คู่กิเลนค้ำบัลลังก์
ทดลองอ่าน คู่กิเลนค้ำบัลลังก์ เล่ม 1 บทที่ 4-6
บทที่ 4
คดีกบฏปิ่งเซินเกิดขึ้นหลังจากที่เฮ่อหรงขาพิการ ตอนนั้นเขาอายุเพียงเจ็ดปี แต่ความโกลาหลชนิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินเรื่องนั้นได้ทิ้งรอยประทับที่ยากจะลบเลือนไว้ให้กับเขา
ตอนนั้นมารดาแท้ๆ ของเขา จ้าวซื่อ เป็นแค่สาวใช้ในวังหลู่อ๋อง เพราะมีรูปโฉมงดงามจึงเป็นที่ต้องตาของหลู่อ๋องเฮ่อไท่ ทว่าภายหลังที่สายลมวสันต์ของเฮ่อไท่ผ่านพ้นไป เขาก็ไม่ได้สนใจไยดีจ้าวซื่ออีกและยกให้พระชายาเป็นผู้จัดการ จ้าวซื่อจึงไม่ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นด้วยสาเหตุนี้และยังคงมีสถานภาพต่ำต้อยอยู่ในวังอ๋อง ไม่มีแม้กระทั่งตำแหน่งอนุภรรยา
ว่ากันตามหลักแล้วชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบๆ เงียบๆ เช่นนี้น่าจะปลอดภัยที่สุด แต่ผู้ใดจะรู้ว่าวันหนึ่งจะเกิดพายุรุนแรงอย่างกะทันหัน เมื่อคดีกบฏปิ่งเซินเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เฮ่อไท่ถูกชี้ตัวว่ามีจดหมายติดต่อสมคบกับเฮ่อหลินพระราชโอรสผู้ก่อการกบฏ ทำให้ถูกม้วนเข้าสู่วังวนไปด้วย
แต่เรื่องกลับไม่หยุดเพียงแค่นั้น เพราะเวิงเฮ่าที่ปรึกษาแห่งวังหลู่อ๋องรายงานว่าในวังอ๋องมีคนใช้คุณไสยเพื่อปลิดชีวิตคน ทหารราชองครักษ์ได้รับคำสั่งให้ทำการตรวจค้นวังอ๋องทั้งบนและล่าง ผลปรากฏว่าพบตุ๊กตาไม้แกะสลักวันเดือนปีเกิดของอดีตรัชทายาทอยู่ในห้องพักของจ้าวซื่อจริงๆ
ทันทีที่โอรสสวรรค์พิโรธ โลหิตย่อมไหลนองเป็นสายน้ำ เมืองหลวงในปีนั้นมีผู้คนล้มตายมากมาย แต่คนแรกที่ตกเป็นเป้าคือจ้าวซื่อผู้ถูกค้นเจอว่าแอบซุกซ่อนตุ๊กตาไม้สำหรับสาปแช่ง แน่นอนว่าหลู่อ๋องเฮ่อไท่เองก็หนีไม่พ้น เขาจึงถูกปลดเป็นสามัญชน และคนในครอบครัวทั้งหมดถูกเนรเทศไปที่ฝางโจว
เห็นแก่ที่จ้าวซื่อให้กำเนิดเชื้อพระวงศ์ สุดท้ายจักรพรรดิจึงประทานความตายที่ค่อนข้าง ‘ปรานี’ ให้แก่นาง นั่นคือผ้าแพรขาวยาวสามศอกเพื่อปลิดชีพตนเอง
เฮ่อหรงจำได้ไม่ลืมว่ามารดาของเขาน้ำตาไหลเงียบๆ ขณะโยนผ้าแพรขาวขึ้นไปบนขื่อภายในห้องเล็กห้องนั้น ท่ามกลางสายตาที่เฝ้าจับจ้องของทหารราชองครักษ์และเหล่าขันที นางกล่าวคำพูดประโยคสุดท้ายกับเขา
ฤดูสารทอากาศเริ่มเย็นลง สายลมยามค่ำพัดโชย พากลิ่นหอมที่ไม่รู้จักชื่อมาด้วย เฮ่อหรงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกเพื่อดึงสติจากอดีตกลับมาที่ปัจจุบัน ทันใดนั้นเขารู้สึกอุ่นๆ ที่ไหล่แต่ไม่ได้หันหน้าไป เพียงใช้มือรวบผ้าคลุมให้กระชับตัวขึ้น “หยางจวินกลับไปแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีแขกมา จึงละเลยเขาไป วันไหนเจ้าช่วยเอาใบชาป่าไปให้เขาสักสองกระปุกด้วยนะ”
เหวินเจียงประคองเฮ่อหรงเข้าไปในห้องพลางรับคำเสียงเบาเนื่องจากนางไม่ใช่คนพูดมากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
นับตั้งแต่ที่หยางจวินส่งตัวเฮ่อซงกับเหวินเจียงมา พวกเขาก็กลายเป็นคนของบ้านสกุลเฮ่อ ถึงแม้เฮ่อซงจะได้ชื่อว่าเป็นพ่อบ้าน แต่ความจริงกลับไม่มีลูกน้องเลยสักคน ทว่าคนบ้านสกุลเฮ่อก็ไม่ได้มีนิสัยเย่อหยิ่งถือตัว งานหุงหาอาหารจึงเป็นหน้าที่ของเฮ่อจยากับซ่งซื่อที่ช่วยกันทำ
เหวินเจียงเป็นสาวใช้ที่หยางจวินตั้งใจส่งมาให้เฮ่อหรงโดยเฉพาะ แต่กลับไม่มีใครริษยาสิทธิพิเศษนี้ของเฮ่อหรง เนื่องจากขาของเขาไม่ดีทำให้ต้องมีคนช่วยดูแลเรื่องการเดินเหินลุกนั่งจริงๆ
ทว่าเฮ่อหรงกลับไม่เคยเอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุรั้งตัวเหวินเจียงไว้ข้างกายตลอดเวลา บางครั้งที่ซ่งซื่อต้องเลี้ยงลูกและมีงานยุ่งมือเป็นระวิง เหวินเจียงก็จะไปช่วย
แม้ครอบครัวสกุลเฮ่อในยามนี้จะยากจนข้นแค้น แต่พี่น้องกลับสมัครสมานรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างมาก
หากแต่วันเวลาที่แสนสงบเช่นนี้กลับเหลืออีกไม่นานแล้ว
หม่าหงกับหมอหลวงฉีเดินทางมาอย่างเงียบๆ ซ้ำยังปลอมตัว แต่สถานภาพของครอบครัวสกุลเฮ่อมีความอ่อนไหวเป็นทุนเดิม จึงมีหูตาไม่รู้เท่าไรคอยแอบจ้องมองอยู่ในที่ลับ
หลังเข้าฤดูสารทเข่าของเฮ่อหรงก็เจ็บแปลบเหมือนถูกเข็มแทง ทุกครั้งเมื่อถึงตอนกลางคืนขาทั้งสองข้างจะเย็นจัดราวน้ำแข็ง ทำให้ก่อนนอนเหวินเจียงต้องต้มน้ำหนึ่งถังมาให้เขาแช่ขา ซึ่งความเคยชินนี้นับตั้งแต่ที่เหวินเจียงมาถึงบ้านสกุลเฮ่อแล้วก็ไม่เคยเปลี่ยน
“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าทำเองได้”
ได้ยินเฮ่อหรงกล่าวเช่นนั้น เหวินเจียงจึงผละจากไปเงียบๆ
เฮ่อหรงก้มเอวลงไปพับขากางเกง ได้ยินเสียงคนผลักประตูทำให้เขาเข้าใจว่าเป็นเหวินเจียงที่ย้อนกลับมา “ยังมีเรื่องอะไรหรือ”
“ข้าเอาขิงแผ่นมาให้ ได้ยินนายพรานที่ขึ้นเขาไปด้วยกันวันนี้บอกว่าการแช่เท้าด้วยขิงสดจะช่วยให้เลือดลมเดินสะดวกและร่างกายอบอุ่นขึ้น” แต่ทั้งหมดนั่นไม่ใช่เสียงของเหวินเจียง
เฮ่อหรงเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ “ดึกป่านนี้แล้วยังจะมาอีกหรือ นั่งก่อนสิ”
เฮ่อจั้นยิ้ม นิสัยเขาเป็นเหมือนชื่อ คือสดใสร่าเริง
“นอนคนเดียวมันไม่ค่อยหลับเลยอยากจะมาขอเบียดผ้าห่มของพี่สามหน่อย”
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่ครอบครัวสกุลเฮ่อยังไม่ได้ย้ายมาบ้านหลังใหญ่ พวกพี่ชายน้องชายทุกคนต้องนอนรวมกัน เฮ่อหรงจึงมิได้ใส่ใจที่อีกฝ่ายตัวโตขนาดนี้แล้วยังจะมานอนเบียดตน “เจ้ามีเรื่องอยากจะคุยกับข้าหรือ”
เฮ่อจั้นหย่อนขิงแผ่นลงในน้ำร้อน “ต่อไปต้องเอาขิงต้มในกาเล็กก่อนแล้วค่อยเทใส่ถัง จะได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น”
พอขาเย็นๆ ได้หย่อนลงไปในน้ำร้อน เฮ่อหรงก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย
เฮ่อจั้นหยิบผ้าหุ้มเข่าขนกระต่ายคู่หนึ่งออกมา “จวนเข้าฤดูหนาวแล้ว พี่สามต้องสวมนี่ด้วย”
เฮ่อหรงลูบตะเข็บด้านบน พบว่าประณีตละเอียดชนิดที่เกรงว่าพี่สะใภ้ใหญ่ซ่งซื่อก็ไม่มีฝีมือถึงเพียงนี้ ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ “ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าไปหัดวิชาเย็บปักถักร้อยมาตั้งแต่ตอนไหน”
เฮ่อจั้นกระแอมเบาๆ ท่าทางลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย “ผู้อื่นมอบให้ ข้าแค่ยืมดอกไม้ถวายพระเท่านั้น”
“เป็นแม่นางน้อยบ้านใดหลงรักเจ้าถึงให้มา ผู้อื่นอุตส่าห์มีน้ำใจ ข้าจะยึดมาเป็นของตัวเองได้อย่างไร เจ้าเก็บเอาไว้ใช้เองดีกว่า”
“ไม่ใช่นะ! คนที่ให้คือนายพรานที่ขึ้นเขาไปด้วยกันวันนี้ ครั้งก่อนข้ากับพี่รองยกกระต่ายสองตัวให้ครอบครัวเขา วันนี้ลูกสาวของนายพรานเลยมอบผ้าหุ้มเข่าคู่หนึ่งให้ข้าเป็นการตอบแทน”
เฮ่อหรงเลิกคิ้ว “ข้าว่าไม่น่าจะใช่ รับรองว่าพี่รองต้องไม่ได้รับผ้าหุ้มเข่าแน่ เหตุใดเจ้าถึงได้มาคนเดียว หรือนางจะมีใจให้เจ้า?”
เฮ่อจั้นฝืนยิ้ม “พี่สามถือว่าช่วยข้าก็ได้ รับผ้าหุ้มเข่าเอาไว้หน่อยเถอะ!”
“ก็ได้ๆ ข้ารู้ว่าเจ้าห่วงข้า เลิกล้อเจ้าเล่นก็ได้”
เฮ่อจั้นนั่งลงเคียงข้างเขาบนเตียง “พี่สาม ท่านว่าท่านพ่อจะทำตามที่ท่านบอก ปฏิเสธข้อเสนอของหม่าหงหรือไม่”
“แน่นอน ต่อให้ท่านพ่อไม่อยาก พี่ใหญ่ก็ต้องกล่อมท่านจนได้”
“อันที่จริงใช่ว่าท่านพ่อจะไม่รักพี่หญิง แต่ท่านทนลำบากอยู่ที่นี่มานาน เป็นใครก็ล้วนอยากหลุดพ้นไปจากทะเลทุกข์นี้กันทั้งนั้น ยากนักจะอดทนทำใจให้ไม่หวั่นไหว”
“ข้ารู้ หากท่านพ่อยืนกรานบอกปัดข้อเสนอของหม่าหง ท่านอาจจะยังไม่ได้กลับเมืองหลวงอีกสักระยะ แต่ถ้ามองกันในระยะยาวแล้วนี่เป็นผลดีต่อท่านพ่อมากกว่า อย่างน้อยท่านก็จะไม่ถูกคนอื่นมองว่าขายลูกเอาตำแหน่ง ส่วนเรื่องการตัดสินพระทัยของฝ่าบาทพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้ หากราชสำนักเลือกส่งอาจยาไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ สุดท้ายนางก็ได้แต่ต้องทำตามพระกระแสรับสั่ง”
เฮ่อจั้นผงกศีรษะ “เวลานี้ท่านพ่อแค่ยังคิดไม่ตก แต่ท่านย่อมเข้าใจความลำบากใจของพี่สาม”
เขาเริ่มรู้สึกหนาวจึงถอดรองเท้าถุงเท้าเพื่อแช่เท้าลงในถังด้วย
ถังใบไม่ใหญ่ พอมีเท้าอีกคู่จุ่มลงไปเลยต้องซ้อนทับขาของเฮ่อหรง
ภายนอกเฮ่อจั้นดูเป็นคนสุภาพ แต่เขากลับชอบตามพี่รองเฮ่อซิ่วขึ้นเขาไปล่าสัตว์เป็นประจำ ต้องตากแดดตากฝนบ่อยๆ เมื่อเทียบกันแล้ว เฮ่อหรงผู้ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านจึงมีผิวขาวกว่า
ในน้ำปรากฏระลอกคลื่นน้อยๆ และมีภาพท่อนขาของคนสองคนที่สีผิวตัดกันอย่างชัดเจน
ทันใดนั้นเฮ่อจั้นฉุกคิดได้ว่าเมื่อตอนเด็กๆ เขาก็มักจะทำเหมือนอย่างตอนนี้ คือแช่ขาในถังน้ำใบเดียวกับเฮ่อหรง และไม่ทันรู้ตัวพวกเขาก็มาอยู่ที่นี่กันเป็นเวลาสิบเอ็ดปีเต็มๆ แล้ว
“ข้ายังจำได้ว่าผู้ตรวจการมณฑลฝางโจวคนก่อนจับตาดูพวกเราอย่างเข้มงวดมาก ยิ่งตอนที่พวกเรามาถึงฝางโจวใหม่ๆ เขาส่งคนมา ปากอ้างว่ามาค้นหาหลักฐานคดีกบฏ แต่กลับริบเอาหนังสือที่พวกเราซ่อนไว้ไป ข้ากับพี่สี่อยากเรียนแต่กลับไม่มีหนังสือสักเล่ม ยังคงเป็นท่านกับพี่ใหญ่ที่จับมือสอนพวกเราหัดเขียนอักษรทีละตัวๆ”
“ตอนนั้นข้าเองก็ยังเด็ก จะสอนเจ้าได้สักเท่าไร ส่วนมากเป็นพี่ใหญ่ที่ต้องเขียนหนังสือที่ตัวเองเคยอ่านออกมา กับพี่รองที่ตอนกลางวันต้องวิ่งไปแอบฟังแอบเรียนอยู่นอกสถานศึกษาของผู้อื่น แล้วกลับมาสอนพวกเราอีกที”
เฮ่อจั้นกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ “เสียดายที่พี่รองความจำไม่ดี แถมไม่มีกระดาษกับพู่กัน กว่าจะกลับมาถึงก็ลืมไปแล้วเกินครึ่ง”
เฮ่อหรงเองก็ขำ “สุดท้ายเขาถูกบีบจนหมดหนทาง ตกค่ำเลยวิ่งไปขโมยหนังสือกลับมาให้พวกเราคัดลอกและท่องจำ พอฟ้าสางก็เอากลับไปคืน”
เฮ่อจั้นสะเทือนใจ “ภายหลังเมื่อพวกเราโตขึ้นก็ไปแอบฟังอาจารย์สอนที่สถานศึกษากันเอง โชคดีที่พี่สามแนะให้ท่านพ่อเขียนจดหมายถึงฝ่าบาท พอฝ่าบาทมีจดหมายตอบกลับ ผู้ตรวจการมณฑลฝางโจวกับนายอำเภอของที่นี่ก็เปลี่ยนเป็นพูดดีขึ้นและปฏิบัติต่อพวกเราแบบลืมตาข้างหนึ่ง หลับตาข้างหนึ่ง มาคิดดูตอนนี้การที่พวกเราไม่ได้กลายเป็นคนไม่มีความรู้ถือเป็นโชคดีจริงๆ!”
รออยู่พักหนึ่งแล้วไม่มีเสียงตอบกลับ เฮ่อจั้นจึงหันไปดู พบว่าศีรษะของเฮ่อหรงลดต่ำลงเล็กน้อย ชิงงีบหลับไปก่อนแล้ว
เฮ่อจั้นหลุดขำ เขาก้มลงไปยกขาของเฮ่อหรงขึ้นจากน้ำ ช่วยเช็ดจนแห้ง จากนั้นก็ช่วยดูแลเขาให้เข้าไปนอนที่ด้านในพร้อมห่มผ้าให้พี่ชายเสร็จสรรพ
ชั่วขณะที่เขาก้มลงเพื่อสวมรองเท้าก็มีเสียงตวาดดังมาจากด้านนอกว่า “ผู้ใด!”
เป็นเสียงของพี่รองเฮ่อซิ่ว
เฮ่อหรงสะดุ้งตื่น เขาลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย
เฮ่อจั้นจึงรีบกดตัวเขา “ท่านนอนเถอะ ข้าจะออกไปดูเอง”
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่เฮ่อหรงยังคงสวมเสื้อคลุมและลุกขึ้นเดินตามหลังเฮ่อจั้น
เมื่อสองพี่น้องเดินมาถึงลานบ้านก็เห็นพวกเฮ่อไท่กับหม่าหงมีสีหน้าตื่นตกใจ ยืนอยู่กลางลานบ้าน
พอเฮ่อไท่เห็นเฮ่อซิ่ววิ่งเข้ามาจากด้านนอกก็รีบถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
น้ำเสียงของเฮ่อซิ่วเดือดแค้น “เมื่อครู่ข้าตื่นนอนขึ้นมาปลดทุกข์ เห็นข้างนอกมีคนมาทำลับๆ ล่อๆ แต่คนผู้นั้นไวมาก กว่าข้าจะไล่ตามออกไปเขาก็หายตัวไปแล้ว!”
“ไม่ใช่ว่าเขารู้สถานภาพของท่าน?” สีหน้าของเฮ่อไท่ฉายแววหวาดผวา ตามองไปที่หม่าหงทันที
หม่าหงเข้าใจว่ามีความเป็นไปได้มากที่การมาของตนกับหมอหลวงฉีจะไปกระทบความรู้สึกของคนบางกลุ่ม
เขาจึงให้ทุกคนเข้าไปในบ้านก่อนพร้อมกำชับ “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ข้ากับหมอหลวงฉีก็จะไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดมาสอบถามให้พวกท่านพูดแค่ว่าเป็นข้ารับใช้ที่วังอ๋องเดิม แม้จะแยกจากกันไปแล้วแต่ยังคงอาลัย เลยผ่านมาเยี่ยมเยียน และตอนนี้ก็เดินทางกลับบ้านเดิมไปแล้ว”
เฮ่อไท่จับมือหม่าหงด้วยมือที่สั่นนิดๆ “ข้าหลวงหม่า ท่านก็เห็นแล้วว่าข้าอยู่ที่นี่ มีชีวิตอยู่อย่างหวาดผวาทุกวัน กลัวว่าจะมีคนมาคิดร้าย…ยามนี้ข้าอายุมากแล้ว เพียงหวังว่าก่อนตายจะได้กลับคืนถิ่นเดิม ได้พบหน้าฝ่าบาทเพื่อแสดงความกตัญญู…แค่นี้…แค่นี้ข้าจะได้ตายอย่างไม่เสียดาย!”
หม่าหงรีบบอก “นายท่านอย่าทำเช่นนี้ ท่านจะต้องปลอดภัยไร้อันตรายแน่นอน!”
เขาดึงตัวเฮ่อไท่ไปพูดปลอบจนอีกฝ่ายสงบลง
หลังทุกคนกลับเข้าห้องของตัวเองไปแล้ว เฮ่อจั้นยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแปลกใจจนอดถามเฮ่อหรงไม่ได้ “เมื่อครู่มิรู้ว่าเป็นสายของผู้ใด ตอนที่พวกหม่าหงมาทั้งเครื่องแต่งกายและรถม้าดูเรียบง่ายธรรมดามาก หรือท่าทีกิริยาของพวกเขามีพิรุธเลยตกเป็นเป้าสายตา? แล้วเหตุใดฝ่ายตรงข้ามถึงได้ไวขนาดนี้?”
พูดยังไม่ทันจบคำ ท่าทางไม่แยแสสนใจของเฮ่อหรงก็ทำให้เฮ่อจั้นได้คำตอบอย่างรวดเร็ว เขากดเสียงให้เบาลง “เป็นการแสดงของท่านกับพี่รองหรือ”
“ข้าแค่เสนอพี่ใหญ่แล้วพี่ใหญ่คงมอบหมายให้พี่รองไปจัดการ ลองเจอเช่นนี้หม่าหงต้องขวัญกระเจิงไม่น้อยแน่ รับรองว่าเขาต้องกลับไปรายงานที่เมืองหลวง และดีไม่ดีท่านพ่ออาจได้กลับเมืองหลวงเร็วขึ้นด้วย”
เฮ่อจั้นเข้าใจชัด “แต่ไหนแต่ไรมาท่านพ่อเป็นคนหัวอ่อน เมื่อครู่ข้ายังเข้าใจว่าท่านตกใจจนขวัญกระเจิงไปแล้ว!”
เฮ่อหรงเย้า “หากอยากหลอกคนฉลาดอย่างหม่าหง คนไม่รู้แผนย่อมทำได้สมจริงมากกว่าคนรู้แผน ท่านพ่อเป็นคนซื่อ ในใจรู้สึกอย่างไรก็บอกออกมาหมด”
ขี้แกล้งเกินไปแล้ว! แม้แต่ท่านพ่อยังกล้าแหย่ด้วย! เฮ่อจั้นกลั้นหัวเราะแล้วทำมือเป็นสัญลักษณ์ยกย่องให้อีกฝ่าย
เช้าตรู่วันถัดมา หม่าหงกับหมอหลวงฉีก็รีบรุดเดินทางจากไป พวกเขาไม่เพียงทิ้งข้าวและเส้นหมี่ไว้ แต่ยังทิ้งเงินจำนวนหนึ่งเอาไว้ให้ด้วย แต่เพื่อไม่ให้ตกเป็นที่สังเกตเฮ่อไท่จึงไม่ได้ออกมาส่งพวกเขาด้วยตนเอง เพียงให้เฮ่อมู่พาพวกเขาออกไปส่งที่นอกเมือง
ขากลับเฮ่อมู่แวะไปศาลว่าการอำเภอเพื่อเอาของที่ล่ากับน้องชายมาได้เมื่อเร็วๆ นี้ไปมอบให้แก่นายอำเภอ เป็นการขอบคุณที่ช่วยดูแลพวกเขาในช่วงระยะเวลาหลายปีมานี้ ผลคือตอนกลับมาถึงบ้านสกุลเฮ่อ บนตัวเขายังมีเทียบเชิญใบหนึ่งติดมาด้วย
คืนเทศกาลจงชิว วันที่สิบห้าเดือนแปด ผู้ตรวจการมณฑลฝางโจวจะจัดงานเลี้ยง จึงเชิญขุนนางเจ้าหน้าที่น้อยใหญ่และคหบดีทั้งหลายในเมืองไปร่วมงาน
ที่ผ่านมาครอบครัวเฮ่อไม่เคยได้มีส่วนร่วมกับงานประเภทนี้ แม้ขุนนางเจ้าหน้าที่ในฝางโจวตอนนี้จะคลายความเข้มงวดต่อครอบครัวสกุลเฮ่อลงมากแล้ว แต่พวกเขายังไม่กล้าพาตัวเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนม ถึงขั้นปล่อยปละละเลยอย่างกึ่งตั้งใจกึ่งไม่ตั้งใจและแสร้งทำเป็นลืมไปว่าตนยังมีครอบครัวนี้อยู่ในความดูแล
ทว่าปีนี้เฮ่อไท่กลับอยู่ในรายชื่อของผู้ที่ได้รับเชิญ
บทที่ 5
คืนวันเทศกาลจงชิว ทุกบ้านจุดโคมไฟสว่างไสว
แม้ฝางโจวจะอยู่ลึกเข้ามาในแผ่นดินและอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงถึงเพียงนี้ ทว่ายังไม่ทันที่พระจันทร์จะลอยสูงขึ้นไปอยู่กลางฟ้า ทุกบ้านทุกเรือนก็มีผู้คนมากมายย้ายโต๊ะเก้าอี้ออกมาตั้งที่กลางลานเพื่อจัดของเซ่นไหว้ จุดธูปเทียนไหว้พระจันทร์กันอย่างคึกคักแล้ว
แต่ภาพที่จวนผู้ตรวจการมณฑลฝางโจวกลับยิ่งคึกคักกว่า
หน้าประตูมีการแขวนโคมใหม่เอี่ยมรอไว้ตั้งแต่ตอนเช้า ส่วนด้านในมีการจุดเทียนเล่มใหญ่เท่าท่อนแขนขึ้นเป็นพิเศษ แสงเทียนส่องสว่างผ่านแพรไหมออกมาเป็นแสงมลังเมลือง ดูนุ่มนวลสวยงาม ยิ่งมีรถม้าและผู้คนทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสายยิ่งทำให้บรรยากาศครึกครื้นมากขึ้น
แม้ฝางโจวจะไม่ใช่มณฑลที่มั่งคั่งร่ำรวย แต่ก็พอมีตระกูลขุนนางและคหบดีอาศัยอยู่ เมื่อจวนผู้ตรวจการมณฑลมีงานเลี้ยงฉลองเทศกาลจงชิว บรรดาผู้มีชื่อเสียงของฝางโจวจึงต่างได้รับเชิญให้มาร่วม
นับแต่โบราณงานเลี้ยงทั่วไปเพียงแค่มองบุปผาก็สามารถชื่นชมทิวทัศน์ อ้างเอ่ยขุนเขาธาราก็อาจฝากความในใจ มีเพียงการชมโคมในเทศกาลหยวนเซียว และการชมจันทร์ในเทศกาลจงชิวเท่านั้นที่ต้องคอยให้ท้องฟ้ามืดสนิทก่อนจึงจะเริ่มได้ ทั้งในทั้งนอกเสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ หาความเงียบสงัดของคืนฤดูสารทไม่พบเลยแม้แต่ครึ่งส่วน
คนรับใช้ของจวนผู้ตรวจการมณฑลยืนยิ้มรับเทียบเชิญอยู่ที่หน้าประตูจนใบหน้าแทบจะแข็งค้าง
มีรถม้าทยอยเข้ามาจอดที่หน้าประตูจวนผู้ตรวจการมณฑลอย่างไม่ขาดสาย ผู้มาเยือนหากมิใช่เศรษฐีคหบดีก็เป็นผู้สูงศักดิ์ รถม้าทุกคันจึงทำขึ้นจากไม้ชั้นดี ยิ่งหากมีใครที่ช่างสังเกตหน่อยจะพบว่าบนแอกรถและกรอบหน้าต่างมีการสลักเสลาลวดลายอย่างประณีตงดงาม มีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ
มีเพียงรถม้าตรงหน้าคันนี้เท่านั้นที่ไม่สะดุดตาใครเลย ดูเรียบจนเกือบจะเรียกว่าเป็นงานหยาบ แม้แต่ม่านที่แขวนอยู่ด้านในของหน้าต่างก็ยังเป็นผ้าป่านเนื้อกระด้าง ตัวรถโคลงเคลงเหมือนพร้อมจะแหลกเป็นชิ้นๆ ในอีกชั่วอึดใจ
ตอนที่เห็นรถม้าคันนี้ คนรับใช้ถึงกับยิ้มไม่ออกและนึกสงสัยว่ารถม้ามาหยุดอยู่ผิดที่หรือไม่
ระหว่างที่กำลังคิดว่าควรหาใครสักคนมาไล่รถม้าคันนี้ไปดีหรือไม่ คนขับรถม้าก็กระโดดลงมาจากด้านหน้าของตัวรถก่อนอ้อมไปทางด้านหลังเพื่อเลิกผ้าม่านรถขึ้นให้คนสองคนที่อยู่ด้านในลงมา เป็นบุรุษสูงวัยหนึ่งคนกับบุรุษหนุ่มหนึ่งคน จากนั้นบุรุษหนุ่มก็ยื่นมือเข้าไปด้านในประทุนรถแล้วก็มีบุรุษหนุ่มอีกคนจับมือเขาก้าวออกมา เพียงแต่การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายช้ามาก และเมื่อมองดูให้ดีๆ จะพบว่าในมือถือไม้เท้า แสดงว่าขาของเจ้าตัวจะต้องมีปัญหา
สามคนนี้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่อยู่ทางซ้ายขวาหน้าหลังเป็นอย่างมาก ผู้คนจึงพากันหันมามอง
คนรับใช้มีสีหน้าทะมึนและก้าวเข้ามาบอกว่า “ผู้มาเยือนเป็นใคร รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือจวนของท่านผู้ตรวจการมณฑล”
วันนี้ทางจวนได้มอบหมายให้คนรับใช้จำนวนไม่น้อยคอยต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ทั้งด้านในและนอกประตูใหญ่ ดังนั้นเมื่อเห็นคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบยิ่งกว่าบริวารระดับล่างของจวนผู้ตรวจการมณฑล เหล่าคนรับใช้จึงเข้ามาล้อมกรอบด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม เตรียมจะไล่พวกเขาออกไป
คนขับรถม้ายื่นมือไปคลำที่ด้านในอกเสื้อแล้วหยิบเทียบเชิญใบหนึ่งออกมา “นี่เป็นเทียบเชิญที่ผู้ตรวจการมณฑลของพวกท่านส่งมาด้วยตนเอง เพื่อเชิญนายท่านบ้านข้ามาร่วมงานเลี้ยง”
คนรับใช้รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่พอรับมาดูแล้วเขากลับต้องเบิกตาโตและกวาดมองเฮ่อไท่กับบุตรชายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
ทั่วทั้งฝางโจวคนที่ไม่รู้ที่มาของครอบครัวสกุลเฮ่อมีจำนวนน้อยมาก แน่นอนว่าคนรับใช้ของจวนผู้ตรวจการมณฑลย่อมต้องเคยได้ยินได้ฟังมาเช่นกัน แต่เขาเป็นแค่คนรับใช้คนหนึ่ง ความคิดอ่านจึงไม่ได้ลึกซึ้งเหมือนอย่างคนชั้นสูง เพียงเห็นการแต่งกายของคนสกุลเฮ่อก็คิดในใจว่าพระราชโอรสของจักรพรรดิก็แค่นี้ พอตกอับแล้วก็ไม่ได้สูงส่งไปกว่าผู้ใดเลย
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน มีหรือที่หลู่อ๋องผู้ยิ่งใหญ่จะเคยถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงให้บริวารลากตัวคนผู้นั้นไปโบยนานแล้ว ทว่าความทุกข์ยากตลอดระยะเวลาสิบเอ็ดปีที่ผ่านมาได้ลบเหลี่ยมมุมทั้งหมดของเฮ่อไท่จนเขารู้สึกคุ้นชินกับมันไปเสียแล้ว
เฮ่อมู่นึกฉุน แต่เมื่อเห็นบิดากับน้องสามยังมีสีหน้าเป็นปกติ เขาจึงต้องสะกดกลั้นโทสะไว้
คนรับใช้พูดเสียงเนิบ “ที่แท้ท่านก็คือนายท่านเฮ่อ ในเมื่อท่านข้าหลวงตรวจการเชิญท่านมาแล้วก็ขอเชิญที่ด้านในขอรับ”
ทันทีที่คำว่า ‘นายท่านเฮ่อ’ ถูกเอ่ยออกไปก็ทำให้สายตาผู้คนที่อยู่รอบๆ ทวีความร้อนแรงมากยิ่งขึ้น และยังมีสายตาแบบอื่นๆ ด้วย บ้างเป็นความรู้สึกสงสารเห็นใจ บ้างเป็นความประสงค์ร้ายอยากชมเรื่องสนุก
เฮ่อไท่ถูกมองจนอึดอัด เขาจึงรีบก้มหน้าเดินตามคนรับใช้ของจวนผู้ตรวจการมณฑลที่ทำหน้าที่นำทางเข้าไปด้านใน แต่เฮ่อมู่กลับยืดอกเดินตามหลังบิดาอย่างผ่าเผย
ด้านในจวนผู้ตรวจการมณฑลไม่ได้มืดหม่นเพราะม่านราตรีที่ครอบคลุมลงมา ด้วยมีโคมไฟหลากหลายรูปแบบแขวนไว้ตามจุดต่างๆ อย่างละลานตา ทั้งภายในห้อง ระเบียง สวนป่า รวมไปถึงภูเขาจำลองกับศาลารับลมในสวนป่าล้วนสว่างไสวด้วยแสงไฟราวกับเป็นเวลากลางวัน ไม่แพ้บ้านเศรษฐีคหบดีในเมืองหลวงแม้แต่น้อย
เฮ่อไท่ลอบถอนหายใจอย่างชื่นชมพลางคิดถึงชีวิตสมัยที่อยู่ในวังหลู่อ๋อง ทำให้เขายิ่งต้องทอดถอนใจหนักขึ้น
งานเลี้ยงจัดขึ้นที่สวนป่ากลางจวน เดิมทีจวนผู้ตรวจการมณฑลไม่ได้ใหญ่โตถึงเพียงนี้ แต่หลังจากผู้ตรวจการมณฑลคนก่อนเข้ารับตำแหน่ง เขาได้ต่อขยายจวนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ผู้ตรวจการมณฑลคนปัจจุบันพลอยได้อานิสงส์นี้ไปด้วย
ข้างภูเขาจำลองกับสระน้ำคือพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ มีไม้ดอกไม้ประดับรายล้อม เหมาะที่จะใช้จัดงานเลี้ยงอย่างยิ่ง แต่เนื่องจากวันนี้มีแขกเป็นจำนวนมากทำให้ไม่สามารถจัดโต๊ะให้ทุกคนคนละตัวได้ ต้องเปลี่ยนเป็นโต๊ะละสองถึงสามคนแทน การจัดการเช่นนี้จึงทำให้พ่อลูกสกุลเฮ่อได้นั่งร่วมโต๊ะกันเป็นเอกเทศ
ทั้งสามคนแต่งกายเรียบง่ายมาก ดูไม่เข้ากับบรรดาแขกเหรื่อในงานเลี้ยงอย่างสิ้นเชิง ยิ่งถูกแยกให้ไปนั่งอยู่ด้านหน้าที่มองเห็นชัดทำให้ยิ่งตกเป็นเป้าสายตา และเนื่องจากทุกคนต่างรู้สถานภาพของพ่อลูกสกุลเฮ่อจึงไม่มีผู้ใดเข้าไปทักทาย ทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตน ไม่มีใครไม่รู้ว่าเฮ่อไท่ต้องโทษจึงถูกเนรเทศให้มาอยู่ที่นี่ การสนิทสนมกับเขาจึงไม่มีประโยชน์ ตรงกันข้ามอาจเป็นการหาเรื่องใส่ตัวด้วย
หลังซือหม่าอวิ๋น ผู้ตรวจการมณฑลฝางโจวคนปัจจุบันเข้ารับตำแหน่ง เขาไม่ได้กดดันสร้างความลำบากให้แก่เฮ่อไท่เหมือนผู้ตรวจการมณฑลคนก่อน กระนั้นก็ทำเหมือนลืมไปแล้วว่ามีคนคนนี้อยู่ด้วย ในงานเทศกาลประจำปีต่างๆ ก็ไม่เคยมีที่นั่งในงานสำหรับเขา ทว่าปีนี้ไม่รู้ว่ามีลมอะไรพัดมา สกุลเฮ่อถึงได้มาปรากฏตัวในกลุ่มแขก สร้างความรู้สึกประหลาดใจให้แก่ทุกคน
ระหว่างที่ใครต่อใครกำลังงุนงงสงสัย ซือหม่าอวิ๋นได้เดินเนิบๆ ปิดท้ายเข้ามาในงาน ทุกคนต่างรีบลุกขึ้นแสดงความเคารพ ซือหม่าอวิ๋นยกมือเป็นเชิงบอกให้ทุกคนนั่งลงและกล่าวยิ้มๆ “วันนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง เดิมควรได้นั่งล้อมวงชมจันทร์กันอย่างไม่แบ่งแยก ขอให้ทุกท่านอย่าได้มากพิธี ทำตัวตามสบาย ไม่เมาไม่เลิก”
ทุกคนน้อมรับและนั่งประจำที่กันอีกครั้ง บางคนปัญญาไว ลุกขึ้นกล่าวคำขอบคุณซือหม่าอวิ๋นและชื่นชมผลงานอันโดดเด่นของเขาในช่วงหนึ่งปีมานี้ว่าเขาสามารถดูแลบ้านเมืองได้อย่างสงบเรียบร้อย ทำให้ซือหม่าอวิ๋นอารมณ์ดีและตอบรับกลับไปอย่างสุภาพดุจเดียวกัน
เฮ่อไท่ไม่แน่ใจว่าตนควรลุกขึ้นกล่าวคำทักทายดีหรือไม่ เนื่องจากเขาไม่ได้ร่วมสมาคมกับคนนอกเป็นเวลาหลายปี แน่นอนว่าย่อมไม่อาจหมุนตัวเดินหนีไปด้วย ความรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กๆ ในใจทำให้เขาเผลอหันไปมองบุตรชายสองคนที่อยู่ข้างกาย เฮ่อมู่กับเฮ่อหรง
เฮ่อมู่กำลังมองซือหม่าอวิ๋นอยู่ พูดด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจว่า “ในเมื่อซือหม่าอวิ๋นไม่เห็นท่านพ่ออยู่ในสายตา เหตุใดจึงเชิญพวกเรามาร่วมงานเลี้ยง ข้าไม่ชอบคนผู้นี้เลย”
“ในเมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่ให้สุข ถือเสียว่ามากินข้าว เพราะพอกลับไปแล้วพี่รองจะต้องซักไซ้แน่ๆ ว่าพวกเราได้กินอะไรกันบ้าง”
เฮ่อมู่หัวเราะให้คำพูดของเฮ่อหรง “น้องรองสนใจแต่ของอร่อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ครั้งนี้เราไม่ได้พาเขามาด้วย รับรองว่าเขาต้องเกาหัวใจอยู่ที่บ้านแน่ๆ”
เฮ่อไท่นึกภาพตามแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ ความรู้สึกตึงเครียดกระวนกระวายผ่อนคลายลงไม่น้อย
จังหวะนี้เองมีสาวใช้ยกอาหารจานหนึ่งมาวาง ในจานมีแผ่นเนื้อสีเหลืองทองชุ่มฉ่ำ ตรงกลางยัดไส้ข้าวเหนียว หน้าตาเหมือนเนื้อแต่ไม่ใช่เนื้อ กลิ่นหอมกรุ่นเป็นพิเศษจนนิ้วชี้กระดิก
ทุกคนล้วนมองกันอย่างแปลกใจแต่กลับไม่มีใครบอกชื่อของอาหารออกมาได้ นอกจากหันไปซุบซิบกัน จนมีคนลองชิมดูแล้วก็เอ่ยชมขึ้นมาทันทีว่า “เนื้อติดมันแต่ไม่เลี่ยน เหมือนเนื้อห่านแต่กลับมีความสดใหม่เหมือนเนื้อวัว! ขอถามท่านข้าหลวงตรวจการว่าอาหารจานนี้มีนามว่าอะไรหรือ”
ซือหม่าอวิ๋นเห็นทุกคนเดาไม่ถูกก็รู้สึกลำพองใจอย่างมาก เขากวาดสายตาไปรอบด้านแล้วพลันเอ่ยถามเฮ่อไท่ “นายท่านเฮ่อน่าจะทราบว่าอาหารจานนี้มีนามว่าอะไรกระมัง”
เฮ่อไท่ชะงัก น้ำเสียงลังเล “หรือจะเป็น ‘แกะทั้งตัวร่วมสังสรรค์’?”
ซือหม่าอวิ๋นอมยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่านายท่านเฮ่อจะต้องรู้จักแน่ๆ วิธีการทำอาหารจานนี้ซับซ้อนอย่างที่สุด เริ่มจากต้องล้วงเอาเครื่องในห่านออกมา ทำความสะอาดให้หมดจด ยัดข้าวเหนียว เห็ด และเครื่องเทศต่างๆ เข้าไป นำแกะหนึ่งตัวมาอบให้สุก สุดท้ายค่อยเอาห่านยัดเข้าไปในท้องแกะและย่างไฟ เช่นนี้น้ำมันแกะกับกลิ่นหอมสดใหม่ที่ย่างออกมาได้จากส่วนในของเนื้อแกะจะอาบไปทั่วตัวห่าน ทำให้เวลากินเนื้อห่านจะรู้สึกเหมือนได้กินเนื้อแกะ และที่ล้ำเลิศที่สุดคือไม่มีกลิ่นสาบของเนื้อแกะ มีแต่ความสดอร่อยติดลิ้นไม่เลือนหาย สมัยก่อนนี่เป็นอาหารชื่อดังของเมืองหลวงชั่วระยะหนึ่งเลยทีเดียว!”
เฮ่อไท่ผงกศีรษะ “เป็นเรื่องจริง ท่านข้าหลวงรอบรู้ยิ่งนัก”
เมื่อทุกคนได้ประจักษ์ก็พากันชื่นชมในความรู้รอบของท่านผู้ตรวจการมณฑล
อันที่จริงพ่อครัวในบ้านของบรรดากงและโหวในเมืองหลวงล้วนสามารถทำอาหารชนิดนี้ได้ เพียงแต่วิธีการออกจะยุ่งยาก และพอกินมากๆ เข้ารสชาติก็จะน่าเบื่อ นานวันเข้าจึงไม่ค่อยมีใครกินกันอีก เมื่อก่อนเฮ่อไท่ก็กินจนเอียนไปนานแล้ว แต่วันนี้เมื่อเวลาผ่านเลยมาหลายปี ยากนักที่เขาจะได้ลิ้มรสอาหารชั้นเลิศที่มีกลิ่นอายของวันวาน ทำให้อดรู้สึกว้าวุ่นใจไม่ได้
แขกคนหนึ่งพูดเสียงดังขึ้นว่า “น้ำใจของท่านข้าหลวงครั้งนี้ผู้น้อยไร้สิ่งตอบแทน แต่ราตรีนี้มีจันทราแล้วจะขาดเครื่องหอมไปได้อย่างไร ผู้น้อยจึงตั้งใจเสาะหาเครื่องหอมหม่าหยามาหนึ่งกล่อง เพื่อมอบให้ท่านข้าหลวงตรวจการ!”
ซือหม่าอวิ๋นชื่นชอบกลิ่นหอมจนเป็นที่เลื่องลือ พอได้ยินคำพูดนี้เขาก็แสดงสีหน้ายินดีออกมาทันที “ท่านพูดจริงหรือ รีบนำมาให้ข้าดูหน่อยเถิด!”
เฮ่อมู่ถามเสียงเบา “เครื่องหอมหม่าหยามีอะไรพิเศษนักหรือ เหตุใดซือหม่าอวิ๋นถึงได้ดีอกดีใจถึงเพียงนี้”
เฮ่อไท่ตอบ “เครื่องหอมชนิดนี้เป็นเครื่องหอมที่ใช้ในที่ประทับของจักรพรรดิในราชวงศ์ก่อน หายสาบสูญไปนานหลายปีแล้ว ตัวเครื่องหอมประกอบด้วยสมุนไพรที่ช่วยให้สตรีตั้งครรภ์ง่ายและเสริมสร้างพลังให้แก่บุรุษ จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นเครื่องหอมมงคล เป็นของดีวิเศษ”
ระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน กล่องเครื่องหอมทรงสี่เหลี่ยมได้ถูกนำไปวางลงบนโต๊ะของซือหม่าอวิ๋น หลังเปิดออกเขาหยิบเครื่องหอมแผ่นหนึ่งออกมาสูดกลิ่นอย่างพินิจพิเคราะห์ แต่กลับไม่ได้แสดงอาการตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงบอกว่า “ขอเชิญนายท่านเฮ่อมาร่วมชื่นชมด้วยกันเถิด”
เขาให้คนยกกล่องเครื่องหอมไปวางลงตรงหน้าเฮ่อไท่ ทำให้เฮ่อไท่ไม่อาจทำใดอื่นนอกจากหยิบขึ้นมาดมดู “เป็นกลิ่นหอมที่พิเศษจริงๆ แต่ข้าไม่เคยเห็นเครื่องหอมหม่าหยามาก่อน จึงไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือไม่”
ซือหม่าอวิ๋นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
ฝ่ายแขกผู้มอบเครื่องหอมให้กลับแสดงความไม่พอใจอย่างมาก…อันใดคือ ‘ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือไม่’ คนเขาไม่ได้ให้ท่านช่วยพิสูจน์ของจริงหรือปลอมสักหน่อย หรือความหมายของท่านคือข้าเอาของปลอมมาตบตาท่านข้าหลวงตรวจการ?
เจ้าของเครื่องหอมจึงยิ้มเย็นเล็กน้อย “ไม่ทราบว่านายท่านเฮ่อมอบเครื่องหอมอะไรให้ท่านข้าหลวงตรวจการหรือ เชื่อว่าผู้ที่มีศักดิ์ฐานะอย่างนายท่านเฮ่อจะต้องสรรหาของขวัญที่เหนือกว่าข้าเป็นแน่”
เฮ่อไท่งงงันไปชั่วอึดใจ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
เข้าบ้านใครไม่อาจมามือเปล่า นี่เป็นมารยาทขั้นพื้นฐาน สกุลเฮ่อจึงจัดเตรียมของขวัญเอาไว้แล้ว เพียงแต่ของขวัญนี้ค่อนข้างยากที่จะเอ่ย เพราะเป็นแค่ใบชาป่าสองสามกระปุก พวกเฮ่อซิ่วกับเฮ่อจั้นขึ้นเขาไปเก็บมากันเอง จึงไม่ได้มีราคาค่างวด
ทั้งที่อีกฝ่ายรู้สถานภาพของเฮ่อไท่ดีแต่กลับตั้งคำถามเขาเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าต้องการสร้างความลำบากใจให้แก่เขา
งานเลี้ยงเพิ่งเริ่ม เพลงระบำยังไม่ได้แสดง คำถามของฝ่ายตรงข้ามก็เรียกความสนใจของผู้คนรอบตัวให้มาอยู่ที่พวกเขาเรียบร้อยแล้ว
ซือหม่าอวิ๋นนั่งประจำอยู่กับที่โดยไม่ได้ช่วยพูดจาไกล่เกลี่ยให้
เฮ่อไท่รู้สึกถึงไฟโทสะที่ผุดพุ่งขึ้นมาจับหัวใจ สมองมีเสียงดังวิ้งๆ ชั่วเวลานั้นเขานึกถึงภาพที่ตนเองถูกขับออกจากเมืองหลวงสลับกับภาพความอหังการสมัยที่ตนยังเป็นหลู่อ๋อง ในใจพลันร่ำร้องว่า
เสด็จพ่อ! พระองค์ทอดพระเนตรเห็นแล้วใช่หรือไม่ว่าโอรสของพระองค์ได้กลายเป็นพยัคฆ์ตกสู่ที่ราบ และยามนี้ถึงกับถูกพ่อค้าคนหนึ่งกดศีรษะ!
ใบหน้าของเขาแดงก่ำ คำบริภาษทั้งหลายมาจ่อรออยู่ที่ริมฝีปาก แต่ทุกสิ่งกลับเปลี่ยนแปรเป็นความเศร้ารันทดและนึกท้อใจ
เฮ่อมู่ไม่รู้ว่าบิดากำลังคิดสิ่งใด เมื่อเห็นเขาเอาแต่โอ้เอ้ไม่ยอมตอบจึงหัวเราะเสียงเย็น “พวกเราเป็นแขกของท่านข้าหลวงตรวจการ ตัวท่านเองก็เป็นแขกของท่านข้าหลวงเหมือนกัน มีสิทธิ์อะไรมาซักไซ้พวกเรา”
ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะ “ผู้น้อยหลิวซิง ไร้ซึ่งยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่มีค่าคู่ควรให้เอ่ยถึง ของขวัญสูงค่าเพียงใดล้วนอยู่ที่ใจคนจะให้ราคา หรือท่านไม่แจ้งในเรื่องนี้”
หัวคิ้วของเฮ่อหรงย่นเข้าหากันเล็กน้อย เขานึกออกแล้วว่าคนผู้นี้เป็นใคร หยางจวินเคยเล่าให้เขาฟัง
“คนผู้นี้เป็นพ่อค้าข้าวของฝางโจว บุตรสาวเป็นอนุภรรยาอยู่ในจวนฉีอ๋อง ว่ากันว่าค่อนข้างเป็นที่โปรดปรานของฉีอ๋องด้วย”
คำบอกเล่าของน้องชายทำให้เฮ่อมู่พอจะเข้าใจแล้วว่าหลิวซิงไปเอาความกล้าบ้าบิ่นมาจากที่ไหน พร้อมกันนั้นเขาก็รู้สึกอัดอั้นตันใจว่าบิดาตนเป็นพี่ชายของฉีอ๋อง แต่เมื่อวันนี้ตกต่ำ แม้แต่พ่อของอนุภรรยาคนหนึ่งของฉีอ๋องก็ยังสามารถปีนขึ้นมาทำวางโตอยู่เหนือศีรษะได้!
หันไปมองผู้คนรอบกายอีกครั้ง พบว่าทุกคนเอาแต่จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ ไม่มีผู้ใดออกหน้ามาช่วยเหลือ แม้แต่ซือหม่าอวิ๋นก็ก้มหน้าดื่มสุรา ทำราวกับว่ามองไม่เห็นความลำบากของเฮ่อไท่กับบุตรชาย
แม้หลิวซิงคนนี้จะมีสถานภาพไม่สูง แต่สิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขา ขืนไปทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเพียงเพราะคำพูดไม่กี่ประโยค เกรงว่าต่อไปคงถูกบีบให้สวมรองเท้าคับ แต่ถ้าไม่คัดค้านอะไรเลยก็เท่ากับบอกว่าตนเป็นพวกที่ดีแต่หดหัวเหมือนกัน
ระหว่างที่เฮ่อมู่กำลังคิดว่าจะตอกกลับไปอย่างไรดี เขาก็ได้ยินเสียงเฮ่อหรงพูดว่า “บ้านสกุลเฮ่อยากจนข้นแค้น ทำได้เพียงเก็บใบชาด้วยมือตนมาเป็นของขวัญเล็กน้อย”
เกรงว่าคำพูดนี้คงได้กลายเป็นจุดอ่อนให้อีกฝ่ายจับได้แล้ว เฮ่อมู่คิดในใจว่าน้องชายยังเด็กเกินไป
เป็นจริงตามนั้น เพราะหลิวซิงหัวเราะฮ่าๆ แล้วลากเสียงยาวอย่างดูแคลนที่สุด “เป็นของขวัญเล็กน้อยจริงๆ!”
แต่ทันใดนั้นเฮ่อหรงกลับหยิบเอาจอกสุราบนโต๊ะมาขว้างลงพื้นอย่างแรง สุราสาดกระเซ็นไปทั่ว หลิวซิงหลบไม่ทัน สุราจึงเปื้อนเสื้อคลุม ทำให้อารมณ์เดือดดาล “นี่เจ้ากล้าหาเรื่องในงานเลี้ยงของท่านข้าหลวงเชียวหรือ!”
น้ำเสียงของเฮ่อหรงกราดเกรี้ยว “พวกข้าเป็นเชื้อพระวงศ์ แม้จะมีโทษทัณฑ์ติดตัว แต่นั่นก็เป็นเพราะทำผิดกฎหมายถึงได้ถูกฝ่าบาทลงพระอาญา ไม่เคยคิดแค้นเสียใจ ทว่าบิดาข้าเป็นถึงพระนัดดาองค์โตของปฐมกษัตริย์ พระราชโอรสองค์โตของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน สายพระโลหิตและฐานันดรไม่เคยเป็นที่กังขา ใบชาที่ท่านพ่อเก็บมาด้วยมือตนเองนั้น นอกจากฝ่าบาทแล้วบนโลกนี้มีสักกี่คนที่จะได้ดื่ม เล่าลือกันมานานแล้วว่าท่านข้าหลวงตรวจการรักราษฎรดุจลูกหลาน บิดาข้ารู้สึกชื่นชมจึงมอบของขวัญชิ้นนี้ให้เป็นน้ำใจ แต่กลับถูกคนชั้นต่ำอย่างเจ้ามาค่อนแคะ พูดจาหาเรื่อง แท้แล้วที่เจ้าเดียดฉันท์คือใบชาหรือสายเลือดของพวกข้ากันแน่!”
บทที่ 6
สกุณาเงียบสงัด
หลิวซิงอ้าปากค้างอย่างไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะ
สีหน้าของเขาค่อยๆ ไม่น่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวเขาขึ้นเหนือล่องใต้ พบเห็นโลกมามาก แต่กลับถูกชายหนุ่มบ้านนอกคนหนึ่งเขย่าขวัญจนพูดไม่ออก เป็นเชื้อสายของจักรพรรดิแล้วอย่างไร เวลานี้มิใช่ถูกปลดเป็นสามัญชนแล้วหรอกหรือ
บุตรสาวของเขาต่างหากที่เป็นอนุภรรยาคนโปรดของฉีอ๋อง และอาจมีสักวันที่นางจะนำพาตระกูลทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วย
“เจ้ามัน…”
“ใบชานี้มีค่าเหลือคณานับ ขอบคุณนายท่านเฮ่ออย่างยิ่ง ของขวัญชิ้นนี้ข้ารับเอาไว้แล้ว” ซือหม่าอวิ๋นตัดบทหลิวซิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังทำให้หลิวซิงไม่พอใจ
“ท่านข้าหลวง…”
ซือหม่าอวิ๋นปรบมือ “มีจันทรา มีสุราแล้ว จะขาดดนตรีได้อย่างไร ใครก็ได้ บรรเลงเพลง!”
เสียงดนตรีดังกังวาน นางระบำเคลื่อนตัวเข้าสู่เวทีแสดงกันอย่างไหลลื่นประดุจมัจฉา หลิวซิงทำได้เพียงหุบปากอย่างโกรธขึ้ง แต่ตายังคงจ้องเขม็งไปที่เฮ่อไท่กับบุตรชายพลางสะกดกลั้นเพลิงโทสะในใจ
เฮ่อมู่กระซิบเสียงอารมณ์ดี “น้องสามพูดได้ดี ข้าเห็นหลิวซิงโกรธจนลูกตาเกือบจะถลนออกมาอยู่แล้ว”
หลังได้ระบายโทสะออกไปเฮ่อไท่ก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาก แต่ปากยังคงพูดจาสอนสั่งบุตรชาย “ต่อไปห้ามทำอุกอาจเช่นนี้อีก หากเรื่องนี้รู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณต้องแย่แน่”
เฮ่อหรงคิดในใจว่าเอะอะก็ห้ามไม่ให้ใครรู้ แต่เพราะอยู่ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เขาจึงทำได้เพียงรับคำ
หลังคลื่นลมระลอกนี้ผ่านพ้นไป ความสนใจของทุกคนก็มาจดจ่ออยู่ที่การแสดงสลับกับการคารวะสุราแก่ผู้ตรวจการมณฑล บัณฑิตในอุปถัมภ์หลายคนที่ซือหม่าอวิ๋นชุบเลี้ยงไว้ท่องบทกวีของเทศกาลจงชิวหลายบทเพื่อถือโอกาสยกย่องชื่นชมซือหม่าอวิ๋นไปพร้อมกัน ทำให้ซือหม่าอวิ๋นมีสีหน้าชื่นมื่น ยิ้มน้อยๆ อย่างไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์สุราหรือเพราะได้ฟังคำสรรเสริญเยินยอ
นางระบำในงานต่างสวมชุดชวีจวี เน้นเส้นโค้งอวดเอวอ้อนแอ้น แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคต่อการร่ายรำอย่างแช่มช้อยพลิ้วไหวของพวกนาง สิ่งพิเศษสุดคือนางระบำกลุ่มนี้ล้วนรวบผมเป็นมวยสูงและติดเส้นโลหะดัดคดเป็นลวดลายไว้ที่สองข้างของมวยผม ตะเกียงดวงเล็กสองดวงติดอยู่กับโลหะดัดนั้น ดวงตะเกียงสว่างวูบไหว แสงสาดจับใบหน้าด้านข้างอย่างงดงาม แต่ไม่ว่าพวกนางจะเคลื่อนไหวอย่างไร เปลวเทียนในตะเกียงดวงเล็กก็ไม่มีทีท่าว่าจะดับลง
บรรดาแขกเหรื่อต่างส่งเสียงฮือฮาอย่างอัศจรรย์ใจ ความงดงามของนางระบำกลายเป็นเรื่องรองเมื่อทุกคนต่างจดจ้องตะเกียงดวงน้อยข้างมวยผมทั้งสองของพวกนางกันอย่างไม่ยอมเลื่อนสายตาไปทางอื่น พลางนึกคาดเดากันว่าเปลวเทียนในตะเกียงพวกนั้นจะสว่างอยู่ได้จนจบเพลงหรือไม่ สุดท้ายต้องมีการเปิดให้วางเดิมพันกัน
ความแปลกใหม่เล็กๆ น้อยๆ นี้สร้างสีสันให้แก่งานเลี้ยง หลังดื่มสุรากันไปสามรอบบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นคึกคักสนุกสนานจวบจนงานเลี้ยงเลิกในเวลาใกล้ยามสามพอดี
สามพ่อลูกสกุลเฮ่อเดินทางมาจากอำเภอจู๋ซาน แน่นอนว่าไม่อาจเดินทางกลับในตอนกลางคืน ดังนั้นตอนที่จวนผู้ตรวจการมณฑลเชิญพวกเขามาจึงมีการคุยกันเรื่องนี้เอาไว้อย่างชัดเจน และได้จัดเตรียมที่พักไว้ให้เรียบร้อย หลังงานเลี้ยงเลิกพวกเฮ่อไท่จึงถูกจัดให้ไปพักอยู่ที่ที่พักข้างๆ เรือนใหญ่
แต่ก่อนจะได้เข้าไป ผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายซือหม่าอวิ๋นก็มาบอกว่าเจ้าบ้านขอเชิญนายท่านเฮ่อไปพบ
เฮ่อไท่ลังเล “ให้พวกเด็กๆ ตามไปด้วยได้หรือไม่”
“ท่านข้าหลวงตรวจการเชิญนายท่านเพียงคนเดียวขอรับ”
“ช่างเถอะ” เฮ่อไท่หันไปพูดกับเฮ่อมู่และเฮ่อหรงว่า “พวกเจ้าสองคนพักผ่อนกันก่อน พ่อคงไปไม่นาน”
หลังเฮ่อไท่จากไป เฮ่อมู่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ “ไม่รู้ว่าซือหม่าอวิ๋นจะคุยอะไรกับท่านพ่อ พวกเราน่าจะตามไปด้วย”
แต่เฮ่อหรงกลับนิ่งมาก “นับตั้งแต่ท่านพ่อมาอยู่ที่ฝางโจวก็เอาแต่วิตกกังวล ไม่สนใจเรื่องใด นานวันเข้าก็เริ่มพึ่งพิงความคิดเห็นของพวกเรามากจนเกินไป หากวันไหนได้กลับเมืองหลวง ท่านจะต้องเผชิญหน้ากับฝ่าบาทและคนอื่นๆ ตามลำพัง ไม่มีทางที่พวกเราจะคอยตามติดอยู่ข้างกายได้ตลอด เช่นนี้ก็ค่อยๆ ให้ท่านรื้อฟื้นปฏิกิริยาโต้ตอบที่เคยมีแต่เก่าก่อนดีกว่า พี่ใหญ่ทำใจให้สบายเถอะ”
เฮ่อมู่ถอนหายใจแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
นับตั้งแต่มาปักหลักที่ฝางโจว นับวันท่านพ่อยิ่งพึ่งพาไม่ได้ ตอนนั้นพวกน้องๆ ยังเล็ก เขาจึงต้องเป็นคนพยุงครอบครัวเอาไว้ ทำให้มีเรื่องให้ต้องห่วงมากมาย หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คาดว่าเขาคงผมขาวก่อนวัยแน่ๆ
“โชคดีที่พวกเจ้าต่างรู้ความกันดี!” เฮ่อมู่ตบไหล่เฮ่อหรง “สมัยที่มาอยู่ที่ฝางโจวใหม่ๆ พวกเจ้ายังเป็นหัวไช้เท้าน้อย หากเปลี่ยนเป็นเด็กบ้านอื่นเกรงว่าคงอาละวาดจนฟ้าถล่มไปแล้ว”
“พวกเราล้วนมองเห็นความลำบากของพี่ใหญ่กันทุกคน”
หลายปีที่ผ่านมา นอกจากบิดาที่ไม่ได้เรื่องได้ราวแล้ว พี่น้องอย่างพวกเขาต่างประคับประคองกันและกันเพื่อก้าวเดินมาเรื่อยๆ
การได้รับผลตอบรับจากสิ่งที่ตนลงแรงไปทำให้เฮ่อมู่รู้สึกปลาบปลื้มใจ
สองพี่น้องคอยกันอยู่พักหนึ่งจนเตรียมจะล้างหน้าเข้านอนแล้ว เฮ่อไท่ถึงได้กลับมา
เฮ่อมู่ปราดไปรับหน้า “ท่านพ่อ!”
“พวกเจ้าเข้าใจไม่ผิด ซือหม่าอวิ๋นถามเรื่องการมาของพวกหม่าหงจริงๆ”
“ท่านคงไม่ได้เล่าออกไปตามความจริงกระมัง”
“ไม่มีทางอยู่แล้ว เพียงแต่…”
สีหน้าของเขาดูแปลกๆ เพราะรู้สึกประดักประเดิดที่ต้องมาคุยเรื่องประเภทนี้กับบุตรชาย “ซือหม่าอวิ๋นอยากเป็นพ่อสื่อให้พ่อ”
เฮ่อมู่กับเฮ่อหรงอึ้ง
“ไม่เคยได้ยินว่าซือหม่าอวิ๋นมีบุตรสาว” เฮ่อหรงครุ่นคิด
เฮ่อไท่กระสับกระส่าย “ย่อมไม่ใช่บุตรสาวของซือหม่าอวิ๋น แต่เป็นบุตรสาวของที่ปรึกษาซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา”
เฮ่อมู่สงสัย “อยู่ดีๆ เหตุใดเขาจึงอยากเป็นพ่อสื่อให้ท่านพ่อ”
“มารดาของพวกเจ้าจากไปนานแล้ว ตำแหน่งนายหญิงหลักของบ้านไร้คนครอบครอง การที่ผู้ตรวจการมณฑลอยากเป็นพ่อสื่อให้ มีอะไรน่าแปลกหรือ”
“เช่นนั้น…ท่านพ่อตอบรับไปแล้ว?”
“หากตอบรับทันทีเกรงว่าจะถูกผู้คนดูแคลน พ่อจึงบอกว่าขอคิดดูสักหลายวันก่อน”
เฮ่อมู่ตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเฮ่อหรงดึงแขนเสื้อไว้ ทำให้เขาต้องหุบปากไม่เอ่ยคำ
“ดึกแล้ว พวกเจ้ารีบพักผ่อนเถอะ”
เฮ่อมู่กับเฮ่อหรงนอนห้องเดียวกัน ในห้องมีเตียงสองหลังแยกออกจากกัน ห้องหับสะอาดสะอ้าน แต่เฮ่อมู่กลับหัวเราะเสียงเย็น
เห็นเฮ่อหรงไม่มีปฏิกิริยา น้ำเสียงของเฮ่อมู่จึงนึกฉุน “พวกเขาเอาห้องพักของคนระดับล่างมาให้พวกเราใช้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีโทสะ!”
น้ำเสียงของเฮ่อหรงเรียบนิ่ง “โกรธแล้วมีประโยชน์อะไร”
เฮ่อมู่เดือดดาล เขาไม่พูดอะไรอีก ถอดรองเท้าและขึ้นเตียง
“พี่ใหญ่ สิ่งที่พวกเขามอบให้ท่านพ่อคือห้องพักแขก เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เรื่องของพวกเรา ซือหม่าอวิ๋นยังต้องระวังขี้ปากของผู้คน หากเขาดีต่อพวกเรามากเกินไป ราชสำนักย่อมต้องส่งคนมาตำหนิเขาที่ผูกมิตรกับองค์ชายผู้สูญเสียอำนาจและการคิดไม่ซื่อ”
เฮ่อมู่นอนหนุนแขนตัวเอง เงยหน้าขึ้นมองขื่อคานด้วยสีหน้าหนักใจ “เจ้าว่าซือหม่าอวิ๋นคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือเขาจะเป็นคนของฉีอ๋องเลยอยากจะส่งคนแฝงตัวเข้ามาอยู่ข้างกายท่านพ่อ หากท่านพ่อสนใจเรื่องแต่งภรรยาใหม่ พวกเราควรคุยกับท่านอย่างไรดี”
“พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกว่าเมื่อครู่ข้าคงไม่ได้ตาฝาด”
“…?”
“ท่านเอาแต่คิดมากตลอดเวลาเช่นนี้ มิน่าถึงได้มีผมหงอก ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปตีนกาคงได้มาเยือนด้วยแน่”
เฮ่อมู่อารมณ์เสีย “แล้วที่ข้าทำไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อผู้ใดกันล่ะ! เจ้าหลับไปเลยนะ!”
ความหงุดหงิดทำให้เขาพลิกตัวไปทางอื่น ไม่พูดไม่จาอีก
เฮ่อหรงหัวเราะและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกันไอเย็น ก่อนจะปิดตานอนหลับ
พระชายาหยวนเฟย ชายาองค์แรกของเฮ่อไท่แซ่ติง เมื่อครั้งแต่งงานทั้งสองคนอยู่ในวัยเดียวกันจึงรักใคร่เสน่หากันดี จนสามปีให้หลังติงซื่อป่วยเป็นโรคหนาวลม อาการเพียบหนักทำให้ไร้บุตรตราบสิ้นลมหายใจ ต่อมาจักรพรรดิจึงประทานลู่ซื่อให้มาเป็นพระชายาจี้เฟย ชายาเอกองค์ใหม่ของเขา แต่เฮ่อไท่ไม่ค่อยชอบลู่ซื่อนัก เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายมีนิสัยแข็งกระด้างเกินไป ต่อมาไม่นานจึงแยกห้องต่างคนต่างอยู่ จนภายหลังเมื่อลู่ซื่อให้กำเนิดเฮ่ออวี๋ซึ่งเป็นบุตรชายของภรรยาเอก เฮ่อไท่ก็รักบุตรชายคนนี้มากและเตรียมแต่งตั้งเฮ่ออวี๋เป็นทายาทสืบทอดตำแหน่ง
คิดไม่ถึงว่าตอนเฮ่ออวี๋อายุสามขวบ เฮ่อหรงจะพาเขาไปขี่ม้าแล้วเกิดโชคร้ายตกม้าจนขวัญผวาเสียชีวิต เป็นเหตุให้ชายาเอกองค์ใหม่ลู่ซื่อเสียใจอย่างหนักและตายตามไป
ภายหลังคนในครอบครัวทั้งหมดถูกเนรเทศมาที่นี่ ทำให้ข้างกายเฮ่อไท่เหลือเพียงภรรยารองหยวนซื่อเพียงคนเดียว ทั้งคู่จับมือผ่านความยากลำบากมาด้วยกันจึงมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อกันอย่างยิ่ง เฮ่อไท่เคยตั้งใจว่าหากได้กลับเมืองหลวงเมื่อไร เขาจะถวายหนังสือต่อฝ่าบาทเพื่อแต่งตั้งหยวนซื่อเป็นชายาเอก ชดเชยความทุกข์ยากของนางตลอดระยะเวลาหลายปี
ก่อนกลับอำเภอจู๋ซาน ซือหม่าอวิ๋นตั้งใจให้ที่ปรึกษาพาบุตรสาวมาพบเฮ่อไท่ครั้งหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้งดงามถึงขั้นล่มบ้านล่มเมือง แต่ก็ดูหมดจดน่ามอง สำคัญที่สุดคือสาวสะพรั่งขนาดที่ต่อให้หยวนซื่อเฆี่ยนม้าก็ตามไม่ทัน นอกจากนี้กิริยามารยาท การพูดการจาก็สุภาพอ่อนหวานและเปิดเผย ดูเป็นภรรยาที่งามพร้อมมากความสามารถ
เฮ่อไท่รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย ทว่าก็เป็นอย่างที่เขาพูดกับบุตรชายคือหากตอบรับทันทีย่อมแสดงให้เห็นถึงความใจร้อนเป็นลิงของตนมากเกินไป เขาจึงต้องขอเวลาคิดทบทวนจากซือหม่าอวิ๋นสักหลายวัน แต่ผู้ใดจะรู้ว่าหลังพวกเขาเดินทางกลับบ้านไปได้ครึ่งเดือน จวนผู้ตรวจการมณฑลก็ไม่ได้ส่งคนมาหาอีก ทำให้เฮ่อไท่อดร้อนใจไม่ได้
ทางเมืองหลวงก็ร่ำไรไม่มีข่าวส่งมา เฮ่อไท่จึงเริ่มสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่หม่าหงรู้สึกอับอายจนกลายเป็นโกรธที่เขาบอกปัดเรื่องให้บุตรสาวไปแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีแล้วไปพูดจาว่าร้ายเขาต่อหน้าจักรพรรดิ หรือไม่จักรพรรดิก็เกิดเบื่อหน่ายรำคาญใจพระราชโอรสที่ไม่ได้พบหน้ามานานเช่นเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ความคิดเหล่านี้ทำให้เฮ่อไท่กระวนกระวายใจ หากจักรพรรดิไม่ดูดำดูดีเขาอย่างที่แล้วๆ มายังพอทำเนา แต่นี่การมาของหม่าหงได้จุดประกายความหวังให้แก่เฮ่อไท่เสียแล้ว
ความรู้สึกที่ความหวังดับมอดลงไปนั้นรับได้ยากยิ่งกว่าตอนยังไม่มีหวังเสียอีก
ทุกคนต่างมองเห็นความรู้สึกของหัวหน้าครอบครัว เฮ่อมู่จึงไปปลอบใจบิดา เฮ่อไท่ถือโอกาสนี้พิลาปรำพันอย่างอดไม่อยู่ “ตอนนั้นพ่อไม่ควรเชื่อคำน้องสามของเจ้าที่บอกให้เขียนจดหมายไปที่เมืองหลวง มิเช่นนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมากังวลว่าจะถูกลงโทษ”
เฮ่อมู่ถึงกับพูดไม่ออกเล็กน้อย คิดในใจว่า ท่านลืมความรู้สึกดีใจตอนที่ได้รับจดหมายตอบจากจักรพรรดิไปแล้วหรือ
“น้องสามแค่อยากจะช่วยท่านพ่อ อีกอย่างท่านพ่อก็ไม่ได้ทำผิด แล้วฝ่าบาทจะลงโทษท่านได้อย่างไร ตอนหม่าหงมาที่นี่พวกเราต่างเลี้ยงดูปูเสื่อเขาอย่างดี ไม่ได้เสียมารยาทเลยแม้แต่น้อย ส่วนเรื่องการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะกำหนดเอาเองได้ ท่านพ่ออย่าคิดมากเกินไปเลย”
เฮ่อไท่กระแอมเสียงเบาคำหนึ่ง สีหน้าค่อนข้างกระสับกระส่าย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
พริบตาเดียวก็ถึงเทศกาลฉงหยาง
เวลาเช้าตรู่ เฮ่อจยาพาหลานชายตัวน้อยไปเก็บดอกจูอวี๋กับดอกเย่จวี๋จากนอกเมืองกลับมามากมายหลายตะกร้า วางสุมกันเป็นกอง เกิดเป็นภาพที่ข้างหน้าต่างมีสีแดงสด บนโต๊ะมีสีเหลืองอร่าม ชวนให้บรรยากาศสดใสเป็นธรรมชาติ
เฮ่อมู่กับซ่งซื่อเดินออกมาเห็นเฮ่อซินวัยสี่ขวบมีดอกจูอวี๋เต็มศีรษะ วิ่งไปทั่วบ้าน เจอใครก็ถามว่าตัวเองดูดีหรือไม่ สุดท้ายเขาถูกเฮ่อซิ่วจับอุ้มแล้วหมุน ทำให้ดอกจูอวี๋บนศีรษะกระจายเกลื่อนเต็มพื้น เฮ่อซินร้องเสียงแหลมดัง “อารองนิสัยไม่ดี!” เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน
เฮ่อไท่เหมือนจะพลอยได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศชื่นมื่นนี้ เขาจึงเลิกหงอย ตกเย็น ช่วงที่ทุกคนในบ้านมานั่งล้อมวงกัน เขายังให้เฮ่อมู่ไปเอาสุราที่พวกเขาซื้อมาจากตัวเมืองเมื่อครั้งก่อนมาเปิด
สุราสีขุ่น เทียบกับสุราชั้นดีที่เคยดื่มเมื่อก่อนไม่ได้สักกระผีกริ้น แต่ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเฮ่อไท่ค่อยๆ คุ้นชินกับมันแล้ว เขามองบุตรชายบุตรสาวที่นั่งกันเต็มบ้าน พูดคุยสรวลเสเฮฮากันด้วยความรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
แม้ความเป็นอยู่จะเรียกได้ว่าลำบาก แต่ก็ถือว่าสุขสงบ หวนนึกถึงบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกที่ตายไปตั้งแต่ยังเยาว์ หากยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้จะต้องเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด หัวไว ร่าเริง และน่ารักแน่ๆ คิดแล้วเฮ่อไท่ก็รู้สึกเศร้าใจ อารมณ์รื่นเริงลดน้อยลง
คนที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเฮ่อไท่กำลังคิดเรื่องอะไรจึงพากันดื่มสุราและคุยเรื่องขำขันกันอย่างเบิกบาน
อาหารจานเนื้อคือไก่ป่าหลายตัวที่เฮ่อซิ่วกับเฮ่อจั้นล่ามาได้จากบนภูเขา หลังสับส่วนน่องกับส่วนปีกแยกออกมาแล้วก็นำไปลวกน้ำร้อนหนึ่งรอบก่อนนำขึ้นย่างไฟ ทาเกลือ กลิ่นหอมแตะจมูก โครงกระดูกที่เหลือนำไปต้มน้ำแกงใส่เห็ดป่า กลิ่นหอมจนเฮ่อซินไม่กลัวร้อนลวกปาก ร่ำร้องไม่ขาดปากว่าอยากดื่ม ซ่งซื่อจึงหยิบช้อนแกงมาตักป้อนเขาคำเล็กๆ ทีละช้อน
สุขภาพของเฮ่อซีบุตรชายคนที่เจ็ดซึ่งเกิดจากหยวนซื่อไม่ค่อยดี อีกทั้งเขามีนิสัยขี้กลัว เวลานี้จึงเกาะติดอยู่ข้างกายมารดา ประคองชามน้ำแกงดื่มทีละคำเล็กๆ
เห็นบรรยากาศดีๆ เช่นนี้ เฮ่อสี่จึงเสนอให้ทุกคนมาเล่นการละเล่นด้วยกัน
เฮ่อมู่สนใจ “เล่นอะไรหรือ”
“ปาเสียบกาดีหรือไม่”
เฮ่อซิ่วหัวเราะเยาะ “มีแต่พวกบัณฑิตขี้โรคที่เล่นปาเสียบกากัน ข้าไม่เอาด้วยหรอก!”
เฮ่อสี่ทำปากยื่น “มิใช่ทุกคนที่เป็นยุทธ์เหมือนพี่รองเสียหน่อย เก่งนักท่านก็สู้กับเจ้าห้าให้พวกเราดูสักตั้งหนึ่งสิ!”
เฮ่อซิ่วกำหมัดชกมือพลางแสยะยิ้ม “เจ้าเห็นพี่รองเจ้าเป็นปาหี่หรือ!”
เฮ่อสี่ไม่คอยให้ถูกเอาคืน รีบลุกขึ้นวิ่งร้องโหวกเหวกโวยวาย “ท่านพ่อ ท่านดูสิ พี่รองแกล้งข้า!”
สองคนไล่กวดกันอลหม่าน คนอื่นๆ เห็นแล้วก็พากันหัวเราะ
เฮ่อจั้นเห็นเฮ่อหรงเอาแต่เราะกระดูกออกจากเนื้อไก่ในถาดจึงเอ่ยถาม “พี่สาม ท่านทำอะไรอยู่น่ะ”
“กระดูกที่ผ่านการย่างไฟพวกนี้จะหอมกรอบเป็นพิเศษ”
เขาพูดพลางคีบกระดูกไก่ชิ้นหนึ่งป้อนใส่ปากเฮ่อจั้น ฝ่ายหลังอ้าปากกินลงไปทันที หลังเคี้ยวกรุบๆ ได้สักพักก็ผงกศีรษะ “หอมมากจริงๆ ด้วย ตอนข้าเข้าไปในอำเภอครั้งก่อน เห็นบนถนนมีร้านที่ขายกระดูกไก่กรอบอย่างเดียวเหมือนกัน แต่ไม่ได้สนใจ หากท่านชอบ คราวหน้าข้าจะเอากลับมาฝาก”
ระหว่างที่กำลังคุยกัน นอกประตูเรือนก็มีคนมาเรียก “คุณชายสาม เจ้าอยู่หรือไม่”
เป็นหยางจวิน
เฮ่อหรงลุกขึ้นตั้งท่าจะไปเปิดประตู แต่กลับถูกเฮ่อจั้นกดตัวไว้ “พี่สามนั่งเถอะ ข้าไปเอง”
เขาพาหยางจวินเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
หยางจวินเดินฉับๆ หายใจหอบ พอเห็นพวกเขาอยู่ที่นี่กันหมดก็แสดงสีหน้าโล่งใจออกมาให้เห็น
“นายท่านเฮ่อก็อยู่ด้วย” เขาคารวะเฮ่อไท่ครั้งหนึ่งก่อน จากนั้นจึงกล่าวกับเฮ่อหรง “ทหารกบฏเหลียงโจวเดินทางลงใต้ ได้ยินว่าสถานการณ์ที่ลี่โจวไม่สู้ดีนัก”
ทุกคนตกใจ โดยเฉพาะเฮ่อไท่ที่ถึงกับอุทานและลุกขึ้นยืน “ฝางโจวอยู่ห่างจากลี่โจวมาก น่าจะไม่เป็นไรกระมัง”
สีหน้าของหยางจวินเครียดขึ้น “เรื่องร้ายแรงที่สุดไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เพราะพอเล่อปี้ ผู้ตรวจการมณฑลจินโจวได้ยินเรื่องของเหลียงโจวแล้วก็พลอยชูธงกบฏตามไปด้วย!”
ฝางโจวที่พวกเขาอยู่ตั้งอยู่ติดกับจินโจว นี่จึงเป็นวิกฤตอย่างแท้จริง