คู่กิเลนค้ำบัลลังก์
ทดลองอ่าน คู่กิเลนค้ำบัลลังก์ เล่ม 1 บทที่ 1-3
บทที่ 1
“ทางเหนือแจ้งข่าวด่วนเรื่องสงครามมา”
หยางจวินพูดพลางส่งชาที่เหวินเจียงต้มเสร็จแล้วไปให้
แสงตะวันในฤดูสารทส่องแสงร้อนแรงเจิดจ้า แค่ยืนอยู่ข้างนอกเพียงหนึ่งเค่อ ก็ทำให้คนร้อนจนเหงื่อแตกได้ เฮ่อหรงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขายกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากก่อนวางผลแตงที่เด็ดมาใส่ตะกร้า
สวนในบ้านมีผลแตงให้เก็บได้ไม่มาก ขายไม่ได้ราคา แต่พอจะช่วยคลายหิวให้คนในครอบครัวได้ และบางครั้งก็แบ่งให้หยางจวินเอากลับไปได้อีกหลายลูก
“ว่าอย่างไร” เขาปัดฝุ่นบนตัวออกก่อนรับชาของหยางจวินมา
น้ำชาร้อนนิดๆ ไม่ลวกมือ อุ่นพอกลั้วคอได้กำลังดี
ใต้ร้านแตงมีลมเย็นพัดโชยพากลิ่นหอมของดอกกุ้ยในช่วงฤดูสารทมา เจ้าแมวสีเหลืองตัวโตที่นอนหมอบอยู่บนชายคาบ้านพลิกตัวครั้งหนึ่งอย่างแสนสบาย มันปรือตาขึ้นน้อยๆ ก่อนจะหลับต่อด้วยท่าทีเกียจคร้านตามประสาชีวิตในชนบท
ทว่า…เทียบกับสีหน้าเครียดขรึมของหยางจวินแล้วช่างแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
“เหตุการณ์ไม่สู้ดีนัก พวกทูเจวี๋ยตะวันออกตะวันตกร่วมมือกัน แบ่งกองกำลังลงใต้สามทาง ทางหนึ่งไปภูเขาเฮ่อหลันเข้าอำเภอไหวหย่วน ทางหนึ่งบุกเหลียงโจวโดยผ่านเมืองซิวถู อีกทางหนึ่งตะลุยไปยังอำเภอซานตานหมายปักหลักที่กานโจว”
ระหว่างที่พูด หยางจวินก็ใช้กิ่งไผ่วาดแผนที่ตำแหน่งที่ตั้งคร่าวๆ ลงบนพื้น
“ข่าวนี้ยืนยันได้แน่หรือ” เฮ่อหรงถามขึ้น
“รับรองว่าไม่ผิด เพราะสำนักคุ้มภัยที่ช่วยบิดาข้าส่งสินค้าครั้งนี้เพิ่งมาจากหล่งซี ครอบครัวของพวกเขาอยู่ที่กานโจว เวลานี้จึงพากันเป็นห่วงผู้เฒ่าผู้แก่และเด็กเล็กที่บ้านจนไม่กล้าโอ้เอ้อยู่ที่นี่นาน รีบร้อนกลับไปราวกับถูกไฟลน”
เฮ่อหรงสั่นศีรษะ “กานโจวไม่น่ากังวลอะไรนัก เพราะเดือนก่อนราชสำนักเพิ่งแต่งตั้งเฉินเวยเป็นผู้บัญชาการกานโจว สั่งให้จัดกองกำลังแปดหมื่นประจำอยู่ในเมืองจางเยี่ย ลงว่ามีเขาอยู่ ต่อให้ผู้ตรวจการมณฑลกานโจวจะกลัวสงครามเพียงใดเขาก็ไม่ปล่อยให้ชาวทูเจวี๋ยกระทำการได้โดยง่ายแน่ ยิ่งกว่านั้นผู้ที่โจมตีกานโจวในครั้งนี้น่าจะเป็นแคว้นทูเจวี๋ยตะวันตกใช่หรือไม่”
หยางจวินผงกศีรษะ “ถูกต้อง”
“หมัวลี่ข่านประมุขแคว้นทูเจวี๋ยตะวันตกอายุเลยหกสิบแล้ว กำลังวังชาไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่มีทางเทียบกับคนหนุ่มได้ การที่เขายอมเคลื่อนทัพครั้งนี้น่าจะแค่มีเจตนาตีชิงตามไฟ เพื่อหาจุดอ่อนแคว้นทูเจวี๋ยตะวันออกอยู่ข้างหลังมากกว่า แต่กานโจวเป็นกระดูกแข็ง ภารกิจครั้งนี้ของเขาจึงต้องล้มเหลว”
“แล้วทางอำเภอไหวหย่วนกับเหลียงโจวเล่า”
เฮ่อหรงยิ้ม “ที่ข้าสามารถวิเคราะห์เรื่องของกานโจวได้เป็นเพราะเคยได้ยินเจ้าเล่าเรื่องแถบชายแดน และเคยเห็นประกาศจากทางราชสำนักในช่วงนี้ แต่ถ้าให้คิดเยอะกว่านี้ข้าก็ไม่ใช่เทพเซียน สองตามืดบอดพอๆ กับเจ้านั่นแหละ”
หยางจวินทำเสียงจึ๊กจั๊ก “เช่นนั้นเจ้าพูดอะไรมาก็ได้ ข้าอยากฟังให้สบายใจหน่อย!”
“ข้าไม่ใช่ขุนนางราชสำนัก และยิ่งไม่ใช่ข่านแห่งทูเจวี๋ย พูดแล้วจะมีประโยชน์อะไร”
เมื่อครู่เขายืนอยู่ใต้ร้านแตงพักใหญ่เพื่อพิศดูผลแตงทุกลูกที่เด็ดอย่างละเอียด พอตอนนี้พูดเยอะ คอเลยแห้งเร็ว เหวินเจียงจึงส่งชาที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ มาให้อย่างได้จังหวะ นางหันไปมองหยางจวินเงียบๆ แวบหนึ่งแล้วไม่เติมน้ำชาให้เขา เป็นการประท้วงและบอกเป็นนัยว่าหยางจวินควรให้คุณชายของตนพักผ่อนได้แล้ว
หยางจวินเห็นแล้วก็หลุดขำ “ตอนแรกข้าเพียงหาสาวใช้บ้านๆ มาเป็นผู้ช่วยให้เจ้าสักคน คิดไม่ถึงว่าเดี๋ยวนี้นางจะเอาใจใส่เจ้าถึงเพียงนี้ เจ้าช่างอบรมได้ดีจริงๆ!”
เฮ่อหรงได้ดื่มชาอีกถ้วยแล้วรู้สึกสบายคอขึ้นมาก “หากเจ้านึกเสียใจ อยากจะพานางกลับไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว”
หยางจวินโบกมือ “วิญญูชนมิพึงแย่งชิงของของผู้อื่น เจ้าพูดต่อดีกว่า!”
เห็นอีกฝ่ายเอาแต่มองหน้าตนตาปริบๆ เฮ่อหรงจึงได้แต่บอกว่า “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องของอำเภอไหวหย่วนมากนักจึงไม่อยากพูดส่งเดช แต่ทางเหลียงโจวนั้นพอจะเดาได้นิดหน่อย ข้าดูแล้วเกรงว่าจะรักษาเหลียงโจวไว้ไม่อยู่”
หยางจวินสะดุ้งเล็กน้อย “ต่อให้เป็นการเดาสุ่มก็ต้องมีที่มาที่ไปมิใช่หรือ”
เฮ่อหรงหยิบกิ่งไผ่บนพื้นขึ้นมาชี้ตำแหน่งที่มีการฆ่าล้างเมือง “ที่ตรงนี้คือจุดปะทะ คือเผ่าเหยี่ยกู่ของแคว้นทูเจวี๋ยตะวันออก สมัยที่แคว้นทูเจวี๋ยตะวันออกยังไม่เป็นปึกแผ่น เผ่าเหยี่ยกู่เคยเป็นแขนงหนึ่งที่มีความเข้มแข็งและยิ่งใหญ่มากที่สุด ฝูเนี่ยนข่านคนปัจจุบันก็ถือกำเนิดที่เผ่าเหยี่ยกู่”
ท่ามกลางเสียงรินชาดังจ๊อกๆ เฮ่อหรงพูดต่อว่า “เขาไม่เหมือนกับหมัวลี่ เพราะฝูเนี่ยนอายุน้อยกว่าหมัวลี่หลายสิบปี หากพูดเป็นภาษาของชาวจงหยวนเราคือ ‘คนหนุ่มวัยสวมหมวก ใจแกร่งกล้าปณิธานยาวไกล’ นอกจากนี้ในแคว้นทูเจวี๋ยยึดหลักผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้เข้มแข็ง และต้องยอมสยบให้แก่ผู้มีอำนาจ การที่ฝูเนี่ยนสามารถขึ้นรับตำแหน่งผู้นำของแคว้นทูเจวี๋ยตะวันออกได้แสดงว่าจะต้องไม่ใช่ธรรมดา และไม่มีทางไม่รู้ว่าการแยกกำลังเป็นสองทางเพื่อเข้าโจมตีจะทำให้กำลังของตนลดน้อยลง”
หยางจวินย่นหัวคิ้ว “ความหมายของเจ้าคือเขาตั้งใจใช้อำเภอไหวหย่วนหรือเหลียงโจวที่ใดที่หนึ่งออกอุบายส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม?”
“ก็ไม่แน่ แต่ข้าเชื่อมั่นว่ายามที่คนเช่นนี้คิดทำอะไรจะต้องมีเป้าหมายบางอย่าง และมีปริศนาที่พวกเรายังไม่เข้าใจรวมอยู่ด้วยแน่นอน”
หยางจวินถอนหายใจ “ไม่ยอมให้ผู้อื่นอยู่กันอย่างสงบเลยจริงๆ หวังว่าราชสำนักจะเร่งกำราบความวุ่นวายลงโดยเร็ว หาไม่สกุลหยางคงไม่กล้าเดินทางไปซื้อขายแถบชายแดนอีกแล้ว!”
ระหว่างที่กำลังคุยกัน ใครคนหนึ่งก็เดินมาจากอีกด้านของระเบียง
“คุณชายสาม นายท่านเชิญท่านไปพบขอรับ” ผู้มาเยือนคือคนรับใช้ของสกุลเฮ่อ…เฮ่อซง
ตอนครอบครัวของพวกเขาถูกเนรเทศมาที่นี่ อย่าว่าแต่คนรับใช้เลย แม้แต่ของมีค่าที่ติดตัวอยู่ก็ถูกริบไป กลายเป็นผู้ดีตกยากที่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด ลำพังแค่ได้กินกากเหล้ากับรำเป็นอาหารสองมื้อต่อวันก็ถือเป็นพรจากสวรรค์แล้ว
ยิ่งในช่วงที่ตกทุกข์ได้ยากกันอย่างที่สุด ทุกคนในบ้านต้องขุดแม้แต่ต้นหญ้าขึ้นมากิน
เฮ่อซงกับเหวินเจียงเป็นคนที่หยางจวินส่งมาให้เมื่อสองปีก่อนตอนที่สถานการณ์เริ่มจะดีขึ้น
นอกจากนี้ยังมีคนรับใช้อีกสองคนที่อยู่กับพวกเขา ตามปกติจะช่วยทำไร่ไถนาอยู่ในที่ดิน เป็นการว่าจ้างแบบชั่วคราว ไม่ได้ขายตัวขาด
เฮ่อหรงรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย “ท่านพ่อบอกหรือไม่ว่ามีเรื่องอะไรถึงเรียกข้า”
เฮ่อซงส่ายหน้า พูดเสียงเบา “แต่ข้าเห็นว่านายท่านดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดี”
เฮ่อหรงรับคำแล้วหันไปพูดกับหยางจวิน “เสียมารยาทแล้ว เจ้านั่งรอสักครู่ก่อน ข้าจะรีบไปรีบมา”
หยางจวินพูดยิ้มๆ “เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ อีกเดี๋ยวข้าก็จะกลับแล้ว”
เหวินเจียงรีบเข้ามาพยุงเฮ่อหรงให้ลุกขึ้น
แต่เฮ่อหรงกลับบอก “ไปเอาไม้เท้าอันนั้นมาให้ข้าดีกว่า และเจ้าก็ไม่ต้องตามมาด้วย”
แม้เหวินเจียงจะไม่เต็มใจ แต่นางยังคงส่งไม้เท้าให้เฮ่อหรงอย่างเชื่อฟัง
ดูผาดๆ เฮ่อหรงไม่ต่างจากคนปกติ มีเพียงเวลาเดินที่เขาจะเดินเร็วกว่าปกติเล็กน้อยและต้องใช้ไม้เท้าช่วย หากพิจารณาดูให้ดีก็จะสังเกตเห็นได้ไม่ยากว่าขาข้างหนึ่งของเขาเป๋นิดหน่อย
หยางจวินมองเงาร่างของเฮ่อหรงกับเฮ่อซงที่หายลับไปที่ปลายระเบียงแล้วอดถอนใจเฮือกหนึ่งออกมาไม่ได้
หากเฮ่อหรงเป็นคนอัปลักษณ์ ทำอะไรไม่เอาไหนยังพอว่า แต่นี่เขากลับดีพร้อมไปหมดทุกอย่าง เสียแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว เหมือนหยกขาวที่มีตำหนิเล็กน้อย ทำให้รู้สึกว่าน่าเสียดายอย่างมาก
หยางจวินดึงสายตากลับมาพูดกับเหวินเจียงว่า “หากเขายังเป็นเชื้อพระวงศ์เหมือนเมื่อก่อน น่าจะมีสง่าราศีจ้าตากว่านี้เป็นร้อยเท่า”
เหวินเจียงพูดเสียงเรียบ “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนายท่านก็คงไม่ใช่นายท่านอย่างทุกวันนี้ และคงไม่ได้รู้จักกับท่านเช่นกัน”
หยางจวินได้ยินคำย้อนพลันมีอาการติดคอ
เฮ่อหรงกับเฮ่อซงเดินมาถึงเรือนหลักแล้วเห็นบิดาเฮ่อไท่กำลังเดินพล่านอยู่ในห้องด้วยสีหน้าร้อนใจกระสับกระส่าย
ข้างกายมีพี่ชายคนโตเฮ่อมู่นั่งอยู่ เขาส่งสายตาให้เฮ่อหรง
“ท่านพ่อ หาข้าหรือขอรับ” เฮ่อหรงส่งเสียงพลางคารวะ
เฮ่อซงถอยออกไปอย่างรู้งาน
“นั่งก่อน”
คำพูดสั้นๆ แต่กินความหมายลึกซึ้งและฟ้องความรู้สึกร้อนรนในใจเฮ่อไท่
“พี่ใหญ่ เหตุใดถึงไม่เห็นพวกพี่รองล่ะ” เฮ่อหรงหันไปถาม
เฮ่อมู่ยิ้ม “เขากับน้องห้าอยู่เฉยไม่เป็นเลยวิ่งขึ้นเขาไปล่าสัตว์ บอกว่าจะเตรียมเสบียงไว้สำหรับหน้าหนาว”
เฮ่อไท่ไม่มีอารมณ์ฟังสองพี่น้องคุยเรื่องสัพเพเหระ พูดเข้าเรื่องทันควัน “เมื่อวานพ่อได้รับจดหมายจากเมืองหลวง”
สีหน้าที่ยังดูเป็นปกติของเฮ่อหรงทำให้เฮ่อไท่อดไม่อยู่ ขยายความให้ชัดเจน “ครั้งนี้มิใช่จดหมายที่ให้ผู้อื่นเขียนแทน แต่เป็นปู่ของพวกเจ้า…เป็นลายพระหัตถ์ของฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาทรับสั่งว่าอะไร”
เฮ่อไท่ยื่นจดหมายมา น้ำเสียงประดักประเดิด “พระองค์รับสั่งถามว่าเหตุใดพ่อจึงไม่เขียนจดหมายด้วยตนเอง เป็นเพราะยังแค้นใจใช่หรือไม่”
เนื้อหาไม่ยาว เฮ่อหรงกวาดตารอบเดียวก็อ่านจบสิบบรรทัดได้อย่างรวดเร็ว ซ้ำยังกล่าวชมด้วยว่า “ลายพู่กันหนักแน่น สละสลวย เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี สมเป็นจักรพรรดิโดยแท้!”
พี่ชายคนโตเฮ่อมู่กลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว
เฮ่อไท่ฉุนขาด “ผู้ใดให้เจ้าดูเรื่องนี้ เจ้าไม่ได้สังเกตถ้อยคำบนจดหมายเลยหรือ พระองค์ขาดแค่ชี้นิ้วใส่หน้าด่าพ่อเองนะ!”
เฮ่อหรงระบายลมหายใจเบาๆ “เช่นนั้นเหตุใดหนก่อนท่านพ่อจึงไม่เขียนจดหมายตอบด้วยตัวเองล่ะขอรับ”
เฮ่อไท่พูดไม่ออก
เขาคงบอกไม่ได้ว่าตัวเองเขียนจดหมายส่งไปเมืองหลวงตั้งหลายครั้ง แต่กลับได้รับจดหมายตอบจากจักรพรรดิเพียงสองสามครั้ง และก็ล้วนเป็นจดหมายที่ให้ข้าหลวงข้างกายเขียนแทนไม่กี่ตัวอักษรว่า ‘เราสบายดี’ เมื่อเวลาผ่านไปนานวัน เฮ่อไท่เลยหมดกำลังใจและนึกสงสัยว่าวิธีที่เฮ่อหรงเสนอให้เขาคงใช้ไม่ได้ผล ครั้งล่าสุดเขาจึงแอบเกียจคร้านด้วยการให้บุตรชายคนโตเขียนจดหมายตอบแทน ผู้ใดจะรู้ว่าจะถูกฝ่าบาทมองออกทันที และมีลายพระหัตถ์ตอบกลับมาด่าเขาด้วยพระองค์เอง
เฮ่อหรงกล่าวด้วยน้ำเสียงอดทน “ที่ข้าให้ท่านพ่อเขียนจดหมายถึงฝ่าบาทมิใช่เพราะต้องการเรียกร้องความโปรดปราน ไม่ว่าฝ่าบาทจะทอดพระเนตรจดหมายพวกนี้หรือไม่ แต่อย่างน้อยพระองค์ก็จะได้ยินชื่อของท่านพ่อบ้างและไม่ลืมท่านไปเลยทีเดียว ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นบทเรียน แม้ถ้อยคำของฝ่าบาทจะดูรุนแรงไปบ้าง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าพระองค์ยังคงห่วงใยท่านอยู่จริงๆ หาไม่แล้วมีหรือที่พระองค์จะมีลายพระหัตถ์มาด้วยพระองค์เองเช่นนี้ หากข้าเดาไม่ผิด อีกไม่นานราชสำนักจะต้องส่งทูตมาด้วยแน่ๆ”
เฮ่อไท่รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาก้มหน้าลงอย่างรันทดใจอีกครั้ง “ฝ่าบาทปลดพ่อเป็นสามัญชนนานแล้ว ยามนี้พ่อเพียงอยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างสงบไปวันๆ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับสิ่งอื่นใดอีก ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว เพราะหากวันไหนฝ่าบาทเกิดฉุกคิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาและอยากจะเอาผิด ต่อให้พวกเราทั้งบ้านกินไม่หมดก็ต้องห่อกลับ”
เฮ่อมู่ปลอบเสียงนุ่ม “ท่านพ่อ ข้ารู้สึกว่าน้องสามพูดไม่ผิด เพราะถ้าฝ่าบาทไม่ใส่ใจจริงก็น่าจะให้คนเขียนหนังสือแทน ไม่จำเป็นต้องมีลายพระหัตถ์ด้วยพระองค์เอง นี่ก็แสดงว่าพระองค์ไม่เคยลืมท่านพ่อ และไม่แน่ว่าถ้อยคำด่าทอในจดหมายอาจเป็นแค่การลองหยั่งเชิงเท่านั้น”
เฮ่อไท่ถอนหายใจ “พวกเจ้าอย่าว่าพ่อใจปลาซิวเลย เรื่องในตอนนั้นมันทำให้พ่อขวัญผวา การที่ฝ่าบาทนึกถึงพวกเราอาจจะไม่ใช่เรื่องดี กว่าครอบครัวเราจะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่สำเร็จก็ไม่ง่าย ขออย่าให้ต้องสูญเสียวันเวลาอย่างทุกวันนี้ไปเลย!”
พูดถึงเรื่องในอดีต ห้องทั้งห้องพลันเงียบกริบ
จวบจนมีเสียงเสนาะใสของสตรีดังเข้ามาจากด้านนอก ทำลายความเงียบสงัดแปลกประหลาดนี้ลง “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่สาม พวกท่านอยู่ที่นี่กันเองหรือ!”
สาวน้อยสวมชุดเนื้อผ้าธรรมดา ถือตะกร้าเดินเข้ามา ใบหน้าแดงระเรื่อ หน้าผากมีเหงื่อผุดซึม ทว่าดวงหน้ากลับมีรอยยิ้มสดใส “วันนี้โชคดี เก็บเม็ดบัวมาได้ไม่น้อย ตอนเย็นทำน้ำแกงข้นเม็ดบัวกินได้!”
เฮ่อไท่เอ่ยอย่างใจไม่อยู่กับตัว “จริงหรือ ขอพ่อดูหน่อย”
เฮ่อจยาสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของคนสามคนที่อยู่ในห้อง นางจึงเหลียวซ้ายแลขวา “เป็นอะไรไป เกิดเรื่องอะ…”
“นายท่าน! นายท่าน!”
เฮ่อจยาพูดยังไม่ทันจบคำ เฮ่อซงก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาจากด้านนอกจนเกือบสะดุดขั้นบันไดล้ม
“ข้างนอกมีรถม้าคันหนึ่งมาจอด พวกเขา…พวกเขาบอกว่ามาจากเมืองหลวงขอรับ!”
เฮ่อไท่ตะลึงงันไปชั่วขณะและแอบสะดุ้งในใจอย่างไม่อาจระงับ
เขาหันไปมองเฮ่อหรงที่นั่งก้มหน้าอยู่ทางด้านขวามือตามสัญชาตญาณ
อีกฝ่ายนั่งนิ่งด้วยท่าทีเป็นปกติ แต่สีหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย
บทที่ 2
เฮ่อไท่ไม่ได้พบเจอคนที่ทางเมืองหลวงส่งมาเยี่ยมเยียนเขาเป็นเวลาสิบเอ็ดปีเต็ม
ช่วงที่มาถึงฝางโจวใหม่ๆ เฮ่อไท่มักฝันว่าตัวเองวิ่งไปร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าจักรพรรดิเพื่ออุทธรณ์ว่าตนถูกใส่ร้าย แต่ทุกครั้งเขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกเสด็จพ่อของตนสั่งให้คนลากตัวเขาออกไป
ภายหลังเขาค่อยๆ เลิกฝันถึงเรื่องพวกนั้น ความหวาดผวาเมื่อตอนแรกเริ่มได้กลายเป็นความรู้สึกสิ้นหวังในตอนท้าย บัดนี้เฮ่อไท่เกือบจะลืมความรุ่งเรืองของเมืองหลวงไปหมด บางครั้งเขาถึงกับรู้สึกว่าชีวิตที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ไม่เลว เพราะแม้ความเป็นอยู่จะขัดสน แต่ก็ไม่ต้องหวาดผวาต่อความเป็นความตาย ไม่ต้องดูสีหน้าบิดา ไม่ต้องต่อสู้แย่งชิงอำนาจและผูกใจคน
เขาเข้าใจว่าตนทำใจให้นิ่งได้ดีพอแล้วและสามารถมองเห็นความร่ำรวยหรูหราเป็นเหมือนหมอกควัน แต่ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ร่างกายกลับเผลอกระตุก อารมณ์ไม่ได้นิ่งจริงอย่างที่นึกคิด ซ้ำยังมีความรู้สึกมากมายถาโถมเข้าสู่หัวใจ
เฮ่อไท่รับรู้ได้ว่าบุตรสาวยังอยู่ที่ด้านข้าง เขาจึงรีบเก็บสีหน้าและตั้งสติมั่น “ผู้มาเยือนเป็นใคร”
เฮ่อซงพูดเสียงอุบอิบ “ผู้น้อยก็ไม่ทราบ แต่มีสองคน”
สองคนหรือ น่าจะไม่ใช่ทหารม้าบินจากสำนักราชองครักษ์ที่ห้อม้ามาจับคน
เฮ่อไท่ลอบโล่งอก “เชิญพวกเขาเข้า…”
“ท่านพ่อ!”
“ท่านพ่อ”
ผู้ที่พูดขึ้นพร้อมกันคือเฮ่อมู่กับเฮ่อหรง
เฮ่อมู่พูดโพล่งตัดหน้าน้องชาย เขารีบบอกว่า “ท่านพ่อ สถานภาพของฝ่ายตรงข้ามยังไม่ชัดเจน ลำพังแค่พวกเขาเดินทางจากเมืองหลวงมาที่นี่ไม่ได้เป็นหลักฐานยืนยันว่าจักรพรรดิทรงส่งพวกเขามา จึงควรระวังเอาไว้ ท่านให้พวกข้าออกไปดูก่อนจะดีกว่า”
เฮ่อหรงผงกศีรษะ “ข้าก็คิดแบบเดียวกับพี่ใหญ่”
คำเตือนของบุตรชายทั้งสองคนทำให้เฮ่อไท่ใจเย็นลงเล็กน้อย “ก็ดี เช่นนั้นพวกเจ้าก็เป็นตัวแทนพ่อออกไปต้อนรับแขก อาจยาเข้าไปข้างในกับพ่อ”
เฮ่อมู่มองน้องสาวประคองบิดาเข้าไปในห้องแล้วจึงให้เฮ่อซงไปเชิญแขกเข้ามา
ผู้มาเยือนเป็นหนึ่งแก่หนึ่งหนุ่ม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายดูธรรมดาเหมือนๆ กัน แต่ทันทีที่คนหนุ่มเอ่ยปาก น้ำเสียงที่ค่อนข้างเล็กแหลมนั้นบอกให้รู้ถึงสถานะของเขาทันที
เมื่อเห็นเฮ่อมู่จ้องหนวดเคราบนหน้าของตน คนหนุ่มคนนั้นก็หัวเราะ ประสานมือคารวะ “ผู้น้อยหม่าหง เป็นขันทีส่วนพระองค์สำนักข้าหลวงฝ่ายใน หนวดเครานี้ติดเอาไว้ชั่วคราวเพื่อตบตาผู้อื่นเท่านั้น”
สำนักข้าหลวงฝ่ายในเป็นฝ่ายงานของขันทีแห่งพระราชวังหลวง ผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นขันที ตำแหน่งขันทีส่วนพระองค์อยู่ใต้บังคับบัญชาข้าหลวงฝ่ายใน เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดตำแหน่งหนึ่ง
เฮ่อมู่ไม่กล้าดูเบา เขาจึงรีบคารวะ “ข้าเป็นแค่สามัญชนคนหนึ่ง ไม่กล้ารับการคารวะจากข้าหลวงหม่าหรอกขอรับ”
หม่าหงกล่าวแนะนำชายสูงวัย “ท่านนี้คือหมอหลวงฉีแห่งสำนักแพทย์หลวง ฝ่าบาททรงได้ยินว่านายท่านเฮ่อสุขภาพไม่ดี จึงตั้งพระทัยส่งข้ากับหมอหลวงฉีมาเยี่ยม”
“ฝ่าบาทส่งพวกท่านมาจริงๆ หรือ” เฮ่อไท่ถามเสียงสั่น เขาทนเก็บตัวอยู่ในห้องไม่ไหวจึงโผล่หน้าออกมา
สองพี่น้องรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อยเพราะบิดาผู้ไม่รู้จักระงับอารมณ์ ได้แต่ช่วยพูดจาไกล่เกลี่ยให้ว่า “ท่านพ่อ ร่างกายท่านยังไม่หายดี จะออกมาทำไมขอรับ”
เฮ่อไท่จึงได้สติ รีบยกมือขึ้นกุมหน้าผาก ทำท่าป้อแป้ “ข้าป่วยหนักติดต่อกันหลายวัน จนวันนี้พอจะลุกขึ้นได้บ้าง ขอท่านทั้งสองโปรดอภัยให้ด้วย!”
ป่วยหรือไม่ป่วย หมอหลวงฉีมองปราดเดียวก็รู้ แต่เฮ่อไท่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเป็นเวลานานหลายปี และมีอารมณ์ซึมเศร้า ทำให้สีหน้าของเขาดูไม่ดีเอาจริงๆ
“หากนายท่านยินดี ผู้น้อยขอตรวจชีพจรสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
การที่จักรพรรดิส่งคนมาจริงทำให้เฮ่อไท่รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่อีกด้านหนึ่งกลับอดหวาดวิตกไม่ได้ว่าการที่พวกเขาสองคนปลอมตัวกันมาอย่างเงียบๆ เช่นนี้แสดงว่าไม่ได้คิดจะรับเขากลับแน่นอน
ดูเหมือนหม่าหงจะอ่านความรู้สึกของเขาออกจึงยิ้มนิดๆ “เวลานี้นายท่านมีสถานภาพพิเศษ หากพวกเรามากันอย่างเอิกเกริกย่อมทำให้ผู้คนเข้าใจผิด ไม่เป็นการดี แต่ความเป็นบิดากับบุตรนั้นไม่มีทางตัดขาดกันได้อย่างแท้จริง จดหมายที่นายท่านส่งไป ฝ่าบาททรงอ่านทุกฉบับ บางทีที่จดหมายส่งไปถึงช้า ฝ่าบาทก็จะรับสั่งถามถึง ครั้งนี้เมื่อเห็นลายมือของนายท่านไม่เหมือนเดิม ฝ่าบาทจึงเป็นห่วงกลัวว่านายท่านจะล้มป่วย เลยตั้งใจส่งพวกข้ามาช่วยรักษา”
เฮ่อไท่ไม่กล้าบอกว่าตนเขียนจดหมายไปมากมายถึงเพียงนั้นแล้วไม่ได้รับการตอบกลับจึงเกียจคร้านและให้บุตรชายคนโตเขียนแทน ได้แต่ตอบแบบคลุมเครือ “ระยะนี้ข้าได้แต่นอนป่วยอยู่บนเตียง ไม่มีแรงยกพู่กันจึงต้องให้เจ้าใหญ่เขียนแทน ฝ่าบาททรงพระเมตตากรุณาต่อไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเหลือเกิน”
ระหว่างที่คุยกัน เฮ่อจยายกน้ำชามาด้วยตนเอง หม่าหงไม่กล้าวางโต รีบลุกขึ้นคารวะตอบอย่างรวดเร็ว
หากไม่มีคดีกบฏปิ่งเซิน เวลานี้เฮ่อไท่ย่อมเป็นพระราชโอรสผู้สูงส่ง และพวกเฮ่อจยาต้องได้รับฐานันดรศักดิ์ ไหนเลยต้องมาสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบและยกชามาให้แขกด้วยตนเองเหมือนอย่างวันนี้
หันไปมองเฮ่อไท่อีกครั้ง ทั้งที่เขาอายุยังไม่ถึงสี่สิบปีแต่กลับดูแทบไม่ต่างจากหมอหลวงฉีผู้มีวัยหกสิบปี ใบหน้าเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาและดูอ่อนล้ามาก
แม้จะแสดงอาการทอดถอนใจ แต่หม่าหงกลับไม่ได้คิดเห็นใจจริงๆ ด้วยเขาเห็นความพ่ายแพ้ในการแย่งชิงอำนาจมามาก เทียบกับจุดจบของคนอื่นๆ แล้ว จุดจบของเฮ่อไท่ยังนับว่าดีกว่ามาก
การที่เฮ่อไท่ได้เห็นพวกหม่าหงทำให้เขารู้สึกเหมือนได้นึกย้อนภาพวันวานของตัวเอง และมองเห็นสภาพของความยากจนข้นแค้น จึงอดตาแดงเรื่อไม่ได้ หากยังคงฝืนยิ้ม “ทำให้ข้าหลวงหม่าต้องขบขันแล้ว ใบชาพวกนี้ล้วนเด็ดมาจากต้นชาป่าบนภูเขา เทียบกับชาบรรณาการที่เมืองหลวง เกรงว่าจะมีรสขมฝาดกว่ามาก”
“นายท่านเฮ่อกล่าวหนักเกินไป ชาฝาดข้าวจืดล้วนเป็นรสดั้งเดิมจากธรรมชาติทั้งสิ้น ช่วยบำรุงร่างกายให้มีอายุยืนนาน”
“ไม่ทราบว่าสุขภาพร่างกายของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง ในฐานะลูก ข้าไม่สามารถไปคอยรับใช้ใกล้ชิด ทำให้รู้สึกผิดอย่างมาก ได้แต่สวดมนต์ภาวนาทุกคืน ขอให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน”
หลังเสียกิริยาไปเฮ่อไท่ก็ค่อยๆ กลับมานิ่งสงบและสามารถรับมือกับสถานการณ์เหมือนในอดีตได้อีกครั้ง
หม่าหงนั่งตัวตรง ตอบเสียงจริงจัง “พระวรกายมังกรของฝ่าบาทแข็งแรงสมบูรณ์ สุขสบายดีทุกประการขอรับ”
เฮ่อไท่หัวเราะหยันตนเอง “ก็จริง การที่ไม่มีลูกอกตัญญูอย่างข้าอยู่ข้างๆ ฝ่าบาทย่อมสบายพระทัยมากกว่า”
หม่าหงไม่รู้ว่าจะตอบรับคำพูดนี้อย่างไร พอเห็นหมอหลวงฉีจับชีพจรเสร็จจึงรีบถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
“นายท่านเฮ่อไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแต่ภายในได้รับไอเย็นชื้น จำเป็นต้องกินของไล่ความเย็นให้มากหน่อย และตอนกลางคืนให้ใช้ขิงสดกับหญ้าอ้ายใส่ในน้ำอุ่นแช่เท้า หาไม่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า อาการป่วยเล็กน้อยอาจเปลี่ยนเป็นหนักขึ้น”
“ไม่ขอปิดบังท่านหมอหลวง ทุกครั้งที่เข้าช่วงฝนชุกข้าจะปวดเนื้อปวดตัวไปทั้งวันจนแทบทนไม่ไหว แต่พอถึงช่วงฤดูวสันต์กับฤดูสารทสองฤดูก็จะรู้สึกคันยากที่จะระงับ ทั้งมีผื่นเป็นจำนวนมาก”
หมอหลวงฉีถอนหายใจ “ต้องขออภัยนายท่านที่โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ได้แต่บรรเทาอาการ เช่นนั้นข้าจะสั่งยาเทียบหนึ่ง ให้นายท่านกินให้ตรงตามเวลา ต่อไปหากมีอาการที่คล้ายคลึงกันก็สามารถจัดยาตามนี้มาใช้ได้อีก”
หม่าหงแอบจดจำเอาไว้ในใจเพราะเขาต้องนำคำพูดพวกนี้กลับไปถวายรายงานทุกถ้อยทุกคำ
เฮ่อไท่มองไม่เห็นปฏิกิริยาของหม่าหง ได้แต่ถามซื่อๆ “ขอถามข้าหลวงหม่า ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเคยพูดเรื่องจะให้พวกข้ากลับเมืองหลวงบ้างหรือไม่”
หม่าหงตอบอย่างนุ่มนวล “ที่พวกข้าสองคนมากันในครั้งนี้ไม่ได้มาในนามของจักรพรรดิเพราะมิต้องการสร้างความแตกตื่น ด้วยคำนึงถึงความปลอดภัยของนายท่าน หากมีผู้ใดซักถามก็ขอให้นายท่านบอกว่าพวกข้าเป็นคนรับใช้เก่าแก่ที่เคยทำงานอยู่ที่วังอ๋องเมื่อหลายปีก่อน บัดนี้อายุมากแล้วจึงเดินทางกลับบ้านเกิดและผ่านมาทางฝางโจว จึงแวะมาเยี่ยมเยียน”
เฮ่อมู่กับเฮ่อหรงลอบผงกศีรษะอยู่ในใจคิดว่าหม่าหงคิดการณ์ได้รอบคอบดีมาก
ท่านพ่อเป็นพระราชโอรสองค์โตของจักรพรรดิ แม้เวลานี้จะถูกปลดเป็นสามัญชน แต่เรื่องของฐานันดรไม่มีทางลบทิ้งไปได้ ต่อให้ถูกเนรเทศ ไม่มีวันได้กลับคืนสู่สถานะเดิมไปตลอดชาติ แต่ถ้ามีคนรู้ว่าจักรพรรดิทรงไม่ลืมเลือนองค์ชายใหญ่และส่งคนมาเยี่ยม ย่อมยากที่จะไม่ทำให้ผู้คนคิดเห็นเป็นอื่น
“ข้าหลวงหม่าวางใจ ข้าจดจำเอาไว้แล้ว พวกท่านสองคนเดินทางมาไกลคงจะหิวกันเป็นแน่ ที่บ้านแร้นแค้น ไร้อาหารเลิศรส แต่ข้าจะให้พวกเจ้าใหญ่ออกไปหาอาหารกลับมารับรองพวกท่านสองคน!”
หม่าหงหัวเราะ “ไม่ต้องรบกวนนายท่านหรอกขอรับ พวกเรานำข้าวสารกับเส้นหมี่มาด้วยจำนวนหนึ่ง เพียงแต่รถม้าคันไม่ใหญ่จึงขนมาได้จำกัด ทั้งหมดล้วนเป็นน้ำใจทั้งสิ้น ขอนายท่านโปรดรับเอาไว้ด้วย”
หลายปีมานี้ข้าวที่สกุลเฮ่อกินมีแต่ข้าวกล้อง เพื่อเป็นการประหยัดเสบียงอาหารพวกเขาจึงไม่ค่อยหุงข้าวกิน ส่วนใหญ่จะดื่มเป็นโจ๊กหรือน้ำแกงข้น แม้ข้าวที่หม่าหงนำมาจะไม่ใช่ข้าวบรรณาการ แต่ต้องเป็นข้าวชั้นดีแน่นอน ในอดีตเฮ่อไท่เป็นพวกกินยากเลือกมาก มาวันนี้แค่ได้ยินว่ามีข้าวสาร ลูกกระเดือกของเขาก็วิ่งขึ้นลงเพราะเผลอกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ
เฮ่อหรงเอ่ยขึ้น “พี่รองกับเจ้าห้าใกล้จะกลับมาแล้ว ต้องได้อะไรกลับมาแน่ๆ ข้าจะออกไปดูและให้พวกเขาย่างเนื้อมารับรองแขก”
เฮ่อไท่ได้ยินดังนั้นถึงได้สติ “เจ้าพูดถูก งั้นก็รีบไปเถอะ!”
เฮ่อหรงลุกขึ้นกล่าวขออภัยหม่าหงกับหมอหลวงฉีก่อนเดินจากไป
ตอนนั้นเองที่หมอหลวงฉีเพิ่งสังเกตเห็นว่าขาของเฮ่อหรงดูติดๆ ขัดๆ
ถ้าขาเขามีปัญหาจนต้องอาศัยไม้เท้าช่วยพยุงก็น่าจะเดินได้แบบเงอะงะงุ่มง่าม แต่นี่เขากลับเดินได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวเป็นธรรมชาติมาก และตัวไม้เท้าเองก็ดูกลืนเป็นเนื้อเดียวกับอาภรณ์สีดำที่เขาสวมอยู่
หมอหลวงฉีอดพูดออกไปไม่ได้ว่า “ถ้าหากนายน้อยไม่รังเกียจ ขอให้ตาแก่อย่างข้าได้ช่วยดูขาให้ท่านได้หรือไม่!”
เฮ่อหรงหยุดเท้าและหมุนตัวกลับมาประสานมือ กล่าวน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ขอบคุณในความเมตตาของท่านหมอหลวง เพียงแต่อาการบาดเจ็บของข้าเกิดจากการตกม้าจนกระดูกหักเมื่อตอนเด็ก ยามนั้นเคยมีหมอหลวงช่วยดูให้แล้ว บอกว่าไม่มีทางรักษาให้หาย”
คำว่าตกม้าสองคำนี้ทำให้หมอหลวงฉีได้สติกลับคืนมา เขาหันไปมองหม่าหงตามสัญชาตญาณและพบว่าอีกฝ่ายสั่นศีรษะให้นิดๆ เป็นเชิงบอกไม่ให้เขาถามมาก
เมื่อหมอหลวงฉีหันกลับมาอีกครั้ง เงาร่างของเฮ่อหรงก็ห่างออกไปไกลแล้ว
หมอหลวงฉีเพิ่งได้เข้าสำนักแพทย์หลวงหลังจบคดีกบฏ ตอนนั้นองค์ชายใหญ่เฮ่อไท่ถูกปลดเป็นสามัญชนและถูกเนรเทศไปที่ฝางโจวทั้งครอบครัว
เรื่องที่เฮ่อหรงตกม้า หมอหลวงฉีเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง ว่ากันว่าเฮ่อหรงพาน้องชายไปขี่ม้า แต่คิดไม่ถึงว่าม้าจะเกิดพยศขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้สองพี่น้องหล่นลงมา เฮ่อหรงขาหัก ส่วนน้องชายของเขา เฮ่ออวี๋ แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เพราะความเป็นเด็กและได้รับความตกใจสุดขีด ทำให้คืนนั้นมีไข้สูงไม่ยอมลดเป็นเวลาสามวันก่อนจะลาโลกไป
ปีถัดมาหลังเกิดเหตุการณ์ตกม้าก็เกิดคดีกบฏปิ่งเซินที่แสนสะเทือนขวัญ แม้แต่มารดาแท้ๆ ของเฮ่อหรงยังถูกลากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้คนส่วนใหญ่ที่ต้องถูกประหารชีวิตก็ถูกประหารชีวิต ที่ต้องถูกเนรเทศก็ถูกเนรเทศ จนถึงวันนี้เวลาก็ผ่านไปสิบเอ็ดปีเศษแล้ว
เรื่องโบราณนานนมประเภทนี้ย่อมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหมอหลวงฉี เขาเพียงได้รับพระบัญชาให้มาที่นี่ หลังตรวจรักษาโรคเรียบร้อยและกลับไปถวายรายงานก็ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจ เสียงเล่าลือตามตรอกซอกซอยเกี่ยวกับคดีกบฏพวกนั้นเขาได้ยินผ่านหูแล้วก็ลืม ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
ทว่าเวลานี้การได้มาเห็นสภาพของอดีตองค์ชายใหญ่ เฮ่อจยาผู้งดงามอ่อนหวาน และเฮ่อหรงที่พูดน้อยสำรวมกิริยาด้วยตาตัวเอง มันทำให้หมอหลวงฉีอดรู้สึกทอดถอนใจอย่างนึกเวทนาไม่ได้
ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
คุณชายรองกับคุณชายห้าสกุลเฮ่อได้ของกลับมามากโขดังคาด เพราะสัตว์เล็กๆ จำนวนมากต้องเร่งสะสมอาหารเตรียมไว้สำหรับฤดูหนาว ทำให้พวกเขาสามารถจับพวกมันติดมือกลับมาได้อย่างง่ายดาย ลำพังแค่กระต่ายป่ากับไก่ป่ามือทั้งสองข้างก็แทบหิ้วกันไม่ไหว สามารถนำมาเชือดเพื่อรับรองแขกได้อย่างดี เฮ่อซงที่เป็นพ่อบ้านก็รีบออกมาช่วยต้อนรับ วิ่งเข้าวิ่งออกจนมือเท้าวุ่นวายไปหมด
เนื่องจากมีบริวารไม่พอใช้ หยวนซื่อผู้เป็นอนุภรรยาจึงออกมาช่วยรับรองแขกอีกคน
แต่เดิมเฮ่อไท่มีภรรยาเอกหนึ่งคน อนุภรรยาสองคน บุตรชายเจ็ดคน บุตรสาวสามคน ในหมู่เชื้อพระวงศ์การมีบุตรธิดามากเป็นเรื่องน่าอิจฉา เสียดายที่หลังจากเฮ่ออวี๋บุตรชายที่เกิดจากลู่ซื่อภรรยาเอกหรือก็คือพระชายาจี้เฟยตกม้าตาย ลู่ซื่อเสียใจจนเกินขีดจำกัด ป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้นและตายตาม ไม่นานทั้งครอบครัวก็ถูกเนรเทศ บุตรสาวสองคนจากสามคนได้เสียชีวิตไปในระหว่างการเดินทางที่แสนทุกข์ยาก นอกจากนี้ยังมีอนุภรรยาอีกคนที่ทนรับความเหนื่อยยากในช่วงที่เพิ่งถูกเนรเทศใหม่ๆ ไม่ไหวจึงป่วยตายจากไป ทำให้เวลานี้สตรีที่อยู่ข้างกายเฮ่อไท่มีเพียงหยวนซื่อคนเดียว
ต่อให้เป็นสตรีโฉมงามยิ่งกว่านี้ก็ไม่อาจทานทนต่อการเคี่ยวกรำของสายลมและน้ำค้างแข็ง แม้หยวนซื่อจะไม่ได้ดูแก่ชราเหมือนเฮ่อไท่ แต่หางตาและมุมปากก็มีริ้วรอยลึกปรากฏขึ้นนานแล้ว
ตอนที่ถูกเนรเทศออกมา เฮ่อซีคุณชายเจ็ดสกุลเฮ่อที่นางให้กำเนิดอายุเพิ่งจะครบขวบ แม้เขาจะโชคดีที่ไม่ตายกลางทาง แต่กลับมีโรคเรื้อรังทำให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอ ต้องนอนนิ่งๆ อยู่แต่บนเตียง
เพราะหยวนซื่ออ้อนวอนขอร้อง หมอหลวงฉีจึงช่วยตรวจชีพจรและเขียนใบสั่งยาให้ พร้อมกำชับข้อควรระวังอีกหลายอย่าง
เฮ่อไท่ฝืนยิ้มให้หม่าหง “ทำให้ข้าหลวงหม่าต้องขบขันแล้ว”
ความรู้สึกเหล่านี้ ภาพเหล่านี้ ทำให้หม่าหงต้องระบายลมหายใจ “ความทุกข์ยากตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ของนายท่านเฮ่อ ผู้น้อยจะต้องนำกลับไปรายงานตามความจริงแน่นอน!”
คำพูดประโยคนี้ทำให้เฮ่อไท่รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ตกค่ำ นอกจากเฮ่อซีที่สุขภาพไม่ดีกับหยวนซื่อที่ต้องคอยดูแลเขาแล้ว คุณชายสกุลเฮ่อทั้งห้าคน รวมเฮ่อจยาอีกหนึ่งคนต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า
หม่าหงรู้สึกคึกคักร่าเริงดีมาก น้ำเสียงนอบน้อม “บุตรธิดาของนายท่านเฮ่อ แต่ละคนล้วนมีสง่าราศี ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก!”
“วันนี้มีแขกสำคัญมาเยือน แต่ข้ากลับอัตคัดขัดสน ความเป็นอยู่เรียบง่าย ไม่มีอาหารเลิศรสรับรอง อีกทั้งเกรงว่าท่านทั้งสองจะรู้สึกว่าเงียบเชียบวังเวง จึงต้องให้ลูกๆ มาอยู่เป็นเพื่อนเพื่อให้บรรยากาศคึกคัก”
การเคี่ยวกรำของระยะเวลาสิบเอ็ดปีทำให้เขาเรียนรู้ว่าควรพูดจาอย่างไร ไม่ใช่เอาแต่ยึดมั่นถือมั่นเรื่องฐานันดรจนไม่ยอมละทิ้งท่าทางโอ่อ่าใหญ่โต
หม่าหงพูดยิ้มๆ “งานเลี้ยงมีเนื้อมีผัก จะเรียกว่าไม่มีอาหารเลิศรสได้อย่างไร นายท่านเฮ่อถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
หมอหลวงฉีเองก็กล่าว “ข้าหลวงหม่าพูดถูก ข้าอายุมากแล้ว กินอาหารหนักท้องไม่ใคร่จะดีนัก เช่นนี้กำลังดีแล้ว!”
เจ้าของงานมีน้ำใจ แขกแสดงความพึงพอใจ ย่อมทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นสุขยิ่ง
เฮ่อมู่ไปซื้อสุรามาจากตลาด เทียบกับสุราชั้นยอดในวัง สุรานี้ย่อมด้อยกว่ามาก หม่าหงจิบคำเล็กๆ คำเดียวแล้วก็วาง นิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยอย่างคิดมาดีแล้วว่า “ไม่ทราบว่านายท่านเฮ่อเคยได้ยินเรื่องที่ชายแดนของสามเมืองทางด้านเหนือแจ้งข่าวด่วนมาหรือไม่”
เฮ่อไท่รีบถาม “พอได้ยินมาบ้าง เพียงแต่ไม่ใคร่จะได้ความอะไรมากนัก สถานการณ์ยามนี้เป็นอย่างไร ฝ่ายเราชนะแน่ใช่หรือไม่”
สีหน้าของหม่าหงเครียดหนัก “สถานการณ์ไม่สู้ดีอย่างมาก เพราะเหลียงโจวก่อกบฏ”
บทที่ 3
ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างตกตะลึงพรึงเพริด
เฮ่อไท่ตกใจจนพูดไม่ออก เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยถามขึ้นได้ว่า “…เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร”
“เซียวอวี้ ผู้ตรวจการมณฑลเหลียงโจวสมคบกับพวกทูเจวี๋ย ชักนำกองกำลังเข้ามาในด่าน ตั้งตัวเป็นอ๋องและสถาปนาเหลียงโจวเป็นแคว้นเหลียง”
เฮ่อไท่สูดลมเย็นๆ เข้าปอดเฮือกหนึ่ง “แสดงว่าผู้คนในเหลียงโจวต่างยอมสวามิภักดิ์ให้แก่ศัตรูกันหมด? ไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาต่อต้านเซียวอวี้เลยหรือ”
“ย่อมต้องมีแน่นอน เสนาธิการและที่ปรึกษาในเหลียงโจวล้วนถูกปลิดชีพใต้คมกระบี่ของเซียวอวี้ เซียวอวี้ฉวยโอกาสตอนที่ราชสำนักไม่ทันตั้งตัวเร่งควบคุมเหลียงโจวเอาไว้ทั้งหมด”
คุณชายรองเฮ่อซิ่วพูดเสียงเดือดแค้น “ได้ยินว่าเซียวอวี้มีสายเลือดชาวหู ไม่ใช่คนแคว้นเราจริงๆ ถึงได้มีใจคิดเป็นอื่นเช่นนี้!”
เฮ่อหรงกล่าวเสริม “สมัยที่ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์เรารวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น ชาวอี๋ที่อยู่ทางใต้ได้มาขอสวามิภักดิ์ ตัวผู้นำมีสติปัญญาลึกล้ำ ยึดมั่นคุณธรรมและจงรักภักดี เห็นได้ว่าเรื่องของสายเลือดเป็นแค่ปัจจัยข้อหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ชาวทูเจวี๋ยจะต้องให้ผลประโยชน์มหาศาลแก่เซียวอวี้แน่ ถึงได้กล่อมเขาให้ป่วนราชสำนักได้เช่นนี้”
เนื่องจากครอบครัวสกุลเฮ่อถูกเนรเทศให้มาอยู่ที่นี่จึงถูกปิดหูปิดตาเรื่องข่าวสารและยังอัตคัดเรื่องความเป็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรชายบุตรสาวของเฮ่อไท่ที่อยู่ในวัยเหมาะสมแก่การศึกษา แต่กลับปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปอยู่ที่นี่
ระยะเวลาสิบเอ็ดปีนี้มากพอที่จะเพาะบ่มคนเขลาขึ้นมาได้ ต่อให้เป็นพระราชโอรสหรือพระราชนัดดา หากไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีก็สามารถเปลี่ยนเป็นคนบ้านนอกหยาบกระด้างได้เหมือนกัน แต่ความคิดนี้ของหม่าหงกลับต้องพังทลายเมื่อมาถึงที่นี่ ยังไม่ต้องพูดถึงคุณชายใหญ่เฮ่อมู่ แม้แต่คุณชายสามเฮ่อหรงก็ยังทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อครอบครัวสกุลเฮ่อใหม่
“ความคิดเห็นของคุณชายสามถูกต้องอย่างยิ่ง”
“พวกเราก็ได้ยินข่าวมาเหมือนกันว่าแคว้นทูเจวี๋ยตะวันออกกับตะวันตกร่วมมือกัน และแยกลงใต้เป็นสามทาง ไม่ทราบว่าเหตุการณ์ที่กานโจวกับอำเภอไหวหย่วนเป็นอย่างไรบ้าง”
“กานโจวมีกองทัพของท่านเฉินเวยจำนวนแปดหมื่นนาย ลองว่ามีท่านเฉินเวยผู้รู้รอบเรื่องการศึกอยู่ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนทางอำเภอไหวหย่วนนั้น…” หม่าหงถอนหายใจเบาๆ สีหน้าฉายแววกลัดกลุ้ม “ตอนที่พวกเราเดินทางไปถึงจวินโจวก็ได้ยินว่าอำเภอไหวหย่วนถูกตีแตกไปแล้ว นายอำเภอพลีชีพเพื่อแคว้น ขณะนี้ชาวทูเจวี๋ยกำลังเคลื่อนทัพเข้าประชิดหลิงโจว ไม่รู้ว่าเวลานี้เป็นอย่างไรบ้าง”
การที่เหลียงโจวก่อกบฏทำให้ด้านเหนือของจงหยวนสูญเสียปราการป้องกันสำคัญ หากรักษาหลิงโจวเอาไว้ไม่ได้อีกชาวทูเจวี๋ยย่อมสามารถบุกจากเว่ยโจวมาถึงเส้นทางสู่เมืองหลวงเพื่อโจมตีนครหลวง
สมมติฐานนี้สร้างความตกตะลึงจนต้องนิ่งค้าง แม้แต่เฮ่อไท่เองยังขวัญผวาไปชั่วขณะ
เขาคิดไม่ถึงว่าระหว่างที่ตนเองกำลังใช้ชีวิตเงียบๆ อยู่ที่นี่เป็นเวลาสิบเอ็ดปี ทุกวันนอกจากปริวิตกว่าพระราชบิดาจะลืมเลือนตนหรือไม่ หรือจะมีคำสั่งประหารเขาลงมาตอนใด บัดนี้เขายังต้องเป็นห่วงภัยร้ายทำลายบ้านเมืองที่กำลังคืบใกล้เข้ามาด้วย
เฮ่อไท่เอ่ย “ราชสำนักมีผู้มีความสามารถมากมาย คาดว่าคงมีแผนรอรับแล้วใช่หรือไม่”
หม่าหงตอบไม่ปิดบัง “ตอนผู้น้อยออกเดินทางมา ได้ยินว่าฝ่าบาททรงมอบหมายให้ฉินกั๋วกงนำทัพไปปราบกบฏแล้ว แต่ข่าวเรื่องเสียอำเภอไหวหย่วนยังถูกส่งไปไม่ถึงเมืองหลวง”
เฮ่อไท่ถอนหายใจ “ฉินกั๋วกงเผยอู่หยางเป็นผู้รู้รอบในการทหาร และเคยติดตามปฐมกษัตริย์สร้างผลงานในการศึกอย่างยิ่งใหญ่ มีความรู้ความสามารถอย่างล้นเหลือ”
เฮ่อไท่พยายามคิดหาวิธีชวนหม่าหงคุยเล่นเรื่องทั่วๆ ไปเพื่อสร้างความสนิทสนม แต่เฮ่อหรงกลับสังเกตเห็นความผิดปกติรางๆ
ยามนี้สกุลเฮ่อไร้ตำแหน่งฐานันดรและถูกจักรพรรดิทอดทิ้งมานาน ต่อให้หม่าหงได้รับพระบัญชาให้มาตรวจรักษาจริงก็ไม่จำเป็นต้องหยิบยกเรื่องการรบที่ชายแดนมาคุยกับเฮ่อไท่ ซ้ำยังเล่าเรื่องการจัดการของราชสำนักอีกมากมาย
ความคิดของเขาวิ่งไวเหมือนสายฟ้า เรื่องราวมากมายผุดขึ้นในหัวจนไม่มีแก่ใจจะดื่มชาดอกกุ้ยที่เฮ่อจั้นส่งให้ ทั้งที่ตามปกติเขาชอบดื่มชาดอกกุ้ยที่สุด ได้แต่ยื่นมือออกไปรับแบบส่งๆ
คิดไม่ถึงว่าความใจลอยจะทำให้มือลื่น ถ้วยพลัดตกกระแทกโต๊ะอาหารอย่างแรงเสียงดังตึง เรียกความสนใจจากทุกคน
เฮ่อหรงยกศีรษะขึ้นอย่างได้จังหวะและพบกับสายตาของหม่าหงพอดี
ดวงตาสองคู่สบประสานกันทำให้เขาพลันนึกเดาเรื่องน่ากลัวเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ในขณะนั้น
“ข้ามีคำถามเล็กน้อย ใคร่ขอคำชี้แนะจากข้าหลวงหม่า”
“เชิญคุณชายสามถาม”
“ว่ากันตามหลักแล้วสถานภาพของข้าต่ำต้อย ไม่ควรสอบถามเรื่องสำคัญของราชสำนัก แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับคนในครอบครัว ข้าจึงจำเป็นต้องถาม”
ยิ่งเอ่ยเรื่องสำคัญ น้ำเสียงของเฮ่อหรงจะยิ่งเนิบช้าและหนักแน่น “ไม่ทราบว่าก่อนหน้าที่ข้าหลวงหม่าจะออกเดินทาง ฝ่าบาทได้เกริ่นเรื่องแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับท่านหรือไม่”
เคร้ง!
ครั้งนี้เป็นเฮ่อจยาที่เผลอทำชามร่วงลงพื้น โชคดีที่เป็นชามดินเผาเนื้อหยาบหนาและโต๊ะอาหารไม่สูง หาไม่บ้านสกุลเฮ่อคงต้องเสียชามไปหนึ่งใบ
หม่าหงไม่ได้หันไปมองเฮ่อจยา แต่จ้องหน้าเฮ่อหรงด้วยสายตาประหลาดใจอย่างปิดไม่มิด “เหตุใดคุณชายสามถึงถามเช่นนี้”
น้ำเสียงของเฮ่อหรงเรียบสนิท “แค่เดาเท่านั้น หวังว่าข้าหลวงหม่าจะไม่ถือสาที่ข้าพูดพล่าม”
เฮ่อมู่ตกใจ “ข้าหลวงหม่า เรื่องที่น้องสามของข้าพูดเป็นความจริงหรือ”
หม่าหงรับรู้ได้ถึงสายตาวาวโรจน์ของทุกคนที่หันมามองที่ตน ทำให้คำว่า ‘ไม่’ ไม่สามารถหลุดออกจากปาก
ทูเจวี๋ยมีอำนาจอิทธิพลมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝูเนี่ยนข่าน ข่านคนใหม่ของแคว้นทูเจวี๋ยตะวันออกผู้ซึ่งเป็นเหมือนดวงตะวันที่เพิ่งโผล่พ้นขึ้นมาจากขอบฟ้า จิตใจฮึกเหิมลำพอง ปกครองแคว้นทูเจวี๋ยตะวันออกจนมีอาณาเขตกว้างขึ้นทุกวันและกลืนกินดินแดนน้อยใหญ่โดยรอบ แต่ฝูเนี่ยนข่านกลับไม่พอใจเพียงแค่นี้ และคอยจดจ้องดินแดนอุดมสมบูรณ์ด้านในด่านอีก
ก่อนหน้าจะมีศึกใหญ่อย่างเป็นทางการครั้งนี้ ชายแดนหลิงโจวและกานโจวต้องพบกับการรุกรานของแคว้นทูเจวี๋ยหลายครั้ง ตอนแรกพวกเขาเข้าใจว่าการที่เหลียงโจวมีเซียวอวี้อยู่น่าจะช่วยคลายความกังวลใจให้แก่ราชสำนักได้มากที่สุด แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเซียวอวี้จะแปรพักตร์โดยไม่มีสัญญาณบอกกล่าวล่วงหน้า
ขณะที่ทูเจวี๋ยกำเริบเสิบสานและราชสำนักยังไม่ทันได้เตรียมพร้อมสำหรับศึกใหญ่ ได้มีคนเสนอแผนการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี
หมัวลี่ข่านแห่งแคว้นทูเจวี๋ยตะวันตกมีพระชายาที่สมรสเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีคนหนึ่งแล้ว เพียงแต่นางเป็นองค์หญิงในราชวงศ์ก่อนจึงไม่มีความรู้สึกที่ดีให้แก่ราชวงศ์ปัจจุบัน ต่อให้มีการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีซ้ำก็ไม่มีความหมายสักเท่าไรต่อหมัวลี่ข่าน
ตอนที่ฝูเนี่ยนข่านแห่งแคว้นทูเจวี๋ยตะวันออกเพิ่งขึ้นรับตำแหน่งได้ไม่นาน เคยมีขุนนางในราชสำนักกลุ่มหนึ่งเข้าใจว่าราชสำนักฮั่นจะเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นทูเจวี๋ยตะวันออกด้วยการแต่งงาน เป้าหมายเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง และเพื่อสร้างความแตกแยกให้แก่แคว้นทูเจวี๋ยตะวันออกกับตะวันตกไม่ให้ปรองดองร่วมมือกันมารุกรานจงหยวน
เวลานี้องค์หญิงผู้สืบสายพระโลหิตโดยตรงมีไม่มาก แต่กลับมีสตรีเชื้อพระวงศ์จำนวนไม่น้อย หากต้องส่งใครสักคนไปแต่งงานจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าผู้ใดเล่าจะยินดีจากบ้านเกิดไปใช้ชีวิตในดินแดนที่มีแต่สายลมกับผืนทรายไกลนับพันลี้ตลอดชีวิต ยิ่งหากฐานันดรและเชื้อสายไม่สูงพอ ต่อให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิง ฝ่ายทูเจวี๋ยจะมิเข้าใจว่าถูกหยามหรือ
คิดมาคิดไปก็มีคนหันมามองครอบครัวของเฮ่อไท่ที่อยู่ไกลถึงฝางโจว
หากนับเรื่องอายุ เฮ่อจยามีความเหมาะสม และหากนับเรื่องสายโลหิต นางก็เป็นถึงบุตรีขององค์ชายใหญ่และเป็นพระราชนัดดาของฝ่าบาท เรื่องดีงามอย่างที่สุดคือสถานภาพของครอบครัวพวกเขาในเวลานี้เป็นแค่สามัญชน การจะยกย่องเชิดชูขึ้นมาจึงเป็นเรื่องสะดวกง่ายดายมาก
แม้ฝ่าบาทจะยังไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจน แต่ก็ได้แอบแย้มพรายความคิดด้วยการให้หม่าหงมาเยี่ยมเยือน ตอนแรกหม่าหงตั้งใจจะหาโอกาสบอกเล่าเรื่องนี้ให้เฮ่อไท่ฟังอย่างลับๆ คิดไม่ถึงว่าจะถูกเฮ่อหรงจับได้อย่างรวดเร็ว
เฮ่อไท่มองบุตรสาวแล้วหันไปมองหม่าหง ริมฝีปากสั่น “ข้าหลวงหม่า ยามนี้ข้างกายข้าเหลือเพียงลูกสาวคนนี้คนเดียว…”
เฮ่อจยาหน้าซีดเผือด ขวัญผวาจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
หม่าหงพูดปลอบ “เรื่องนี้ราชสำนักยังไม่มีข้อสรุป นายท่านอย่าเพิ่งกังวลใจ หากมีพระบัญชาจริง ฝ่าบาทย่อมต้องส่งราชทูตมาแจ้งพระราชโองการ ไม่ปล่อยให้ผู้น้อยอย่างข้ามาส่งข่าวปากเปล่าเช่นนี้แน่”
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่คอยจนทุกคนสลายตัวกันไปหมดหม่าหงยังคงไปพบเฮ่อไท่เป็นการส่วนตัวเพื่อกล่อมเขา “หรือนายท่านยินดีจะอยู่ข้างนอกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต? หากจะสละบุตรสาวเพื่อชาติบ้านเมือง มีสิ่งใดไม่เหมาะสม?”
สีหน้าของเฮ่อไท่ไม่น่าดูอย่างมาก “ข้าดูเป็นคนขายลูกสาวเพื่อเอาตำแหน่งเช่นนั้นหรือ”
หม่าหงหัวเราะก่อนหุบยิ้มทันควัน “นายท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว หากฝ่าบาทมีพระบัญชาลงมาจริง ต่อให้นายท่านยินดีหรือไม่แล้วจะมีประโยชน์อะไร ความหมายของผู้น้อยก็คือหากนายท่านเป็นฝ่ายเสนอตัว ฝ่าบาทย่อมประจักษ์ในคุณงามความดี และต่อไปการจะกลับคืนสู่เมืองหลวงย่อมเป็นเรื่องง่าย แน่นอนว่านี่เป็นแค่ความคิดของผู้น้อย ส่วนเรื่องที่ว่าจะทำหรือไม่ย่อมสุดแล้วแต่นายท่าน”
ทั้งที่อุตส่าห์เฝ้ารอคอยทูตจากเมืองหลวง แต่เฮ่อไท่กลับไม่รู้สึกยินดีเท่าที่ควร ตรงกันข้ามเขามีเรื่องให้คิดหนักมากขึ้น หลังจากที่หม่าหงจากไปเขานั่งเหม่ออยู่นานมาก ขนาดเฮ่อมู่กับพวกพี่น้องจับกลุ่มเข้ามาหาเขาก็ยังไม่รู้ตัว จวบจนเฮ่อมู่ส่งเสียงเรียก
“ท่านพ่อ”
เฮ่อไท่ถึงได้สติ “พวกเจ้ายังไม่นอนกันอีกหรือ นั่งก่อนสิ ทูตสองคนเป็นอย่างไรบ้าง”
เฮ่อมู่ตอบ “พักผ่อนกันหมดแล้วขอรับ พวกเขาจะออกเดินทางกันพรุ่งนี้”
“ไวขนาดนี้เชียว ไม่อยู่สักหลายวันหน่อย”
“ข้าหลวงหม่าบอกว่าในเมื่อท่านพ่อไม่ได้ป่วย เขาก็ต้องกลับไปรายงาน หากโอ้เอ้อยู่นานอาจถูกเพ่งเล็งเอาง่ายๆ”
เฮ่อไท่ถอนหายใจ “อาจยาเป็นอย่างไรบ้าง”
เฮ่อมู่ระบายลมหายใจตาม “ใจไม่อยู่กับตัวเลยขอรับ นางร้องไห้อยู่พักหนึ่ง ซ่งซื่อเข้าไปปลอบแล้ว ตอนนี้นอนหลับเรียบร้อย”
ซ่งซื่อเป็นภรรยาของเฮ่อมู่ ในบรรดาพี่น้องทุกคนมีเพียงพี่ใหญ่เฮ่อมู่เท่านั้นที่ได้แต่งงาน เหตุการณ์ที่สกุลเฮ่อถูกเนรเทศหาใช่ความลับ ผู้คนที่ฝางโจวจึงพากันหลีกห่างด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ตัวเฮ่อไท่เองยังแต่งภรรยาใหม่ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกลูกชาย
การแต่งงานครั้งนี้จึงเป็นบุพเพสันนิวาสที่ค่อนข้างมหัศจรรย์ เพราะหลังจากที่ทุกคนในครอบครัวถูกเนรเทศให้มาอยู่ที่นี่ แม้ความเป็นอยู่จะอัตคัดขัดสน แต่พวกน้องๆ กลับสนใจอ่านเขียนเรียนหนังสือเพราะอยากมีความรู้ เฮ่อมู่กับเฮ่อซิ่วเสาะหาวิธีการสารพัดอย่าง รวมไปถึงการหยิบยืมหนังสือจากบ้านของผู้อื่น ปะเหมาะเคราะห์ดีว่าตอนนั้นครอบครัวหนึ่งที่เฮ่อมู่ไปยืมหนังสือ เจ้าของบ้านออกไปข้างนอก ลูกสาวของเขาจึงทำหน้าที่เจ้าบ้านด้วยการนำหนังสือมาให้เฮ่อมู่ยืม ไปๆ มาๆ ทั้งสองก็เกิดผูกสมัครรักใคร่กัน ซ่งซื่อไม่สนใจการคัดค้านของครอบครัว ยืนกรานจะแต่งงานกับเฮ่อมู่ ทำให้บิดามารดาอับจนปัญญา จำต้องส่งเสริมนาง
เวลานี้ทั้งสองคนมีโซ่ทองคล้องใจเป็นบุตรชายชื่อเฮ่อซิน อายุสี่ขวบแล้ว
วันนี้ซ่งซื่อกลับไปที่บ้านมารดา กว่าจะกลับก็ช่วงใกล้พลบค่ำ หาไม่หน้าที่รับรองหม่าหงกับหมอหลวงฉีย่อมต้องเป็นของนาง มิใช่หยวนซื่อ
พอได้ยินว่าซ่งซื่อกลับมาแล้วเฮ่อไท่ก็ผงกศีรษะ แต่ไม่ได้พูดว่าอะไร
น้องรองเฮ่อซิ่วมีนิสัยใจร้อน อดโพล่งถามไม่ได้ว่า “ท่านพ่อคิดจะส่งอาจยาไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีหรือไม่”
“เหตุใดจึงพูดกับท่านพ่อเช่นนี้!” เฮ่อมู่ถลึงตาใส่น้องชาย
เฮ่อไท่ปวดศีรษะ “พ่อย่อมไม่อยากเอาลูกของตัวเองไปประเคนให้ใคร แต่ถ้าฝ่าบาทมีพระราชโองการมา พ่อจะทำอะไรได้ หรือพวกเจ้าคิดว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี”
อารมณ์วุ่นวายสับสนทำให้เฮ่อไท่ระบายโทสะใส่เฮ่อหรงอย่างอดไม่อยู่ “หากตอนแรกไม่ใช่เพราะเจ้าเสนอให้พ่อเขียนจดหมายถวายฝ่าบาท พระองค์จะสนพระทัยพวกเราจนเกิดเรื่องวุ่นวายในวันนี้หรือ”
เฮ่อหรงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเป็นปกติ ไม่ได้แสดงอาการต่อต้าน
กลับกลายเป็นคุณชายห้าเฮ่อจั้นที่เอ่ยเตือนว่า “ท่านพ่อ หากตอนแรกไม่มีจดหมายตอบจากฝ่าบาท ป่านนี้พวกเราคงยังอยู่ที่เรือนเล็กหลังนั้น ให้นายอำเภอคนก่อนกลั่นแกล้งรังแกไม่หยุด ไม่มีทางได้เปลี่ยนเป็นนายอำเภอคนปัจจุบันที่พอจะพูดคุยด้วยได้ง่ายหน่อยแล้ว”
เฮ่อมู่เองก็รู้สึกว่าบิดาแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดอย่างไร้เหตุผลเช่นกัน “ท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าหลวงหม่าก็จะกลับเมืองหลวงแล้ว เรื่องสำคัญในตอนนี้คือพวกเราต้องคิดให้ออกว่าจะตอบเขากลับไปอย่างไรดีต่างหาก!”
เฮ่อไท่พลันเสนอความคิดแปลกๆ ขึ้นมา “หรือไม่พรุ่งนี้พ่อจะบอกว่าตัวเองไม่สบาย ให้พวกเจ้าเป็นตัวแทนพ่อส่งพวกหม่าหงออกเดินทางแทน!”
เฮ่อมู่อ่อนใจ “มีหมอหลวงฉีอยู่ด้วยทั้งคน ท่านป่วยหรือไม่มีหรือที่เขาจะดูไม่ออก”
“…”
บุตรทุกคนของเฮ่อไท่ไม่โง่ พวกเขาจึงอ่านใจบิดาออก
ความจริงคำพูดของหม่าหงได้สั่นคลอนจิตใจของเฮ่อไท่แล้ว แม้เขาจะอาลัยรักบุตรสาวแต่ก็อยากกลับเมืองหลวงเช่นกัน หลักการความถูกต้องกับความปรารถนาส่วนตัวขัดแย้ง จิตใจจึงแกว่งไกวไปมา
และคาดว่าความปรารถนาที่จะได้กลับเมืองหลวงน่าจะรุนแรงกว่าด้วย
พลันคุณชายสี่เฮ่อสี่ที่เอาแต่ทำตัวเป็นฉากหลังอยู่ที่ด้านข้างมาตลอดก็พูดเสียงเบาขึ้น “หรือไม่…พวกเราลองเสี่ยงทายกัน ให้สวรรค์เป็นผู้กำหนดดีหรือไม่”
“ไปๆๆ! ไม่ต้องมาเพิ่มเรื่องยุ่งให้เลย!” เฮ่อซิ่วผลักเขาออกห่างอย่างรำคาญใจ “ท่านพ่อ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เห็นด้วย! ในเมืองหลวงมีคุณหนูลูกขุนนางมากมาย เหตุใดจึงต้องเวียนมาถึงอาจยา หรือเห็นว่าพวกเรารังแกง่าย!”
เฮ่อมู่คิดหนัก “มิสู้มอบของขวัญและขอให้หม่าหงช่วยพูดจาดีๆ เฉพาะพระพักตร์ให้พวกเรา เผื่อฝ่าบาทจะทรงเมตตาไม่เลือกนาง”
อันที่จริงต่อให้เฮ่อจยาต้องแต่งไปทูเจวี๋ยนางก็ไม่มีทางตกระกำลำบาก เพราะชาวทูเจวี๋ยมีบทบัญญัติว่าชายาของข่านแห่งแคว้นทูเจวี๋ยสามารถเข้าร่วมบริหารบ้านเมือง และเข่อตุนผู้มีอำนาจบางคนยังมีสิทธิ์ในกองทัพด้วย แต่เรื่องพวกนี้เขาไม่ได้อธิบายให้พวกลูกๆ ฟังเพราะมันจะทำให้เขาดูเหมือนอยากขายบุตรสาวเสียเต็มประดา
เฮ่อไท่รู้สึกสับสนกระวนกระวายเพราะไม่รู้ว่าเรื่องมากมายพวกนี้แห่แหนกันมาจากที่ไหน ยิ่งได้ยินคำพูดของพวกลูกๆ ความคิดอ่านที่ยังไม่ชัดก็ยิ่งยุ่งเหยิงหนักขึ้น
เขามองไปทางเฮ่อหรงที่เอาแต่นิ่งเงียบมาโดยตลอด “เจ้าสาม เจ้าคิดว่าอย่างไร”
แม้จะไม่ค่อยชอบลูกชายคนนี้ แต่เฮ่อไท่ต้องยอมรับว่าบางครั้งความคิดที่เฮ่อหรงเสนอสามารถนำมาใช้ได้จริง อย่างน้อยเรื่องการเขียนจดหมายถึงฝ่าบาทก็เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้มองการณ์ไกล
เฮ่อหรงไม่ได้ขายปม “ท่านพ่อไม่เพียงต้องบอกปัด แต่ยังต้องปฏิเสธให้หนักแน่นเด็ดขาดชนิดไม่เหลืออะไรให้หม่าหงนำไปคิดเอาเองแม้แต่น้อย”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะนิสัยของฝ่าบาท หากท่านเสนอตัวยกอาจยาให้แต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี ฝ่าบาทอาจให้พวกเรากลับเมืองหลวงจริง แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไปภาพลักษณ์ของท่านในใจของพระองค์จะเป็นแค่พ่อไร้หัวใจที่ขายทิ้งได้แม้แต่บุตรสาวแท้ๆ ของตัวเอง”