
ในวันนั้น หลังจากประกาศว่าเยียนเสี่ยวลิ่วได้รับคัดเลือกให้ลงเขาประลองกระบี่เพื่อจะได้กลายเป็นศิษย์สาวกสืบมรรคาสำนักชิงเฉิง
มันไม่ยอมรับมาโดยตลอด แต่เรื่องนี้กระจ่างชัดไร้เทียบเทียมในใจมันขณะนี้
ข้าทำเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองเหนือกว่าเสี่ยวลิ่ว มันคือสหายรักของข้า แต่ข้ามิอาจทนรับว่ามันแข็งแกร่งกว่าข้า
คิดถึงตรงนี้ ความปรารถนาที่ลุกโชนในทรวงอกแต่เดิมพลันเย็นลงชั่วขณะ เปลี่ยนเป็นความสับสน
เช่นนั้นตอนนี้ข้าอยากกอดอินเสี่ยวเหยียน ก็เป็นเพราะนางคือคนที่เหยาเหลียนโจวรักใช่หรือไม่ ความจริงข้าหาได้ชอบนางเพียงนั้นจริงไม่…
อินเสี่ยวเหยียนมิอาจรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในใจมัน ยังคงก้มศีรษะรอคอยมันเอ่ยปากกล่าวคำ แต่เนิ่นนานฝ่ายตรงข้ามยังคงนิ่งเงียบ นางสังเกตเห็นว่าผิดปกติเล็กน้อย
“โหวอิงจื้อ…” นางหันหน้าไปมองดูโหวอิงจื้อ กลับพบว่ามันหน้าตาเคร่งขรึม สีหน้าไม่ขวัญกล้าเหมือนขณะเชื้อเชิญนางออกมาเมื่อครู่สักนิด
โหวอิงจื้อมิได้มองดูดวงตาของนาง ฝ่ามือจับด้ามกระบี่ตรงข้างเอว ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้หิน
“ขออภัย ข้าลืมไป” โหวอิงจื้อเงยหน้าสูดลมหายใจยาวเฮือกหนึ่งจึงกล่าว “ข้าขึ้นเขาอู่ตังมามิใช่เพื่อเวลาสุขสบายเช่นนี้”
มันกล่าวจบก็สืบเท้าจากไป ทิ้งอินเสี่ยวเหยียนที่ผิดหวังให้นั่งตะลึงงันอยู่ที่เดิม ในใจนางเพียงแค่คิดว่า
พรุ่งนี้มันคงจะไม่มาอีกแล้ว…
อินเสี่ยวเหยียนนั่งหมองหม่นอยู่นอกโรงหย่างเจิ้งเนิ่นนาน กระทั่งได้ยินว่าบนเส้นทางเล็กๆ ด้านข้างมีเสียงฝีเท้าจึงได้สติกลับมา
ศิษย์สายพญางูผู้นั้นจงใจส่งเสียงเท้าออกมาเพื่อมิให้อินเสี่ยวเหยียนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดตกใจ…แม้ว่าด้วยวิชาตัวเบาของมันต่อให้ปีนขึ้นต้นไผ่บนศีรษะนางก็มิอาจสังเกตเห็น
“แม่นางอิน เจ้าสำนักเชิญท่านไป”
ขณะอินเสี่ยวเหยียนติดตามศิษย์ผู้นั้นกลับสู่อารามอวี้เจิน ในใจยังคงเต็มไปด้วยเงาร่างของโหวอิงจื้อ
ในขณะที่อินเสี่ยวเหยียนเหยียบเข้าตำหนักเจินเซียนกลับพบว่าเหยาเหลียนโจวกำลังพูดคุยกับนักพรตสองคน รู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง
เดิมทีมองเห็นนักพรตหาใช่เรื่องที่ควรค่าให้แปลกใจอันใดไม่…หากอยู่ในอารามเต๋าทั่วไป สำนักอู่ตังคืนสู่ฆราวาสนานหลายปีแล้ว ไม่มีศิษย์บำเพ็ญเต๋าสักคนเดียว นับตั้งแต่อินเสี่ยวเหยียนขึ้นอู่ตังมายิ่งไม่เคยเห็นนักพรตอารามอื่นบนเขามาเยี่ยม เพียงแค่พบพวกมันบางครั้งบนเส้นทางเขา
นักพรตสองคนนี้ที่เบื้องหน้ากลับมีการยกน้ำชา เห็นได้ชัดว่าเป็นอาคันตุกะของสำนักอู่ตัง
เฉินไต้ซิ่วศิษย์สายเต่าพิทักษ์เองก็คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง คล้ายเหยาเหลียนโจวกำลังปรึกษาหารือเรื่องราวบางอย่างกับพวกมัน อินเสี่ยวเหยียนยังสังเกตเห็นว่าเหยาเหลียนโจวค่อนข้างเคารพอาคันตุกะสองคนนี้อย่างพบเห็นได้ยาก
คนทั้งสองสวมเครื่องแบบนักพรตที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง บนหมวกพรตไม่มีสิ่งประดับใดๆ ทั้งหมดอายุสี่ห้าสิบปี รูปร่างซูบผอม แววตามีพลังแต่กลับไม่เฉียบคมเหมือนนักสู้อู่ตัง อากัปกิริยาคล้ายสุขุมกว่านักพรตทั่วไป
ยามนี้คนทั้งสี่ดูเหมือนคุยจบแล้วและต่างลุกขึ้นมาจากเบาะรอง เหยาเหลียนโจวประสานมือให้นักพรตทั้งสองพลางก้มศีรษะพอประมาณแสดงความเคารพ
“ขอบคุณ”
“หมายความว่าอันใด” นักพรตที่ดูเหมือนค่อนข้างอาวุโสกว่าเล็กน้อย บนปรางแก้มซ้ายมีไฝขนาดใหญ่เม็ดหนึ่งกล่าวแสดงมารยาทกลับคืน “พวกเราพี่น้องร่วมอุทร นี่เป็นเรื่องภายใน”
คนทั้งสามอำลาตามธรรมเนียม เฉินไต้ซิ่วนำอาคันตุกะจากไป ในขณะเดียวกันยังมีศิษย์อู่ตังนำสิ่งของมอบคืนให้นักพรตทั้งสอง อินเสี่ยวเหยียนมองเห็นก็ประหลาดใจอย่างมาก สิ่งของนั้นมิใช่อื่นใดกลับเป็นกระบี่ยาวสองเล่ม
…คนนอกสองคนนี้กลับพกอาวุธเข้ามาอารามอวี้เจินได้ อีกทั้งตรงเข้าตำหนักเจินเซียน
อินเสี่ยวเหยียนไม่รู้การยุทธ์ หาไม่นางยิ่งจะมองออกว่ารูปแบบกระบี่ของนักพรตทั้งสองใกล้เคียงกับกระบี่ยาวอู่ตังอย่างยิ่ง
หลังอาคันตุกะจากไป อินเสี่ยวเหยียนจึงออกมาจากหลังเสาของตำหนัก เหยาเหลียนโจวยังคงมองเงาหลังของนักพรตทั้งสองคล้ายหนักอกหนักใจ
“พวกมันคือ…” อินเสี่ยวเหยียนอดมิได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ
“แต่ก่อนเป็นคนสำนักอู่ตังตอนรุ่นอาจารย์ข้า” เหยาเหลียนโจวตอบ
นักพรตเหล่านี้คือสหายร่วมสำนักที่ออกไปอย่างไม่พอใจหลังกงซุนชิงคืนสู่ฆราวาสปฏิรูปสำนักอู่ตังในปีนั้น หลังถูกบีบออกไปก็อาศัยอยู่ที่อารามอวี้ซวี อารามเต๋าอีกแห่งหนึ่งบนเขาก่อน ต่อมาได้สร้างอาศรมอวิ๋นหลัว บำเพ็ญวิชาเต๋าสืบต่อและยังคงควบคู่ไปกับการฝึกวิชายุทธ์ลัทธิเต๋าดั้งเดิมของสำนักอู่ตัง เพียงแต่มิได้รุ่งเรืองเมื่อเทียบกับสำนักอู่ตัง บัดนี้เหลือเพียงสามสิบกว่าคน นักพรตสองคนเมื่อครู่ตามลำดับอาวุโสควรเป็นศิษย์พี่ของเหยาเหลียนโจว นักพรตผู้มีฉายาทางธรรมว่าหลิงหมิงจื่อที่ใบหน้ามีไฝใหญ่ผู้นั้นคือนักพรตเจ้าสำนักคนปัจจุบันของอาศรมอวิ๋นหลัว
แต่ก่อนอินเสี่ยวเหยียนเองก็เคยได้ยินเหยาเหลียนโจวบอกเล่าอดีตของอู่ตัง “ข้าจำได้ท่านเคยบอกว่ายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาอู่ตังล้วนมิได้ไปมาหาสู่กับสหายร่วมสำนักเก่าเหล่านี้อีก เหตุใด…”
เหยาเหลียนโจวยามนี้จึงมองอินเสี่ยวเหยียนและจูงมือนางขึ้นมาเหมือนจะกล่าวเรื่องราวที่ยากจะเอ่ยปากเรื่องหนึ่ง
อินเสี่ยวเหยียนเติบโตที่หอนางโลม มิใช่คนโง่ที่ไร้ความคิด เมื่อเรียงร้อยเรื่องราวเข้าด้วยกันก็เข้าใจทันที
“ท่านจะส่งข้าไป”
“มิใช่เพียงเจ้า” เหยาเหลียนโจวกล่าว “ยังมีสตรี เด็ก และสหายร่วมสำนักที่มิอาจต่อสู้ของสำนักอู่ตัง นักพรตอาศรมอวิ๋นหลัวเห็นแก่ความเป็นสหายร่วมสำนักในวันวานรับปากรับพวกเจ้าไว้แล้ว เรือนของพวกมันสร้างอยู่บนที่สูงยิ่งกว่า กองทัพของราชสำนักบุกขึ้นไปไม่ง่าย พวกเจ้าจะอยู่อย่างสงบสุขชั่วคราวได้”
สำนักอู่ตังล่วงเกินราชสำนัก อารามเต๋าอื่นๆ บนเขาเดิมมิได้มีไมตรีอะไรกับสำนักอู่ตัง ยิ่งรู้สึกไม่พอใจต่อหายนะที่พวกมันก่อขึ้นมา ซ้ำยังได้รับความเดือดร้อนเพราะกองทัพปิดกั้นเส้นทาง ย่อมไม่มีทางช่วยเหลือและรับญาติพี่น้องของอู่ตัง เหยาเหลียนโจวจำต้องขอความช่วยเหลือไปยังอดีตสหายร่วมสำนักอู่ตังเหล่านี้
“พวกเจ้าจะไปพรุ่งนี้” เหยาเหลียนโจวกล่าวอีก “ข้าให้คนกำชับป้าอวิ๋นจัดการให้เจ้าแล้ว”
อินเสี่ยวเหยียนฟัง ความหนาวเย็นวูบหนึ่งผุดขึ้นมาจากแผ่นหลังจนอดมิได้ที่จะสั่นเล็กน้อย เหยาเหลียนโจวจะส่งคนที่มิอาจต่อสู้ไปหลบก่อนย่อมมีเพียงเหตุผลข้อเดียว
กองพลนักสู้ของสำนักอู่ตังต้องอยู่เฝ้าอารามอวี้เจิน ตัดสินด้วยชีวิตกับค่ายพลเสินจี
“เพราะเหตุใด…” อินเสี่ยวเหยียนไม่เคยก้าวก่ายกิจของอู่ตังที่เหยาเหลียนโจวดูแล แต่ขณะนี้อดมิได้อีกแล้ว ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะล้มทรุด ใช้น้ำเสียงวิงวอนถาม “เพราะเหตุใดจึงไม่ไปด้วยกัน”
แม้กระทั่งอินเสี่ยวเหยียนที่ไม่รู้การทหารก็เข้าใจว่าสิ่งที่ยากที่สุดของค่ายพลเสินจีคือการบุกโจมตีขึ้นเขา ถ้าหากสำนักอู่ตังละทิ้งอารามอวี้เจินขึ้นที่สูงหลีกเลี่ยงการปะทะกับพวกมันชั่วคราว ราชองครักษ์ก็ยากที่จะปราบปราม ภายใต้การยืดระยะเวลา ต้องมีสักวันที่ล่าถอย ยามนั้นอู่ตังเท่ากับขับไล่ศัตรูโดยไม่ต้องรบ ต่อให้ราชองครักษ์ไล่โจมตีจริงๆ ภายใต้สถานการณ์ที่แย่ที่สุดศิษย์อู่ตังก็ยังขึ้นเขาลงห้วยได้ หลังหนีออกจากเขตเขาอู่ตังค่อยรวมตัวกันวางแผนใหม่อีกครั้ง
หากนี่เป็นเพียงสงครามที่สองทัพปะทะกัน ภายใต้ความแตกต่างด้านกำลังทหารนี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่ความหมายของศึกนี้หาได้หยุดเพียงเท่านี้ไม่ แต่เป็นความทะนงกับหลักการที่เกี่ยวพันกับสำนักอู่ตัง
‘รอดตาย’ หาใช่ศรัทธาในชีวิตของสำนักอู่ตังไม่ หากเพียงเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ อย่างสงบสุขพวกมันก็ไม่มีความจำเป็นต้องเดินบนเส้นทางที่หฤโหดเช่นนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม
ตั้งแต่รบพุ่งกับราชองครักษ์มา เหยาเหลียนโจวขอความเห็นจากซือซิงเฮ่าและเยี่ยเฉินยวนรองเจ้าสำนักทั้งสองเป็นประจำ…ในความเป็นจริงก็เป็นความเห็นจากผู้อาวุโสของมันเช่นกัน มีเพียงการตัดสินใจนี้ที่มันตัดสินใจได้ลำพัง
…คำสั่งที่บัญชายากที่สุดก็ควรให้ข้ารับหน้าที่คนเดียว
ยามมันบอกการตัดสินใจนี้กับซือซิงเฮ่าและเยี่ยเฉินยวน พวกมันมิได้แสดงสีหน้าผิดคาดใดๆออกมา ราวกับรอเหยาเหลียนโจวกล่าวคำพูดประโยคนี้มาโดยตลอด เยี่ยเฉินยวนรีบหาภาพลักษณะพื้นที่นอกในของอารามอวี้เจินมาจากห้องลับที่เก็บเอกสารของตำหนักเจินเซียน เตรียมวางแผนรับการโจมตี ซือซิงเฮ่าหยิบพู่กันเขียนจดหมายฉบับหนึ่งทันทีแล้วกำชับให้เฉินไต้ซิ่วนำไปเยี่ยมเยือนอาศรมอวิ๋นหลัว
“ข้ามีเพียงทางเลือกนี้” เหยาเหลียนโจวกล่าวต่ออินเสี่ยวเหยียน “รักษาสำนักอู่ตังในวันนี้เอาไว้คือนามธรรมที่ไม่จำนนต่อผู้ใด เผชิญหน้ากับศัตรูแต่เลือกหนีตายอาจอยู่รอดได้ก็จริง แต่วันหน้ารวมพลกันอีกครั้งพวกเราก็มิใช่ฝูงหมาป่าอีกต่อไปทว่าเป็นเพียงสุนัขจรจัดไม่กี่ตัว ไม่อาจไล่ตามปณิธานใต้หล้าไร้เทียมทานสืบต่อเป็นอันขาด ข้าเป็นเจ้าสำนักอู่ตังไม่อาจเลือกทางสายนี้”
ขณะกล่าวแม้แต่ฝ่ามือของเหยาเหลียนโจวก็ร้อนผ่าว แต่กลับมิอาจทำให้มือของอินเสี่ยวเหยียนที่จับอยู่อุ่นขึ้นมา มันยังคงแข็งทื่อและเย็นเฉียบ
“ข้าไม่เข้าใจ…ท่านเป็นเจ้าสำนัก มิใช่สมควรขบคิดเพื่อศิษย์หรือ ท่านทำเช่นนี้ไยมิใช่นำพวกมัน…เดินบนทางที่มิอาจหวนกลับ”
ไม่ว่าจะแพ้ชนะ ศิษย์อู่ตังมากมายล้วนจะตายไปเพราะการตัดสินใจนี้ของมัน…เหยาเหลียนโจวกระจ่างในเรื่องนี้อย่างยิ่งและไม่เคยมีความคิดเรื่องโชคช่วยแต่อย่างใด
ทว่าเหยาเหลียนโจวมีความมั่นใจอันใหญ่ยิ่งว่าพวกมันจะกระทำตามโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย รับรู้ได้จากบรรยากาศของเดือนที่ผ่านมานี้ ศิษย์อู่ตังรับศึกค่ายพลเสินจีมีเพียงความตื่นเต้น ไม่มีผู้ใดกลัวหัวหดไม่บุกไปข้างหน้า
เหยาเหลียนโจวที่เป็นแบบอย่างอู่ตังย่อมเข้าใจความคิดของพวกมัน
“พัวพันกับราชสำนักแม้มิใช่ความตั้งใจเดิมของพวกเรา แต่ฝ่ายตรงข้ามมาเยือนถึงประตูพวกเราก็จะไม่ถอยร่น แต่ไรมาไม่เคยมีสักสำนักในยุทธภพเอาชนะศัตรูขนาดเท่านี้ได้ เกียรติยศนี้จะสูงกว่าไร้เทียมทานในยุทธภพ ศึกนี้พวกเราจะถูกบันทึกบนหน้าประวัติศาสตร์”
“ข้าไม่เข้าใจ!” อินเสี่ยวเหยียนส่ายหน้า เบ้าตามีน้ำตาแห่งความร้อนใจแล้ว “ศัตรูคือจักรพรรดินะ…ทั่วทั้งแผ่นดินล้วนเป็นของพระองค์! ชนะศึกนี้ได้พระองค์จะไม่ส่งกองทัพมามากยิ่งขึ้นหรือ”
“ซือซิงเฮ่าเคยพบจักรพรรดิที่เมืองหลวงจึงรู้นิสัยของมันดี” เหยาเหลียนโจวอธิบาย “มันคือคนที่ชมชอบเพียงผู้แข็งแกร่ง หากศึกนี้พวกเราสร้างความเสียหายให้ค่ายพลเสินจีได้จะต้องสะเทือนราชสำนักเป็นแน่และจะทำให้มันชื่นชม ยามนั้นซือซิงเฮ่าจะเข้าเมืองหลวงตามลำพังอีกครั้ง แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าสำนักอู่ตังเรามิอาจรับประกาศิตนักสู้หลวง แถลงกับราชสำนักอีกครั้งว่าต้องการเพียงต่างคนต่างอยู่ ซือซิงเฮ่าเคยบอกว่าเป็นไปได้เจ็ดส่วนที่จะเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิสำเร็จ”
“หากยังไม่สำเร็จล่ะก็…ก็ไม่เป็นไร พวกเราจะสู้ต่อไป”
คำพูดอาจหาญของเหยาเหลียนโจวกลับมิอาจโน้มน้าวอินเสี่ยวเหยียนได้สักนิด นางหวนนึกถึงฉากที่เคียงข้างมันซึ่งถูกพิษและใช้กระบี่เล่มเดียวต่อต้านเหล่าผู้กล้าในห้องอันมืดสลัวของหออิ๋งฮวาที่ซีอานในวันนั้น ความอาจหาญของนางยามนั้น ยังมีความอบอุ่นจากความห่วงใยที่มีให้นางท่ามกลางภยันตรายทำให้นางหลงรักมากยิ่งขึ้น
บัดนี้สิ่งที่เหยาเหลียนโจวเผชิญหน้าคือความลำบากที่ยากลำเค็ญยิ่งกว่านั้นสิบเท่า แต่อินเสี่ยวเหยียนกลับมิอาจชื่นชมความองอาจของมันได้อีก นางมิอาจเข้าใจทางเลือกของมันได้อย่างสิ้นเชิง
“ข้า…ข้าไม่รู้…”
เหยาเหลียนโจวมองใบหน้าของนาง แม้มันไม่รู้จักเอาอกเอาใจคนแต่ก็มิใช่คนทึ่มทื่อ พักนี้มันสังเกตเห็นแล้วว่าระหว่างตนเองกับอินเสี่ยวเหยียนมีความไม่เข้าใจที่มิอาจเอื้อนเอ่ย แต่ในเวลาเช่นนี้มันกลับมิอาจแบ่งใจไปแก้ไข ขณะนี้มันได้แต่กุมมือของนางให้แน่นกว่าเดิม
“ขออภัย” สามพยางค์นี้เหยาเหลียนโจวคงกล่าวกับคนเพียงผู้เดียวในแผ่นดิน “เมื่อครู่ข้าบอกว่าเป็นเจ้าสำนักอู่ตังมีเพียงทางเลือกนี้ แต่เจ้าเป็นสตรีของเจ้าสำนักอู่ตังก็มีเพียงรับการตัดสินใจนี้ของข้า”
อินเสี่ยวเหยียนหลุบตาลงพลางหลั่งน้ำตาพยักหน้า
อันที่จริงนี่คือเรื่องราวที่นางต้องยอมรับตั้งแต่แรกเริ่ม
…แต่ว่าข้ากำลังเริ่มเสียใจแล้วหรือ
เหยาเหลียนโจวมิได้รับรู้ถึงความว้าวุ่นในใจของนาง เพียงแค่ดึงนางเข้ามาจุมพิตในอ้อมอกเบาๆ คนทั้งสองกอดกันภายใต้รูปปั้นเทพเจินอู่ชุบทองอันน่าเกรงขามนั้น
“ตกลง พรุ่งนี้ข้าจะไป” ใบหน้าของอินเสี่ยวเหยียนแนบบนทรวงอกมันกล่าว “ท่านวางใจ ครอบครัวเหล่านั้นข้าจะนำไปอยู่บนเขาอย่างปลอดภัย”
แขนอันแข็งแรงทั้งสองของเหยาเหลียนโจวโอบกอดนางไว้ หวังจะปลอบประโลมใจนางให้ได้มากที่สุดในเวลาอันแสนสั้นนี้
“ข้าจะชนะเหมือนเช่นทุกคราว จากนั้นจะมาพบหน้าเจ้าโดยเร็ว”
อินเสี่ยวเหยียนส่งเสียง ‘อืม’ ในอ้อมอกมัน
แต่เหยาเหลียนโจวไม่อาจรู้ว่าขณะนี้สิ่งที่อินเสี่ยวเหยียนกังวลคือความปลอดภัยของบุรุษอีกคนหนึ่ง
ติดตามต่อได้ในหนังสือ เพลงกลอนคลั่งยุทธ์เล่ม 13 ฉบับเต็ม