• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 17 บทที่ 1

    บทที่ 1

    พันธนาการ

     

    บนหินผาที่สูงที่สุดของเนินเขา เยียนเหิงนั่งขัดสมาธิเงยหน้ายิ้มน้อยๆ ชมดูเมฆคล้อยที่ลอยผ่านไปอย่างช้าๆ กลางท้องฟ้าอันสดใสเหมือนเช่นเด็กน้อย มันค่อยๆ ยื่นมือขึ้นไปโดยไม่รู้ตัวราวกับคิดจะสัมผัสปุยเมฆนั้น

    เยียนเหิงย่อมรู้ว่าเอื้อมไม่ถึง แต่มันมิอาจระงับความปรารถนาที่จะลิ้มลอง ดวงตาที่มองดูเมฆของมันเปล่งประกายจริงใจไร้เดียงสา

    ไม่แน่ว่า…ข้าอาจสัมผัสท้องฟ้าได้จริง…

    ความคิดนี้ทำให้รอยยิ้มของมันคลี่จนเจิดจ้าเหมือนเด็กน้อยยิ่งขึ้น ในอดีตเยียนเหิงไม่เคยยิ้มเช่นนี้

    แม้แต่ตอนที่อยู่เขาชิงเฉิงขณะได้รับการถ่ายทอดคุณสมบัติของศิษย์สาวกสืบมรรคาจากอาจารย์

    เพราะวันเวลาเหล่านั้นมันคิดเพียงจะบรรลุความปรารถนาของผู้อื่นเช่นไร เดินอย่างไรจึงไม่ทำผิดหรือถอยหลัง จะแบกรับสิ่งที่อยู่บนไหล่ตนเองอีกทั้งยืนหยัดต่อไปอย่างไร

    เยียนเหิงในวันนี้กลับไม่ต้องคิดสิ่งเหล่านี้อีกแล้ว

    มันวางมือลง ก้มหน้ามองดูกลางฝ่ามือของตนเอง

    ในมือว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด

    แต่ก็แสดงถึงคว้าทุกสิ่งเอาไว้ได้

    ปุยเมฆบนฟ้าเลื่อนลอยผันเปลี่ยน ลมวสันต์หอบหนึ่งพัดมาต้องใบหน้าของเยียนเหิง ปัดเป่าเม็ดเหงื่อบนหน้าผากของมัน

    บนพื้นดินสองข้างของมันปักไว้ด้วยกระบี่เหล็กทื่อสั้นยาวที่ใช้ฝึกซ้อมสองเล่ม ผ้าพันด้ามกระบี่เต็มไปด้วยเหงื่อ

    กระบี่ยาวไหวเอนไปมาเล็กน้อยตามลม ราวกับกำลังเต้นระบำด้นสดชุดหนึ่ง

    เยียนเหิงรู้สึกเพียงทุกสิ่งรอบกายล้วนสมบูรณ์แบบ

    มันหยิบถุงหนังที่วางอยู่ข้างกาย ล้วงกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำออกมา ดึงจุกออกดื่มหลายอึก ค่อยหยิบผ้าสีครามปักรูปนกบินออกมาเช็ดหน้าซับเหงื่อ

    ในถุงหนังยังมีของอีกชิ้นหนึ่ง เยียนเหิงลูบคลำ อดมิได้ที่จะล้วงออกมาดูอีก

    มันคือคัมภีร์ซี่ไม้แผ่นหนึ่งกว้างประมาณสี่นิ้วมือ ยาวประมาณสองฝ่ามือ ด้านบนแกะสลักถี่แน่นไปด้วยตัวอักษรเล็กๆ แวบมองคิดว่าเป็นตำราเก่าแก่ แต่เมื่อมองดูอย่างละเอียดจะพบว่าเป็นสิ่งที่สลักขึ้นใหม่ ไม้สีอ่อนที่ใช้แข็งแรงทนทานอย่างยิ่ง ดูเหมือนค่อนข้างเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยาก ฝีมือสลักอักษรบนไม้ประณีต และลงสีดำทำให้ตัวอักษรเข้มชัด

    คัมภีร์ซี่ไม้นี้ทั้งชุดมีสิบเจ็ดแผ่น นอกจากแผ่นนี้ที่เหลือล้วนเก็บอยู่ในห้องของเยียนเหิง เนื้อหาที่แกะสลักบนคัมภีร์ซี่ไม้ ความจริงเยียนเหิงจดจำได้แล้วทั้งหมด เพียงแต่มันมักชอบหยิบติดไว้ข้างกายแผ่นหนึ่ง เหมือนเช่นยันต์กันกายที่ช่วยสงบจิตใจได้

    เยียนเหิงรับศึกชะตากรรมจวนผู้ตรวจการเจียงซีใต้เมื่อครึ่งปีก่อน สามเดือนหลังจากนั้นคัมภีร์ซี่ไม้ชุดนี้ก็ถูกส่งมาที่จวนว่าการของหวังโส่วเหรินโดยชายหนุ่มสูงใหญ่พูดน้อยผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นคล้ายไม่รู้จักกล่าวคำ มันเพียงแสดงจดหมายฉบับหนึ่ง ระบุว่าต้องมอบคัมภีร์ซี่ไม้ให้เยียนเหิง หรือให้ใต้เท้าหวังรับแทนด้วยตัวเอง

    ชายหนุ่มผู้นั้นถึงตายก็ไม่ยอมฝากกล่องบรรจุคัมภีร์ซี่ไม้เอาไว้ หรือให้คนของทางการส่งต่อ มันยืนกรานว่าทำได้เพียงมอบให้หนึ่งในคนทั้งสองเองกับมือ เยียนเหิงยังคงอยู่ในสถานะนักโทษตามหมายจับของราชสำนัก เจ้าหน้าที่ติดตามของจวนว่าการไม่อาจยอมรับว่ามีความเกี่ยวข้องอันใดกับมันเป็นอันขาด พวกมันกลัวว่านี่คืออุบายที่ศัตรูทางการเมืองใส่ร้ายใต้เท้าหวัง ไม่รู้ควรจัดการเช่นไร

    ผลสุดท้ายยังคงให้เมิ่งชีเหอแจ้งเยียนเหิงมารับ พวกมันนำชายหนุ่มผู้นั้นไปที่ทุ่งกว้างนอกเมืองกั้นโจว รอคอยเยียนเหิงในความมืดมนอนธการปราศจากผู้คนเพื่อหลีกเลี่ยงการสะกดรอยจับตามอง

    คืนนั้นเยียนเหิงมากับเลี่ยนเฟยหงที่ประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชน เยียนเหิงเห็นอามู่ชายหนุ่มผู้นั้นก็รู้สึกว่าดูไม่น่ามีอันตราย แต่มันไม่ลืมศึกพรรคหม่าไผที่เฉิงตู หรือบทเรียนต่อต้านกลุ่มศิษย์จอมเวทที่ยังตราตรึง ณ อำเภอหลูหลิง มันกระทำทุกอย่างตามวาจาของเลี่ยนเฟยหง หลังรับกล่องไม้มาก็หาได้เปิดออกทันทีไม่ แต่มอบให้เลี่ยนเฟยหงตรวจสอบโดยละเอียดก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดตั้งกลไกลอบทำร้ายอันใด

    เมื่อเลี่ยนเฟยหงเปิดกล่องออกและจุดโคมไฟให้แสงสว่าง พวกมันก็มองเห็นว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในคือสิ่งใด

    เลี่ยนเฟยหงกลับยังคงรอบคอบอย่างยิ่ง มันใช้มือที่ห่อหุ้มด้วยแถบผ้าหนาหยิบคัมภีร์ซี่ไม้ในกล่องออกมาตรวจสอบอย่างละเอียดว่ามีวัตถุประหลาดเช่นผงพิษเคลือบอยู่หรือไม่

    ดวงตาของเยียนเหิงกลับถูกตัวอักษรที่สลักบนคัมภีร์ซี่ไม้ดึงดูด แผ่นแรกที่ถืออยู่ในมือเลี่ยนเฟยหงพาดหัวด้านบนเขียนสลักไว้ดังนี้

     

    ‘พยัคฆ์มังกรรวมตัว ผู้เมียเกื้อหนุน ยาวตั้งสั้นขวาง คล้อยทวนอิสระ…’

     

    ในความมืดมนอนธการ เยียนเหิงได้ยินหัวใจของตนเองเต้นรัวเสมือนตีกลอง มันยื่นมือชิงคัมภีร์ซี่ไม้แผ่นนั้นมาลูบอักษรพลางมองดูอย่างละเอียดทีละตัว ยิ่งดูยิ่งตื้นตัน ปลายนิ้วสั่นไหว คนอื่นเห็นแล้วไม่รู้สาเหตุ

    แสงไฟส่องสะท้อนน้ำตาที่เอ่อเบ้าตาของมัน ปลายนิ้วของมันกดเข้าในรอยสลักของตัวอักษรลึกๆ เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองมองเห็นหาใช่ภาพมายาไม่…

    บัดนี้เยียนเหิงก็กำลังลูบไล้อักษรสลักบนคัมภีร์ซี่ไม้เบาๆ ภายใต้แสงแดด โดยไม่มีความตื้นตันเช่นคืนนั้นอีก

    คัมภีร์ซี่ไม้ชุดนี้แกะสลักตามลายอักษรที่คนผู้หนึ่งคัดลอกมา แม้ผ่านการเลียนแบบด้วยมือของนายช่าง แต่รูปแบบขีดก็เปลี่ยนไปไม่เท่าใด เยียนเหิงมองออกในแวบเดียวว่านี่คือลายมือของใคร อย่างไรมันก็เติบโตมาด้วยกันกับคนผู้นั้น ฝึกฝนเล่าเรียนเขียนอักษรด้วยกันมานานปี

    แต่ก่อนเยียนเหิงสงสัยมาตลอดว่าโหวอิงจื้อรู้จักกระบวนท่าของเพลงกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียมากมายจากที่ใด หลังได้รับคัมภีร์ซี่ไม้เหล่านี้มันก็กระจ่างโดยพลัน

    เช่นนั้นโหวอิงจื้อได้เคล็ดกระบี่อันล้ำค่าส่วนนี้มาเช่นไรกัน เยียนเหิงทบทวนและคาดเดาว่าหลังอู่ตังบุกโจมตีสำนักชิงเฉิง ต้องเคยตรวจค้นสิ่งที่เก็บซ่อนต่างๆ ในเรือนเสวียนเหมินเป็นแน่ โดยเฉพาะโถงกุยหยวนสถานที่สำคัญสำหรับฝึกยุทธ์ของศิษย์สาวกสืบมรรคา หากพวกมันจะพบเคล็ดกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียจากในนั้นก็หาใช่เรื่องแปลกไม่

    ในกล่องไม้ที่เยียนเหิงได้รับนอกจากคัมภีร์ซี่ไม้คัดลอกเคล็ดกระบี่สิบเจ็ดแผ่นนี้แล้ว ส่วนลึกที่สุดยังมีสมุดบางเล็กๆ เล่มหนึ่ง เมื่อเปิดออกมาจึงเห็นว่าเขียนเต็มไปด้วยตัวอักษรขนาดเล็ก เป็นลายพู่กันของโหวอิงจื้อเช่นเดียวกัน สิ่งที่เขียนด้านในทั้งหมดคือประสบการณ์การอ่านเคล็ดกระบี่ของโหวอิงจื้อ รวมถึงการหยั่งคาดส่วนที่ยังคงไม่กระจ่างแจ้งจำนวนหนึ่ง

    เรื่องที่เคล็ดกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียถูกเก็บเป็นความลับทั้งหมดใช้รหัสลับเขียนขึ้น ตัวเลขในนั้นคือรหัสของเพลงกระบี่และกระบวนท่าเก้าชุดแรกของสำนักชิงเฉิง คนนอกที่ไม่เคยเรียนกระบี่ชิงเฉิงมิอาจเข้าใจได้อย่างสิ้นเชิง

    หลายปีนี้ความคิดอ่านทั้งหมดของเยียนเหิงล้วนอยู่กับการศึกษาค้นคว้าและฟื้นฟูเพลงกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมีย สั่งสมประสบการณ์มากมายไว้นานแล้ว กอปรกับการต่อสู้กับโหวอิงจื้อที่กั้นโจวครานั้นยังได้เรียนรู้กระบวนท่าไม่น้อย หากมันอาศัยเพียงทำความเข้าใจด้วยตัวเองจากบทคัดลอกเคล็ดกระบี่ เดิมทีก็ไม่ลำบาก บัดนี้มีการชี้นำจากบันทึกเล่มนี้ของโหวอิงจื้อก็ยิ่งได้ผลเร็วขึ้น

    โลกใหม่ของมรรคากระบี่ชิงเฉิงพลันเปิดออกเบื้องหน้าเยียนเหิง

    แน่นอนว่ามันหาได้ฝึกปรือตามการชี้นำของโหวอิงจื้ออย่างถอดแบบไม่ แต่ครุ่นคิดและพิสูจน์ด้วยตัวเองจนมองออกถึงแนวทางในเพลงกระบี่โหวอิงจื้อ เยียนเหิงคาดคิดว่านั่นเป็นเพราะโหวอิงจื้อยึดติดว่าต้องนำเอาประสบการณ์ของกระบี่อู่ตังที่เรียนผสานเข้ากับกระบี่พยัคฆ์มังกรเพื่อ ‘เสริมความแข็งแกร่ง’ มากเกินไป ซึ่งนั่นกลับฝ่าฝืนหลักการกระบี่ที่มีอยู่

    เพียงแต่โหวอิงจื้อเองก็มีความคิดริเริ่มและประสบการณ์อยู่บ้าง ทำให้เยียนเหิงอดมิได้ที่จะตบโต๊ะร้องประเสริฐ กระตุ้นให้มันพิจารณาข้อด้อยที่ผ่านมาของตนเองที่จมปลักมากเกินไปและไม่กล้าทดลอง

    เสี่ยวอิงได้เคล็ดกระบี่ อ่านมากกว่าข้า แต่กลับพ่ายให้ข้า…ข้าควรต้องมั่นใจในมรรคากระบี่ของตนเองมากขึ้น

    เป็นกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียของข้า

    เมื่อเยียนเหิงอ่านเคล็ดกระบี่และบันทึกก็ราวกับได้เห็นวันเวลาที่โหวอิงจื้อดิ้นรนขณะอยู่สำนักอู่ตัง และเหมือนได้สหายเก่าผู้นี้ฝึกกระบี่เป็นเพื่อนตนเองอีกครั้ง มันมักหวนนึกถึงวันเวลาที่เคยฝึกฝนและค้นคว้าหลักการกระบี่ด้วยกันที่เขาชิงเฉิงอยู่เนืองๆ ในหัวใจเปี่ยมด้วยความอบอุ่นและคิดถึง

    เคล็ดกระบี่นี้ส่งถึงมือเยียนเหิงในช่วงเวลาที่ดีที่สุด สำนักอู่ตังไม่ดำรงอยู่นานแล้ว หลังหกกระบี่บ้านแตกช่วยฮั่วเหยาฮวาออกมาสำเร็จ ชีวิตก็สงบลงชั่วคราว เยียนเหิงพยายามครุ่นคิดว่าต่อไปจะเดินอย่างไร แต่กลับเหมือนไม่มีทิศทางแม้แต่น้อย เป้าหมายที่เป็นรูปเป็นร่างที่สุดเดิมทีคือฟื้นฟูสำนักชิงเฉิง แต่เยียนเหิงยังคงถูกราชสำนักออกหมายจับ จะฟื้นฟูชื่อเสียงของสำนักชิงเฉิงอย่างเปิดเผยนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง อนึ่งยิ่งต้องมีวิทยายุทธ์และความสำเร็จค้ำชูสำนัก เยียนเหิงก็รู้ตัวว่ายังมีความสามารถไม่พอ เรื่องราวที่ปรารถนาที่สุดและสมควรทำที่สุดกลับทำมิได้ ในตอนนั้นเยียนเหิงตกอยู่ในห้วงความทุกข์อันลึกล้ำ

    การได้รับเคล็ดกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมีย สำหรับเยียนเหิงก็เหมือนเช่นคว้าเชือกที่แข็งแรงเส้นหนึ่งได้ในบ่อโคลน บันทึกเล่มนั้นของโหวอิงจื้อยิ่งทำให้มันรู้สึกว่าตนเองหาได้อยู่ลำพังคนเดียวบนเส้นทาง ‘ฟื้นฟูชิงเฉิง’

    เยียนเหิงลูบคัมภีร์ซี่ไม้พลางคิดในใจว่าโหวอิงจื้ออยู่ที่แห่งใดกันแน่ ใช้ชีวิตอย่างไร นอกจากเคล็ดกระบี่และบันทึกประสบการณ์แล้ว ในกล่องไม้ไร้ซึ่งข้อความของโหวอิงจื้อ แต่เยียนเหิงกลับรู้ว่าของขวัญที่สำคัญชิ้นนี้แสดงถึงอะไรบ้าง

    เสี่ยวอิงคิดได้แล้ว

    มันต้องตาม ‘คนที่สำคัญอย่างมากผู้นั้น’ กลับมาได้แล้วเป็นแน่

    ความก้าวกระโดดบนวิชากระบี่ในครึ่งปีนี้ย่อมทำให้เยียนเหิงสุขสันต์ แต่ได้รู้ว่าสหายเก่าพบความสุขใจแล้วก็ทำให้มันปลื้มใจเช่นกัน

    เรื่องราวของโหวอิงจื้อให้คติมันว่า…

    อย่าถูกอดีตหรืออนาคตกดดันจนมิอาจหายใจ มีชีวิตอยู่กับทุกขณะในปัจจุบัน

    นี่สอดคล้องกับประสบการณ์การฝึกปรือก้นหอยภูผาเมื่อหนึ่งปีก่อน มันยึดติดกับกระบี่เกินไปจึงกลายเป็นทาสรับใช้กระบี่ เมื่อละทิ้งกระบี่จึงเข้าใจว่า ‘การใช้กระบี่’ ที่แท้จริงเป็นเช่นไร

    เยียนเหิงในตอนนี้เสพสุขกับทุกช่วงเวลาที่ฝึกกระบี่ ชื่นชมต่อความลี้ลับของหลักการกระบี่ทั้งหมด เห็นทุกอุปสรรคที่มิอาจแก้เป็นความสนุกสนาน

    ในที่สุดมันจึงเข้าใจว่าเหตุใดเหอจื้อเซิ่งผู้เป็นอาจารย์จึงเผยสีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะกินอาหารอร่อยทุกครั้งตอนที่ฝึกยุทธ์ รวมถึงตอนตัดสินกับเยี่ยเฉินยวน

    เมื่อได้ครอบครอง ‘กระบี่ของตนเอง’ ก็จะเป็นเช่นนี้

    ยามนี้ที่ไกลด้านหลังมันถ่ายทอดเสียงฝีเท้าเหยียบพื้นหญ้า เยียนเหิงเพิ่งฝึกกระบี่เสร็จไม่นาน ประสาทสัมผัสยังคงไวยิ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็รับรู้ได้ อีกทั้งจำแนกได้ว่าเป็นใคร

    มันยิ้มอย่างสบายใจและนั่งอยู่ไม่ขยับ ลูบไล้คัมภีร์ซี่ไม้แผ่นนั้นสืบต่อ

    ถงจิ้งนั่งลงข้างกายมันเบาๆ พิงไหล่ของมันเอาไว้

     

    คืนหนึ่งเมื่อสิบกว่าวันก่อน ถงจิ้งฝันถึงความทรงจำหนึ่ง

    นางกลับสู่ตอนที่ตนเองอายุเพียงหกปี

    ในปีนั้นพรรคหมินเจียงที่ถงป๋อสยงบิดานางสร้างขึ้น ยังมิได้ครองอำนาจการขนส่งทางแม่น้ำมณฑลซื่อชวน ยังคงแย่งชิงผลประโยชน์ท่าเรือใหญ่หลายแห่งของเฉิงตู

    ในความฝัน ถงจิ้งตัวน้อยๆ นั่งอยู่ในคลังสินค้าแห่งหนึ่งของสาขาใหญ่พรรคหม่าไผ มองดูบิดากับมือดีด้านต่อยตีในพรรคกำลังสวมใส่และจัดระเบียบเกราะป้องกันที่สร้างขึ้นจากแผ่นไม้ไผ่ แบ่งสันมีดดาบและทวนไม้ไผ่ระยิบระยับ เตรียมรับการปะทะเพื่อตัดสินว่าผู้ใดจะได้ครองอำนาจพื้นที่เฉิงตู

    นางถลึงดวงตากลมโตมองบิดากับบุรุษเหล่านั้น แทบจะไม่มีคนพูดคุยกัน บนร่างทุกคนแผ่กลิ่นอายชนิดหนึ่ง…กลิ่นอายนั้นมิใช่สิ่งที่ถงจิ้งในวัยเยาว์จะเข้าใจได้ นางรู้เพียงเมื่อได้กลิ่นมัน หัวใจดวงน้อยๆ ของตนเองก็เต้นเร็วขึ้น

    ถงป๋อสยงผู้เป็นบิดาพลันเงยหน้ามองมายังนาง นั่นหาใช่ใบหน้าอบอุ่นที่ถงจิ้งคุ้นเคยยามปกติไม่ มันคือความหนาวเย็นที่ร้อนผ่าว ดวงตาของบิดาคล้ายกำลังมองดูนางอยู่ แต่ก็เหมือนเพียงมองดูกำแพงด้านหลังนาง ไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่ก็คล้ายจะปะทุได้ทุกเมื่อ

    ถงจิ้งในวัยหกปีอาศัยสัญชาตญาณโดยกำเนิด รู้สึกได้ว่าบิดากับบุรุษเหล่านั้นปรากฏความงดงามประหลาดในช่วงเวลาที่ต้องสู้ตายนี้

    นางอยากเป็นคนหนึ่งในพวกมันอย่างมาก

    นางมองตามพวกมันเดินออกประตูคลังสินค้าที่ป้องกันอย่างเข้มงวด…

    ถงจิ้งฝันถึงตรงนี้ก็ตื่นขึ้น ผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง มิอาจหลับลงได้อีก

    นางหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่คิดไปเองว่าลืมไปนานแล้วในความมืด จากนั้นนางแน่ใจแล้วว่า

    ข้าปรารถนาเรียนรู้การต่อสู้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

    ผ่านรุ่งเช้าวันถัดมาจากความฝันนั้น ถงจิ้งก็เรียนยุทธ์กับเลี่ยนเฟยหงสืบต่อ

    เลี่ยนเฟยหงมีประสบการณ์สั่งสอนศิษย์หญิงอย่างสิงอิงมาก่อนแล้ว กอปรกับอยู่ร่วมกันมาหลายปีจึงเข้าใจอุปนิสัยของถงจิ้งอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้มันหาได้ยัดเยียดนำแปดมหาเลิศสำนักคงถงให้นางเรียนทั้งหมด แต่เลือกถ่ายทอดสิ่งที่เหมาะสมแก่นางจากในนั้น กระบวนท่าชิงชัยด้วยจังหวะในกระบี่แขนทะลวง เพลงหัตถ์ซัดเร็วของคมบินส่งวิญญาณ และปรับใช้กับกระบี่บินคมคู่ที่ค่อนข้างเบา การโจมตีด้วยอาวุธสั้นประชิดตัวของพัดใบไม้ดำเพื่อป้องกันคู่ต่อสู้กำยำโถมเข้ามา เชือกบินกรงเล็บเหล็กสะบั้นใจผสมผสานการลอยตัวด้วยท่าร่างวิชาตัวเบา ทักษะที่ใช้เพื่อหลุดรอดจากการจับกอดของศัตรูในหัตถ์กวนเมฆา วิธีต่อสู้ด้วยอาวุธสั้นสองมือหลายกระบวนที่ค่อนข้างง่ายดายในแส้เจาะภูผาเพื่อป้องกันและต่อต้านศัตรูขณะมีเพียงอาวุธหนัก แลดาบวงตะวันอันแกร่งกร้าวกับกำปั้นตะลุยศึกที่อาศัยแรงกายต่อสู้ เลี่ยนเฟยหงเลือกสอนเฉพาะบางสิ่ง

    รุ่งเช้าวันนั้น เลี่ยนเฟยหงกำลังสอนแส้เจาะภูผาให้ถงจิ้ง อาจเพราะคืนก่อนนอนไม่พอ ขณะสองมือถงจิ้งถือพลองยาวสี่ฉื่อกว่าก็เห็นได้ชัดว่าไร้ซึ่งเรี่ยวแรง และมิอาจใช้เอวและขาปล่อยพลังอย่างเต็มที่

    “เจ้าต้องตั้งใจฝึก” เลี่ยนเฟยหงสีหน้าหนักใจ

    “นี่ไม่เหมาะกับข้าเอาเสียเลย” ถงจิ้งปล่อยมือข้างหนึ่งออกแล้วเหวี่ยงข้อมือ บอกเป็นนัยว่าเหนื่อยเล็กน้อย

    “บนสมรภูมิมิใช่เวลาใดก็เลือกอาวุธได้” เลี่ยนเฟยหงข่มอารมณ์อธิบาย “อาวุธไม่คล่องมือเจ้าก็จะไม่สู้ ยอมให้คนฆ่าแกงหรือ อีกทั้งเพลงแส้พลองสองมือนี้ยังช่วยยืดเส้นทั่วร่างและฝึกฝนเส้นเอ็นที่เจ้าละเลยเพราะใช้ดาบมือเดียวมากเกินไป และก็ยังมีประโยชน์ต่อสิ่งอื่นๆ ที่เจ้าจะเรียนในภายหน้าอย่างมาก!”

    ถงจิ้งฟังแล้วจึงหุบปาก สองมือยกแส้พลองนั้นขึ้นอีกครั้ง แต่ยังคงมิอาจจดจ่อสมาธิทั้งหมดโจมตี เพียงทำท่าทางของกระบวนท่า

    เลี่ยนเฟยหงยิ่งมองดูสีหน้ายิ่งดำมืด ตนเองพยายามเรียบเรียงการฝึกฝนชุดนี้สุดความสามารถเพื่อถงจิ้ง แต่นางกลับเพียงกระทำพอเป็นพิธี ในที่สุดมันจึงอดมิได้ที่จะตวาด “หัวใจของเจ้าลอยไปที่ใดแล้ว ยังคิดถึงเยียนเหิงเด็กน้อยผู้นั้นอีกหรือ”

    ถงจิ้งตกตะลึง ขณะต่อมาใบหน้านางก็แดงซ่านแล้วเหวี่ยงแส้พลองตกลงบนพื้นอย่างแรง

    “ท่านใช่เป็นอาจารย์ข้า! ข้าเองก็ไม่ได้ขอให้ท่านสอนข้า!”

    ถงจิ้งหมุนตัวผละไปทั้งที่น้ำตาคลอ ทิ้งเลี่ยนเฟยหงที่รู้สึกเสียใจภายหลังให้ยืนอยู่ที่เดิม

    สำหรับเลี่ยนเฟยหงแล้ว ทุกเช้าตรู่ล้วนเป็นความท้าทายครั้งใหม่

    อายุปูนนี้แล้วมันนอนไม่มากนัก แทบทุกวันที่ตื่นนอนล้วนยังทันเห็นดาวประกายพรึกรำไร

    ร่างที่เพิ่งตื่นนอนเหมือนทุกข้อต่อล้วนถูกตะปูเหล็กตรึงเอาไว้ แข็งทื่อจนแม้กระทั่งพลิกหมุนก็รู้สึกเปลืองแรง ตอนที่อยากลุกขึ้นนั่ง อาการบาดเจ็บเก่าของเส้นเอ็นและข้อต่อทุกจุดบนร่างก็ล้วนต่อต้านมัน

    เลี่ยนเฟยหงไม่อยากปลุกพวกพ้องที่ยังคงหลับสนิทอยู่ในห้อง มักฝืนกลั้นเสียงครวญคราง ลุกขึ้นนั่งช้าๆ ทีละชุ่น โคจรเลือดลมทั้งนอกและในด้วยวิธีหายใจของสำนักคงถง ทำให้สมรรถภาพร่างกายกระฉับกระเฉงขึ้นเล็กน้อย ค่อยปีนลงจากเตียง ฝึกฝนท่ายืนสมาธิแต่ละท่าของคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นวัดเส้าหลินที่เรียนกับหยวนซิ่งเงียบๆ เพื่อยืดเหยียดเส้นเอ็นทั่วร่าง ฝึกพักหนึ่งจึงเคลื่อนไหวอิสระได้อย่างแท้จริง

    ยามแสงอรุณแรกปรากฏ เลี่ยนเฟยหงก็จะพกกระบี่ราชสีห์ฮึกหาญไว้บนสายคาดเอว หยิบอาวุธอื่นๆ ที่มันชอบใช้ และออกไปฝึกฝนในขุนเขาใกล้เคียงตามลำพัง

    มันรู้ว่าการหายใจในป่าเขารุ่งเช้าค่อนข้างลำบาก ไม่เหมาะกับการฝึกฝนอย่างมาก แต่มันไม่อยากให้พวกพ้องคนใดมองเห็นตนเองยังไม่ได้ยืดเส้นยืดสายร่างกายและท่วงท่าฝึกยุทธ์ที่แข็งทื่องุ่มง่าม จึงเร่งมาก่อนคนทั้งหมด

    ความจริงมันไม่จำเป็นต้องพกอาวุธแต่ละชนิดของแปดมหาเลิศไว้ทั้งหมด และเปลี่ยนเป็นใช้อาวุธฝึกฝนที่ค่อนข้างเบาแทนได้ แต่มันยืนหยัดทำเช่นนี้

    พกอาวุธที่ใช้ทำศึกอันดุเดือดมาหลายปีไว้ข้างกาย ทำให้มันรู้สึกยิ่งเหมือนเป็นตนเองในอดีต

    ทุกวันเลี่ยนเฟยหงต้องใช้เวลาและความอดทนมากกว่าเมื่อก่อนหนึ่งเท่า จึงคืนสู่ความรู้สึกยามใช้วิชายุทธ์ปกติ ใช้อาวุธหลากหลายแปรท่าย่อยืดร่างกาย เหวี่ยงหมัดเตะขาโดดเด่นสะดุดตา มันไม่รู้ว่าเวลาที่ต้องมาเตรียมตัวล่วงหน้าเช่นนี้ จะนานขึ้นเรื่อยๆ ตามคืนวันอีกหรือไม่

    จะแย่ลงกว่าเดิมไหม…ถึงขั้นสักวันหนึ่ง จะทำมิได้เลยไหม…

    เลี่ยนเฟยหงรู้ตัวตั้งนานแล้วว่าเมื่อชราขึ้นก็จะสูญเสียไปไม่หยุด แต่รู้ทั้งรู้ เมื่อสิ่งที่เป็นของตนเองแต่เดิมพลันสูญหายไปก็ยังคงอดมิได้ที่จะกลัว

    เลี่ยนเฟยหงในวัยหกสิบเจ็ดปีรู้ว่าภายหน้าของชีวิตตนเองไม่มีหนทางเจริญก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว

    สิ่งที่ทำให้ร่างกายมันถดถอยร้ายแรงเช่นนี้หาใช่เพียงเพราะอายุไม่ แต่รวมถึงศึกที่ถูกเหลยจิ่วตี้ทำร้ายอย่างหนักในปีนั้นทำให้เลี่ยนเฟยหงเสียพลังอย่างมากจนมิอาจคืนสู่ภาวะและทักษะเช่นแต่ก่อนได้อีก และทุกครั้งที่มองเห็นใบหูใหญ่ที่ถูกตัดไปของตนเองในเงาสะท้อนกลางน้ำก็ล้วนย้ำเตือนประสบการณ์ความพ่ายแพ้อย่างอนาถครานั้นของมัน ยิ่งทำลายความมั่นใจในตนเองของมันอย่างหนักหนาสาหัส เหลยจิ่วตี้ตายใต้คมดาบจิงเลี่ยนานแล้ว แต่ความอัปยศนี้มันไม่มีวันลบล้างได้

    เฮ้อ…ข้ากำลังหลอกใคร ต่อให้วันนี้เหลยจิ่วตี้มีชีวิตอยู่ ข้าก็ไม่อาจเอาชนะมันได้…

    มีอยู่วันหนึ่งขณะที่มันกำลังฝึกฝนโยนสลับอาวุธในมือด้วยเพลงผลัดลวงสำนักคงถง ฝ่ามือมันตอบสนองตามไม่ทันไปชั่วขณะหนึ่ง ดาบโค้งร่วงหล่นลงพื้น มันหยุดมือ มองดูดาบบนพื้นอย่างเหม่อลอย ขณะนั้นในใจของมันปรากฏความคิดเช่นนี้

    ข้ายังฝึกอย่างสุดชีวิตเพื่ออะไรกันแน่…

    ทุกครั้งที่ฝึกจนเหนื่อยแล้ว มันจะนั่งพักผ่อนอยู่บนก้อนหิน จากนั้นเริ่มครุ่นคิดว่าอีกเดี๋ยวจะสอนอะไรให้ถงจิ้งบ้างในแต่ละวัน มีเพียงช่วงเวลานี้ที่หัวคิ้วของเลี่ยนเฟยหงผ่อนคลายออก

    มันจดจ่ออยู่กับการครุ่นคิด กระบี่ในมือกรีดวาดเบาๆ เป็นกระบวนท่าที่จะถ่ายทอดให้ถงจิ้งหรือวิชาที่จะให้นางตั้งใจทบทวน ในขณะที่จินตนาการว่าถงจิ้งผู้มีไหวพริบพรสวรรค์จะซึมซับวิชายุทธ์เหล่านี้แปรเป็นของตนเองเช่นไร เลี่ยนเฟยหงก็มักตื่นเต้นขึ้นมาและลูบเครายาวสีขาวโพลนแทบทั้งหมด พลางเผยรอยยิ้มดื้อรั้นของมันในอดีตออกมาอีกครั้ง

    ความหวาดกลัวที่สุดของเลี่ยนเฟยหงคือวันหนึ่งตนเองจะตายอยู่บนเตียงผู้ป่วย บางครั้งมันจะหวนนึกว่าหากคืนนั้นตนเองตายอยู่ใต้คมดาบเหลยจิ่วตี้ จะเป็นโชคดีที่สุดหรือไม่

    ผู้ที่ขจัดความคิดเช่นนี้ของมันออกไปได้มีเพียงถงจิ้ง เลี่ยนเฟยหงภายนอกแม้ไม่กล่าวอะไร แต่มันฝากฝังความหมายของชีวิตที่เหลืออยู่ของตนเองไว้กับถงจิ้งแล้ว

    ขอเพียงนางมุ่งมั่นตั้งใจและมีการชี้นำที่ถูกต้องสืบต่อ ยี่สิบปีให้หลัง หรือถึงขั้นแค่สิบห้าปีให้หลังก็อาจกลายเป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดเช่นเหยาเหลียนโจวได้ หรือเป็นปรมาจารย์ใหญ่บุกเบิกวิชายุทธ์ใหม่ของสำนัก

    เลี่ยนเฟยหงเชื่อมั่นต่อสิ่งนี้ไม่เสื่อมคลาย

    เพื่อปลูกฝังนาง ข้าต้องอยู่ต่อไปอีก ยิ่งนานยิ่งดี

    ข้าต้องการเห็นถงจิ้งผู้นั้น

    มันอธิษฐานเช่นนี้ในใจ

    แต่เมื่อถึงวันนี้ ขณะที่ถงจิ้งขว้างแส้พลองลงและจากไปด้วยโทสะพลุ่งพล่าน เลี่ยนเฟยหงพลันรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเหมือนแตกสลาย

    คำพูดประโยคนั้นที่ตวาดถงจิ้ง ความจริงเลี่ยนเฟยหงอดทนไว้นานแล้วจึงเค้นออกมา ความก้าวหน้าในวิทยายุทธ์ของถงจิ้งสองปีมานี้หาได้เป็นที่น่าพึงพอใจดังคาดการณ์ไม่ พักนี้ยังมีภาวะหยุดชะงักไม่ก้าวหน้า

    เลี่ยนเฟยหงรู้ว่าสาเหตุที่ถงจิ้งเสียสมาธิคืออะไร

    เป็นเยียนเหิง

     

    เยียนเหิงและถงจิ้งเคียงไหล่กันนั่งอยู่บนเนินเขานั้นสืบต่อ ความรู้สึกของพวกมันถึงขั้นที่ไม่ต้องกล่าวมากความ เพียงอยู่ด้วยกันเงียบๆ ก็รู้สึกถึงความสุขได้

    เนิ่นนาน ถงจิ้งก้มหน้ามองดูคัมภีร์ซี่ไม้ในมือของเยียนเหิงจึงหยิบมันมาและลูบไล้อักษรด้านบน

    “ท่านฝึกสำเร็จหมดแล้วหรือ” นางเขย่าคัมภีร์ซี่ไม้ถามเยียนเหิง

    “ประมาณเจ็ดแปดส่วนกระมัง บ้างก็ยังมิได้ศึกษาละเอียด เพียงแต่รู้แล้วว่ามรรคากระบี่คร่าวๆ เป็นอย่างไร ขอเพียงใช้เวลาสักหน่อยคงจะคิดออก”

    ถงจิ้งยิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นท่านยังไม่ขอบคุณข้าอีก?”

    หลังจากได้รับเคล็ดกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมีย เยียนเหิงก็ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดแปลความหมายยอดวิชาในนั้น ถงจิ้งเองก็ช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง นอกจากช่วยมันเป็นคู่ฝึกซ้อมแล้ว ยังเสนอมุมมองของตนเองต่อหลักการวิชาของกระบวนท่ากระบี่ ในขั้นตอนนี้เยียนเหิงยิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าถงจิ้งปราดเปรื่องด้านวิชายุทธ์เพียงใด แม้ประสบการณ์การต่อสู้จริงและความรู้ความเข้าใจต่อเพลงกระบี่ชิงเฉิงยังคงมีขีดจำกัด ประสบการณ์ที่เสนอออกมามากมายหาได้ถูกต้องไม่ แต่ความฉลาดเฉลียวไม่ธรรมดาของนางกลับกระตุ้นให้เยียนเหิงบังเกิดความคิดใหม่ๆ จนทะลวงอุปสรรคในการฝึกปรือกระบี่พยัคฆ์มังกรได้จำนวนมาก

    เยียนเหิงได้ยินถงจิ้งกล่าวเช่นนี้ กลับจงใจไม่เอ่ยสักคำ

    ถงจิ้งรีบจับคอเสื้อของมันเอาไว้พลางเขย่าอย่างแรง “อะไร เจ้าหมายความว่าข้าไม่มีความดีความชอบหรือ”

    “ใช่ๆๆ…ทั้งหมดอาศัยคุณหนูใหญ่ถง! ช่างเป็นผู้มีพระคุณของข้าโดยแท้!” เยียนเหิงฉีกยิ้มขึ้นมา จับมือของถงจิ้งเอาไว้

    ถงจิ้งแย้มยิ้มอย่างปลื้มใจ ซ้ำยังมองดูคัมภีร์ซี่ไม้นั้น ดวงตานางเปล่งประกายออกมาอย่างพึงพอใจอย่างยิ่งที่ได้ช่วยเหลือเยียนเหิงให้ทะยานไปข้างหน้า…ความสำเร็จของเยียนเหิงก็เท่ากับความสำเร็จของตัวนางเอง

    ถงจิ้งใช้แรงใจและเวลามากมายนี้ช่วยเหลือมัน ทำให้เยียนเหิงซาบซึ้งอย่างยิ่ง ซ้ำยังรู้สึกอีกว่าเพราะการพยายามร่วมกันนี้ของพวกมัน ทำให้ความสัมพันธ์ก้าวหน้าขึ้นก้าวใหญ่

    “เพียงแต่…” ยามนี้เยียนเหิงกล่าว “หลายวันนี้เหมือนไม่เห็นเจ้ากับเลี่ยนเฟยหงฝึกยุทธ์…”

    รอยยิ้มของถงจิ้งหดลงเล็กน้อย จากนั้นก็แค่นยิ้ม “ไม่มีอะไร…เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าเมื่อก่อนเรียนเร็วและมากเกินไป คิดว่าตัวเองควรทบทวนสักหน่อยก่อน…”

    ความรู้สึกของเยียนเหิงกับถงจิ้งลึกซึ้งอย่างยิ่งแล้ว จิตใจสื่อถึงกัน ไหนเลยจะไม่สังเกตเห็นว่าสำเนียงของนางมีความผิดปกติ แต่มันรู้ว่าถงจิ้งอุปนิสัยดื้อรั้น ไม่ชอบให้ผู้อื่นคาดคั้นที่สุด จึงไม่ซักถามอีก คิดในใจว่ากลับไปค่อยถามเลี่ยนเฟยหงก็ได้

    “พวกเรากลับกันเถอะ” เยียนเหิงกล่าว

    ถงจิ้งพยักหน้าก่อนยัดคัมภีร์ซี่ไม้กลับคืนในถุงหนังใบนั้นแล้วถือไว้ เยียนเหิงเองก็ยืนขึ้นถอนกระบี่เหล็กทื่อทั้งสองที่ใช้ฝึกฝนขึ้นมาจากพื้น คนทั้งสองเคียงไหล่ลงเขาด้วยฝีเท้าว่องไว

    ไม่ถึงครู่หนึ่งพวกมันก็กลับถึงค่ายหน้าสุ่ยเหยียน…บ้านของหกกระบี่บ้านแตกในยามนี้

    ในวันนั้นหลังพวกจิงเลี่ยช่วยฮั่วเหยาฮวาได้แล้ว และแยกกันกับนักรบหมาป่าชาวจ้วง ก็กลับมารวมตัวกับหวังโส่วเหริน เยียนเหิง และถงจิ้งที่กั้นโจว คนทั้งหกไม่เหมาะที่จะอยู่ข้างกายใต้เท้าหวัง เพราะยังคงถูกราชสำนักออกหมายจับ แต่หลังผ่านเรื่องใต้เท้าหวังถูกลอบสังหาร หกกระบี่บ้านแตกก็รู้ดีว่าหวังโส่วเหรินผู้ตรวจการเจียงซีใต้ผู้นี้เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตอยู่ทุกเช้าค่ำ ดูเหมือนตำหนักหนิงอ๋องแห่งหนานชางจะก่อกบฏได้ทุกเมื่อ ในเมื่อหกกระบี่บ้านแตกไม่มีที่ไป มิสู้อยู่บริเวณใกล้เคียงกั้นโจว อาจสนับสนุนใต้เท้าหวังได้ยามจำเป็น

    หวังโส่วเหรินเองก็คิดว่าหกกระบี่บ้านแตกพเนจรตลอดทั้งวันมิใช่แผนการที่ทำได้ยาวนาน จึงหาสถานที่เหมาะสมต่อคนทั้งหก นั่นก็คือค่ายหน้าสุ่ยเหยียนที่อยู่นอกอำเภอซั่งโหยวทางตะวันตกของเมืองกั้นโจวแห่งนี้สิบกว่าหลี่

    ก่อนเยียนเหิงและถงจิ้งกลับถึงค่าย ก็เห็นป้อมสังเกตการณ์เล็กๆ หลังหนึ่งที่หันหลังให้ภูเขาหันหน้าหาแม่น้ำ ขนาดเท่ากับคฤหาสน์ของครอบครัวเศรษฐีในเมือง กำแพงสูงคอกไม้ไผ่ที่ห้อมล้อมรอบด้านพังเสียหายทุกแห่งเพราะการศึก และมีร่องรอยของการเผาทำลายหลายจุด หน้าช่องโหว่ของกำแพงมองเห็นได้ถึงบ้านเรือนไม่กี่หลังที่อยู่ภายใน มุมทางทิศเหนือและใต้บนกำแพงมีหอสูงสังเกตการณ์ที่หลงเหลืออยู่โผล่ออกมาสองหลัง จึงทำให้มันยังคงดูเป็นค่ายป้อม ด้านตะวันออกมีป่าผืนหนึ่งบดบังตัวค่ายเอาไว้ครึ่งหนึ่ง โดยรวมเป็นสถานที่ค่อนข้างเร้นลับ

    ค่ายแห่งนี้เดิมเป็นด่านหน้าที่โจรค่ายสุ่ยเหยียนสร้างขึ้นอยู่กลางขุนเขา ใช้เพื่อระแวดระวังทหารลอบโจมตีจากเขาด้านหลัง หวังโส่วเหรินดำรงตำแหน่งไม่นานก็ส่งทหารปราบปรามโจรผู้ร้ายใกล้เคียง บุกทำลายค่ายสุ่ยเหยียนอย่างสายฟ้าแลบ ค่ายจึงถูกเผาไปด้วย ค่ายหน้าเล็กๆ แห่งนี้กลับยังคงหลงเหลือ หวังโส่วเหรินเดิมคิดสร้างมันเป็นป้อมหลังหนึ่งของอำเภอซั่งโหยว ให้ทหารชาวบ้านและชายฉกรรจ์หมุนเวียนกันเฝ้าดู และใช้เป็นสถานที่ฝึกทหารในระยะยาว แต่ภายหลังทางการเจียงซีใต้ยุ่งอยู่กับการปราบโจรปลอบโยนประชามาตลอด จึงมิได้ดำเนินการตามแผนการนี้ หกกระบี่บ้านแตกจึงได้ใช้อาศัยพำนัก

    ค่ายหน้าสุ่ยเหยียนแม้ห่างจากอำเภอซั่งโหยวไม่ไกล แต่ระหว่างทั้งสองที่กลับเป็นพื้นที่ขรุขระทั้งหมด ไม่ง่ายต่อการเดินทาง เป็นเหตุให้ผู้สัญจรยามปกติน้อยอย่างยิ่ง มีเพียงหมู่บ้านผิงเหยียนที่ใกล้เคียงที่แห่งนี้ที่สุด ซึ่งมีชาวบ้านเพียงร้อยกว่าคน หวังโส่วเหรินหลอกว่าพวกจิงเลี่ยคือทหารกล้าผู้เกรียงไกรที่มันรวบรวมได้ มาพักแรมที่นี่ชั่วคราวเพราะบ้านแตกสาแหรกขาด ชาวบ้านผิงเหยียนแต่ก่อนประสบความลำบากจากโจรผู้ร้าย ใต้เท้าหวังเปรียบเสมือนบิดาผู้ให้กำเนิดพวกมันอีกครั้ง ย่อมไม่มีทางสงสัยเคลือบแคลง ยามปกติก็มิได้มารบกวนกันจึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ

    เยียนเหิงและถงจิ้งมิได้เปิดประตูค่ายเข้าไป แต่ก้าวเข้าจากช่องโหว่ช่องหนึ่งของคอกล้อม

    ในค่ายมีเพียงบ้านเล็กสี่หลังกับคลังเก็บของที่ค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งตั้งล้อมที่ว่างผืนหนึ่งตรงกลาง ขณะนี้บนที่ว่างปูไว้ด้วยเสื่อฟางที่ใช้ก้อนหินทับมุมทั้งสี่เอาไว้ บนเสื่อเต็มไปด้วยผักป่ากับผลไม้ที่เก็บมาจากบนเขาแล้วนำมาตากแห้ง บนพื้นตั้งพลองไม้ไผ่สองอันห้อยเชือกระหว่างกัน แล้วแขวนไว้ด้วยเนื้อสัตว์ผึ่งลมแถวหนึ่ง ล้วนเป็นสัตว์ป่ากับปลาที่จับได้ในแม่น้ำ ใช้เกลือหมักดองเอาไว้แล้ว

    หวังโส่วเหรินคอยให้คนมาส่งเสบียงอาหารตามวันเวลาที่กำหนด แต่หกกระบี่บ้านแตกพเนจรมานานแล้ว คุ้นเคยกับการล่าสัตว์หาอาหารในป่าเขา ถึงแม้อาศัยอยู่ในที่ปราศจากผู้คนเช่นนี้เป็นเวลานานก็ไร้กังวลซึ่งความขาดแคลนในชีวิต

    ค่ายหน้าสุ่ยเหยียนรกร้างมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ขณะหกกระบี่บ้านแตกเพิ่งย้ายเข้ามาที่นี่ก็ชวนให้รู้สึกอันตรายน่าสะพรึงกลัว ถงจิ้งไม่คุ้นเคยที่สุด แต่เมื่ออาศัยนานเข้า ค่ายก็เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งชีวิต ทำให้นางรู้สึกเป็นเหมือนบ้านหลังหนึ่งไปแล้ว

    และแน่นอน เป็นเพราะมีเยียนเหิงอยู่…

    บ้านทั้งสี่หลังในค่ายนั้นห้อยผ้าแดงสีสันสดใสไว้เหนือประตูหน้าต่าง บนบานประตูไม้ยังแปะกระดาษสีแดงที่ด้านบนเขียนอักษร ‘มงคลคู่ (囍)’ ตัวใหญ่ คนทั้งสองกลับมาเห็นก็อดมิได้ที่จะสบตากันแย้มยิ้มอย่างหวานชื่น

    อีกไม่นานหกกระบี่บ้านแตกจะจัดงานมงคล

    จิงเลี่ยกับหู่หลิงหลันกำลังจะแต่งงาน

     

    “พี่หลัน ท่านจะแต่งกับลิงป่าตัวนี้จริงหรือ”

    ถงจิ้งถามหู่หลิงหลันเช่นนี้ในวันรุ่งขึ้นหลังจากจิงเลี่ยประกาศว่าจะแต่งงาน ในตอนนั้นคนทั้งสองกำลังเก็บเสื้อผ้าที่ตากอยู่ในค่าย

    หู่หลิงหลันดึงผมดำตรงจอนและก้มศีรษะลงเล็กน้อยพลางแย้มยิ้ม ก่อนพยักหน้าหงึกๆ แล้วพับชุดคลุมยาวในมือสืบต่อจนเสร็จและวางใส่ในตะกร้าไม้ไผ่เบาๆ

    ถงจิ้งมองดูรอยยิ้มภายใต้แสงอาทิตย์ของหู่หลิงหลันจนเหม่อลอยเล็กน้อย เมื่อเทียบกับขณะแรกรู้จักหู่หลิงหลันมีเสน่ห์ที่ทำให้ถงจิ้งอิจฉาเพิ่มขึ้นมามากมาย เหมือนเช่นผลไม้สดบนต้นไม้ลูกหนึ่งสุกงอมจนถึงเวลาที่อวบอิ่มเต่งตึงที่สุด

    ถึงแม้เป็นสตรีเหมือนกัน ถงจิ้งก็อดมิได้ที่จะชื่นชมในใจ

    “ตอนแรกข้าโดยสารเรือมาตามหามันที่แคว้นหมิงก็เพื่อแตกหัก” หู่หลิงหลันมองดูถงจิ้งพลางกล่าว นัยน์ตางดงามเรียวยาวนั้นเปล่งประกายออกมา “หากมิใช่เอาชนะ ก็แต่งกับมัน”

    “เช่นนั้นตอนนี้ท่านไม่อยากเอาชนะพี่จิงแล้วหรือ” ถงจิ้งถาม

    หู่หลิงหลันถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่งก่อนส่ายหน้า “ข้ารู้แล้วว่าตนเองไม่อาจข้ามผ่านจิงเลี่ย…หลังมันเข้าใจท่าฟองคลื่นตัดเหล็ก และร่างกายหายเป็นปกติแล้ว ข้าจึงรู้”

    นางยิ้มจนเผยฟันขาวเสมือนหยกขาวออกมาพลางมองดูเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนเชือกแต่ละตัวที่พลิ้วขึ้นลงตามลม ในสายตานางราวกับเห็นมันเป็นเกลียวคลื่นโหมซัดขณะโดยสารเรือจากบ้านภูมิลำเนาข้ามมาทางตะวันตก และราวกับเป็นความรักความชิงชังที่เคยพลุ่งพล่านในใจตนเอง

    “เช่นนั้นทางเลือกที่เหลือของข้า ก็มีเพียงกลายเป็น ‘ภรรยาของนักสู้’ แล้ว”

    หู่หลิงหลันใช้ภาษาบ้านเกิดกล่าวคำว่า ‘ภรรยาของนักสู้’ ถงจิ้งจึงฟังไม่เข้าใจ แต่ถึงแม้ไม่ถามนางก็รู้ว่าพี่หลันกล่าวอะไรอยู่

    ถงจิ้งคาดเดาว่าการตัดสินใจนี้ของหู่หลิงหลันกำหนดไว้ตั้งแต่เบื้องหน้าเวทีประลองริมฝั่งแม่น้ำเซียงถานแล้ว…ในวันนั้นนางใช้สถานะของภรรยากล่าวกับจิงเลี่ยที่จะไปตัดสินกับเหลยจิ่วตี้ให้ ‘นำชัยชนะกลับมา’

    หลังพวกมันช่วยฮั่วเหยาฮวาออกมาจากตำหนักหนิงอ๋อง จบสิ้นเรื่องนี้ หู่หลิงหลันก็ไร้ซึ่งเหตุผลที่จะไม่แต่งงาน

    เพียงแต่นางยังคงรอหนึ่งปีจึงรับปากจิงเลี่ย นางต้องแน่ใจว่าตนเองไม่เสียใจอีก

    ถงจิ้งมองดูท่าทางมีความสุขของหู่หลิงหลันก็อดมิได้ที่จะนึกถึงตนเองเช่นกัน

    พี่หลันฝากฝังชีวิตในภายหน้าให้พี่จิงแล้ว…ข้าเองจะฝากฝังให้เยียนเหิงได้หรือไม่…

    “พี่หลัน เช่นนั้นต่อไปท่านจะละทิ้งการฝึกดาบแล้วหรือ” ถงจิ้งถาม

    หู่หลิงหลันปล่อยหัวเราะ “แน่นอนว่ายังต้องฝึก มันเองก็เคยบอกข้าว่าห้ามละทิ้งวิทยายุทธ์ไปเช่นนี้”

    มุมปากนางพกพาความหวานชื่นที่เข้มข้นกว่าเดิมขณะกล่าว ความจริงสิ่งที่จิงเลี่ยกล่าวในตอนนั้นหาได้ง่ายดายเพียงนี้ไม่

    ‘เจ้าทำให้ข้าหลงอย่างแท้จริง คือตอนที่เราพบกันอีกครั้ง ตอนที่ข้าเกือบถูกเจ้าฟันตาย’ เมื่อคืนมันกล่าว ‘ข้าไม่อยากให้ต่อไปเจ้าเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง’

    “เพียงแต่เป้าหมายฝึกยุทธ์ต่อไปของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” หู่หลิงหลันกล่าวต่อถงจิ้งอีก “ข้ามิได้ฝึกปรือเพื่อโค่นล้มใครอีกแล้ว แต่เพื่อปกป้องบ้านหลังนี้”

    ถงจิ้งตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง หู่หลิงหลันตรงหน้าราวกับเป็นคนละคนกับนักดาบหญิงที่พัวพันกับความรักความแค้น พกพาความขัดแย้งเต็มทรวงติดตามจิงเลี่ยผู้นั้น บัดนี้นางชนะสมดุลของจิตใจระหว่างความรักกับการต่อสู้และปรับความเข้าใจกับตนเองในอดีตได้แล้ว

    ถงจิ้งม้วนผ้าที่ตากแดดจนแห้งพลางถามอย่างใจลอย “เช่นนั้นต่อไปพี่จิงมีแผนอันใดเล่า”

    เมื่อได้ยินคำพูดนี้ มือที่เก็บเสื้อผ้าของหู่หลิงหลันก็หยุดชะงักลง

    ถงจิ้งหาได้สังเกตไม่และยังคงพึมพำกับตัวเอง “แต่ก่อนในสายตาพี่จิงมีเพียงสำนักอู่ตัง ทว่าอู่ตังหายไปนานแล้ว เยียนเหิงยังมีความฝันสร้างสำนักชิงเฉิงใหม่ แต่ข้าไม่ค่อยได้ยินพี่จิงกล่าวถึงการฟื้นฟูสำนักหู่จุนหนานไห่ ถึงขั้นไม่ได้ยินพี่จิงกล่าวถึงบ้านเกิดที่ฝูเจี้ยนแต่อย่างใด…แต่พี่จิงลิงป่าตัวนี้ ต้องไม่มีทางหยุดลงเป็นแน่! ไม่ว่าจะเป็นเขาสูงเช่นไรก็คงจะปีนขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้งแน่นอน…”

    หว่างคิ้วหู่หลิงหลันปรากฏเงามืดจางๆ กลุ่มหนึ่ง

    ยามนี้ลมกระโชกขึ้นแล้ว เสื้อผ้าที่ยังมิได้เก็บโบกสะบัดอย่างรุนแรงพร้อมกัน

    “…พี่หลัน ท่านว่าไหม” ถงจิ้งยิ้มน้อยๆ ถาม

    ใบหน้าที่แข็งทื่อเล็กน้อยแต่เดิมของหู่หลิงหลันฟื้นคืนกลับมา นางพยักหน้าและเงยมองดูท้องฟ้า จากนั้นกล่าว “พวกเรารีบเก็บผ้าเถอะ เหมือนฝนจะตกแล้ว”

     

    เมื่อเดินถึงหน้าประตูบ้าน เยียนเหิงก็วางกระบี่เหล็กคู่ไว้ข้างกำแพง ถงจิ้งหยิบกระบวยขึ้นมาตักน้ำในโอ่งน้ำหน้าประตูให้เยียนเหิงล้างมือล้างหน้า ซ้ำยังหยิบผ้าซับเหงื่อออกมาให้มันเช็ดทำความสะอาด จากนั้นเยียนเหิงจึงรับกระบวยมาตักน้ำให้ถงจิ้งชำระล้างบ้าง

    ขณะคนทั้งสองกำลังดื่มด่ำกับช่วงเวลาแห่งความเงียบสงัดสุขสันต์นี้ ทางคลังเก็บของพลันถ่ายทอดเสียงเห่าของอาไหล จากนั้นเป็นคำตะคอกด่าด้วยสุ้มเสียงหยาบคาย

    พวกมันฟังแล้วอดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว จากนั้นมองเห็นอาไหลสุนัขล่าสัตว์วิ่งมาอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อย ถงจิ้งรีบนั่งย่อลงรับมันเอาไว้แล้วกอดคอเพื่อปลอบขวัญ ในขณะเดียวกันก็ได้กลิ่นสุราที่ข้างปากอาไหล

    “สุนัขโง่ ให้เจ้าดื่มก็ไม่ดื่ม โง่ชะมัด!”

    เงาร่างหนึ่งตะคอกด่าพลางก้าวด้วยฝีเท้าเฉเฉียงเดินมา

    “หลวงจีนบ้า ท่านกรอกสุราให้มันดื่มอีกแล้วหรือ รู้ทั้งรู้ว่ามันดื่มไม่ได้!” ถงจิ้งกล่าวด้วยเสียงเกรี้ยวกราด

    หยวนซิ่งมือหนึ่งถือไหสุรา อีกมือหนึ่งใช้พลองเสมอคิ้วหุ้มเหล็กต่างไม้เท้า มันหรี่ตาเดินมา บนหน้าปรากฏสีแดงซ่าน

    หยวนซิ่งไว้ผมยุ่งที่ไม่รู้มิได้ตัดมานานเท่าใดแล้ว เส้นผมแข็งกระด้างแต่ละเส้นตั้งขึ้นเหมือนหอกแหลม จีวรสกปรกมอมแมม อกเสื้อยังเปื้อนคราบสุราวงใหญ่ ใบหน้ากับรูปร่างของมันซูบผอมกว่าวันวานอย่างเห็นได้ชัดด้วยเหตุนี้

    โดยเฉพาะตอนที่ดื่มสุรา

    สุรานี้พวกมันใช้ผลไม้ป่าในเขาหมักเอง แม้รสชาติเปรี้ยวหวานไม่คล่องคอ แต่ฤทธิ์เต็มเปี่ยม ไหสุราใบนั้นในมือหยวนซิ่งพร่องไปครึ่งหนึ่งแล้ว

    สภาพเหมือนยาจกเสียสติเมาสุราของหยวนซิ่งทำให้เยียนเหิงมองดูด้วยความปวดใจ

    เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในหกกระบี่บ้านแตกหลวงจีนหยวนซิ่งคือผู้ที่เป็นกันเองที่สุด และน่าเป็นห่วงน้อยที่สุดมาโดยตลอด นอกจากตอนกินไม่อิ่มแล้วก็แทบไม่ได้ยินมันเคยบ่นอะไร วรยุทธ์ที่ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าของวัดเส้าหลิน มันไม่เคยเก็บซ่อนไว้เอง โดยเฉพาะคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นอันล้ำค่าที่มีประโยชน์ต่อการฝึกที่สุด คือทักษะที่หกกระบี่บ้านแตกทุกคนล้วนฝึกฝน

    หยวนซิ่งยกไหสุราขึ้นกรอกปากอึกใหญ่

    “ท่านอย่าดื่มอีกเลย!” ถงจิ้งยืนขึ้นตะโกน “พวกเราเก็บสุราเหล่านี้ไว้เตรียมให้เป็นสุรามงคลของพี่จิงกับพี่หลันเถอะ!”

    หยวนซิ่งกลับไม่สนใจ ซ้ำยังดื่มสุราอีกอึกหนึ่ง พ่นฟองสุราพลางกล่าว “ข้าอยากดื่มก็ดื่ม เจ้าห้ามข้าได้? พวกมันร่วมหอลงโรง เกี่ยวข้องอะไรกับข้าที่เป็นนักบวช”

    “ท่านยังกล่าวว่าเป็นนักบวชอีก ดื่มสุราจนเมาไม่ผิดศีลหรือ” ถงจิ้งกระทืบเท้าพลางกล่าว “หลวงจีน ท่านป่วยเป็นโรคอะไร เสียสติหรือ”

    หยวนซิ่งหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วหมุนพลองเสมอคิ้วเหนือศีรษะหนึ่งวงใหญ่ด้วยมือเดียวพลางมองดูรอบด้านค่ายหน้าสุ่ยเหยียน “อยู่ในสถานที่บ้าบอเช่นนี้ ไม่ดื่มสุราหลายอึกคลายทุกข์ นั่นคงจะบ้าแล้วจริงๆ!”

    ถงจิ้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดหยวนซิ่งคิดเช่นนี้ แต่ก่อนหกกระบี่บ้านแตกพเนจรทั่วแห่งหน ถึงแม้เป็นป่าดงเขาลึกอันไร้ผู้คน หรือสถานที่ภูมิทัศน์อันตรายเช่นก่วงซีก็เคยผ่านมาเช่นกัน บัดนี้อาศัยอยู่ที่ค่ายสังเกตการณ์ดีกว่าสถานที่เหล่านั้นมากกว่าสิบเท่า ชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย ซ้ำยังตั้งใจฝึกยุทธ์ได้ หยวนซิ่งเบื่อหน่ายอะไรอยู่กันแน่

    หยวนซิ่งซูบผอมลงมาก อีกทั้งพฤติการณ์ออกนอกลู่นอกทางเข้าไปทุกที เริ่มต้นเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนแรกพวกมันสังเกตเห็นเพียงมันพูดจาน้อยลง กินได้ไม่มากเท่าเมื่อก่อน และยังไม่กินเนื้ออีกแต่อย่างใด ตอนนั้นถงจิ้งยังหยอกเย้ามัน ‘ในที่สุดก็เหมือนหลวงจีนขึ้นบ้างแล้ว’ ภายหลังมันอาการหนักหนากว่าเดิม คร้านที่จะล้างหน้าหวีผมผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า บนร่างมักเกิดกลิ่นเหม็นออกมาเป็นประจำ หลังผมเผ้าหนวดเครายาวขึ้นยิ่งเหมือนยาจก จากนั้นยังเริ่มดื่มสุรา บางครั้งก็จะเมาอาละวาด ขว้างสิ่งของในค่ายทุกแห่งจนเสียหาย หลายปีนับแต่รู้จักหยวนซิ่งพวกมันรู้ว่าหลวงจีนผู้นี้ไม่เคยดื่มหนัก เยียนเหิงเองก็จำได้ว่าขณะรู้จักกันที่โรงเตี๊ยมหลินเหมินแห่งซีอาน หยวนซิ่งเคยบอกว่าที่กินเนื้อเพื่อให้มีเรี่ยวแรงต่อยตี สุราหาได้ช่วยไม่ ฉะนั้นจึงไม่ชอบดื่ม

    แต่ตอนนี้หลวงจีนหยวนซิ่งผู้นี้ตรงหน้ากลับกลายเป็นปีศาจสุราที่น่ากลัวไปแล้ว

    “ทุกข์ก็ต้องดื่มสุราหรือ” ถงจิ้งไม่ยอมปล่อยหยวนซิ่งไป “ท่านจะไม่หาเรื่องอื่นทำหรือ”

    หยวนซิ่งฉีกยิ้มเผยฟันออกมาให้เห็นระหว่างหนวดเคราที่ขึ้นอย่างสะเปะสะปะ “ข้าหาใช่หญิงสาว ไม่อาจหาบุรุษออดอ้อนออเซาะไปวันๆ”

    ถงจิ้งฟังแล้วปรางแก้มแดงฉาน เดือดดาลไม่หยุด แต่กลับกล่าวคำโต้เถียงไม่ออกชั่วขณะ

    “หลวงจีน พูดจาจริงจังสักหน่อย” เยียนเหิงหน้าเขียวคล้ำ กล่าวเสียงเย็นชา

    หยวนซิ่งจ้องเยียนเหิง สายตาพกพาความดุร้ายเล็กน้อย “อ้อ มิผิด เยียนเหิงน้อยในวันนี้เติบใหญ่แล้ว มิใช่เด็กน้อยขี้ขลาดผู้นั้นอีก กล้าโต้เถียงกับหลวงจีนเช่นข้าแล้ว”

    เยียนเหิงไม่อยากต่อปากต่อคำกับมัน คิดในใจว่าทิ้งมันไว้ให้บ้าอยู่คนเดียวจะดีกว่า จึงบ่ายหน้าหนี เตรียมนำถงจิ้งและอาไหลจากไป

    “ใช่แล้ว…” หยวนซิ่งกลับไม่ปล่อยมันไป “ในเมื่อคุณหนูใหญ่ถงสั่งการให้ข้าหาเรื่องอื่นคลายทุกข์ เช่นนั้นให้เจ้าสำนักคนต่อไปของสำนักชิงเฉิงผู้นี้มาแสดงฝีมือกับข้าจะดีกว่า!”

    มันกล่าวพลางนำหัวพลองที่หุ้มด้วยหมุดเหล็กกลมของพลองเสมอคิ้วชี้ตรงไปยังใบหน้าของเยียนเหิง

    คำว่า ‘เจ้าสำนักคนต่อไปของสำนักชิงเฉิง’ ของหยวนซิ่งเห็นได้ชัดว่าเจตนายั่วยุ เยียนเหิงจุดเพลิงโทสะขึ้นในใจแล้ว แต่มันยังคงระงับอารมณ์เอาไว้ หากเป็นหยวนซิ่งปกติมาขอฝึกซ้อมมันย่อมเต็มใจอย่างแน่นอน แต่หยวนซิ่งในตอนนี้มันไม่อยากประมือด้วยเป็นอันขาด

    แต่คำพูดประโยคนั้นกลับทิ่มแทงถงจิ้งที่อยู่ด้านข้างเช่นกัน…ฟื้นฟูชิงเฉิงคือความฝันของเยียนเหิง นางไม่ยอมให้ผู้ใดลบหลู่

    ถงจิ้งอดมิได้จึงกล่าวโพล่งออกไปอย่างเดือดดาล “ข้ากล้าเดิมพัน เยียนเหิงในวันนี้แข็งแกร่งกว่าท่านแล้ว!”

    ขนคิ้วที่ทั้งแข็งและหนาทั้งสองของหยวนซิ่งเลิกขึ้น ก่อนแย้มยิ้มอย่างประหลาด “งั้นหรือ เช่นนั้นอยากลองดูนัก เยียนเหิงน้อย มาเถอะ!”

    หยวนซิ่งกล่าวจบก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ใช้พลองฟาดบนโอ่งน้ำหน้าประตูบ้าน แผ่นกระเบื้องกับหยดน้ำลอยกระจายรอบด้านอย่างรุนแรงจนเยียนเหิงเปียกทั่วร่าง อาไหลถูกขู่จนเห่าขึ้นมา

    เยียนเหิงกลับสีหน้าไม่เปลี่ยน ยังคงหันหน้าจะเดินหนีไป

    “ดูถูกข้าหรือ” หยวนซิ่งถลึงดวงตา มือซ้ายโยนไหสุราลงกระแทกพื้นจนแตก กลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่วในทันใด บนพื้นหลงเหลือเศษกระเบื้องและกากผลไม้ของสุราหมักกองหนึ่ง

    หยวนซิ่งควงพลองด้วยสองมือพร้อมกัน โจมตีไปยังทิศทางที่เยียนเหิงจะไป ฟาดบนกำแพงของบ้านอย่างแรงจนเป็นโพรง พลองนี้โฉบผ่านใบหน้าเยียนเหิงเพียงไม่กี่ชุ่น อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าใช้พลังเต็มเปี่ยม

    หลวงจีนเอาจริง!

    สัญญาณแห่งอันตราย ทำให้ร่างกายเยียนเหิงเกิดการตอบสนองทันที มันหลบเฉียงไปข้างหลังพร้อมยื่นมือหยิบกระบี่เหล็กทื่อสั้นยาวที่วางอยู่ข้างกำแพงขึ้นมาและมองตรงไปยังหยวนซิ่งอย่างระแวดระวัง

    พลองยาวของหยวนซิ่งส่งเสียงแหวกฝ่าอากาศอันรุนแรงจู่โจมมายังเยียนเหิงพร้อมเสียงร้องอุทานของถงจิ้ง

    เยียนเหิงขยับร่างเบี่ยงกายหลบหัวพลองที่ฟาดมา ขณะเดียวก็ตั้งกระบี่ยาวในมือขวาออกไปยับยั้งพลองของหยวนซิ่งเอาไว้ในระยะฉื่อกว่า เพื่อหยุดยั้งพลองเสมอคิ้วพลิกกลับมาโจมตีสืบต่อ

    เยียนเหิงมิได้บุกโจมตี เพียงใช้กระบี่ปิดป้องเบื้องบนไกลๆ ยับยั้งการบุกโจมตีต่อเนื่องของหยวนซิ่งเอาไว้ วิธีการของมันประหนึ่งเหอจื้อเซิ่งกับเยี่ยเฉินยวนที่สับเปลี่ยนท่าต่อสู้ต่อต้านกันกลางอากาศ เห็นได้ว่าวิชากระบี่ของเยียนเหิงก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว

    ในใจหยวนซิ่งเองมิอาจไม่โห่ร้องชื่นชมวิธีนี้ของเยียนเหิง แต่ความปรารถนาต่อสู้ของมันเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็หาได้หยุดลงเพราะการสกัดกั้นนี้ไม่ มันไถลฝ่ามือบนตัวพลองเสมอคิ้วแปรเป็นคว่ำมือพลิกจับเสมือนถือไม้กวาด ตวัดหัวพลองหุ้มเหล็กอีกปลายหนึ่งโจมตีไปยังบริเวณท้องเยียนเหิงจากเบื้องล่าง

    นี่คือกระบวนท่าพลองสองหัวเสมอคิ้วของเส้าหลิน ใช้เพลงหัตถ์จับพลิ้วเปลี่ยนแปลงวิธีจับพลอง หัวพลองทั้งสองปลายยื่นหดอย่างอิสระ มุมโจมตีพลิกแพลงทำให้ศัตรูป้องกันได้ยาก เพลงผลัดลวงและวิชาแส้พลองของแส้เจาะภูผาสำนักคงถงที่หยวนซิ่งเคยเรียนกับเลี่ยนเฟยหงในหลายปีนี้ยังนำมาใช้ควบคู่กับเพลงพลองวัดเส้าหลิน นอกจากทวีความแกร่งกล้ายังเพิ่มความว่องไว

    ขณะเยียนเหิงตั้งกระบี่ยาวขึ้น กระบี่สั้นมือซ้ายก็ยกอยู่ข้างท้องนานแล้วเพื่อเตรียมรับมือกระบวนท่าเปลี่ยนแปลงใดๆ ของหยวนซิ่ง จึงกดต้านพลองเสมอคิ้วไปด้านล่างอย่างไม่รีบร้อน

    การพลิกจับตวัดโจมตีขึ้นด้านบนนี้ของหยวนซิ่ง พลังไม่รุนแรงเท่าตั้งพลองฟาดเช่นปกติ เมื่อเป็นเช่นนี้ เยียนเหิงจึงกระทำการเตรียมพร้อมแล้ว ทำร่างกายและฝีเท้าให้เบาลง ในชั่วขณะที่กระบี่สั้นกับพลองกระทบกัน มันเพียงเกร็งกล้ามเนื้อและข้อต่อของไหล่กับข้อมือเอาไว้ให้มั่นเพื่อต้านรับ ส่วนอื่นของร่างกายกลับดูดซับพลังที่ถ่ายทอดมานั้นอย่างผ่อนคลาย ทั่งร่างลอยเฉียงออกไปข้างหลังสามฉื่อตามแรงและยืนนิ่งอีกครั้งอย่างฉับไว อาศัยการต้านรับนี้ออกจากระยะโจมตีของหยวนซิ่ง

    เยียนเหิงถอยหลังเช่นนี้ นอกจากไม่อยากฝืนปะทะกับหยวนซิ่งแล้วก็เพื่อล่อมันให้ห่างจากถงจิ้ง ไม่ให้นางถูกการต่อสู้กล้ำกราย

    หยวนซิ่งก้าวเท้าไล่ตามเยียนเหิงไปอย่างว่องไว พลองเสมอคิ้วในมือเปลี่ยนกลับเป็นตั้งมือจับแล้ว มันพ่นลมออกจากไรฟัน เปล่งสุ้มเสียงแหลมเล็กออก สองมือหน้าหลังที่ถือพลองรวมเป็นหนึ่ง พลองเสมอคิ้วใช้ท่าทะลวงแขนเสื้อท่าหนึ่งในพลองราชากินนรวัดเส้าหลิน เสือกตรงไปยังใบหน้าเยียนเหิงราวกับหอกหลาว

    เยียนเหิงยักคิ้วทั้งสอง แล้วโยกลำคอหลบไปข้างหลัง กระบี่ยาวมือขวาออกท่า ‘ครึ่งปิดกั้น’ ปัดหัวพลองที่พุ่งมาทางซ้ายออกไป พลองยาวนั้นผ่านใบหูเยียนเหิงไปเพียงสามชุ่น

    หลวงจีนเร็วนัก

    การติดตามซ้ำเติมนี้ของหยวนซิ่งว่องไวยิ่งกว่าที่เยียนเหิงคาดการณ์เสียอีก แต่ก่อนหยวนซิ่งรับหน้าที่เป็นทัพหน้าเปิดทางให้หกกระบี่บ้านแตกในการต่อสู้หลายครั้ง แม้ร่างกายกำยำ แต่ก็ไม่เชื่องช้า ทว่ายามนี้คล้ายก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นแล้ว ฝีเท้าขณะรุกไล่เมื่อครู่ฉับไวกว่าท่านั่งม้าอันแกร่งกร้าวในอดีตที่อาศัยพลังเป็นหลักอย่างมาก พลองยาวลงมือพลิ้วไหวและแทบไม่ส่งสัญญาณล่วงหน้า

    หยวนซิ่งรูปร่างซูบผอมลงแต่วิทยายุทธ์กลับก้าวหน้าไม่ถดถอย มีความแม่นยำฉับไวที่เมื่อก่อนขาดไป

    พลองเสมอคิ้วพอโจมตีไม่ถูกก็หดกลับไป เยียนเหิงอยู่ร่วมกันกับหยวนซิ่งนานวัน คุ้นเคยต่อเพลงพลองของมัน หลังแทงตรงก็มักถือโอกาสหมุนลง แปรเป็นหวดโจมตีช่วงล่าง กระบี่คู่ในมือระแวดระวังล่วงหน้าแล้ว

    แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่ามือขวาที่รั้งปลายพลองของหยวนซิ่งกลับปล่อยออกอีกครั้ง หัวพลองหุ้มเหล็กแทงออกซ้ำ ครั้งนี้เสือกไปยังหัวไหล่เยียนเหิง เยียนเหิงรู้สึกผิดคาดรีบเปิดฉากกระบี่คู่ ร่ายรำต่อเนื่องปัดป้องเบื้องหน้า เป็นบุปผากระบี่ของวิชากระบี่คู่กระสวยกลม สองกระบี่สั้นยาวปัดป่ายสกัดพลองที่แทงมาสี่ครั้งติดต่อกันของหยวนซิ่งออกไป

    พลองที่แทงอย่างต่อเนื่องของหยวนซิ่งราวกับงูพิษฉกโจมตี พุ่งออกไปเพียงพริบตาก็ชักกลับไปอีก สายตาของคนปกติไม่อาจจับภาพได้แม้กระทั่งเงาพลอง นี่คือสาเหตุที่หยวนซิ่งควบคุมระดับพลังได้ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง หาได้ปล่อยพลังทั้งสิบส่วนโจมตีในคราวเดียวไม่ พอรู้สึกว่าพลองที่แทงออกกำลังจะถูกกระบี่คู่ของเยียนเหิงสกัดขวางก็ชักกลับไปแล้วโจมตีอีกทันที นี่เป็นเหตุให้แม้เยียนเหิงสกัดติดต่อกันสี่ครั้ง กลับบังเกิดเสียงดังออกมาเพียงสองครั้ง อีกทั้งเสียงกระทบของพลองกระบี่นั้นหาได้ดังก้องไม่

    การตอบสนองของเยียนเหิงก็ฉับไวเช่นเดียวกัน พอสังเกตเห็นว่าการต้านทานทำให้พลองของหยวนซิ่งชักกลับแล้ว ก็ผ่อนคลายไม่ส่งปล่อยพลังอีก และเตรียมป้องกันการโจมตีต่อไป หากไม่ทำเช่นนี้ ครั้งใดที่กระบวนท่ากระบี่ของมันใช้พลังต้านทานเกินไปสักเล็กน้อยก็จะถูกหยวนซิ่งชักกลับและแทงถูกช่องโหว่

    คนทั้งสองล้วนกำลังใช้ประสาทสัมผัสอันฉับไวและการควบคุมอันประณีตแม่นยำประลองกัน ภายนอกดูเหมือนเป็นเพียงการรุกรับอันแสนง่ายดาย แต่ความจริงแฝงด้วยทักษะกับวิชาอันละเอียดอ่อน

    หลวงจีนเมาแล้วโจมตีเช่นนี้…หากมันไม่ดื่มสุรา…

    เยียนเหิงผุดความคิด ยามนี้มันนึกขึ้นได้ว่านานมากแล้วที่มิได้เห็นฝีมือของหยวนซิ่ง…

    หยวนซิ่งกลับคล้ายไม่รู้สึกแม้แต่น้อย ใบหน้ายังคงอยู่ในอาการบ้าคลั่ง ครั้งนี้มันมิได้แทงตรงอีก พลองยาวพลันรั้งกลับครึ่งจังหวะ หมายใช้ความต่างอันเล็กน้อยทำให้เยียนเหิงลังเลแล้วหมุนปราดเป็นกวาดขวาง

    เยียนเหิงมิได้ถูกหลอก แต่รู้ว่าการกวาดขวางนี้ทรงพลังยิ่ง กระบี่เหล็กใช้ฝึกฝนที่คุณภาพย่ำแย่ทั้งคู่ของมันไม่พอต่อต้าน จึงแยงเท้าซ้ายกางออกท่านั่งม้า ร่างย่อก้มศีรษะหลบพลองนี้

    จากนั้นเยียนเหิงจึงยังหงายร่างไปด้านหลัง หลบเลี่ยงการตวัดเฉียงโจมตีของพลองเสมอคิ้ว ขณะเดียวกันปากก็ร้องตะโกน “อย่าสอดมือ!”

    ที่แท้มันเหลือบเห็นถงจิ้งที่ด้านหลังหมายจะเข้ามาสมทบ จึงตะโกนหยุดนางไว้

    ถงจิ้งไม่มีอาวุธ ไม่อาจช่วยยับยั้งหยวนซิ่งที่เมามายบ้าคลั่งได้ ทั้งยังทำให้เยียนเหิงพะวงอยู่บ้าง ไม่มีข้อดีแม้แต่น้อย

    หยวนซิ่งแกว่งพลองติดตามซ้ำเติมสืบต่อ เยียนเหิงหลบซ้ายหลีกขวาไม่หยุดยั้ง แกว่งกระบี่ต้านทานเป็นบางคราว ไม่เคยตอบโต้สักกระบวนเดียว แต่การต่อสู้ตั้งรับเช่นนี้ เผชิญหน้าหลวงจีนบู๊เด่นล้ำแห่งสิบแปดมนุษย์ทองคำที่เคยเฝ้าวัดเส้าหลินย่อมไม่อาจยืดเยื้อได้ยาวนาน การคุกคามของพลองเสมอคิ้วยิ่งอันตรายขึ้นเรื่อยๆ

    เยียนเหิงไม่หวังต่อสู้จริงกับหยวนซิ่ง แต่ขณะเดียวกันมุมหนึ่งในใจกลับมีความคิดค่อยๆ งอกเงยขึ้นมา

    ในหกกระบี่บ้านแตก ความสามารถของจิงเลี่ยเป็นที่หนึ่งอย่างไร้ข้อกังขาแม้แต่น้อย และตลอดมาหยวนซิ่งผู้ฝึกวิชาต้นตำรับของเส้าหลินมีทักษะลึกล้ำ อายุก็อยู่ในวัยแกร่งฉกรรจ์ที่สุดพอดี ทุกคนต่างก็ลอบเห็นพ้องต้องกันว่าจัดอยู่ในอันดับสองเหนือกว่าหู่หลิงหลัน ทว่าหลายปีมานี้ความรู้ความเข้าใจหลังผ่านการทะลวงฝึกปรือก้นหอยภูผาและต่อสู้กับโหวอิงจื้อของเยียนเหิง กอปรกับได้เรียนเคล็ดกระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมียเพิ่มเติม ทำให้มันก้าวหน้ามากอย่างยิ่ง วันนี้มันเป็นเช่นไรเมื่อเทียบกับหยวนซิ่ง ยังคงไม่เคยมีใครคิดอย่างจริงจัง

    ข้ากับหลวงจีนห่างกันเท่าใดกันแน่…ข้าเอาชนะมันได้หรือไม่…

    ปณิธานของนักสู้มิอาจระงับ ถึงแม้ผู้ที่เผชิญหน้าคือพวกพ้องที่เคยร่วมเป็นร่วมตาย

    เยียนเหิงอยากทดลองยิ่งนัก

    หยวนซิ่งคล้ายรับรู้ได้ถึงความคิดอ่านของเยียนเหิงจึงถูกกระตุ้น มันตวาดลั่นหนึ่งเสียง พลันเปลี่ยนวิธีจับพลองเสมอคิ้วเป็นจับสั้นตรงกลาง ใช้หัวพลองทั้งสองแกว่งประชิดตัวกระหน่ำตีเยียนเหิง

    จู่ๆ บุกมาโจมตีระยะประชิด เยียนเหิงไม่มีเวลาว่างให้หลบเลี่ยงได้อีก หากยังไม่ตอบโต้คงได้แต่ถูกฟาด

    เยียนเหิงแววตาแปรเปลี่ยนในชั่วขณะ เข้าสู่ภาวะจิตใจอีกประเภทหนึ่ง ‘วิชายืมภาวะ’

    กระบี่สั้นมือซ้ายหมุนกลับเป็นพลิกจับ กระบี่คู่ประกอบกันเป็นสามเหลี่ยมอันแยบยลอยู่หน้าลำตัว

    ร่างที่ห่ออกโก่งหลังพ่นปราดลมหายใจ ไรฟันเปล่งสุ้มเสียงเสมือนลมฤดูหนาวออกมา

    พลังทั่วร่างปะทุตามย่างก้าว ส่งผ่านสู่กระบี่คู่

    กระบี่พยัคฆ์มังกรคู่ผู้เมีย อสนีพยัคฆ์คำรน

    เพลงกระบี่อันทรงพลังที่เปิดฉากในระยะสั้นเช่นนี้ ในอดีตเยียนเหิงเคยใช้น้อยครั้งทำให้หยวนซิ่งผิดคาดอย่างมาก แต่มันชอบการสู้หัวชนฝาที่สุดอยู่แล้ว สองมือที่จับพลองรูดออกกว้างขึ้น หยวนซิ่งใช้ท่วงท่าเสมือนยกกระถางดันช่วงกลางของพลองเสมอคิ้วไปข้างหน้า หมายจะกระแทกกับกระบี่ยาวที่ตรงมาของเยียนเหิง

    กระบี่พลองปะทะกัน กลับไม่มีการดีดกลับแต่อย่างใด กระบี่พลองแนบชิดเหมือนดูดดึงซึ่งกันและกัน คนทั้งสองยืนอยู่ที่เดิม มิอาจบุกไปข้างหน้า

    เยียนเหิงไขว้กระบี่สั้นที่ใช้มือซ้ายพลิกจับตั้งอยู่บนกระบี่ยาว ต่อต้านการสกัดของหยวนซิ่งด้วยแรงทั้งหมด

    ขาทั้งสี่เหยียบจนพื้นทรายยุบลงเล็กน้อย

    แต่อย่างไรกระบี่เหล็กของเยียนเหิงก็หาใช่อาวุธจริงไม่ มิอาจต้านรับแรงทรงพลังจากการสู้หัวชนฝานี้จนเริ่มคดงอผิดรูปแล้ว

    นี่ทำให้ท่าต่อสู้อสนีพยัคฆ์คำรนของเยียนเหิงมิอาจรักษาต่อไปได้ เพื่อที่จะหลบพลังของหยวนซิ่ง มันจึงปล่อยด้ามกระบี่ออกในจังหวะสุดท้าย แล้วลงหมุนกลิ้งไปทางซ้าย

    หยวนซิ่งกระโจนพลาด พุ่งไปสองก้าวจึงยั้งเท้าได้ กระบี่เหล็กหักงอลอยไปด้านข้าง

    หยวนซิ่งกลับยังไม่หนำใจ ใช้สองมือจับปลายพลองอย่างรวดเร็ว ย่อนั่งท่านั่งม้าพลางหันกาย หมายจะใช้พลองทั้งท่อนฟาดตรงดิ่งไปยังเยียนเหิงที่อยู่บนพื้น

    เยียนเหิงที่นั่งย่อตัวพลิกจับกระบี่สั้นทื่อ เตรียมรับกระบวนท่านี้ด้วยแรงทั้งหมด…

    พลันเสียงตวาดประหนึ่งอสนีบาตยามแล้งดังขึ้น หยุดยั้งการรุกไล่ของหยวนซิ่ง

    หันไปเห็นเป็นจิงเลี่ย หู่หลิงหลัน และเลี่ยนเฟยหง ต่างเร่งมาถึงที่ว่างจากทิศทางที่ต่างกัน ผู้ที่เปล่งเสียงตวาดออกมาคือจิงเลี่ย มันเปลือยร่างท่อนบน ผมหยักยุ่งจนเหมือนรังนกก็มิปาน เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตื่นจากนอนกลางวัน ในมือถือดาบปีกปักษาพร้อมฝัก ดวงตาจ้องหยวนซิ่งเอาไว้เขม็ง

    หู่หลิงหลันกับเลี่ยนเฟยหงต่างก็พกอาวุธกลับมาจากนอกกำแพงค่าย พวกมันยังคิดว่ามีศัตรูภายนอกมารุกรานเสียอีก คิดไม่ถึงว่าผู้ที่ต่อสู้กันกลับเป็นหยวนซิ่งกับเยียนเหิง

    หลวงจีนคิดทำอะไรกันแน่…

    เยียนเหิงจึงมีโอกาสกลับสู่ท่ายืน มือซ้ายยังคงจับกระบี่สั้นระแวดระวังหยวนซิ่ง

    หยวนซิ่งปล่อยพลองเสมอคิ้วลง หัวพลองข้างหนึ่งลดลงแตะพื้น มันส่ายหน้าเขย่าสมองมองดูจิงเลี่ย

    “เจ้ามาแล้ว”

    “หลวงจีน เจ้ากลับห้องนอนสักตื่นจะดีกว่า” จิงเลี่ยยิ้มน้อยๆ กล่าวกับหยวนซิ่ง แต่ในดวงตาที่จ้องมองไม่มีรอยยิ้มสักนิด

    “นอน?” ดวงตาแฝงความบ้าระห่ำของหยวนซิ่งทอดไปบนดาบของจิงเลี่ย “ข้ากำลังคึกคัก นอนอันใด”

    กล่าวจบมันก็ลากพลองเสมอคิ้วเดินไปหาจิงเลี่ยทีละก้าว

    “ครั้งนี้ตาเจ้าคลายทุกข์ให้ข้า” ในดวงตาหยวนซิ่งทอแววดุร้ายออกมา

    มองเห็นหยวนซิ่งท้าประลองจิงเลี่ย หู่หลิงหลันและเลี่ยนเฟยหงจึงหมายเข้าไปห้ามปราม แต่จิงเลี่ยยกมือหยุดพวกมันเอาไว้ หู่หลิงหลันมองดูจิงเลี่ยด้วยความกังวลใจอย่างยิ่ง แต่มันยังคงเยือกเย็นและกางแขนทั้งสองออกยืดอกประจันหน้า หยวนซิ่งดึงพลองขึ้นตั้งท่าต่อสู้รับการโจมตีอีกครั้ง

    บนหน้ามันเปี่ยมล้นด้วยความตื่นเต้น หยวนซิ่งสบตากับจิงเลี่ยแล้วก้าวไปข้างหน้าอีกสามก้าว จวนจะบุกเข้าระยะโจมตีแล้ว ร่างของหยวนซิ่งแผ่กลิ่นอายการต่อสู้พลุ่งพล่านผิดปกติออกมาจนหกกระบี่บ้านแตกทุกคนล้วนรู้สึกได้

    มันเอาจริง

    เลี่ยนเฟยหงเดิมคิดเอ่ยปากด่าทอ แต่มันตกตะลึงชั่วขณะเพราะหยวนซิ่งเข้าสู่ภาวะนี้แล้ว มันเองก็มิอาจระงับความอยากรู้อยากเห็นของนักสู้ได้ หยวนซิ่งไม่มีโอกาสเอาชนะจิงเลี่ยในวันนี้ได้? คนทั้งสองห่างกันมากเท่าใด…

    “ชักดาบเถอะ”

    หยวนซิ่งเร่งเร้า ใบหน้าของมันเริ่มบิดเบี้ยว เปลี่ยนไปจนดุร้ายน่ากลัวกว่าหน้ากากยักษาครึ่งใบที่สวมใส่ขณะมันต่อสู้

    ราวกับผีสิง

    มันก้าวอีกหนึ่งก้าว พลองเสมอคิ้วคุกคามจิงเลี่ยได้แล้ว

    จิงเลี่ยลดสองมือลง ฝ่ามือขวาวางบนด้ามดาบปีกปักษา

    เยียนเหิงมองดูจากด้านนอก แผ่นหลังซึมเต็มไปด้วยเหงื่อ

    มันเชื่อมั่นต่อความสามารถในการแก้ไขวิกฤตของพี่จิง แต่ก็ไม่ลืมจิตใจชอบเอาชนะเสมือนเปลวไฟลุกโชนนั่น หยวนซิ่งยืนกรานจะต่อสู้เช่นนี้ ยากรับรองว่าจะไม่ทำให้จิงเลี่ยรับศึกอย่างลืมตัว…ตัวเยียนเหิงเองเมื่อครู่ก็เป็นเช่นนี้

    นี่เหมือนเช่นจุดไฟอยู่ข้างน้ำมันอ่างหนึ่ง

    จิงเลี่ยมองตรงไปยังส่วนลึกของดวงตาหยวนซิ่ง

    หยวนซิ่งคล้ายจะโจมตีในทุกขณะ

    “มาสิ” มันกัดฟันกล่าว “ข้าให้เจ้าเตรียมตัวลงมือ ให้ข้ารับท่าฟองคลื่นตัดเหล็กสักครั้ง”

    จิงเลี่ยได้ยินคำพูดของหยวนซิ่งยั่วยุก็เผยรอยยิ้มราวกับเด็กน้อยได้รับของเล่นออกมา มันกางสองขาออก คล้ายจะเริ่มตั้งท่าต่อสู้ออกกระบวนของท่าฟองคลื่นตัดเหล็ก

    แต่ขณะต่อมามันกลับละมือออกจากด้ามดาบช้าๆ

    คิ้วของหยวนซิ่งขมวดขึ้น

    “หลวงจีน เลิกเล่นได้แล้ว” จิงเลี่ยผ่อนคลายสีหน้า รอยยิ้มกลับสู่เช่นยามปกติ “ที่เรียกว่า ‘ไอสังหาร’ นี้ หลอกข้ามิได้”

    คนอื่นๆ ไม่เข้าใจว่าจิงเลี่ยกล่าวอะไร เพียงมองเห็นจิงเลี่ยล้มเลิกชักดาบเปิดลำตัวไร้ป้องกัน ขณะกำลังเป็นห่วงมันกลับสังเกตเห็นไอต่อสู้พลุ่งพล่านที่แผ่จากบนร่างหยวนซิ่งสลายหายไปแล้ว

    หยวนซิ่งถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนลดพลองเสมอคิ้วลงบนพื้นด้วยมือเดียว สีหน้ามันเศร้าซึมยิ่งนัก แต่ก็คล้ายโล่งอกต่อตนเอง

    “ข้าคิดว่าจะได้ลองรับกระบวนท่าของเจ้าด้วยแรงทั้งหมดสักครั้งเสียอีก”

     

    หยวนซิ่งเปลือยท่อนบนเดินเข้ามาจากในแม่น้ำ กลิ่นสุราและคราบสกปรกทั่วร่างล้วนถูกชะล้างออกไปแล้วทั้งหมด เยียนเหิงยื่นผ้าผืนหนึ่งให้มัน หยวนซิ่งพยักหน้ารับมา เช็ดผมเผ้าหนวดเคราและร่างกายจนแห้ง ค่อยสวมชุดคลุมยาวที่ถงจิ้งมอบให้มัน

    เยียนเหิงมองเห็นหยวนซิ่งแววตาใสสว่าง ไม่มีความมึนเมาแม้แต่น้อย นี่หาได้เป็นเพราะอาบแช่ในแม่น้ำอันเย็นเยียบไม่ หยวนซิ่งเสแสร้งแกล้งเมาตั้งแต่แรกแล้ว

    ข้าถูกมันหลอกแล้ว…

    ยามนี้เยียนเหิงจึงหวนนึกขึ้นได้ว่าขณะต่อสู้กับหยวนซิ่ง นอกจากการปะทะกันกระบวนท่าสุดท้ายแล้ว ความจริงมันล้วนรั้งพลังไว้สองส่วน เพราะหลังเยียนเหิงถูกจู่โจมกะทันหันก็เคลิบเคลิ้มอยู่กับการรุกรับต่อต้าน กอปรกับหัวใจที่ชอบต่อสู้ได้กลบเกลื่อนการแยกแยะไปจนสิ้น

    กลับเป็นพี่จิง ที่มองออกในแวบเดียว…

    จิงเลี่ยกับหู่หลิงหลันและเลี่ยนเฟยหงนั่งอยู่บนฝั่งแม่น้ำมาตลอด มองดูหยวนซิ่งชำระล้างร่างกาย ยามนี้เลี่ยนเฟยหงทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงตะโกนเรียกหยวนซิ่ง “หลวงจีน ถึงเวลากล่าวเรื่องราวให้กระจ่างชัดแล้ว!”

    หยวนซิ่งทอดมองทิวทัศน์อันสวยงามของฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ มันที่เป็นคนตรงไปตรงมาอยู่เสมอ กลับคิดอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยปาก

    “แรกเริ่มข้าออกจากวัดเส้าหลินลงเขา…เพื่ออู่ตัง” ขณะมันกล่าว ดวงตาเหมือนมองเห็นลักษณะของวัดแห่งนั้นที่ตนเองเติบโตมารางๆ ในดวงตาปรากฏแววคิดถึง “สำนักอู่ตังท้าประลองยุทธภพในใต้หล้า แต่เส้าหลินเรากลับหลบอยู่ในเขา มิได้ยับยั้งความทะเยอทะยานของอู่ตัง นั่นช่างอัดอั้นเหลือเกินจริงๆ ในตอนนั้นข้าคิดใช้กำลังของตัวเองผู้เดียวกระตุ้นเส้าหลินร่วมศึก…จะเป็นข้าสังหารศิษย์อู่ตังไม่กี่คน หรืออู่ตังสังหารข้าก็ได้ สรุปแล้วข้ามิอาจนั่งรอเหยาเหลียนโจวมาเยือนซุ้มประตูวัดเส้าหลินในภายหน้า”

    หยวนซิ่งก้มหน้าลง มองดูสองขาที่เปลือยเปล่าของตนเอง มันส่ายหน้าปล่อยหัวเราะ

    “แต่ความจริงคำพูดนี้ของข้าหลอกลวงตัวเองเล็กน้อย ยังมีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่ยอมรับมาโดยตลอด ข้าไม่พอใจที่อู่ตังเรียกขานตนเองว่าใต้หล้าไร้เทียมทาน ข้าจะใช้หมัดพลองของตัวเองพิสูจน์ว่าวิทยายุทธ์เส้าหลินสูงส่งกว่าวิทยายุทธ์อู่ตัง ต้นตำรับวรยุทธ์ใต้หล้าก็ดี ใต้หล้าไร้เทียมทานก็ช่าง…ข้าต้องชนะ!

    ที่ซีอาน อาจารย์ทวดใหญ่ไล่ข้าไป มิได้พาข้ากลับวัดเส้าหลิน มันให้ข้าไปดูโลกิยะ กล่าวตามจริงถึงวันนี้ข้าก็ไม่เข้าใจว่าอาจารย์ทวดใหญ่ให้ข้าไปดูอะไรบ้าง และไม่รู้ต้องไปหาที่ใด แต่การจับพลัดจับผลูกลับทำให้ข้ากับพวกเจ้าคบกันเป็นพวกพ้อง กระทำเรื่องราวมากมายนี้ด้วยกัน

    หวนนึกถึงหลายปีนี้ที่ข้าติดตามทุกคน ประการแรกรู้สึกว่าฝึกปรือร่วมกันเช่นนี้ทำให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ประการที่สองเชื่อว่าสักวันหนึ่งพวกเราจะตัดสินกับอู่ตังอีกครั้ง…สัญญาสงบศึกห้าปีนั้นที่เหยาเหลียนโจวตั้งไว้กับยุทธภพในใต้หล้า ข้ารู้สึกว่าส่วนใหญ่ล้วนเพื่อจิงเลี่ย เยียนเหิง และถงจิ้ง”

    เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จิงเลี่ยไม่ออกความเห็น แต่คล้ายรู้สึกเห็นด้วยในใจเช่นกัน เยียนเหิงฟังแล้วร้อนใจขึ้นมา ถงจิ้งเบิกตาโพลง

    “ใช่แล้ว คุณหนูใหญ่ถง” หยวนซิ่งกล่าว “เจ้าเองก็มีส่วน ในวันนั้นเจ้าใช้กระบี่ทำร้ายมือกระบี่อู่ตัง คิดว่าเหยาเหลียนโจวมิได้สนใจหรือ พรสวรรค์ของเจ้าทำให้คนผู้นั้นมิอาจไม่ยอมรับเช่นกัน อีกทั้งอยากดูการเติบโตของเจ้ายิ่งนัก อย่าให้การรอคอยของคนมากมายที่มีต่อเจ้าต้องเสียเปล่าล่ะ”

    เลี่ยนเฟยหงฟังแล้วพยักหน้าโดยพลันอยู่ด้านข้าง ถงจิ้งอดมิได้ที่จะคิดว่าหากสำนักอู่ตังยังอยู่ บัดนี้นัดหมายห้าปีนั้นก็ถึงกำหนดแล้ว

    ข้าจะเติบโตถึงระดับที่เหยาเหลียนโจวคาดการณ์หรือ…

    “แต่สำนักอู่ตังไม่มีแล้ว” หยวนซิ่งกล่าวสืบต่ออีก “และหลายปีมานี้พวกเราหกกระบี่บ้านแตกผูกไมตรีลึกซึ้งกัน เพราะประสบการณ์และความยากลำบากอันหลากหลาย นี่คือสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่งสำหรับข้า แต่อย่างไรข้าก็เป็นผู้ออกบวช ไมตรีนี้หาใช่สิ่งที่ข้าต้องแสวงหาอย่างแท้จริง และมิใช่สิ่งที่อาจารย์ทวดใหญ่ปรารถนาให้ข้าตามหาขณะขับไล่ข้าวันนั้น ฉะนั้นวันเวลาที่ผ่านมาข้าจึงเริ่มคิดว่าเพราะเหตุใดตนเองยังต้องอยู่ต่อ ข้าหาเหตุผลมิได้”

    เมื่อฟังหยวนซิ่งกล่าวเช่นนี้แล้ว พวกมันก็รู้สึกผิดคาด หลายเดือนนี้ทุกคนล้วนสงสัยว่าไฉนหยวนซิ่งเหลวไหลตกต่ำกว่าเดิม ที่แท้กลับกัน มันนั้นครุ่นคิดได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเวลาใดๆ ก่อนหน้านี้ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายก็เกิดขึ้นจากการแสวงหาในจิตใจ วรยุทธ์ของมันฉับไวยิ่งขึ้น การควบคุมกระบวนท่าละเอียดแม่นยำกว่าเดิม ก็เป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงของใจ

    แต่ไม่ว่าจะก้าวหน้าเช่นไร อย่างไรมันก็ตามไม่ทันคนผู้หนึ่ง

    สายตาของหยวนซิ่งทอดบนร่างจิงเลี่ย

    “ข้าไม่อยากจากทุกคน แต่ผู้ที่ทำให้ข้าตัดสินใจได้อย่างแท้จริงคือเจ้า”

    จิงเลี่ยมองดูหลวงจีน มันตอบรับด้วยความเงียบงัน แต่ในใจรู้แล้วว่าหยวนซิ่งจะกล่าวอะไร

    “ระยะห่างของข้ากับเจ้าไกลขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…โดยเฉพาะหลังเจ้าเข้าใจท่าฟองคลื่นตัดเหล็ก” หยวนซิ่งยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวช้าๆ “เป็นพวกพ้องของหกกระบี่บ้านแตก ข้าย่อมดีใจ แต่ข้ามิอาจหยุดคิดว่าตนเองก็สมควรเสาะหาอะไรบ้างหรือไม่ หาไม่เป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าจำต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความกลัดกลุ้มที่ตามเจ้าไม่ทัน อยู่ในความยึดติดที่ไม่มีทางออกไปวันๆ”

    จิงเลี่ยยังคงไม่กล่าวคำ มันเพียงประสานสายตากับหยวนซิ่ง คนทั้งสองต่างเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายอย่างแจ่มแจ้ง แต่ถึงแม้เป็นเช่นนี้ จิงเลี่ยก็มิอาจกล่าวอะไร

    บนหนทางแสวงหาจุดสูงสุด เมื่อถึงขั้นหนึ่ง มักจะโดดเดี่ยว

    “เพียงแต่สุดท้ายข้ายังคงอยากตามใจตัวเองสักครั้ง” หยวนซิ่งปล่อยหัวเราะกล่าว ด้วยเหตุนี้มันจึงแสร้งบ้าเพื่อจะลองรับท่าไม้ตายของจิงเลี่ยสักครั้ง

    “ขออภัย” ยามนี้หยวนซิ่งประนมมือหาเยียนเหิง เยียนเหิงรีบโบกมือบอกเป็นนัยว่ามิได้ถือสา มันเข้าใจความคิดของหยวนซิ่งยิ่งนัก…เมื่อครู่ตัวมันเองก็กระหายใคร่จะวัดฝีมือกับหยวนซิ่ง

    “หลวงจีน…ท่านจะไปแล้ว?” ถงจิ้งน้ำตาคลอเบ้า

    “หลังพี่จิงแต่งงาน” หยวนซิ่งพยักหน้า แต่บนหน้าไม่มีความโศกเศร้าที่จะต้องแยกจากสักนิด ถงจิ้งมองดูหลวงจีน ซ้ำยังมองดูหู่หลิงหลัน นางจึงรู้ว่าที่แท้คนทั้งสองล้วนมีความคิดใกล้เคียงกัน พวกมันล้วนรู้ตัวว่าตามจิงเลี่ยบนวิถียุทธ์ไม่ทัน จำต้องแสวงหาเส้นทางอีกสายหนึ่ง หาไม่จิตใจจะไม่มีวันสงบ

    แล้วตัวข้าล่ะ…

    นางอดมิได้ที่จะหวนนึกถึงคำพูดที่จิงเลี่ยเคยกล่าวกับถงป๋อสยงผู้เป็นบิดาในวันนั้น

    ‘ทุกคน ล้วนมีทางของตัวเอง’

    ทางของข้า…ข้าจะดำเนินต่อไปอีกหรือไม่

    ถงจิ้งพลันพบว่าตนเองเปลี่ยนไปจนไม่คุ้นเคยแล้ว

     

    แปดวันให้หลัง จิงเลี่ยกับเต่าจินหู่หลิงหลัน แต่งงานกันอย่างเป็นทางการ

    เป็นวันที่อากาศดีโปร่งใสไร้เมฆหมอก พวกมันทั้งสองล้วนชมชอบแสงแดด พิธีจึงจัดขึ้นกลางแจ้งใต้ดวงอาทิตย์ หวังโส่วเหรินมาเข้าร่วมที่ค่ายหน้าสุ่ยเหยียน ภายใต้การติดตามของเมิ่งชีเหอและทหารชาวบ้านคนสนิทหลายนาย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพงานแต่งด้วยกันกับเลี่ยนเฟยหง

    แม้ประเพณีจะต่างกับบ้านเกิด แต่หู่หลิงหลันยังคงยอมสวมอาภรณ์วิวาห์สีแดง บนศีรษะคลุมผ้าแดงก้าวออกมาจากในบ้าน บนหน้านางพอกแป้งแต้มชาดพอประมาณ เพริศพริ้งยิ่งกว่ายามปกติ แม้กระทั่งเลี่ยนเฟยหงกับหยวนซิ่งก็มองตาค้าง

    จิงเลี่ยน้อยครั้งจะแต่งตัวตามแบบแผน มันสวมเสื้อผ้าเป็นระเบียบเรียบร้อย ผมยุ่งฟูก็หวีสางมัดรวบเข้าที่ อกและไหล่อันล่ำสันของมันขึงจนชุดคลุมเต็มตึง ใบหน้าอันป่าเถื่อนนั้นช่างดูไม่เข้ากับอาภรณ์สักนิด ถงจิ้งเห็นแล้วหัวเราะพรวดออกมา

    “เหมือนลิงสวมเสื้อผ้าของคน…”

    จิงเลี่ยหน้าแดงก่ำมิได้โต้เถียงถงจิ้ง เพราะมันเพิ่งประสบกับสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก เยียนเหิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งถลึงตามองถงจิ้ง บอกเป็นนัยให้นางอย่าหยอกเย้าพี่จิงอีก

    รูปแบบพิธีเรียบง่ายยิ่งนัก คนทั้งสองอยู่บนฝั่งแม่น้ำหน้าค่าย กราบไหว้ฟ้าดิน จากนั้นกราบหวังโส่วเหรินกับเลี่ยนเฟยหงผู้อาวุโสทั้งสองท่าน

    “พวกเจ้าทั้งสอง ความจริงควรอยู่ด้วยกันนานแล้ว” ขณะเลี่ยนเฟยหงรับการโขกศีรษะจากจิงเลี่ยและหู่หลิงหลันก็ยิ้มอย่างชื่นบาน อดมิได้ที่จะกล่าวเช่นนี้ ใต้เท้าหวังที่อยู่ด้านข้างก็ลูบเคราพยักหน้า

    เทียบกับตอนพบกันเมื่อหลายเดือนก่อน หวังโส่วเหรินดูเหมือนสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น กระทั่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวกราบไหว้ฟ้าดินจึงเผยรอยยิ้มอันสุขใจ

    เหล่าหกกระบี่บ้านแตกล้วนมิได้ถาม แต่รู้แล้วว่าใต้เท้าหวังต้องกังวลเรื่องราชการเป็นแน่ ดูเหมือนตำหนักหนิงอ๋องจะเหิมเกริมยิ่งกว่าก่อนหน้าเสียแล้ว

    ได้เป็นประจักษ์พยานขณะจิงเลี่ยสมรส หวังโส่วเหรินปีติยินดีจากใจจริง หกกระบี่บ้านแตกแม้เป็นคนบ้ากลุ่มหนึ่ง แต่กลับเป็นกลุ่มคนที่จริงใจซึ่งหาได้ยากอย่างยิ่งในหมู่มนุษย์ที่มันรู้จัก หวังโส่วเหรินแม้มิอาจเข้าใจความบ้าระห่ำของการต่อสู้ที่พวกมันแสวงหา แต่ก็ชื่นชมอย่างยิ่งต่อการกระทำของคนทั้งหก พวกมันต่างก็เคยเคียงไหล่ทำศึกเป็นตายด้วยกันที่หลูหลิง มิตรภาพส่วนนั้นไม่เหมือนคนทั่วไป ลึกซึ้งยิ่งกว่าความสัมพันธ์ของมันกับผู้ร่วมอุดมการณ์ในวงราชการ บัดนี้หกกระบี่บ้านแตกมีคนเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วในที่สุด หวังโส่วเหรินจึงรู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้ง

    สุดท้ายจิงเลี่ยกับหู่หลิงหลันคารวะซึ่งกันและกัน กลายเป็นสามีภรรยาโดยสมบูรณ์

    หู่หลิงหลันมองดูภูมิทัศน์ของที่แห่งนี้ นึกโยงถึงทิวทัศน์ภูเขาไฟกับชายฝั่งทะเลอันโอ่อ่าของเกาะลู่เอ๋อร์อันเป็นบ้านเกิดที่อยู่แสนไกล หู่หลิงหลันออกเรือนอยู่ที่นี่ลำพังผู้เดียว อดมิได้ที่จะคิดถึงสถานที่เก่ากับครอบครัวที่แคว้นซ่าหมัว น้ำตาสองสายหลั่งไหลลงมา หลอมละลายแป้งชาดที่ปรางแก้ม

    จิงเลี่ยเห็นจึงใช้ฝ่ามืออันกว้างหนาและอบอุ่นของมันเช็ดน้ำตาบนหน้านางออกไปเบาๆ ค่อยจูงมือที่เต็มไปด้วยหนังด้านเช่นเดียวกันของนางเอาไว้ หู่หลิงหลันรู้สึกว่าทั่วร่างตนเองล้วนถูกความอบอุ่นโอบล้อม นางรู้สึกดีอย่างยิ่งที่ตนเองยืนกรานโดยสารเรือมาตะวันตก…ออกจากบ้านมา กลับพบบ้านที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง

    จิงเลี่ยจูงหู่หลิงหลันพลางรู้สึกถึงโชคดีที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่มันไม่เคยได้รับมาก่อนบนวิถียุทธ์ในอดีต นี่หาใช่การจูงมือนางครั้งแรกของมันไม่ แต่มันรู้ว่าความหมายของครั้งนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน

    ครั้งนี้นางไม่มีวันจะหนีไปอีกแล้ว

     

    วันถัดมาหลังผ่านพ้นงานเลี้ยง หกกระบี่บ้านแตกอำลาหวังโส่วเหริน หยวนซิ่งเองก็ตัดสินใจแยกตัวแล้ว จึงถือโอกาสคุ้มกันส่งใต้เท้าหวังเดินทาง

    หยวนซิ่งมิได้พกอะไรเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ มันสวมจีวรคลุมร่าง คอนพลองเสมอคิ้ว ในถุงสัมภาระเป็นเกราะมนุษย์ทองคำครึ่งร่างกับเสบียงกรังน้ำสะอาด นอกจากนั้นไม่มีสิ่งอื่นใดอีก

    มันมอบอาไหลให้ถงจิ้งก่อนออกเดินทาง “มันติดตามข้าจะหิวโหยได้ทุกเมื่อ ให้เจ้าไว้จะดีกว่า” หยวนซิ่งกล่าวเช่นนี้ มันเพียงโบกมือเบาๆ อาไหลก็เดินมาข้างขาถงจิ้งอย่างว่าง่าย คล้ายเข้าใจความคิดในใจหยวนซิ่งได้…เหมือนเช่นในปีนั้นขณะมันติดตามหยวนซิ่งในพงไพร

    ถงจิ้งอดมิได้ที่จะร้องไห้จนจมูกแดง หยวนซิ่งลูบศีรษะโล้นเกลี้ยงและคางที่เพิ่งโกนของตนด้วยสีหน้าเบิกบาน มันแย้มยิ้มพลางตบศีรษะของถงจิ้งเบาๆ

    “พวกเราต้องได้พบกันอีกแน่”

    หยวนซิ่งอำลาหกกระบี่บ้านแตกคนอื่นๆ มันมองขณะจับมือกับเยียนเหิงพลางกล่าว “เจ้าเดินบนทางที่ถูกต้อง หากก้าวหน้าสืบต่อไป เจ้าไม่มีทางพ่ายให้พี่จิง”

    นี่คือการประเมินที่ไม่ง่ายดายเอาเสียเลย และเยียนเหิงรู้ว่าหยวนซิ่งไม่เคยมดเท็จ มันฟังแล้วเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาวูบหนึ่ง มิอาจเอ่ยคำ

    “ตาเฒ่า อย่าฝืนตัวเองเกินไปเสียล่ะ” หยวนซิ่งชกหน้าอกของเลี่ยนเฟยหงเบาๆ แล้วหันหน้ามองไปยังหู่หลิงหลัน “คลอดจิงเลี่ยน้อยออกมาไวๆ สืบทอดสายเลือดของเจ้า รับรองว่าเด็กนี่จะเอาชนะบิดาได้แน่”

    หู่หลิงหลันแย้มยิ้มอย่างขวยเขิน

    สุดท้ายมันกับจิงเลี่ยจับมือกัน

    “ได้รู้จักกับเจ้าที่ซีอานในวันนั้น ประเสริฐจริงๆ”

    หยวนซิ่งเพียงกล่าวเรียบง่ายเช่นนี้ จิงเลี่ยเองก็พยักหน้า ระหว่างพวกมันไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรให้มากอีก

    หยวนซิ่งหยิบถุงผ้าขึ้น แล้วจึงติดตามม้าของพวกหวังโส่วเหรินเดินจากไป

    กระทั่งเลือนหายไปในที่ไกล มันก็มิได้หันหน้ามา

     

    เช้าตรู่วันที่สอง เลี่ยนเฟยหงทำกิจวัตรประจำวันซ้ำอีก มันนั่งสมาธิปรับลมหายใจบนเตียง ฝึกท่าทางของคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นผ่อนคลายร่าง พกอาวุธที่ชอบใช้แต่ละชนิด ออกไปฝึกยุทธ์ที่ป่าตามลำพัง แต่มันมิได้สังเกตว่าเบื้องหลังมีเงาร่างปราดเปรียวเงาหนึ่งสะกดรอยตามตนเองอยู่ตลอด

    ถงจิ้งหลบอยู่มุมหนึ่งของป่า มองดูเลี่ยนเฟยหงฝึกฝนกระบวนท่าต่างๆ อยู่ในป่าสลัวจากไกลๆ เลี่ยนเฟยหงเปล่งเสียงครวญครางอันแผ่วเบาออกมาตลอดเวลา และฝึกฝนร่ายรำท่าทางของทุกกระบวนท่าออกมาอย่างเปลืองแรงหนแล้วหนเล่าจนอวัยวะในร่างกายประสานงานกัน ถงจิ้งจึงรู้ว่าเลี่ยนเฟยหงทนรับความทรมานเพียงใด ทุ่มเทเพียงใดในทุกวันเพื่อที่จะชี้แนะตนเอง

    ทุกวันมันล้วนพยายามไขว่คว้าความสามารถที่กำลังจะสูญหายไปของตนเองเอาไว้สุดกำลัง ข้ากลับทิ้งความสามารถของตัวเองมิได้สำแดงอย่างแท้จริง

    เช่นนี้ข้าผิดต่อมันหรือไม่ ผิดต่อตัวข้าเองหรือไม่

    ถงจิ้งใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาบนหน้าออกไป กระทั่งแน่ใจว่าหยุดร่ำไห้แล้ว จึงกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้

    “วันนี้พวกเราจะฝึกอะไร”

    เลี่ยนเฟยหงเหลือบเห็นถงจิ้ง พลันคิดว่าท่วงท่าย่ำแย่ของตนเองคงถูกนางลอบมองแล้ว จึงอดมิได้ที่จะหน้าแดงฉานถ้วนทั่ว แต่เห็นถงจิ้งกลับคืนสู่ความกระตือรือร้นที่จะฝึกยุทธ์ในใจก็ยินดียิ่งนัก มันเก็บแส้พลองที่วางอยู่ข้างต้นไม้ขึ้นมาพลางกล่าว

    “ต่อจากคราวก่อน ดีหรือไม่”

    ถงจิ้งพยักหน้าและเข้าไปรับแส้พลอง นางแกว่งหลายทีและมองดูต้นไม้พลางกล่าวพึมพำ “ข้าตัดสินใจแล้ว จะไม่เป็นเหมือนพี่หลัน”

    “หมายความว่าอันใด” เลี่ยนเฟยหงถาม

    “พวกท่านล้วนคิดว่าจะแสวงหาสุดยอดวิทยายุทธ์เพื่อเป็นหนึ่งในใต้หล้าก็ต้องละทิ้งบางอย่าง” ถงจิ้งกล่าวด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างเปี่ยมล้น “แต่นี่หาใช่เรื่องที่จะให้ใครเป็นผู้ตัดสินไม่ หากข้าคือยอดอัจฉริยะร้ายกาจเช่นที่พวกท่านบอกจริง ข้าก็ต้องกระทำเรื่องราวที่ผู้อื่นทำไม่ได้กระมัง เช่นนั้นข้าก็จะเป็นยอดฝีมือเลิศล้ำคนแรกในใต้หล้าที่แต่งงานมีสามี!”

    เลี่ยนเฟยหงฟังจบก็ตกตะลึง ขณะต่อมามันก็ตื่นเต้นจนแย้มยิ้มขึ้น บุคลิกที่เผยออกมาขณะกล่าวคำพูดนี้ของศิษย์ผู้นี้คือสิ่งที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน

    ยามนี้ใบหน้าของถงจิ้งแดงซ่านขึ้นอีก นางใช้แส้พลองชี้เลี่ยนเฟยหงพลางกล่าว

    “คำพูดประโยคสุดท้ายของข้าเมื่อครู่ ท่านอย่าได้บอกเยียนเหิง! หาไม่ข้าจะฆ่าท่านแน่!”

     

    แสงจันทร์ส่องสะท้อนรอบด้านลำธารเล็กๆ ในเขาจนเห็นชัดเจน ต้นไม้ใบหญ้าล้วนปิดไว้ด้วยสีฟ้าเปล่งประกายชั้นหนึ่ง ท่ามกลางเสียงน้ำไหลจ๊อกๆ ทุกสิ่งดุจดั่งความฝัน

    จิงเลี่ยเลือกเนินหญ้าผืนหนึ่งห่างจากริมลำธารสิบกว่าฉื่อ วางถุงสัมภาระที่ใส่อาหารและอาวุธลง ทยอยปัดกวาดก้อนกรวดบนพื้นหญ้าทีละก้อนอย่างระมัดระวัง กางเสื่อฟางผืนใหญ่ที่ม้วนอยู่ออก ปูผ้าฝ้ายด้านบนเพิ่มอีกชั้นหนึ่ง แล้วจึงจัดมันอย่างตั้งใจ ใช้ก้อนหินทับมุมทั้งสี่เอาไว้

    หลังจัดที่นอนเสร็จ จิงเลี่ยขุดหญ้ากองหนึ่งออกไป ใช้ก้อนหินล้อมเป็นวงเล็กๆ ก่อนก่อไม้ฟืนที่เตรียมไว้

    ขณะหันหน้าไปหาเชื้อเพลิง จิงเลี่ยกลับเห็นหู่หลิงหลันคุกเข่าอยู่บนที่นอนพอดี นางกำลังปลดสายคาดเอวและปมเชือกออกช้าๆ

    จิงเลี่ยมองดูชุดคลุมนั้นร่นลง เผยเรือนร่างอันแข็งแรงงดงามของหู่หลิงหลันออกมา

    แสงจันทร์ร่างเค้าโครงโค้งมนอ่อนช้อยทุกชุ่นของร่างกายนางออกมา ทำให้จิงเลี่ยลุ่มหลงจนลืมหายใจ หู่หลิงหลันเปลือยเปล่าท่ามกลางฟ้าดินเปิดกว้างในคืนจันทร์เพ็ญนี้ หาได้เอียงอายสักนิดไม่ ดวงตาที่สะท้อนเป็นสีฟ้าของนางมองตรงไปยังจิงเลี่ย เปิดเผยทุกสิ่งของตนเองต่อมัน

    ขณะนี้จิงเลี่ยจึงรู้อย่างแท้จริงว่าความสัมพันธ์กับหู่หลิงหลันที่ยืดเยื้อมาหลายปีนี้ ตนเองพลาดอะไรไป

    มันมองเห็นขนแขนของนางลุกซู่เพราะความหนาวเย็น มันหยิบผ้าห่มที่วางอยู่บนที่นอนขึ้น เข้าไปคุกเข่าโอบกอดนาง ใช้ผ้าห่มคลุมตนเองกับนางสองคน

    ต่างรับรู้ได้ถึงไออุ่นของฝ่ายตรงข้าม

    “ข้าผิดไปแล้ว” จิงเลี่ยกล่าวข้างหูนาง “ในตอนแรกที่ซ่าหมัว สมควรพาเจ้าไปแต่แรก”

    หู่หลิงหลันส่ายหน้า “มิใช่ หากไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ เจ้าคงไม่รู้จักข้าที่แท้จริง ข้าเองก็คงไม่รู้จักเจ้าที่แท้จริง”

    จิงเลี่ยลูบไล้แผ่นหลังขาวผ่องของหู่หลิงหลันที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากการต่อสู้และอดมิได้ที่จะพยักหน้า

    นางกอดมันแน่นยิ่งขึ้น หัวใจสองดวงเต้นอยู่แนบกัน

    “เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง” หู่หลิงหลันยามนี้กล่าว

    จิงเลี่ยมองดูดวงตาของนางอย่างใกล้ชิด สดับฟังด้วยความจริงใจ

    “อย่าเปลี่ยนแปลงตัวเจ้าเองเพื่อข้า” นางกล่าว “อย่าหยุดเดินบนทางที่เจ้าควรเดินเพราะข้า ข้ารู้ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร…เจ้าจำต้องทำเรื่องที่อู้ตันทำ เช่นนั้นก็ไปทำเถอะ มีเพียงเช่นนี้ข้าจึงสมกับคำว่า ‘ภรรยาของนักสู้’ โปรดอย่าทำให้ข้าเสียใจ”

    จิงเลี่ยตื้นตันไม่หยุด

    หู่หลิงหลันเดาความคิดในใจมันทะลุปรุโปร่งทั้งหมด

    บนโลกไม่มีอู่ตังอีกแล้ว หนทางอันแข็งแกร่งที่สุดที่จิงเลี่ยแสวงหาก็เหลือเพียงหนึ่งเดียว เลียนแบบอู่ตัง ท้าประลองเหล่าผู้กล้าแห่งยุทธภพในใต้หล้า

    เฉกเช่นที่เหยาเหลียนโจวเคยกล่าวกับจิงเลี่ยขณะพบกันที่ซีอานวันนั้น เดิมทีพวกมันคือพวกเดียวกัน หากไม่มีอู่ตังเป็นเป้าหมาย จิงเลี่ยก็คงเดินบนเส้นทางเช่นเดียวกับอู่ตังนานแล้ว

    เพียงแต่จิงเลี่ยหาได้มีความอยากเอาชนะอันใหญ่หลวงเช่นอู่ตังไม่ มันไม่เคยคิดจะให้ใครยอมจำนน และมิได้จะทำลายล้างสำนักที่ไม่ยอมปฏิบัติตามแต่อย่างใด มันเพียงอยากพิสูจน์ว่าตนเองแข็งแกร่งที่สุด ไปปีนป่ายยอดเขาที่เมื่อก่อนดูคล้ายไม่อาจไปถึง แต่บัดนี้กลับค่อยๆ ปรากฏตรงหน้าแล้ว ไปเผาผลาญชีวิตที่มีจำกัดของตนเองให้สิ้นสุด

    เผาผลาญตนเองก็จะลุกลามผู้ใกล้ชิดตนเองเช่นกัน

    แต่หู่หลิงหลันบอกว่าไม่ถือสา นางจะโอบกอดเพลิงโหมกองนี้

    ไม่ว่าสุดท้ายจะหลงเหลืออะไร

    นี่คือหน้าที่ของสตรีตระกูลนักสู้ที่นางเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก แม้นางทรยศหนีออกมานานแล้ว แต่หัวใจดวงนี้มิได้เปลี่ยนแปลง

    จิงเลี่ยหลั่งน้ำตารินไหลลงมา

    ในปีนั้นเมื่อกลับถึงเฉวียนโจวและมองเห็นป้ายหลุมศพของจิงเจ้าบิดาบุญธรรม อาจารย์อาเผยซื่ออิงและเหล่าสหายร่วมสำนักหู่จุนหนานไห่ มันก็เคยหลั่งน้ำตาที่หาได้ยากเช่นกัน

    ในวันนั้นมันสูญเสียครอบครัวไป วันนี้มันมีครอบครัวอีกครั้ง

    ความเดียวดายอันยาวนาน จบสิ้นลงแล้วในที่สุด

    จิงเลี่ยในวัยสามสิบเอ็ดปี ชีวิตก้าวสู่ความเพียบพร้อม

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook