• Connect with us

    Enter Books

    เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    ทดลองอ่านนิยาย เพลงกลอนคลั่งยุทธ์ เล่ม 19 บทที่ 2

    บทที่ 2

    เดินทัพ

     

    เสิ่นเสี่ยวอู่ดื่มน้ำหลายอึกจนรู้สึกว่าลำคอปลอดโปร่งชุ่มชื้น มันเลียริมฝีปากที่แห้งกร้านแต่เดิม เช็ดหยดน้ำที่ย้อยอยู่ตรงคางแล้วยื่นกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำให้พวกพ้องคนต่อไป

    มันกับทหารชาวบ้านร้อยกว่านายที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ขณะนี้กำลังนั่งดื่มน้ำพักผ่อนอยู่บนกองหิน บนเส้นทางช่วงนี้และบริเวณใกล้เคียงมีร่มไม้ไม่เท่าใดนัก พวกมันได้แต่มาอยู่บริเวณนี้ มีก้อนหินให้นั่งได้ก็ไม่เลวแล้ว

    ดวงอาทิตย์เดือนเจ็ดที่ร้อนผ่าวส่องต้องใบหน้า ตั้งแต่ผ้าโพกศีรษะจนถึงสนับแข้งและรองเท้าฟางของพวกมันล้วนเต็มไปด้วยเหงื่อ มีบางคนใช้หมวกฟางพัดหาลมไม่หยุด แต่หลายคนขี้เกียจขยับตัว แค่ดื่มด่ำช่วงเวลาที่วางสิ่งของหนักเช่นอาวุธยุทธภัณฑ์ลงชั่วคราวแล้วพักผ่อนเงียบๆ

    เสิ่นเสี่ยวอู่ทอดสายตามองไป กวาดมองพวกพ้องกองทัพคุณธรรมนับไม่ถ้วนที่รวมตัวพักผ่อนอยู่บนท้องทุ่ง นับตั้งแต่ออกเดินทางเดินทัพจากจี๋อันจนถึงวันนี้ก็เป็นวันที่สี่แล้ว แต่มันยังคงรู้สึกว่าภาพเหตุการณ์ตรงหน้าไม่เป็นความจริงสักนิด

    คนมากเพียงนี้…

    “เหล่าฟั่น” เสิ่นเสี่ยวอู่ถามพวกพ้องที่สนิทที่สุดข้างกาย “เมื่อวานเจ้าบอกว่ากองทัพพวกเรามีทั้งหมดกี่นาย”

    เหล่าฟั่นเกาปรางแก้ม “สิบสี่หมื่น เบื้องบนได้ยินมาเช่นนี้”

    เสิ่นเสี่ยวอู่มองกองทัพ พยักหน้าเงียบๆ

    แน่นอนว่ามันกับเหล่าฟั่นไม่มีทางรู้ว่าสิบสี่หมื่นเป็นเพียงข่าวที่หวังโส่วเหรินจงใจสร้างขึ้น ความจริงในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน กองทัพคุณธรรมที่ใต้เท้าหวังรวบรวมได้มีเพียงแปดหมื่นและใช่ว่าจะใช้งานพร้อมกันทั้งหมด ทหารชาวบ้านจากพื้นที่อื่นอีกหลายส่วนล้วนรวมตัวกันต่อมาหลังจากนั้น

    เรื่องนี้สำหรับเสิ่นเสี่ยวอู่แล้วคือจำนวนที่มิอาจจินตนาการ ใบหน้าสี่เหลี่ยมเข้มคล้ำหยาบกร้านของเสิ่นเสี่ยวอู่เด็ดเดี่ยวและเยาว์วัย ปีนี้มันมีอายุเพียงสิบเก้าปี แต่มิได้ออกรบครั้งแรก สามปีก่อนหวังโส่วเหรินปราบโจรที่เจียงซีใต้ แม้เสิ่นเสี่ยวอู่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่เพราะรูปร่างแข็งแรงจึงถูกจวนว่าการระดมไปร่วมรบเช่นกัน บัดนี้ในกองทัพคุณธรรมปราบปรามหนิงอ๋องขบวนนี้ มันคือทหารชาวบ้านจำนวนน้อยที่มีประสบการณ์ต่อสู้จริง

    แต่รูปขบวนปราบโจรครั้งนั้นมิได้ยิ่งใหญ่เหมือนเช่นวันนี้ ได้เป็นหนึ่งในกองทัพทำให้โลหิตในร่างของเสิ่นเสี่ยวอู่ไหลเวียนรวดเร็วและร้อนแรงกว่าเดิม

    เมื่อสัญญาณทัพดังขึ้น นายกองสามนายที่นั่งอยู่บนกองหินก็ยืนขึ้นก่อน

    “ออกเดินทาง!”

    ภายใต้การเร่งเร้าของนายกอง หัวหน้าหมู่แต่ละคนมิกล้าชักช้า ต่างก็รีบสั่งการทหารสี่นายที่เป็นลูกน้องสะพายอาวุธ ออกเดินทางอีกครั้ง

    หวังโส่วเหรินจัดตั้งกองทัพขบวนนี้อย่างรอบคอบรัดกุม ทุกๆ ห้านายรวมเป็นหนึ่งหมู่เดินเท้าทำศึก ทุกสิบหมู่ตั้งหนึ่งนายกอง ทุกสิบกองตั้งหนึ่งขุนพลรองแม่ทัพ หนึ่งแม่ทัพหลักนำกองกำลังสิบขุนพลรวมเป็นห้าพันนาย บัญชาการตามใจปรารถนา รับผิดชอบกันเป็นขั้นๆ

    เสิ่นเสี่ยวอู่กับเหล่าพวกพ้องคอนถุงสัมภาระและหาบบรรทุกอาวุธหลากชนิด ถือดาบทวนเรียงแถวออกเดินทาง

    กองทัพคุณธรรมที่หวังโส่วเหรินรวบรวมได้อย่างไรจำนวนคนก็ขัดสน หาได้เพียงพอต่อการใช้จัดสรรพาหนะทำศึก สัตว์พาหนะขนย้ายเสบียงอาหาร และสิ่งของจำเป็นหลากประเภท ด้วยเหตุนี้จึงต้องให้แต่ละกลุ่มกองหมุนเวียนกันรับหน้าที่ขนของ นี่กลายเป็นการสิ้นเปลืองกำลังอย่างหนึ่งสำหรับทหารที่ยังมิได้รับศึก แต่เพราะต้องจัดตั้งกองทัพอย่างฉุกละหุกจึงไม่มีทางเลือก

    อุปกรณ์ของเหล่าทหารชาวบ้านหยาบกระด้างไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หลายนายเพียงสวมใส่หนังฟอกหรือเกราะไม้ไผ่ไว้ตรงหน้าอกและแผ่นหลัง ค่อยพันแผ่นไม้ไผ่ที่แขนและขา มีไม่กี่นายสวมหมวกเกราะ ส่วนใหญ่เพียงใช้แถบผ้าหนาห่อหุ้มเพื่อป้องกันเท่านั้น เรื่องอุปกรณ์และรูปขบวนเมื่อเทียบกับทัพใหญ่ของราชสำนักที่กำลังติดตามจักรพรรดิลงใต้ขณะนี้ประหนึ่งฟ้ากับเหว มองผ่านๆ ดูเป็นเพียงชาวนาที่รวมตัวกันกลุ่มหนึ่ง

    บนสายคาดเอวของเสิ่นเสี่ยวอู่เสียบเฉียงไว้ด้วยเคียวเล่มหนึ่ง ตัวเคียวนั้นยาวกว่าคมเคียวที่ใช้ตัดหญ้าธรรมดาพอประมาณ ด้ามจับกลับสั้นกว่า ลักษณะภายนอกดุร้ายเล็กน้อย ไม่คล้ายเป็นเครื่องมือเกษตรนัก

    นี่คืออาวุธสันทัดของเสิ่นเสี่ยวอู่ เรี่ยวแรงและฝีมือของมันล้วนฝึกสำเร็จจากในท้องนาหมู่บ้านชานเมืองกั้นโจว ถึงแม้เป็นบุรุษฉกรรจ์ในหมู่บ้านก็ไม่มีสักคนเกี่ยวข้าวได้มากและเร็วกว่ามัน

    สามปีก่อนในศึกปราบโจร เสิ่นเสี่ยวอู่พบกับพวกพ้องที่เคยเป็นศิษย์สำนักตี้ถังและติดตามมันเรียนรู้วิชาในช่วงเวลาสั้นๆ วิทยายุทธ์ที่เสิ่นเสี่ยวอู่เรียนมีเพียงสองสามกระบวนท่า แต่มันเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง นำผสมผสานกระบวนท่าดาบสำนักตี้ถังกับท่าทางชาญชำนาญจากการก้มตัวเกี่ยวข้าวในนาของตนเอง คิดค้น ‘ท่าไม้ตาย’ ที่ใช้เคียวตัดช่วงล่างโดยเฉพาะออกมาเอง ในการต่อสู้อันดุเดือดใช้ทำร้ายจนขาของโจรภูเขาสิบกว่าคนพิการ สร้างผลงานไม่น้อย

    ด้วยเหตุนี้พอได้ยินว่าใต้เท้าหวังโส่วเหรินรับสมัครทหารอีกครั้ง เสิ่นเสี่ยวอู่ก็คว้าเคียวที่ถูกเก็บร้างไปช่วงหนึ่งวิ่งตรงมาจี๋อันโดยไม่แม้แต่จะคิด

    กองทัพคุณธรรมมุ่งหน้าเดินทัพรวดเร็วอย่างยิ่ง บางครั้งแทบเหมือนกึ่งวิ่ง นี่ย่อมเป็นคำสั่งของหวังโส่วเหริน หูตาตำหนักหนิงอ๋องกระจายทั่วเจียงซี ข่าวเคลื่อนพลจากจี๋อันของกองทัพคุณธรรมต้องถ่ายทอดไปยังทัพใหญ่กำลังหลักของหนิงอ๋องที่กำลังล้อมโจมตีจี๋อันอยู่ทางด้านโน้นโดยเร็วเป็นแน่ หวังโส่วเหรินรู้ว่ากองทัพตนเองได้เปรียบเพียงไม่กี่จุด หนึ่งในนั้นคือการฉวยโอกาสขณะหนิงอ๋องยังไม่ตอบสนองบุกโจมตีอย่างฉับไว

    ทหารชาวบ้านจำนวนมากแม้แกร่งกล้า แต่อย่างไรส่วนใหญ่ก็มิได้รับการฝึกฝนอย่างเคร่งครัด เดินทัพอย่างรวดเร็วเช่นนี้ สองวันแรกกล่าวได้ว่าลำบากเกินบรรยาย ในขบวนแทบไม่ได้ยินเสียงพูดคุย มีแต่เสียงครวญคราง ถึงวันนี้พวกมันจึงเคยชินในที่สุด

    “เหล่าฟั่น” พวกพ้องคนหนึ่งเดินไปพลางถามไปพลาง “ได้ยินว่าเจ้าเคยเห็นใต้เท้าหวัง?”

    ทหารชาวบ้านผู้นี้หาได้เคยเข้าร่วมศึกปราบปรามโจรภูเขาที่เจียงซีใต้ไม่ เป็นเหตุให้ถามเช่นนี้

    เหล่าฟั่นจับเคราใต้คางพลางแย้มยิ้ม

    “ข้าเพียงเคยเห็นไกลๆ ไม่กี่ครั้ง เจ้าถามเสิ่นเสี่ยวอู่เถอะ มันกับใต้เท้าหวังเคยพูดคุยกัน”

    “จริงหรือ” คนรอบข้างล้วนเกิดความสนใจขึ้น “ใต้เท้าหวังเป็นคนเช่นไร”

    เสิ่นเสี่ยวอู่ยิ้มน้อยๆ ‘พูดคุย’ ที่เหล่าฟั่นว่า ความจริงใต้เท้าหวังเพียงกล่าวว่า ‘ลำบากแล้ว’ ประโยคเดียวมาทางเสิ่นเสี่ยวอู่พอดีขณะให้รางวัลทหารเมื่อสามปีก่อน ในตอนนั้นเสิ่นเสี่ยวอู่งุนงงเป็นไก่ไม้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตอบคำพูดคุย

    “จะว่าอย่างไรดี…” เสิ่นเสี่ยวอู่เกาศีรษะผ่านผ้าโพกศีรษะ “รูปพรรณของใต้เท้าหวัง ความจริง…”

    เสิ่นเสี่ยวอู่ยังไม่ทันกล่าวออกไปทุกคนต่างก็เข้าใจ แต่ละคนหัวเราะขึ้นมา

    “แต่ถึงแม้เป็นเช่นนี้ ในตอนที่ข้ามองดูมัน ข้ารู้สึก…” เสิ่นเสี่ยวอู่ทอดมองธงที่โบกพลิ้วที่ใช้สำหรับนำทัพด้านหน้า ในใจกำลังหวนนึกถึงการพบหน้าครานั้น

    “รู้สึกอย่างไร” พวกพ้องซักถามด้วยความประหลาดใจ

    “รู้สึกว่าขอเพียงติดตามมันก็จะไม่มีทางรบแพ้”

    พวกพ้องสิบกว่านายมองดูเสิ่นเสี่ยวอู่รอบหนึ่ง จากนั้นมีคนอดมิได้ที่จะหัวเราะ

    “บนโลกมีคนที่เสมือนเทพยดาเพียงนี้หรือ”

    คนอื่นๆ ต่างก็พูดคุยกันไปต่างๆ นานา

    “ต่อให้รบชนะก็ไม่แน่ว่าตัวเองจะไม่ตาย!”

    “มีโอกาสรอดชีวิตกลับมาสูงกว่ารบชนะกระมัง”

    “ผู้ที่พวกเราสู้ด้วยครั้งนี้มิใช่โจรภูเขา…”

    ฟังคำพูดเหล่านี้เสิ่นเสี่ยวอู่หาได้คิดโต้แย้งอะไรไม่ มันเพียงจัดแถบผ้าสัมภาระ เดินไปข้างหน้าสืบต่อ

    สิ่งที่มันคิดในใจมิใช่เรื่องเหล่านี้ แต่เป็นหนทางข้างหน้าของตนเอง

    แม้อาศัยอยู่ที่กั้นโจวซึ่งค่อนข้างห่างกับหนานชาง แต่อย่างไรเสิ่นเสี่ยวอู่ก็เป็นชาวเจียงซี ย่อมเคยได้ยินความโหดร้ายของตำหนักหนิงอ๋องมาก่อน ด้วยเหตุนี้เดือนก่อนเมื่อได้ยินว่าหนานชางเกิดความวุ่นวาย หวังโส่วเหรินรับสมัครทหารปราบกบฏ มันจึงมาเข้าร่วมกองทัพคุณธรรมด้วยหัวใจของทหารที่คิดถึงการปกป้องหมู่บ้าน

    เพียงแต่เมื่อเห็นรูปขบวนเช่นนี้ของทัพใหญ่ มันก็รับรู้ได้ว่าเมื่อเทียบกับการปราบโจรครั้งนั้น นี่อาจเป็นสงครามอีกสนามหนึ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่หนิงอ๋องจะแย่งชิงคือบัลลังก์จักรพรรดิ ศึกนี้จะตัดสินว่าใต้หล้าอยู่ในมือผู้ใด

    ขอเพียงสร้างความชอบในสงครามสนามนี้ อาจได้รับตำแหน่งขุนนาง…

    เคียวเล่มนี้ของข้าจะไม่กลับบ้านเกิดตัดต้นหญ้าอีกต่อไป

    เสิ่นเสี่ยวอู่ลูบเคียวตรงข้างเอว ในใจบังเกิดความปรารถนาที่จะสร้างผลงาน สองขาเดินว่องไวกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว

    ท่วงท่าของมันที่เปี่ยมด้วยพลังนี้ดึงดูดความสนใจของหลินชิงผู้เป็นนายกอง หลินชิงเดิมทีมีภูมิหลังเป็นหัวหน้าผู้กล้า มีประสบการณ์บัญชาการโชกโชนและรู้จักผู้คนมากมาย จึงลอบพินิจทหารห้าสิบนายที่ถูกจัดสรรเป็นลูกน้อง สำหรับเสิ่นเสี่ยวอู่ที่เยาว์วัยและมีประสบการณ์การต่อสู้จริง มันได้จดจำเป็นพิเศษแต่แรกแล้ว หลินชิงลอบเดินเข้าไปสำรวจเสิ่นเสี่ยวอู่ใกล้ขึ้นอีกหน่อย

    ทหารชาวบ้านหมู่เดียวกับเสิ่นเสี่ยวอู่ใช้ผ้าซับเหงื่อเช็ดหน้าผาก ถอนหายใจกล่าว “ต้องเดินทางอีกกี่วันกันแน่จึงจะตามกองทัพกบฏทัน”

    เสิ่นเสี่ยวอู่ฟังแล้วแย้มยิ้ม ชี้ดวงอาทิตย์บนท้องนภา

    “เจ้าจำแนกทิศทางไม่เป็นหรือ”

    ทหารชาวบ้านผู้นั้นฟังพลางรู้สึกแปลกประหลาด หรี่ตามองดูท้องฟ้า

    เสิ่นเสี่ยวอู่เห็นพวกพ้องผู้นั้นคล้ายยังไม่เข้าใจจึงอธิบายอีก “พวกเราเดินไปทางทิศเหนือตลอด”

    “เช่นนั้นแล้วอย่างไร”

    ทหารชาวบ้านผู้นั้นยังคงไม่เข้าใจ

    “ใต้เท้าหวังมิได้ไปไล่ตามกำลังหลักของกองทัพกบฏ แต่จะไปบุกโจมตีเมืองหนานชาง”

    คนทั้งหมดรวมถึงเหล่าฟั่นล้วนอดมิได้ที่จะหันหน้ามามองดูเสิ่นเสี่ยวอู่

    หลินชิงฟังอยู่ห่างๆ อดมิได้ที่จะเลิกคิ้ว

    กลยุทธ์บุกโจมตีหนานชางสายฟ้าแลบนี้ ขณะหวังโส่วเหรินออกจากจี๋อันได้สั่งการให้ปิดเป็นความลับต่อทหาร เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกหูตาของจูเฉินเหาล่วงรู้เร็วเกินไป แม้บัดนี้ดำเนินไปได้ครึ่งค่อนทางแล้ว เจตนามุ่งหน้าของกองทัพคุณธรรมมิใช่ความลับอะไรอีก…เชื่อว่ากองทัพหลักของหนิงอ๋องรับรู้แล้วเช่นกัน…แต่เสิ่นเสี่ยวอู่ทหารธรรมดานายหนึ่งกลับอาศัยการสังเกตของตนเองรับรู้ได้ เห็นได้ถึงไหวพริบของมัน

    หลินชิงเดินหน้าเข้าไปตบหัวไหล่ของเสิ่นเสี่ยวอู่จากด้านหลัง

    เสิ่นเสี่ยวอู่หันหน้ามองเห็นเป็นนายกองหลิน อดมิได้ที่จะลนลานเล็กน้อย คิดในใจว่าเมื่อครู่ตนเองปากมากทำผิดวินัยทหารหรือไม่

    “รองแม่ทัพหลิวสั่งการข้า” หลินชิงกล่าวต่อเสิ่นเสี่ยวอู่ “ให้ข้าเลือกคนจำนวนหนึ่งไปทำเรื่องหนึ่ง ให้ข้าสังเกตว่าในกลุ่มมีตัวเลือกที่พึ่งพาได้หรือไม่ เจ้าคือคนหนึ่งในนั้น”

    เสิ่นเสี่ยวอู่ฟังแล้วดวงตาเบิกกว้าง

    “เจ้ากลัวตายหรือไม่” หลินชิงยิ้มน้อยๆ ถามมัน “หากไม่กลัวก็มอบถุงสัมภาระให้พวกพ้อง รีบรุดหน้าไปหารองแม่ทัพหลิวเพื่อรายงานตัว”

    เสิ่นเสี่ยวอู่เพียงกะพริบตาสองทีพิจารณา แล้วพลันพยักหน้าให้หลินชิง มันปลดถุงสัมภาระที่ใส่เต็มไปด้วยเชือกลง สาวเท้าวิ่งไปด้านหน้าของขบวน

     

    เกิดเป็นบุตรชายตำหนักหนิงอ๋องเชื้อพระวงศ์ต้าหมิง นับตั้งแต่ขณะที่จูเฉินเหาหายใจบนโลกเป็นต้นมา มันไม่เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาก่อน ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน นอน กิน ปลดทุกข์ ไปจนถึงร่วมหลับนอนกับนางสนมก็ไม่มีสักขณะที่ไร้ข้ารับใช้เคียงข้าง

    กระทั่งยามนี้ขอเพียงมันเปิดหน้าต่างห้องของท้องเรือทอดมองไปข้างนอก ทั้งทหารเรือของเรือรบนับไม่ถ้วนบนแม่น้ำ ทั้งกองทัพเรือนหมื่นที่ปักหลักบนฝั่งแม่น้ำ ทุกนายล้วนเป็นของมัน ทุกก้าวล้วนเดินตามก็มันปรารถนา

    ทว่าจูเฉินเหายามนี้กลับรู้สึกโดดเดี่ยวไร้เทียบเทียม

    เพียงเพราะมันมิอาจรู้ชัดว่าควรนำกองทัพขบวนนี้เดินไปยังทิศทางใด และไม่มีแม้แต่คนเดียวที่บอกคำตอบแก่มันได้

    มันมิอาจเชื่อพรรคพวกคนใดได้อย่างสนิทใจ

    จูเฉินเหาไล่ชายาโหลวกับทายาท ทั้งข้ารับใช้และองครักษ์คนสนิทออกไปทั้งหมด ไม่ยอมให้กุนซือขุนนางคนสำคัญและขุนพลทั้งหลายเข้ามาในห้องแม้แต่คนเดียว มันเก็บตัวอยู่ตามลำพัง รินสุราดื่มจอกแล้วจอกเล่า

    ใบหน้าของมันแดงซ่าน รู้ว่าตนเองต้องรีบตัดสินใจ แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้มันจึงต้องดื่มสุรา ก่อนดื่มทุกจอกมันล้วนกล่าวกับตนเองว่าจะตัดสินใจหลังดื่มเสร็จ ทว่าทุกครั้งหลังจอกหนึ่งก็ยังมีอีกจอกหนึ่ง ฤทธิ์สุราหาได้ให้ความกล้าหาญอันเด็ดขาดแก่มัน แต่เพียงทำให้มันได้หลีกหนีจากช่วงเวลาอันสั้นนั้นอย่างโล่งสบาย จากนั้นก็ลังเลสืบต่อ

    ข่าวด่วนที่ถ่ายทอดมาจากหนานชางบอกว่าเจตนาของกองทัพหวังโส่วเหรินชัดเจนอย่างยิ่งแล้ว พวกมันกำลังจะบุกโจมตีหนานชางบ้านเก่าของหนิงอ๋อง

    ขอเพียงนึกถึงหวังโส่วเหริน จูเฉินเหาก็แทบอยากจะกัดฟันให้แตกเป็นเสี่ยง

    ปัญญาชนผู้นี้กลับกล้าเป็นปรปักษ์กับข้าโอรสสวรรค์และอ๋องแซ่จูแห่งต้าหมิง ขวางแผนการเป็นใหญ่ของข้า

    การขึ้นครองบัลลังก์มังกรคือบัญชาสวรรค์ของข้า ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเพราะผู้ตรวจการเจียงซีใต้เล็กๆ คนหนึ่งเป็นอันขาด

    มันเป็นเพียงก้อนกรวดขวางทางก้อนหนึ่ง ต้องเป็นเช่นนั้น

    จูเฉินเหาดื่มอีกจอกหนึ่ง แต่มันยังคงมิอาจตัดสินใจว่าควรถอนทัพไปช่วยหนานชางหรือไม่ หรือว่าควรเดินทัพสู่หนานจิงสืบต่อกันแน่

    ยามนี้นอกประตูถ่ายทอดเสียงความวุ่นวายมา สุ้มเสียงแก่ชรากำลังตวาด “ข้าจะเข้าไป! พวกเจ้าถึงแม้ฟันดาบลงมา ข้าชราแล้วจะตายบนสมรภูมิหรือตายใต้คมดาบของทหารเช่นพวกเจ้าทั้งหลายก็ไม่แตกต่างอะไร! ข้าต้องเข้าไปให้ได้!”

    จากนั้นประตูของห้องก็เปิดออกจากด้านนอกช้าๆ ผู้ที่เข้ามาย่อมเป็นหลี่ซื่อสือราชครูที่ถือไม้เท้า

    ผู้ที่ประคองหลี่ซื่อสือเข้ามาด้วยกันยังมีหลี่จวินหยวนบุตรของมัน ผู้ที่ทยอยตามเข้ามาคือหลิวหย่างเจิ้งอัครเสนาบดี ซางเฉิงอวี่และเหยาเหลียนโจวยอดขุนพลสำนักอู่ตังทั้งสอง หลิวจี๋เสนาธิการและหวังหลุนเสนาบดีกรมทหาร นอกจากหมิ่นเนี่ยนซื่อและหลิงสืออีที่ยังคงบัญชาการโอบล้อมเมืองอันชิ่งแล้ว ขุนนางวางแผนระดับสูงสุดของตำหนักหนิงอ๋องล้วนอยู่ ณ ที่นี้

    จูเฉินเหาแม้กึ่งเมาสุรา แต่ไหนเลยจะไม่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของหลี่ซื่อสือ พวกมันฝืนบุกเข้ามาในห้องนอนบนเรือแม่ทัพใหญ่โดยไม่สนใจคำสั่งของท่านอ๋องเช่นนี้เป็นการไม่เคารพอย่างมาก

    ทว่าหลังจากเริ่มยกทัพก่อกบฏตั้งแต่เดือนหก พวกมันทุกคนก็ได้ร่วมชะตากรรมเป็นตายกับหนิงอ๋องแล้ว มารยาทระหว่างเจ้านายและขุนนางอะไร อยู่บนสมรภูมิล้วนสำคัญไม่เท่าการมีชีวิตอยู่

    พวกหลี่ซื่อสือและขุนนางคนสำคัญทั้งหลาย แม้วางแผนห้ำหั่นกันเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานเชื่อใจจากหนิงอ๋อง แต่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ความคิดของทุกคนล้วนเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าหนิงอ๋องจะตัดสินใจใช้ยุทธวิธีเช่นไรก็ล้วนดีกว่ายืดเยื้อไม่ขยับเช่นนี้

    “ท่านอ๋อง ไม่จำเป็นต้องกังวลมากแล้ว” หลิวหย่างเจิ้งพอพบหน้าหนิงอ๋องก็กล่าวโดยไม่รีรอ “โปรดออกคำสั่งให้ทัพใหญ่บนฝั่งถอนค่ายขึ้นเรือโดยเร็ว พวกเราทั้งหมดถอยทัพไปช่วยเหลือเมืองหนานชาง ประจันหน้าโรมรันกับหวังโส่วเหรินที่ไม่รู้จักดีชั่วผู้นั้น!”

    “รอเดี๋ยว” ซางเฉิงอวี่กระแอมกระไอหนึ่งเสียง เอ่ยปากห้ามปรามความเห็นของหลิวหย่างเจิ้ง มันที่ยังคงสวมเสื้อขนสัตว์กลางฤดูร้อนเช่นนี้ ใบหน้าขาวซีดกว่ายามปกติเล็กน้อย หากไม่เคยเปิดหูเปิดตาฝีมืออันน่ากลัวของมันคงคิดว่ามันเป็นเพียงขี้โรค ในความเป็นจริงหลังซางเฉิงอวี่ซุ่มโจมตีหกกระบี่บ้านแตกล้มเหลว ก็กระเสือกกระสนเร่งกลับมารวมตัวกับทัพใหญ่ ระหว่างทางหยุดพักน้อยยิ่งนัก แผลเก่าที่เกิดจากการต่อสู้ยังไม่หายเป็นปลิดทิ้ง

    มันยังไอแห้งๆ อีกหลายเสียง กลืนน้ำลายแล้วจึงกล่าวสืบต่อ “แผนการบัดนี้คือไม่ต้องสนใจหวังโส่วเหรินเลย เพียงต้องเคลื่อนทัพไปยังหนานจิงอย่างรวดเร็ว โจมตีเพื่อพิชิตครึ่งค่อนแผ่นดิน!”

    “นี่ไยมิใช่หันหลังให้ศัตรู” หลิวหย่างเจิ้งขมวดคิ้วส่ายหน้า “กลับไปช่วยหนานชางต่างหากคือแผนการที่ถูกต้อง! เมืองหนานชางมีกองกำลังกล้าแข็งอยู่ ต่อให้หวังโส่วเหรินใช้ทหารร้ายกาจ สิบวันครึ่งเดือนก็มิอาจโจมตีได้ ขอเพียงกองทัพเราออกเดินทางทันเวลาต้องตามทันเป็นแน่ ถึงเวลาขนาบตีกับกองทัพป้องกันแห่งหนานชางจากสองด้าน หวังโส่วเหรินต้องตายอย่างไร้ที่ฝังอย่างแน่นอน!”

    มันยังชี้พ่อลูกแซ่หลี่พลางกล่าว ”ราชครูกับคุณชายหลี่ล้วนเห็นด้วยกับกลยุทธ์นี้”

    ซางเฉิงอวี่กับเหยาเหลียนโจวมองหน้ากันแวบหนึ่ง พวกมันล้วนเห็นด้วยว่าต้องบุกโจมตีหนานจิงให้เร็วที่สุด

    “กองทัพเราวิ่งวุ่นไปมา ประจันหน้าพุ่งรบกับกองทัพฮึกเหิมของหวังโส่วเหรินมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน” ซางเฉิงอวี่ใช้สายตาดุดันกวาดมองหลิวหย่างเจิ้งและพ่อลูกแซ่หลี่ “ตามที่อัครเสนาบดีหลิวกล่าว ในเมื่อหนานชางป้องกันตนเองได้ขณะหนึ่ง หากกองทัพเราพิชิตหนานจิงก่อนก้าวหนึ่ง ถึงเวลาสถานการณ์เปลี่ยนแปลง หวังโส่วเหรินมิย่อมละทิ้งการบุกโจมตีหนานชางและระดมพลมาท้ารบพวกเรา ทัพใหญ่เรารอซ้ำยามเปลี้ย ค่อยอาศัยชัยภูมิอันยิ่งใหญ่อันตรายของหนานจิง จึงทำให้ฝ่ายตรงข้ามถึงที่ตายอย่างแท้จริง!”

    หลี่ซื่อสือยันไม้เท้าด้วยสองมือ ส่ายหน้ากล่าว “หนานชางมีองค์ชายทั้งสองกับอี๋ชุนอ๋องคอยเฝ้า ท่านหมายความว่าจะไม่ส่งทหารไปช่วยเหลือหรือ”

    “บนสมรภูมิทุกคนล้วนเดิมพันด้วยชีวิตแล้ว” สีหน้าท่าทางของเหยาเหลียนโจวสงบที่สุดในบรรดาทุกคน สองมือของมันจับบนด้ามกระบี่สันเดียวตรงข้างเอวพลางกล่าวเสียงเย็นชา “ไม่ว่าเป็นองค์ชายหรือว่าทหารล้วนมิได้แตกต่าง เพื่อชัยชนะก็ต้องเตรียมเสียสละทุกเมื่อ”

    ซางเฉิงอวี่กับเหยาเหลียนโจวยืนเคียงไหล่กัน สบตากันผงกศีรษะ นี่คือเหตุการณ์ที่มิอาจจินตนาการมาก่อน แต่คนทั้งสองล้วนชี้ขาดแล้วว่าตรงไปชิงหนานจิงต่างหากคือยุทธวิธีที่สมควรใช้ในตอนนี้ อีกทั้งสำหรับนักสู้อู่ตังที่มีปณิธานต่างกันสองคนนี้แล้ว กลยุทธ์บุกไปข้างหน้าของหนิงอ๋องนำมาซึ่งดินแดนและกำลังคนที่มากขึ้น จึงมีประโยชน์ต่อการขยายกำลังของพวกมัน บรรลุเป้าหมายที่แท้จริงในการสร้าง ‘กองทัพอู่ตัง’ หากกลับไปช่วยหนานชาง นั่นเท่ากับย่ำเท้าอยู่ที่เดิม

    ซางเฉิงอวี่ถือโอกาสกล่าวอีก “ก่อนหน้าพวกท่านก็เห็นด้วยว่าสมควรละทิ้งอันชิ่ง บุกตรงไปยังหนานจิงมิใช่หรือ”

    “ตอนนั้นคือตอนนั้น ตอนนี้คือตอนนี้” หลี่จวินหยวนส่ายหน้าโบกพัดกระดาษในมือ ขมวดคิ้วโต้แย้ง “อีกทั้งอันชิ่งก็มิใช่หนานชาง แม่ทัพทั้งสองลองคิดดูว่าถ้าหากพวกเรารักษาไว้มิได้แม้กระทั่งบ้านเดิมจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจของทั้งกองทัพมากน้อยเพียงใด”

    “โจมตีหนานจิง ชิงดินแดนครึ่งซีกก่อน ใครก็จำหนานชางสถานที่เล็กๆ นั้นมิได้อีก” ซางเฉิงอวี่กล่าวตอบโต้

    หลี่จวินหยวนโบกพัดกระดาษอีกครั้ง “อย่าลืมว่าในระยะเวลาสั้นๆ หวังโส่วเหรินรวบรวมกองทัพขนาดเท่านี้ได้! วันนี้ไม่กำจัดมันก่อน ต่อไปอีกระยะหนึ่ง มันนำกองกำลังไปยังหนานจิง ก็คงมิมีเพียงจำนวนตรงหน้านี้…”

    ซางเฉิงอวี่ใช้คำพูดสกัดมันเอาไว้ทันที “หลังพิชิตหนานจิง ท่านอ๋องขึ้นครองราชย์ ผู้มีปณิธานทุกแห่งมาเข้าร่วม กำลังของกองทัพเราก็จะเพิ่มขึ้น!”

    “แต่หวังโส่วเหรินผู้นั้น…”

    “หนวกหู!”

    ผู้ที่ตวาดคือจูเฉินเหา มันขว้างจอกหยกในมือออกไปอย่างแรง กระทบซอกมุมผนังจนแตกเป็นแผ่น

    คนทั้งหมดนิ่งเงียบในทันใด

    หนิงอ๋องกวาดมองทุกผู้คน…รวมถึงหลิวจี๋และหวังหลุนที่มิกล้าแสดงท่าที ดวงตาที่กระจายไปด้วยเส้นเลือดฝอยปรากฏความเดือดดาล

    “พวกท่านทุกคนล้วนขอให้ข้าเชื่อ” จูเฉินเหากล่าวทีละคำ “แต่เชื่อพวกท่าน ข้าได้อะไรบ้าง”

    มันชี้พวกหลี่ซื่อสือ “คำก็หวังโส่วเหริน สองคำก็หวังโส่วเหริน งานเลี้ยงคืนนั้นก็เป็นพวกท่านเตือนข้าให้รีบก่อการ! ขอเพียงข้ารออีกหนึ่งวันครึ่งวันให้หวังโส่วเหรินบรรลุถึงหนานชางก่อน มันก็เข้ามาติดกับเองแล้ว! หายนะทุกอย่างในวันนี้ก็เพราะมันหลุดรอดไปคนเดียว!”

    นิ้วมือของจูเฉินเหาเปลี่ยนเป็นชี้ไปยังเหยาเหลียนโจวและซางเฉิงอวี่ “จากนั้นข้ายังส่งพวกท่านไปไล่ล่ามัน ผลสุดท้ายเล่า หากพวกท่านสังหารมันบนแม่น้ำได้ กองทัพศัตรูที่ขัดขวางการใหญ่ของข้าขบวนนี้จะมาจากที่ใดได้อีก จะให้ข้าเชื่อถือคำที่พวกท่านกล่าว…แต่ตลอดมาเคยให้อะไรข้า หนานคังและจิ่วเจียงล้วนยอมจำนนเองโดยไม่ต้องรบ ลองคิดดูอย่างละเอียด กองทัพข้าก่อกบฏหนึ่งเดือน ไม่เคยรบชนะแม้แต่สมรภูมิเดียว! บัดนี้ยังอาศัยอะไรจะให้ข้าเชื่อพวกท่าน!”

    ในห้องเงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงนุ่มนวลของคลื่นแม่น้ำด้านนอก หนิงอ๋องบันดาลโทสะใส่ยอดขุนพลสำนักอู่ตังทั้งสองต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้เป็นครั้งแรก โดยเฉพาะซางเฉิงอวี่ที่ปกติได้รับความโปรดปรานไว้ใจกับความเคารพจากหนิงอ๋องมาตลอด และปฏิบัติต่อมันเหมือนอาคันตุกะมากกว่าขุนนาง แต่บัดนี้กลับชี้นิ้วประณาม แม้วาจายังไม่ถึงขั้นลบหลู่ดูหมิ่น แต่สีหน้าท่าทางกลับไม่ต่างกับดุด่าสุนัขที่ตนเองเลี้ยง

    จากความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า อูจี้หงให้หวังโส่วเหรินหนีรอดไปได้ เว่ยตงหลิวรบจนตัวตายบนกำแพงเมืองอันชิ่ง ซางเฉิงอวี่ล้อมจับหกกระบี่บ้านแตกแต่กลับต้องพ่ายแพ้กลับมา…ความไว้ใจที่มีต่อนักสู้อู่ตังของจูเฉินเหาไม่มากเช่นก่อนหน้าแล้ว จุดนี้พ่อลูกแซ่หลี่และหลิวหย่างเจิ้งต่างก็มองเห็น แต่หาได้รู้สึกดีใจสักนิดเพราะเหตุนี้ไม่ รอยร้าวระหว่างเจ้านายและขุนนางในช่วงเวลาก่อนศึกใหญ่เพียงพอที่จะอันตรายถึงชีวิตได้

    ทุกคนในห้องค่อยๆ รู้สึกหายใจยากลำบาก รวมทั้งหนิงอ๋องด้วย

    ความกดดันคล้ายอากาศธาตุผนึกตัวมาจากบนร่างเหยาเหลียนโจวและซางเฉิงอวี่

    เบื้องหน้านิ้วมือของหนิงอ๋อง นี่คือการตอบสนองที่เจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักอู่ตังกระทำออกมา อำนาจที่แผ่ออกมาร่วมกันของพวกมัน สยบโทสะของจูเฉินเหาในชั่วขณะ นิ้วมือของมันระทวยลดลงมาโดยไม่รู้ตัว

    อำนาจชนิดนี้เพียงพอที่จะนำมาซึ่งความหวาดกลัวที่ธรรมดาที่สุดในใจของทุกผู้คน แผ่นหลังพวกหลิวหย่างเจิ้งผุดเหงื่อเย็นออกมา พวกมันถึงขั้นอดมิได้ที่จะมองด้ามกระบี่ข้างเอวของเหยาเหลียนโจวและซางเฉิงอวี่ที่รู้สึกเหมือนจะชักออกมาใส่หนิงอ๋องได้ทุกเมื่อ

    แต่ขณะต่อมากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากคนทั้งสองก็จางหายไปแล้ว การหายใจของพวกมันคืนสู่ความราบรื่น

    ซางเฉิงอวี่ขมวดคิ้วพลางมองดูใบหน้าของจูเฉินเหา มันมิอาจเข้าใจได้โดยแท้จริงว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ไยหนิงอ๋องกลับไร้เดียงสา หนำซ้ำยังนับคำนวณความล้มเหลวในอดีต

    ผู้กระทำการใหญ่จะมีเพียงปัจจุบัน มีเพียงสงครามสนามต่อไป มีเพียงชัยชนะสุดท้าย

    ซางเฉิงอวี่กำลังกังวลในใจ จากจุดยืนของมันกับเหยาเหลียนโจวแล้วย่อมไม่หวังให้จูเฉินเหามีความสามารถมากเกินไป จึงเป็นประโยชน์ต่อแผนการทะเยอทะยานของพวกมัน แต่ก็มิอาจขลาดเขลาเกินไปเช่นเดียวกัน หาไม่เรือที่ลอยตามลมลำนี้นั่งได้ไม่นานเท่าใดก็คงล่ม คนทั้งสองก็จะไม่ได้อะไรเลยเช่นกัน

    อย่างน้อยขอให้จูเฉินเหาทำให้ใต้หล้าวุ่นวาย เหล่าผู้กล้าลุกฮือ

    เช่นนั้นก็ต้องช่วยมันเอาชนะศึกนี้ตรงหน้า

    “กระหม่อมหาได้จะบีบบังคับท่านอ๋องไม่” ซางเฉิงอวี่ใช้ท่วงท่านอบน้อมไร้เทียบเทียม ก้มศีรษะกล่าวต่อจูเฉินเหา “เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบัน ท่านอ๋องต้องตัดสินใจให้เร็วที่สุดจึงจะมีโอกาสชนะ”

    หนิงอ๋องมองดูขุนนางคนอื่นๆ พวกหลี่ซื่อสือและหลิวหย่างเจิ้งต่างก็พยักหน้า

    จูเฉินเหามองดูซางเฉิงอวี่และเหยาเหลียนโจวอีกครั้ง คนทั้งสองแม้คืนสู่ท่วงท่าศิโรราบแล้ว แต่ไอสังหารรุนแรงเมื่อครู่คนทั้งหมดล้วนรับรู้ได้อย่างชัดเจน กระนั้นจูเฉินเหากลับมิได้รู้สึกหวาดกลัวหรือไม่สบายใจด้วยเหตุนี้

    กลับกันมันได้สติยิ่งขึ้น และตัดสินใจได้แล้ว

    ลูกน้องข้ายังมีขุนศึกห้าวหาญเช่นนี้ ยังมีกองทัพที่ไม่เคยถูกเอาชนะขบวนหนึ่ง สถานการณ์ยังคงอยู่ฝ่ายข้า

    เบื้องหน้ามีเพียงอุปสรรคเดียว ขอเพียงข้าข้ามผ่านมัน…

    “สังหารหวังโส่วเหริน ภายหลังแผ่นดินเจียงหนานทั้งผืนก็จะไม่มีผู้ใดขวางข้าได้อีก”

    จูเฉินเหานั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง คืนสู่สีหน้าท่าทางองอาจที่มีแผนการยิ่งใหญ่เต็มทรวง มันบีบกำปั้นถ่ายทอดคำสั่ง

    “ถอนค่ายออกเดินทางทั้งกองทัพ กลับไปช่วยหนานชางกำจัดศัตรู” มันยังโบกฝ่ามือให้ซางเฉิงอวี่และเหยาเหลียนโจว “ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ต้องมากความ”

    ซางเฉิงอวี่ฟังแล้วหนักใจ น้ำเสียงของหนิงอ๋องแสดงออกว่าตัดสินใจเด็ดขาดคล้ายมิอาจกู้คืนแล้ว มันหันหน้ามองดูศิษย์น้องอีกครั้ง

    เหยาเหลียนโจวกับซางเฉิงอวี่พูดคุยด้วยสายตา เข้าใจว่าสิ่งที่ต่างคนคิดเหมือนกัน บัดนี้มีเพียงช่วยเหลือจูเฉินเหาเอาชนะศึกนี้อย่างสุดความสามารถ ไม่มีทางเลือกอื่น

     

    แสงแดดที่ส่องเข้ามาในกระโจมค่อยๆ มืดลงแล้ว อู่เหวินติ้งลงมือจุดตะเกียงน้ำมันในกระโจม และครอบโป๊ะทีละอันเพื่อป้องกันไฟไหม้สิ่งของในกระโจม

    แสงตะเกียงนั้นสะท้อนจนรอยย่นบนหน้าที่เคร่งเครียดของหวังโส่วเหรินลึกยิ่งกว่าเดิม เหมือนถูกมีดสลักก็มิปาน

    มันก้มศีรษะจ้องมองแผนที่ทางการทหารบนโต๊ะ ด้านบนแสดงลักษณะพื้นที่กับเส้นทางทั้งทางน้ำและทางบกแถบเมืองหนานชาง

    นอกจากพวกมันสองคนแล้ว แม่ทัพสูงสุดอีกสามนายของกองทัพคุณธรรม สิงสวินเจ้าเมืองกั้นโจว สวีเหลี่ยนเจ้าเมืองหยวนโจว กับไต้เต๋อหรูเจ้าเมืองหลินเจียงล้วนอยู่ในกระโจม นอกจากนี้ยังมีหลิวซวิ่นทหารชราอยู่ในนั้นเช่นกัน

    แม่ทัพใหญ่และกุนซือของกองทัพคุณธรรมทั้งห้าต่างมองดูแผนที่ทางทหารพลางขบคิดเงียบๆ มิได้พูดคุย ขณะนี้หาได้มีความจำเป็นต้องอภิปรายไม่ พวกมันทั้งหมดล้วนรู้ชัดถึงแผนการบุกโจมตีหนานชางของหวังโส่วเหริน

    หวังโส่วเหรินให้พวกมันอยู่พร้อมหน้ากันในกระโจมแม่ทัพแห่งนี้ มิใช่จะให้เสนอความเห็นอะไร แต่จะให้ครุ่นคิดว่าแผนการนี้ยังมีช่องโหว่หรือไม่

    โดยเฉพาะหลิวซวิ่น หวังโส่วเหรินใส่ใจต่อความคิดของมันเป็นพิเศษ ขณะหารือเรื่องทางทหารยามปกติ หลิวซวิ่นเสนอความเห็นน้อยอย่างยิ่ง แต่ทุกครั้งที่เอ่ยปากล้วนเตือนสติหวังโส่วเหรินว่าแผนการมีช่องโหว่อะไรหรือรายละเอียดใดที่ต้องสนใจเป็นพิเศษ มันวิพากษ์วิจารณ์โดยมิได้เกรงกลัวต่อชื่อเสียงและตำแหน่งของหวังโส่วเหริน และนี่คือสิ่งที่หวังโส่วเหรินต้องการที่สุด

    จุดที่กองทัพคุณธรรมบรรลุถึง ณ บัดนี้ห่างจากเมืองหนานชางเพียงสองวันเดินทาง อีกทั้งต้องตั้งเตรียมรบหนึ่งวัน อย่างเร็วที่สุดสามวันให้หลังจึงบุกโจมตีได้

    แต่ในขณะเดียวกันพวกมันเองก็บรรลุถึงเส้นเขตแดนสุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงยุทธวิธีแล้ว หากหวังโส่วเหรินตัดสินใจไม่โจมตีหนานชาง เปลี่ยนเป็นรับการโจมตีทัพใหญ่หนิงอ๋องทางตะวันออกก็ต้องกลับตัวตรงนี้

    พวกมันยังมิได้รับข่าวล่าสุดจากเมืองอันชิ่ง ข้อมูลที่หูตาถ่ายทอดมาคราวก่อนคือเมื่อสองวันที่แล้วซึ่งบอกว่าเมืองอันชิ่งยังคงถูกบุกโจมตี และกองทัพกบฏที่ล้อมเมืองก็ไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนย้าย

    จางเหวินจิ่นเจ้าเมืองอันชิ่งกลับป้องกันไว้ได้นานเพียงนี้ ช่วงชิงเวลามากมายเช่นนี้เพื่อกองทัพคุณธรรมแห่งเมืองจี๋อัน หวังโส่วเหรินรู้สึกเลื่อมใสและขอบคุณจากใจจริง แต่ในขณะเดียวกันมันรู้ว่าปาฏิหาริย์เช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นบ่อยนัก ต่อไปมันต้องไขว่คว้าปัจจัยที่เพิ่มโอกาสชนะทุกอย่าง ไม่อาจผิดพลาดได้แม้สักสิ่งเดียว

    คนทั้งหกสบตากันเงียบๆ สืบต่อครู่หนึ่ง กระทั่งท้องฟ้าด้านนอกมืดลง สิงสวินจึงลุกขึ้นกล่าวคำเป็นคนแรก

    “ใต้เท้า ข้าคิดไม่ออกแล้ว”

    หวังโส่วเหรินพยักหน้า มันรู้ว่าสิงสวินกับอู่เหวินติ้งเที่ยงตรงเหมือนกัน ควรค่าให้พึ่งพาอาศัย หากสิงสวินบอกว่าคิดไม่ออกว่ายังมีข้อบกพร่องใดอีก เช่นนั้นแสดงว่ามันต้องครุ่นคิดหมดแล้วจริงๆ อย่างแน่นอน

    สวีเหลี่ยนและไต้เต๋อหรูก็แสดงออกว่าเห็นด้วย อู่เหวินติ้งจับหนวดเครารกครึ้ม มองหวังโส่วเหรินพลางพยักหน้า

    หวังโส่วเหรินมองดูหลิวซวิ่น นี่ต่างหากคือผู้ที่มันให้ความสำคัญที่สุด

    หลิวซวิ่นมิได้รีบเห็นด้วยเพราะความกดดันจากคนอื่น มันหยิบชาจอกหนึ่งค่อยๆ จิบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมองไปยังหวังโส่วเหรินในที่สุด

    “ข้าไม่มีคำพูดจะกล่าวแล้ว”

    นี่คือคำตอบที่หวังโส่วเหรินอยากได้ยินที่สุด

    “เช่นนั้นกองทัพเราจะเคลื่อนทัพไปยังหนานชางตามแผนการเดิม” หวังโส่วเหรินกล่าวพลางยื่นนิ้วออก แต่หาได้ชี้ไปยังตำแหน่งของเมืองหนานชางบนแผนที่ทางทหารไม่ แต่เป็นบริเวณภูเขาเล็กๆ ผืนหนึ่งแถบชานเมือง ตรงนั้นจัดวางหมากไม้ย้อมสีแดงตัวหนึ่งเป็นสัญลักษณ์

    นั่นคือเหมืองหินแห่งหนึ่งที่ใช้ขุดหินสร้างป้ายศิลานอกเมืองหนานชาง

    ทั้งหมดอาศัยข้อมูลที่หกกระบี่บ้านแตกและหูตาเมืองหนานชางจำนวนมากสืบหามา หวังโส่วเหรินจึงรู้ว่ากองทัพกบฏป้องกันเมืองฝังไม้ตายสำคัญอย่างหนึ่งไว้ที่นี่ ในเหมืองหินซุ่มซ่อนทหารซุ่มโจมตีขบวนหนึ่ง ประเมินแล้วอย่างน้อยเกินหนึ่งพันนาย เตรียมฉวยโอกาสจู่โจมกองทัพคุณธรรม

    นี่คืออุปสรรคแรกในการโจมตีหนานชาง และเป็นศึกแรกตั้งแต่กองทัพคุณธรรมเคลื่อนกำลัง

    จำนวนทหารซุ่มโจมตีแม้ไม่มาก แต่แน่ใจได้ว่าเป็นทหารเด่นล้ำที่สุดในกองทัพป้องกันของหนานชาง หากกองทัพคุณธรรมถูกพวกมันราวีและก่อกวน กองทัพป้องกันของหนานชางก็จะฉวยโอกาสออกจากเมืองขนาบตี นี่มิใช่สถานการณ์ที่หวังโส่วเหรินต้องการเป็นอันขาด

    การโจมตีทหารที่ซุ่มซ่อนขบวนนี้ให้แตกพ่ายจึงมีความหมายมากกว่าการเอาชนะหนึ่งพันคน เพราะผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นจุดสำคัญเมื่อถึงยามบุกเข้าโจมตีเมืองและการตัดกำลังทหาร เมืองหนานชางจะแตกลงเช่นไร ต้องใช้ชีวิตและวันเวลากี่มากน้อยเข้าทำลาย ต่างก็ส่งผลต่อสงครามใหญ่ที่จะตามมา

    การประมือสนามแรกเพียงพอที่จะคาดคะเนสงครามทั้งหมด

    ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว หวังโส่วเหรินจึงรีบให้อู่เหวินติ้งเรียกถานฉู่ผู้เป็นลูกน้องมาทันที

    ถานฉู่เดิมดำรงตำแหน่งผู้ปกครองท้องถิ่นเมืองจี๋อัน เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอู่เหวินติ้งที่มีความสามารถ ด้วยเหตุนี้จึงถูกตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพใหญ่สิบสามเขตของกองทัพคุณธรรม บัญชาการทหารเกือบหนึ่งพันห้าร้อยนาย มุ่งจู่โจมกะทันหันเป็นหลัก

    “ก่อนหน้านี้ที่ให้เจ้าคัดเลือกและรวบรวมกองกำลัง จัดตั้งสำเร็จแล้วหรือ” อู่เหวินติ้งถาม

    ถานฉู่ประสานมือพยักหน้า “หลังยามอู่ก็ครบถ้วนแล้ว บัดนี้ออกจากขบวนเดิมเดินทางถึงที่หมายเพื่อหยุดพักแล้ว”

    หวังโส่วเหรินฟังแล้วหยิบหมากไม้สีแดงตัวนั้นบนแผนที่ทางทหารขึ้นมากำไว้แน่น

    “ฉวยโอกาสยามค่ำคืนถ่ายทอดคำสั่งโดยเร็ว ให้ออกโจมตีตามแผน”

     

    เสิ่นเสี่ยวอู่อาศัยประกายของกองไฟลอบสังเกตพวกพ้องที่เพิ่งมารวมตัวภายใต้ความมืดมนอนธการ

    นักรบแต่ละคนนั่งล้อมวงรอบกองไฟ พวกมันล้วนกำลังกินมื้อดึก ต่างคนต่างกัดแทะเสบียงกรังและดื่มน้ำ แม้ถูกความมืดปกคลุม แต่ยังคงมองออกว่าทั้งหมดล้วนรูปร่างกำยำ ส่วนใหญ่อายุมากกว่าเสิ่นเสี่ยวอู่ แต่ชายวัยกลางคนน้อยอย่างยิ่ง ส่วนมากอายุยี่สิบกว่าปี

    ขณะกินอาหารแทบจะไม่มีคนพูดคุยกัน นี่ย่อมเป็นเพราะพวกมันส่วนใหญ่ไม่รู้จักกัน แต่เสิ่นเสี่ยวอู่รู้สึกว่ายังมีอีกสาเหตุหนึ่งคือคนทั้งหมดเหมือนไม่อยากสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงและจิตใจเกินจำเป็น เพราะสังหรณ์ว่ากำลังจะมีเรื่องราวสำคัญอย่างมากต้องทำ ฉะนั้นต้องเก็บพลังไว้สำหรับช่วงเวลานั้น

    เวลาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย

    เสิ่นเสี่ยวอู่รู้สึกเช่นนี้เพราะตัวมันเองก็คิดเช่นนี้

    ในพวกมันมีหลายคนที่เสิ่นเสี่ยวอู่รู้จัก จำหน้าได้ แต่จำชื่อไม่ได้ มันเคยพบหน้ากันขณะปราบปรามโจรภูเขาที่เจียงซีใต้เมื่อสามปีก่อน คนเหล่านั้นคือทหารภูเขาเด่นล้ำจากกองกำลังใกล้เคียง ในตอนนั้นเสิ่นเสี่ยวอู่เคยได้ยินถึงความร้ายกาจขณะขึ้นเขาลงห้วยไปลอบโจมตีรังโจรของคนเหล่านี้จากในกองทัพ เพราะสนใจวีรกรรมของพวกมันเป็นพิเศษจึงจำหน้าตาคนทั้งหมดนี้ได้

    ทหารภูเขาทั้งหลายนั้นคล้ายจำได้เช่นกันว่าเสิ่นเสี่ยวอู่คือพวกพ้องเก่า ทว่าต่างฝ่ายต่างไม่แน่ใจ เพียงพยักหน้าทักทายจากไกลๆ บัดนี้ได้ร่วมรบกับคนเหล่านี้ เสิ่นเสี่ยวอู่จึงลอบภาคภูมิใจในตนเองอยู่บ้าง

    บ่ายวันนี้มันได้รับคำสั่งจากหลินชิงให้ไปหารองแม่ทัพหลิวโส่วซวี่ (มันได้ยินมาว่าใต้เท้าหลิวก็คือผู้ที่เพิ่งมารับตำแหน่งนายอำเภอเฟิ่งซิน) ติดตามทหารอีกสิบกว่านายที่ออกจากกลุ่มเดิมของตนไปเข้าร่วมกับกลุ่มใหม่ขบวนนี้ ในตอนนั้นเสิ่นเสี่ยวอู่รู้แล้วว่าพวกมันทุกคนล้วนถูกคัดเลือกมาจากแม่ทัพกองทัพคุณธรรม

    จากนั้นพวกมันออกเดินทางอย่างเร่งด่วนด้วยสัมภาระเบา นำโดยผู้บังคับการกองพันนายหนึ่งที่นามว่าสวีเฉิง ใต้เท้าสวีกำชับพวกมันให้พกได้เพียงเสบียงอาหารสำหรับหนึ่งวันเท่านั้น หลังถึงจุดรวมพลที่นัดหมายจะมีเสบียงเติมให้ เมื่อสิ่งที่ต้องรับผิดชอบน้อยลง กอปรกับพวกมันล้วนฝีเท้าว่องไวร่างกายแข็งแรง จึงเดินทัพได้รวดเร็วอย่างยิ่ง ไม่นานก็ออกจากขบวนทัพใหญ่เดินทางไปยังทิศเหนือแล้ว

    ซึ่งก็คือทิศที่ตั้งของหนานชาง

    พวกมันเดินทางรีบร้อนอย่างยิ่ง มิได้หยุดพักสักนิด เมื่อเดินทางจนถึงพลบค่ำจึงเร่งไปยังพื้นที่ว่างซึ่งถูกป่าไม้ล้อมรอบผืนนี้ เหล่าทหารมิได้พกมาแม้กระทั่งสิ่งของจำพวกกระโจม พวกมันรู้ว่าคืนนี้ต้องค้างแรมอยู่ที่นี่ และดีใจที่ประหยัดเวลาได้ จึงไปเก็บรวบรวมไม้ฟืนมาก่อไฟ พักผ่อนกินอาหารอยู่ตรงนั้น ในขณะเดียวกันก็จัดกำลังลาดตระเวนหมุนเวียนกันเฝ้าระวังรอบด้าน

    ทั้งวันเสิ่นเสี่ยวอู่ล้วนสำรวจคนในกลุ่มใหม่ที่ตนเองอยู่ มันประเมินแล้วว่าทหารในขบวนมีเพียงประมาณสี่ร้อยนาย ขณะทุกนายก้าวเดินและทำงานล้วนมือเท้าคล่องแคล่ว อีกทั้งถึงแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ไม่นานก็เข้าใจการทำงานร่วมกันเอง มองจากจุดนี้หัวสมองและความสามารถในการทำงานของทหารทั้งหมดล้วนไม่เลว ระหว่างนั้นไม่มีผู้ใดเคยส่งเสียงรำพันออกมา และไม่เคยทะเลาะวิวาทกัน ล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่ทนลำบากและโอนอ่อนได้

    หัวสมองที่รู้จักรับมือตามสถานการณ์ปัจจุบันและจิตใจอันเข้มแข็ง สองสิ่งนี้มักเป็นอาวุธที่สำคัญยิ่งกว่าเรี่ยวแรงและความกล้าหาญบนสมรภูมิ เสิ่นเสี่ยวอู่ที่เคยทำสงครามเข้าใจลึกซึ้งยิ่งนักต่อสิ่งนี้

    ขณะนี้เสิ่นเสี่ยวอู่กัดแทะข้าวพองชิ้นหนึ่ง มองดูพวกพ้องข้างกายผ่านประกายไฟสืบต่อ บรรยากาศรอบกองไฟอบอุ่น ดูเหมือนทุกคนต่างก็ผ่อนคลายยิ่งนัก แต่เสิ่นเสี่ยวอู่มองออกว่าขอเพียงสั่งการคำเดียว คนทั้งหมดล้วนผุดลุกขึ้นสาวเท้าวิ่งและต่อสู้ได้ทุกเมื่อ

    แม้อาจมองไม่ออกจากชุดเกราะและอาวุธอันเรียบง่าย แต่ความจริงพวกมันคือสัตว์ร้ายฝูงหนึ่งที่หยุดพักจากการล่าเหยื่อชั่วคราว

    เสิ่นเสี่ยวอู่ยัดข้าวพองที่เหลือเข้าปาก ขณะเดียวกับที่ขบเคี้ยวยังแค่นยิ้มเล็กน้อย มันคิดว่าคนกลุ่มนี้ร่างกายและหัวสมองล้วนดีเลิศ ซ้ำยังขยันขันแข็ง หากรวมตัวกันไปซ่อมสะพานสร้างบ้านเรือน หักร้างถางพง ทำอะไรก็คงจะสำเร็จง่ายดาย หากทำธุรกิจค้าขายด้วยกันจะทำกำไรจนรุ่งเรืองมั่งคั่งก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

    แต่พวกมันกลับต้องมาที่นี่ เสี่ยงอันตรายอาจถูกฆ่าและต้องไปฆ่าคน

    ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหนิงอ๋องผู้นั้น กินข้าวอิ่มแล้วไม่มีเรื่องให้คิดก็อยากจะเป็นจักรพรรดิ ดึงคนทั้งหมดมาพัวพัน…

    แต่หากมิใช่มีสงครามนี้ ชีวิตของเสิ่นเสี่ยวอู่ก็คงไม่ได้ออกจากคันนาที่บ้านเกิดเช่นกัน คงไม่ได้มาทำตามความฝันสร้างชื่อเสียงกระเดื่องเลื่องลือที่นี่

    ในพวกมันไม่รู้จะมีคนมากน้อยเพียงใดที่คิดเหมือนกันกับข้า…

    เมื่อทุกคนกินเสร็จเรียบร้อยและกำลังเก็บกวาด กลับได้ยินเสียงรถม้าแล่นบนพื้นดินในความมืดมนอนธการนอกป่าไกลๆ

    สัญชาตญาณของคนทั้งหมดตึงเครียดขึ้นมาทันที กว่าครึ่งหยิบอาวุธขึ้นมาแล้วอย่างรวดเร็ว พวกมันกระจ่างยิ่งนักว่าหลังออกจากกลุ่มเดิมและรีบเดินทางไกลเพียงนี้ ก็ได้ก้าวเข้าสู่เขตแดนศัตรูนานแล้ว

    ยามนี้สุ้มเสียงของสวีเฉิงดังขึ้น

    “ไม่ต้องตื่นเต้น เป็นผู้มาส่งเสบียงอาหาร”

    รถม้าสองคันนั้นแล่นเข้ามา ดึงดูดสายตาของคนทั้งหมด

    บนรถม้าคันหนึ่งในนั้นกองเต็มไปด้วยถุงผ้า เป็นเสบียงกองทัพที่มาเติมให้ทั้งสี่ร้อยนายนี้ นอกนั้นยังมีลูกเกาทัณฑ์เพิ่มเติมหลายดอกและน้ำมันสนหลายกระปุก

    เสิ่นเสี่ยวอู่มองดูจำนวนของเสบียงกองทัพบนรถม้าคันนี้ น่าจะเพียงพอแค่สองสามมื้อของพวกมัน ก็หมายความว่าไม่นานพวกมันต้องต่อสู้แล้ว น้ำมันสนคือสิ่งที่ไว้ใช้จุดไฟ แปลว่าพวกมันต้องลงมือในวิกาล

    พอรถม้าคันที่สองหยุดลงก็มีหกเจ็ดคนกระโดดลงมาจากด้านบน พวกมันล้วนสวมอาภรณ์เนื้อหยาบที่เปื้อนเต็มไปด้วยโคลน ดูไปแล้วเหมือนชาวนาที่เพิ่งดำนามา เสิ่นเสี่ยวอู่คิดว่าพวกมันเร่งมาที่นี่ยามค่ำคืน ย่อมมิใช่เพื่อรอชาวนาทั่วไปไม่กี่คน การแต่งกายนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการปลอมตัว คนเหล่านี้ต้องเป็นหูตาที่เคลื่อนไหวในเขตอำนาจตำหนักหนิงอ๋องมานานเป็นแน่

    สามคนในนั้นดึงดูดสายตาเหล่าทหารเป็นพิเศษ พวกมันต่างถือห่อของและถุงผ้าอาวุธทรงยาว บุรุษคนหนึ่งในนั้นผิวเข้มคล้ำ สยายผมยุ่งม้วนเกลียวแปลกประหลาด คนหนึ่งดูเหมือนเยาว์วัยยิ่งนัก ท่วงท่าเดินเหินมีความสละสลวยที่ดูอันตราย คนที่สามเป็นสตรีรูปร่างสูงใหญ่อย่างมากนางหนึ่ง อาวุธในมือยาวและหนักอึ้งยิ่งกว่าอีกสองคน

    สวีเฉิงเดินเข้าไปต้อนรับพวกมันด้วยตัวเอง หลังบุรุษเข้มคล้ำกับสวีเฉิงพูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็เดินตรงมายังที่ว่างกับอีกสองคนที่ถือสิ่งของและเข้าไปในป่าด้านข้าง สวีเฉิงสั่งการเหล่าทหารให้ขนเสบียงกองทัพและสิ่งของลงมาแบ่งสันใส่เข้าในถุงสัมภาระของแต่ละคน

    หลังเหล่าทหารแจกจ่ายเสบียงเสร็จ สามคนนั้นก็กลับมาจากป่า เห็นเพียงพวกมันผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ บุรุษเข้มคล้ำที่หว่างคิ้วมีรอยแผลดาบเฉียงๆ ผู้นั้นสวมชุดต่อสู้สีดำทั่วร่างและใช้ผ้าโพกศีรษะดำคลุมผมยุ่งเอาไว้ ข้างเอวมันพกดาบสามเล่มที่ขนาดต่างกัน ด้านข้างห้อยไว้ด้วยโซ่เหล็กเชื่อมหัวทวนมัดหนึ่ง ในมือยังถือดาบข่านเตาสองมือรูปแบบแคว้นวออีกเล่มหนึ่ง หลังสตรีเช็ดใบหน้าจนสะอาด ประกายไฟก็ส่องสะท้อนหน้าตางดงามที่ชวนให้ใจเต้นเร็วขึ้นออกมา ดาบแคว้นวอที่สะพายเฉียงบนหลังนางยาวกว่าในมือของบุรุษผู้นั้นเสียอีก ข้างเอวยังห้อยถุงลูกเกาทัณฑ์ มือซ้ายถือคันเกาทัณฑ์ยาวทาสีสวยงามคันหนึ่ง คนหนุ่มเองก็คลุมผ้าโพกศีรษะและผูกไว้ด้วยสายคาดเหล็กแผ่นหนึ่งเพื่อป้องกัน ใบหน้ามันแผ่ความอาจหาญไม่ธรรมดาออกมา กระบี่คู่สั้นยาวที่ด้านหลังและข้างเอว ไม่คล้ายสิ่งของในสนามรบ แต่ดูโบราณจนเหมือนสมบัติของเชื้อพระวงศ์หรือครอบครัวรุ่มรวยมากกว่า

    พวกมันต่างผูกแผ่นเกราะบนขาและมือแค่นี้เท่านั้น เสิ่นเสี่ยวอู่มองออกว่านี่เป็นเพราะคนทั้งสามล้วนเชื่อในฝีมือของตนเอง จึงไม่ยอมพึ่งพาชุดเกราะที่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว

    สวีเฉิงผู้บังคับการกองพันบอกให้เหล่าทหารมารวมตัว สามคนนั้นล้วนยืนอยู่ข้างมันทั้งหมด

    “นับแต่นี้ไป หัวหน้าของพวกเจ้ามิใช่ข้าอีกต่อไป” สวีเฉิงกลืนน้ำลาย ชี้บุรุษชุดดำผู้นั้นข้างกาย “เป็นแม่ทัพดำ…ท่านนี้”

    ‘แม่ทัพดำ’ ย่อมมิใช่ชื่อแซ่ที่แท้จริง เสิ่นเสี่ยวอู่และพวกพ้องอีกจำนวนหนึ่งเคยได้ยินมาก่อนแล้วว่าข้างกายใต้เท้าหวังมีบุคคลที่ร้ายกาจอย่างยิ่งหลายคน แต่กลับมิอาจเปิดเผยสถานะและชื่อแซ่ ดูเหมือนว่าเพราะเป็นพวกนักโทษหมายจับราชสำนัก…คงเป็นสามคนนี้ตรงหน้านั่นเอง

    ถึงแม้ทหารหลายนายจะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็มิได้เอะอะโวยวายขึ้นมา พวกมันเป็นเหมือนกันกับเสิ่นเสี่ยวอู่ รับรู้ได้ว่า ‘แม่ทัพดำ’ ท่านนี้กับพวกพ้องสองคนล้วนไม่ธรรมดา ให้มันมาบัญชาการย่อมไม่มีผู้ใดไม่พอใจ

    จิงเลี่ยถือดาบเลียนแบบดาบแคว้นวอเดินเข้าไปก้าวหนึ่ง อีกมือหนึ่งลูบไล้หนวดเครา อาศัยประกายของกองไฟสำรวจทหารสี่ร้อยนายนี้เบื้องหน้า เฉกเช่นเดียวกับเหล่าทหารที่เพียงมองแวบเดียวก็รับรู้ถึงความร้ายกาจของมัน จิงเลี่ยเองก็ชี้ขาดได้ในทันทีว่าเหล่าทหารขบวนนี้สอดคล้องกับความต้องการที่มันเสนอต่อใต้เท้าหวัง

    “คืนนี้พวกเราเพิ่งพบหน้าเป็นครั้งแรก” จิงเลี่ยกล่าว “ฉะนั้นข้ามิอาจรู้ว่าทุกคนมาทำสงครามสนามนี้เพื่ออะไร พวกเจ้าบางคนมาเพื่อปกป้องครอบครัวและคนรัก บางคนอาจถูกนายอำเภอเกณฑ์มาหรือบีบบังคับให้มา บางคนอาจรังเกียจความโหดร้ายป่าเถื่อนของตำหนักหนิงอ๋อง บางคนอาจจะคิดสร้างผลงานในสงครามสนามนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของจากเชลยหรือรางวัลไปจนถึงตำแหน่งขุนนาง…”

    เสิ่นเสี่ยวอู่ฟังถึงตรงนี้ก็ลอบหัวเราะ ถามกลับเสียงดังโดยไม่รู้ตัว “ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นท่านเล่า ท่านทำสงครามสนามนี้เพื่ออะไร”

    พวกพ้องข้างกายมันล้วนอดมิได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา สวีเฉิงกำลังจะติเตียน แต่กลับถูกจิงเลี่ยยกมือห้ามไว้ จิงเลี่ยยิ้มน้อยๆ มองเสิ่นเสี่ยวอู่ “สาเหตุของข้าง่ายดายยิ่งนัก ข้ากับใต้เท้าหวังเคยข้ามผ่านความเป็นตายมาร่วมกัน เรื่องราวของมันก็คือเรื่องราวของข้า เมื่อมันนำชีวิตออกมาทำศึกนี้ ฉะนั้นข้าเองก็เอาชีวิตออกมาเช่นกัน”

    เหล่าทหารฟังแล้วอดมิได้ที่จะสีหน้าแปรเปลี่ยน เสียงหัวเราะต่างก็หยุดลงแล้ว

    “เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ” จิงเลี่ยกล่าวสืบต่อ “ไม่ว่าพวกเราทำศึกนี้เพื่ออะไรก็ดี เบื้องหน้ามีเพียงเรื่องเดียวคือเอาชนะ”

    มันยกดาบเลียนแบบดาบแคว้นวอขึ้น ใช้ด้ามดาบชี้ไปยังทิศเหนือที่ตั้งของเมืองหนานชาง

    “บัดนี้ระหว่างทัพใหญ่ฝ่ายเรากับหนานชาง มีเพียงอุปสรรคเดียวคือกองทัพศัตรูวางทหารซุ่มโจมตีพันกว่านายไว้นอกเมืองหนานชาง นี่คือสิ่งที่ข้าสืบรู้ด้วยตัวเอง จำนวนของพวกมันแม้ไม่มากเมื่อเทียบกับทัพใหญ่เรา แต่กองทัพป้องกันในเมืองของมันยังครองความได้เปรียบด้านชัยภูมิอยู่ เป็นภัยคุกคามไม่น้อยต่อทัพเรา หากถูกพวกมันถ่วงเวลาการตีเมือง กำลังหลักของตำหนักหนิงอ๋องก็อาจเร่งกลับมาขนาบตีได้ ทำให้ทัพเรายิ่งตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย”

    สวีเฉิงฟังอยู่เงียบๆ ด้านข้าง ความจริงในใจหาได้เห็นด้วยกับการบอกเล่าเรื่องราวมากมายนี้

    ออกคำสั่งพวกมันก็พอแล้ว จำเป็นต้องบอกยุทธวิธีและสถานการณ์เหล่านี้แก่ทหารเหล่านี้ด้วยหรือ…

    ความคิดของจิงเลี่ยกลับต่างกัน มันเชื่อว่ามีเพียงให้ทหารรู้ว่าพวกมันต่อสู้เพื่ออะไร สิ่งที่พวกมันแบกรับคือภารกิจเช่นไร จึงจะรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างแท้จริง

    ดังคาด เหล่าทหารที่กำลังเผชิญหน้าแม่ทัพประหลาดผู้นี้ล้วนฟังมันกล่าวคำอย่างแปลกใจและจดจ่อ

    จิงเลี่ยกล่าวสืบต่อ “ทหารซุ่มโจมตีขบวนนี้คาดการณ์ได้ว่าล้วนเป็นทหารเด่นล้ำที่สุดในกองทัพป้องกันหนานชาง เชื่อว่าในนั้นยังมีมือดียุทธภพที่ตำหนักหนิงอ๋องรับสมัครจากภายนอกเมื่อไม่กี่ปีมานี้”

    มันกวาดมองดวงตาทุกคู่เบื้องหน้า

    “และเรื่องที่พวกเราต้องทำก็คือกำจัดทหารซุ่มโจมตีขบวนนี้ก่อนที่ทัพใหญ่จะไปถึงหนานชาง”

    พวกมันฟังแล้วอดมิได้ที่จะสีหน้าแปรเปลี่ยนตะโกนร้อง นี่คือเรื่องธรรมดา จิงเลี่ยเพิ่งบอกพวกมันว่าต้องใช้ทหารเพียงสี่ร้อยนายไปกำจัดทหารเด่นล้ำกองทัพศัตรูที่มีกำลังทหารมากกว่าสามเท่า

    จิงเลี่ยรีบใช้น้ำเสียงทรงพลังหยุดยั้งพวกมันอีก “ข้ารู้! ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในขณะเดียวกันข้าเองก็รู้เรื่องหนึ่ง พวกเราต้องเอาชนะให้ได้!”

    คำพูดประโยคนี้ได้ผลดังคาด เหล่าทหารเงียบลงอีกครั้ง

    “พวกเราจะชนะ เพราะมีความได้เปรียบสามอย่าง” จิงเลี่ยกล่าวสืบต่อ “หนึ่งคือพวกเรากล้าหาญกว่าศัตรู”

    ในบรรดาทหารมีคนรีบตะโกนถาม “เรื่องนี้ท่านรู้ได้อย่างไร”

    “คำตอบอยู่ในใจพวกเจ้าเอง” จิงเลี่ยตอบ “ทหารของตำหนักหนิงอ๋องล้วนเข้าสู่สมรภูมิเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ขอเพียงพวกเจ้ามิได้สู้เพื่อตัวเองก็จะกล้าหาญกว่าฝ่ายตรงข้ามอย่างแน่นอน แต่อย่าเข้าใจผิด ข้ามิได้จะให้เจ้าไปสู้เพื่อราชสำนัก และมิใช่จะให้เจ้าไปสู้เพื่อข้า หรือว่าเพื่อใต้เท้าหวัง ข้าขอเพียงพวกเจ้าทำศึกนี้เพื่อพวกพ้องสี่ร้อยคนที่นี่นั่นก็เพียงพอแล้ว เชื่อข้า ข้าเคยทำศึกหลายครั้งยิ่งนักในสถานที่ไกลโพ้นอย่างมากที่เจ้าไม่เคยได้ยิน แต่ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็เหมือนกัน กองทัพที่ต่อสู้เพื่อปกป้องพวกพ้องข้างกาย จะมีชีวิตรอดมาได้และจะมีชัยชนะ”

    คำพูดของจิงเลี่ยทำให้ทหารจำนวนมากรู้สึกว่าโลหิตในร่างล้วนร้อนเร่าขึ้นมา บางคนอดมิได้ที่จะพยักหน้า ทหารที่มีประสบการณ์ต่อสู้มากมายที่นี่เข้าใจหลักการนี้อยู่ก่อนแล้ว พวกมันเพียงถูกจิงเลี่ยเตือนสติอีกครั้ง

    จิงเลี่ยชูนิ้วสองนิ้ว “ความได้เปรียบที่สองของพวกเราคือศัตรูไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเรามาถึง ข้ากับพวกพ้องสำรวจฐานที่มั่นของทหารซุ่มโจมตีแล้ว และพบทางแคบที่ใช้ลอบโจมตีพวกมันได้สายหนึ่ง อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามคิดว่าอีกสามวันกองทัพเราจึงจะบรรลุถึง แต่พวกเราต้องเร็วกว่านี้เพื่อปรากฏตัวที่กองหลังของพวกมัน!”

    ยามนี้เสิ่นเสี่ยวอู่กับทหารมากมายเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดจิงเลี่ยจึงรับสมัครเพียงนักรบจำนวนเท่านี้ มีเพียงคนจำนวนน้อยลงมือจึงรวดเร็ว และไม่ง่ายต่อการถูกสายลับหรือทหารลาดตระเวนของฝ่ายศัตรูจับได้

    เร้นลับ คือจุดสำคัญของผลแพ้ชนะครานี้

    “ฉะนั้นคืนนี้พวกเราก็ต้องเดินทัพยามวิกาลสืบต่อ” จิงเลี่ยชี้น้ำมันสนหลายกระปุกที่กองอยู่ด้านข้าง “หากเข้าเขตเมืองหนานชางพวกเราต้องบรรลุถึงที่หมายโดยเร็วแม้จะยังไม่ได้นอน รีบเปิดฉากจู่โจมกะทันหันทันที ข้ารู้ว่านี่ยากลำบากอย่างยิ่ง แต่ขอเพียงกระทำได้ ชัยชนะก็อยู่ในมือพวกเรา!”

    ทหารสี่ร้อยนายฟังแล้วเพียงแค่นิ่งเงียบครู่หนึ่ง จึงเริ่มแยกย้ายออกไป

    “พวกเจ้าทำอะไร” สวีเฉิงรีบตะโกนถาม

    “ไปเก็บกิ่งไม้ท่อนไม้สร้างคบเพลิงอย่างไรเล่า” ทหารชาวบ้านนายหนึ่งตอบ “แม่ทัพดำบอกว่าต้องเร็ว พวกเราจะไม่เสียเวลาสักนิดเดียว”

    สวีเฉิงประหลาดใจอย่างมาก มันเป็นทหารแต่กลับไม่เคยเห็นว่ามีทหารกระตือรือร้นเองเช่นนี้มาก่อน มันหันหน้ามองดูใบหน้ายิ้มแย้มของจิงเลี่ย อดมิได้ที่สยบยอมแล้ว

    “แม่ทัพดำ!” ยามนี้เสิ่นเสี่ยวอู่ถามอีก “เมื่อครู่ท่านบอกว่าพวกเรามีความได้เปรียบสามอย่าง เช่นนั้นอย่างที่สามคืออะไร”

    จิงเลี่ยมองดูหู่หลิงหลันกับเยียนเหิงข้างกาย แล้วยักไหล่ให้เสิ่นเสี่ยวอู่

    “นั่นย่อมเป็นพวกเราสามคนอย่างไรเล่า ยังต้องถามหรือ”

     

    (หมายเหตุ*** เนื้อหานิยายที่นำมาให้ทดลองอ่านยังไม่ผ่านกระบวนการไฟนอล)

     

    ติดตามต่อได้ในหนังสือ เพลงกลอนคลั่งยุทธ์เล่ม 19 ฉบับเต็ม

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in เพลงกลอนคลั่งยุทธ์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook