คู่กิเลนค้ำบัลลังก์
ทดลองอ่าน คู่กิเลนค้ำบัลลังก์ เล่ม 1 บทที่ 10-12
บทที่ 10
กว่าเฮ่อจั้นจะกลับถึงบ้าน ม่านราตรีก็ครอบคลุมลงมา ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดารา
เนื่องจากเขาตามพี่รองขึ้นเขาไปล่าสัตว์บ่อยๆ จึงมีเรี่ยวแรงไม่เลว แต่ยังไม่เคยทำงานมากมายเหมือนอย่างวันนี้
เมื่อเช้าเฮ่อไท่ก็ตามไปช่วยย้ายหินด้วย แต่เพราะแรงไม่พอจึงเปลี่ยนไปช่วยทำเอกสารในเมืองแทน และเนื่องจากเฮ่อหรงกับเฮ่อจั้นสังหารหัวหน้ามือปราบทำให้ได้รับการปฏิบัติอย่างมีมารยาทจากท่านนายอำเภอ คนที่มาขอความช่วยเหลือจากเขาจึงดูเกรงอกเกรงใจขึ้น ไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่นเหยียดหยัน ทำให้เฮ่อไท่รู้สึกเหมือนได้รับการยกย่องอย่างที่ไม่ได้รับมานาน
เฮ่อสี่ไม่ได้โชคดีเช่นนี้ เพราะเขาตามเฮ่อจั้นไปเดินขึ้นลงบนเชิงเทินหลายรอบร่วมครึ่งค่อนวันจนสองขาหมดความรู้สึก ตอนบ่ายยังต้องไปช่วยเข้าเวรรักษาความปลอดภัยของเมืองที่ประตูตะวันออกจนกลับบ้านไม่ได้สักระยะ
เทียบกันแล้วเฮ่อจั้นยังถือว่าได้กลับบ้านไว
ตอนแรกเขาเข้าใจว่าทุกคนในบ้านเข้านอนกันไปหมดแล้ว คิดไม่ถึงว่าตะเกียงในห้องของเขาจะยังสว่าง เฮ่อจั้นเข้าใจว่าเป็นเฮ่อสี่ที่อยู่ห้องเดียวกับเขาแอบดอดกลับมาจึงผลักประตูเข้าไป แต่กลับพบว่าเป็นเฮ่อหรง
ใต้แสงตะเกียง เฮ่อหรงกำลังนิ่งงันอยู่หน้าแผนที่รักษาความปลอดภัยของเมือง นิ้วชี้ของเขางออยู่ใต้ริมฝีปากตามความคุ้นชินเวลาที่ใช้ความคิด เฮ่อจั้นมองแล้วรู้สึกว่าน่ารักดี
เฮ่อจั้นเห็นเขายังไม่มีปฏิกิริยาอะไรก็ร้องเมี้ยวเสียงหนึ่ง
เฮ่อหรงจึงเงยหน้าขึ้น “มีแมวป่ามาจากที่ไหน”
เฮ่อจั้นหัวเราะ “กระโดดลงมาจากหลังคา”
“เหวินเจียงตุ๋นน้ำแกงไก่ไว้บนเตา ไปตักสิ เก็บน่องไก่ไว้ให้เจ้าสี่ด้วยล่ะ”
หัวใจของเฮ่อจั้นรู้สึกอบอุ่น เขาตอบรับคำหนึ่งแล้วไปอุ่นน้ำแกงไก่ที่อยู่ในเตาให้ร้อน แบ่งออกเป็นสองส่วนแล้วยกเข้ามา
เฮ่อหรงหัวเราะ “ข้าไม่ได้ออกรบ ไก่ตัวนี้ตั้งใจเชือดไว้ให้เจ้าต่างหาก”
เฮ่อจั้นไม่พูดอะไร แต่ดันชามมาตรงหน้าเขา
เฮ่อหรงจึงต้องยกขึ้น
สายตาของเฮ่อจั้นทอดมองแผนที่รักษาความปลอดภัยของเมืองที่อยู่บนโต๊ะ “พี่สาม แผนที่นี่ท่านเอามาจากนายอำเภอถานหรือ”
“อืม”
ด้วยสถานะของเฮ่อหรงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้แตะต้องเอกสารประเภทนี้ อย่าว่าแต่จะเอากลับมาดูเลย ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ย่อมเปลี่ยนแปลง หลังได้วิสาสะกันหลายวัน ความประทับใจที่ถานจินมีต่อเฮ่อหรงอยู่ในระดับที่ไม่เลว ดังนั้นเมื่อเขาขอยืมแผนที่รักษาความปลอดภัยของเมือง อีกฝ่ายจึงไม่ปฏิเสธ
“ความจริงแล้วอำเภอจู๋ซานมีขนาดไม่ใหญ่ แต่นี่กลับเป็นเรื่องที่ดีเพราะทำให้รักษาเมืองได้ง่าย ไม่ต้องแบ่งกำลังทหารออกไป” เฮ่อหรงลูบจมูก เห็นเฮ่อจั้นมีสีหน้าอ่อนล้าจึงเอ่ยถาม “สองวันนี้เจ้าไม่ได้ฝันร้ายใช่หรือไม่”
“ไม่เลย เหตุใดพี่สามถึงถามเช่นนี้”
“ข้าไม่ดีเอง วันนั้นข้าไม่น่าให้เจ้าฆ่าคน”
“สถานการณ์ในตอนนั้นการฆ่าอวี๋ถังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ จิตใจของชาวอำเภอจู๋ซานสงบลงได้เพราะเรื่องนี้ ได้ผลดีกว่าการหยิบยกเอาเหตุผลเรื่องความจงรักภักดีกับความรักชาติขึ้นมาพูดเป็นไหนๆ”
เฮ่อหรงถอนหายใจเบาๆ
เฮ่อจั้นกล่าวน้ำเสียงจริงจัง “พี่สาม ข้ารู้นะว่าท่านคิดหาวิธีกลับเมืองหลวงให้พวกเรามาโดยตลอด”
เฮ่อหรงชะงักเล็กน้อย เขานิ่งไปพักหนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นตบไหล่เฮ่อจั้น “ดึกแล้ว ไปนอนเถอะ”
“ข้าจะไปนอนห้องพี่สาม จะได้นวดขาให้ท่าน”
“ไม่ต้องหรอก เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบพักผ่อนดีกว่า”
“ถึงจะเป็นแบบนั้นข้าก็อยากนอนกับท่าน จะได้คุยกันต่อ”
การที่บุรุษตัวโตๆ ทำตัวออดอ้อนทำให้มุมปากของเฮ่อหรงกระตุก “ตามใจเจ้า”
เหวินเจียงละเอียดรอบคอบดีมาก นางเอาผ้าห่มไปอังกาน้ำร้อนเตรียมไว้นานแล้ว แต่เพราะเมื่อครู่เฮ่อหรงเอาแต่ดูแผนที่รักษาความปลอดภัยของเมือง ถึงตอนนี้ผ้าห่มก็เย็นไปแล้ว เฮ่อจั้นถอดเสื้อตัวนอกออกก่อนเข้าไปนอนด้านในอย่างอารมณ์ดี “ท่านดูสิ โชคดีนะที่ข้ามา หาไม่ท่านต้องหนาวจนนอนไม่หลับไปครึ่งค่อนคืนแน่”
แต่เฮ่อหรงไม่ได้อารมณ์ดีตาม “ข้าให้เหวินเจียงช่วยเอาน้ำอุ่นมาให้แช่เท้าก็ได้”
เฮ่อจั้นพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “นึกว่าข้าไม่รู้หรือ คนหน้านิ่งแต่ใจดีอย่างท่านไม่มีทางไปรบกวนเหวินเจียงแน่”
เฮ่อหรงมองค้อนเขา แต่เพราะดับเทียนแล้วเฮ่อจั้นจึงมองไม่เห็น
มีเสียงเคาะบอกเวลาดังแว่วมาจากด้านนอก และดูเหมือนจะมีเสียงแมวร้องเบาๆ ด้วย ทำให้คืนนี้แตกต่างไปจากคืนอื่นๆ
ทว่าในใจของเฮ่อหรงกลับมีลางสังหรณ์ที่ชวนให้รู้สึกกังวลบางอย่าง
“หากพี่สะใภ้ใหญ่ถามถึงพี่ใหญ่ เจ้าก็เลือกคำพูดดีๆ มาปลอบใจนาง อย่าทำให้นางต้องเป็นห่วง”
เฮ่อจั้นรับคำ “ข้ารู้แล้ว แต่จะว่าไปครั้งนี้เรื่องของพี่หญิงก็ช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้ข้าเหมือนกัน”
พี่ใหญ่กับพี่รองเดินทางไปหลายวันแล้วยังไม่กลับ ทำให้ซ่งซื่อเป็นกังวลไม่เว้นจนล้มป่วย บุรุษสกุลเฮ่อคนอื่นๆ ล้วนต้องไปวิ่งรอกอยู่ข้างนอก หยวนซื่อคนเดียวต้องดูแลหลานและทำงานบ้านจึงยุ่งจนหัวปั่น โชคดีที่มีเฮ่อจยาคอยให้ความช่วยเหลือทั้งในและนอกบ้าน ทำให้บ้านสกุลเฮ่อไม่ถึงกับโกลาหล
“คนเราต้องรู้จักโต นางเองก็รู้ความแล้ว”
ครั้งก่อนตอนที่หม่าหงพูดถึงเรื่องราชสำนักมีความคิดที่จะส่งเชื้อพระวงศ์หญิงไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี เฮ่อไท่แสดงท่าทีว่าอยากให้เฮ่อจยาไป พวกเขาล้วนดูออก เฮ่อจยาจึงไม่มีเหตุผลที่จะดูไม่ออก และนับตั้งแต่บัดนั้นนางก็เหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างมากภายในชั่วระยะเวลาข้ามคืน
บางครั้งความเปลี่ยนแปลงก็เป็นเรื่องที่ดี
เฮ่อจั้นตอบรับเสียงสะลึมสะลือ คิดว่าอีกไม่นานคงใกล้เข้าสู่ห้วงนิทรา
เฮ่อหรงจึงยกมือขึ้นดึงเหน็บผ้าห่มให้เขา พลิกตัวและหลับตาลง
จังหวะนี้ที่ด้านนอกมีเสียงฆ้องทองเหลืองดังระรัวและถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ!
จากนั้นดูเหมือนจะมีเสียงฆ้องทองเหลืองอีกหลายใบดังขึ้นมาเหมือนกัน จากไกลมาใกล้ และค่อยๆ ประสานเสียงกันดังสนั่นจนแก้วหูแทบแตก!
หัวใจของเฮ่อหรงเต้นโลดขึ้น ความง่วงงุนทั้งหมดติดปีกบินหนีไปทันควัน
เขาหันไป ตั้งท่าจะผลักเฮ่อจั้น แต่อีกฝ่ายสะดุ้งตื่นแล้ว
นี่เป็นอาณัติสัญญาณที่ตกลงกันไว้เมื่อก่อนหน้านี้ โดยทุกที่ในเมืองจะมีคนคอยเฝ้ายามอยู่ หากมีเค้าของศัตรู คนที่อยู่บนเชิงเทินจะตีฆ้องทองเหลืองเป็นสัญญาณเตือนแล้วคนข้างล่างก็จะตีฆ้องรับเพื่อให้แน่ใจว่าเสียงนี้จะดังไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว ให้คนทั้งหมดตื่นขึ้นมาเตรียมพร้อม
เฮ่อจั้นสวมเสื้อผ้าเสร็จอย่างรวดเร็ว “ข้าไปดูก่อน!”
หลังรวบรวมกำลังคนทั้งเมืองมาได้ถานจินก็ตอบรับความคิดของเฮ่อหรงที่ให้ราษฎรในเมืองแบ่งกลุ่มบุรุษ สตรี คนชรา และเด็กออกเป็นหลายกลุ่ม โดยบุรุษที่ร่างกายปกติสมบูรณ์จะได้รับมอบหมายหน้าที่ต่างๆ และมีการฝึกวิชาการต่อสู้ตามคุณลักษณะเป็นเวลาหลายวัน เพื่อที่ยามต้องป้องกันเมืองทุกคนจะได้พร้อมออกรบ
คนหนุ่มที่มีความสามารถอย่างเฮ่อจั้นนอกจากจะได้รับหน้าที่ให้ดูแลรักษาเมืองในฐานะทหารตามกฎแล้ว เขายังก่อการสังหารหัวหน้ามือปราบต่อหน้าธารกำนัล ถานจินจึงมอบกำลังคนให้เขากองหนึ่งซึ่งมีทหารของราชสำนักอยู่ด้วย ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าไม่เคารพเขา
เฮ่อหรงไม่พูดมาก “ระวังตัวด้วย!”
“ท่านก็เหมือนกัน ถ้าจะออกจากบ้านให้พาเหวินเจียงไปด้วย จะได้มีคนช่วยส่งข่าว!” เฮ่อจั้นไม่ลืมหยิบไม้เท้าที่อยู่ข้างเตียงมาใส่มือเขาก่อนรีบร้อนออกไป
เฮ่อหรงส่งเขาออกประตูไปแล้วก็ทอดสายตามองไปตามเสียงที่ดังแว่วมาจากทางประตูเมืองด้วยสีหน้าที่เครียดขึ้น
ทันทีที่ได้ข่าวว่าจะมีการเข้าตีเมือง ไม่ต้องพูดเลยว่าชาวเมืองจะหวาดผวากันสักแค่ไหน ถานจินเองก็เป็นคนแรกที่นอนไม่หลับ
เขาไม่มีแก่ใจจะนอนอยู่บนเตียงต่อจึงลุกขึ้นมาเดินไปเดินมาอยู่ในห้องโถงของศาลว่าการอำเภอเพื่อคอยข่าวจากแนวหน้า สาเหตุที่ไม่ได้รีบรุดไปดูสถานการณ์การรบที่เชิงเทินทันทีเพราะถานจินได้ยินมาว่าคนที่เข้ามาตีเมืองครั้งนี้เป็นแค่ศัตรูกลุ่มเล็กๆ ไม่ได้มีจำนวนหลายหมื่นเหมือนอย่างที่สายสืบที่แนวหน้ารายงาน
“เหตุใดที่มาจึงไม่ใช่ทัพหลัก” ถานจินงงงัน “หรือพวกนั้นมุ่งหน้าไปทางฝางหลิงแล้ว?”
โจวอี้คิดหนัก “การลงมาจากฮั่นเจียงจำเป็นต้องผ่านจู๋ซาน ตามหลักทัพกบฏไม่มีทางปล่อยจู๋ซานเพื่อไปตีฝางหลิง แต่บางทีเล่อปี้อาจคิดว่าจู๋ซานไม่น่าสนใจพอเลยแบ่งกำลังไปตีฝางหลิงก็ได้”
ถานจินยิ้มเย็น “หากเป็นเช่นนั้นได้ก็ดีมาก ในเมื่อซือหม่าอวิ๋นไม่ยอมให้กำลังเสริมเรา ก็ปล่อยให้เขาได้เจอกรรมตามสนองเสียบ้าง!”
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม พลทหารรีบรุดมารายงานว่าข้าศึกที่บุกมาจำนวนร้อยกว่าได้ถูกทหารรักษาเมืองตีพ่ายไปเรียบร้อย
ถานจินรู้สึกดีใจอย่างมาก แม้จะบอกว่าอำเภอจู๋ซานมีการเตรียมพร้อมรับศึกอย่างเต็มที่ แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าจะได้ชัยชนะมาอย่างง่ายดายปานนี้
โจวอี้ถาม “จับเป็นได้หรือไม่”
“ไม่เลยขอรับ หัวหน้าคลังพานบอกว่าข้าศึกพ่ายแพ้ย่อยยับไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องตาม พวกเราเลยไม่ได้ตามไป ฝ่ายตรงข้ามตายไปราวสิบกว่าคน ที่เหลือล้วนหนีไปหมด”
หัวหน้าคลังพานคือคนที่ถานจินยกขึ้นมาให้รับหน้าที่แทนอวี๋ถัง แม้ตำแหน่งจะยังเป็นหัวหน้าฝ่ายคลัง แต่สถานะตอนนี้เทียบเท่าหัวหน้ามือปราบแล้ว
การที่อีกฝ่ายสั่งการเช่นนี้ไม่อาจพูดได้ว่าไม่ถูกต้อง ถานจินจึงไม่ได้ว่าอะไร เพียงให้พลทหารไปบอกหัวหน้าคลังพานว่าให้เก็บกวาดสนามรบ ปลุกปลอบทหาร และให้กำลังใจราษฎรต่างๆ นานา
หลังโบกมือไล่ฝ่ายตรงข้ามให้ถอยไปแล้วถานจินก็กล่าวกับโจวอี้ด้วยน้ำเสียงยินดีว่า “ดูท่าเจ้าจะเดาไม่ผิด เล่อปี้ไม่เห็นจู๋ซานอยู่ในสายตา คาดว่าคงไปโจมตีฝางหลิงแล้ว!”
โจวอี้ย่นหัวคิ้ว “ก็ไม่แน่ อันที่จริงยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง”
“อะไรหรือ”
“นี่เป็นแค่การโยนหินถามทางเพื่อทดสอบการป้องกันเมืองของจู๋ซาน กำลังหลักที่จะเข้าตีเมืองจริงๆ ยังมาไม่ถึง” เฮ่อหรงเอ่ยรับคำพูดของโจวอี้ขณะเดินเข้ามาจากด้านนอก
สีหน้าของโจวอี้นิ่งสนิทดุจสายน้ำ “ดูท่าคุณชายสามจะรู้สึกว่านี่ยังอยู่ห่างจากตอนจบมาก”
เฮ่อหรงผงกศีรษะ “ก่อนหน้านี้เล่อปี้ได้เมืองซั่งยงมา แม้ไม่ได้ทุ่มกำลังทหารทั้งสองหมื่น แต่อย่างน้อยก็ต้องลงแรงไปเกินครึ่ง การเข้าตีเมืองนั้นยากกว่าการรักษาเมืองเอาไว้มาก ต่อให้จู๋ซานมีขนาดเล็ก แต่ก็มีลักษณะใกล้เคียงกับซั่งยง เล่อปี้ไม่มีทางคิดว่าจะใช้คนแค่ร้อยกว่ามาตีเอาจู๋ซานสำเร็จ ดังนั้นข้าจึงคาดการณ์ว่าศึกหนักยังคอยอยู่ข้างหลัง จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
โจวอี้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “มิผิด ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”
เห็นทั้งคู่มีความคิดสอดคล้องกัน ความรู้สึกตื่นเต้นยินดีของถานจินก็สลายหายวับชนิดไม่เหลือร่องรอย หัวใจถ่วงหนักเหมือนหล่นลงก้นบ่อ
คนที่คิดว่าจะเบาใจได้เหมือนถานจินมีจำนวนไม่น้อย
หลังศึกแบบปัจจุบันทันด่วนที่กินเวลาครึ่งคืนผ่านพ้นไป ประสาทที่ตึงเครียดของทหารหลายๆ นายเริ่มผ่อนคลายลง ยิ่งเมื่ออรุณเบิกฟ้า ทุกคนก็พากันสัปหงกด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที่
บางคนถึงขั้นพิงกำแพงหลับตรงนั้น
เฮ่อจั้นเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะหลับสักงีบก่อนค่อยกลับบ้าน แต่ร่างกายที่เหนื่อยล้าจนถึงขีดสุดทำให้พอปิดเปลือกตาลงก็เผลอหมดความรู้สึก
ทันใดนั้นมีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น ทำให้ทุกคนที่ตกอยู่ในห้วงฝันสะลึมสะลือต้องสะดุ้งตื่น
“แย่แล้ว! ทหารกบฏบุก!!!”
บทที่ 11
ก่อนจะเข้าตีเมือง เล่อปี้ไม่เคยคิดเลยว่าการจะยึดอำเภอจู๋ซานเล็กๆ จะลำบากยากเย็นถึงเพียงนี้
เมื่อคืนเขาส่งกองทัพขนาดเล็กที่มีกำลังจำนวนร้อยกว่าเข้าไปตีเมืองเพื่อเป็นการหยั่งเชิงการป้องกันของฝ่ายตรงข้าม และเข้าตีซ้ำแบบไม่ให้โอกาสได้ตั้งตัวในช่วงฟ้าสางซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การป้องกันของอีกฝ่ายเปราะบางที่สุด ด้วยความเชื่อว่าจะสามารถตีเมืองแตกได้อย่างรวดเร็ว คิดไม่ถึงว่านับตั้งแต่ฟ้าสางจนเย็นย่ำ ตลอดทั้งวันก็ยังตีไม่สำเร็จ
อำเภอแห่งนี้มีขนาดเล็กกว่าอำเภอซั่งยงมาก กำลังทหารอย่างมากก็ไม่เกินหนึ่งพันกว่า เหตุใดจู่ๆ จึงเปลี่ยนมาเก่งฉกาจได้ถึงเพียงนี้
นอกอำเภอจู๋ซาน เล่อปี้นั่งขัดสมาธิอยู่ในกระโจมเพื่อรับฟังรายงานการศึกจากผู้ใต้บังคับบัญชา
“เวลานี้กองกำลังของราชสำนักถูกเซียวอวี้ตรึงไว้ ซือหม่าอวิ๋นที่อยู่ทางฝางหลิงเป็นพวกรักตัวกลัวตาย คาดว่าคงไม่ส่งกำลังหนุนไปช่วยแน่”
อาจพูดได้ว่าจู๋ซานต้องพึ่งพากำลังของตนเองอย่างสมบูรณ์เพื่อต่อเวลาไปวันต่อวัน
สีหน้าของเล่อปี้ดูไม่ออกว่ายินดีหรือโกรธเคือง “ไหนบอกว่าแค่ครึ่งวันก็จะตีแตกแล้วมิใช่หรือ”
น้ำเสียงของผู้ช่วยแม่ทัพที่มารายงานบอกถึงความรู้สึกละอายใจ “ผู้น้อยสั่งคนให้เร่งดำเนินการตีเมืองแล้ว จะต้องยึดมาให้ได้ก่อนรุ่งวันพรุ่งนี้ขอรับ!”
เล่อปี้มีอายุเกินครึ่งร้อย ในอดีตเคยเข้าร่วมศึกสถาปนาแว่นแคว้นร่วมกับปฐมกษัตริย์ จึงไม่ใช่คนที่ไม่รู้เรื่องการศึก เมื่อเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาแสดงท่าทีร้อนรนเขาจึงผ่อนน้ำเสียงลง “ไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้น แค่ทำให้เต็มที่ก็พอ เพียงแต่ยิ่งเราเสียเวลาอยู่ที่จู๋ซานนานเท่าไรก็ยิ่งเป็นการต่อเวลาให้ทางฝางหลิงได้หายใจมากขึ้นเท่านั้น ไม่แน่ว่าราชสำนักอาจฉวยโอกาสนี้นำกำลังหนุนมา เพราะครอบครัวของเฮ่อไท่ก็อยู่ที่เมืองนี้”
ผู้ช่วยแม่ทัพประสานมือรับคำ เล่อปี้จึงโบกมือให้เขาถอยไป
ที่ปรึกษาด้านข้างกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัย “ขออภัยที่ผู้น้อยละลาบละล้วง แต่เพราะเหตุใดนายท่านจึงให้ความสำคัญกับเฮ่อไท่ถึงเพียงนี้ แม้เขาจะเป็นพระราชโอรสของจักรพรรดิ แต่เวลานี้ก็ถูกปลดเป็นสามัญชนแล้ว ต่อให้จับตัวเขามาได้ก็ไม่มีค่าคู่ควรให้เอ่ยถึง ยิ่งหากคิดจะใช้เขาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับทางราชสำนัก เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากมาก”
เล่อปี้แค่นเสียงเย็น “นั่นมันของแน่ เฮ่ออวี้เป็นพวกใจจืดใจดำ มีหรือจะเก็บเอาลูกที่ถูกเนรเทศไปแล้วมาใส่ใจ แต่ผู้คนในใต้หล้าต่างรู้กันดีว่าองค์ชายใหญ่เฮ่อไท่ถูกปลดเป็นสามัญชนและปักหลักอยู่ที่อำเภอจู๋ซาน มณฑลฝางโจว หากข้าจับเขาได้ราชสำนักย่อมเหมือนถูกลบเหลี่ยม เฮ่ออวี้ยังจะมีหน้าให้เชิดได้อีกหรือ!”
“เฮ่อไท่อาจมีประโยชน์ก็จริง แต่สำหรับนายท่านเรื่องที่สำคัญมากที่สุดคืออำเภอฝางหลิง ขอเพียงยึดฝางหลิงได้ย่อมมีค่าเท่ากับได้ฝางโจวมาไว้ในมือนะขอรับ”
เล่อปี้ลูบหนวดพลางผงกศีรษะ “ได้จินโจวกับฝางโจวสองแห่งนี้ก็เท่ากับเท้าข้ามีที่ยืนอย่างมั่นคงแล้ว”
ที่ปรึกษาพูดยิ้มๆ “แม้การป้องกันของจู๋ซานจะน่าอัศจรรย์ใจ แต่ฝ่ายศัตรูอ่อนแอ ฝ่ายเราเข้มแข็ง ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องยึดได้สำเร็จ ซือหม่าอวิ๋นแห่งฝางหลิงเป็นพวกกลัวตาย และในอดีตก็เคยทำงานให้นายท่าน ย่อมต้องเกรงบารมีนายท่านอยู่บ้าง เพียงเขาได้ยินชื่อของนายท่านก็คงเลิกล้มความคิดที่จะสู้แล้ว เช่นนั้นผู้น้อยก็ขอแสดงความยินดีที่นายท่านได้ฝางโจวมาไว้ในมือนับตั้งแต่ตอนนี้เลยขอรับ!”
“ขนาดเศษสวะใจปลาซิวอย่างซือหม่าอวิ๋นยังได้เป็นผู้ตรวจการมณฑลฝางโจว แต่คนที่มีความชอบใหญ่หลวงอย่างข้ากลับได้รับแค่การอวยยศแล้วส่งไปเฝ้าที่กันดารมีโรคระบาดอย่างจินโจว หากไม่ใช่เพราะเฮ่อจุนกับเฮ่ออวี้สองพ่อลูกที่ไร้น้ำใจก่อน มีหรือข้าจะคิดเป็นกบฏเช่นนี้ คนที่คิดเป็นกบฏมีแต่ข้าคนเดียวหรือไร!”
ที่ปรึกษาทอดถอนใจตาม “กับโอรสแท้ๆ จักรพรรดิเหวินเต๋อยังทำได้ขนาดนี้ นับประสาอะไรกับขุนนางผู้มีความชอบ”
เล่อปี้หัวเราะร่า น้ำเสียงมีกระแสสุขใจบนความทุกข์ของผู้อื่น “เจ้าคอยดูไปเถอะว่าเมื่อไรที่ข้ากับเซียวอวี้เงยหน้าสำเร็จจะต้องมีคนลุกขึ้นมาแน่ ข้าเองก็จะคอยดูว่าแผ่นดินที่เฮ่อจุนได้มาจะจบลงในรุ่นที่สองคามือของเฮ่ออวี้หรือไม่!”
เฮ่อจั้นไม่รู้ว่าตนสังหารคนไปมากน้อยแค่ไหน
แรกๆ เขายังแอบนับจำนวนอยู่ในใจ แต่ภายหลังเขาก็ต้องยอมแพ้ เพราะทัพกบฏด้านล่างถาโถมกันเข้ามาจนดำเป็นพืด ราวกับไม่มีวันฆ่าได้หมดสิ้น
ก่อนหน้าเฮ่อจั้นใช้ธนู แต่ต่อมาเมื่อบันไดของฝ่ายกบฏพาดเข้ากับกำแพงเมืองและใช้เสาไม้กระทุ้งประตู จำนวนคนล้นหลามมากขึ้น การยิงธนูดูจะช้าเกินไป เฮ่อจั้นจึงจำต้องเปลี่ยนมาเป็นดาบยาวและต่อสู้กับทัพกบฏที่ปีนขึ้นเชิงเทินมาในระยะประชิด
ช่วงแรกเขายังมือไม้อ่อนอยู่บ้าง แต่ความหวาดกลัวค่อยๆ บรรเทาลงจนไม่เหลือร่องรอย เช่นเดียวกับความบ้าบิ่นที่ค่อยๆ หมดไป เหลือเพียงความรู้สึกด้านชาอย่างเดียว
เลือดของศัตรูที่กระเซ็นใส่หน้ายังอุ่นอยู่ แต่เขากลับไม่ใส่ใจจะเช็ด และกวัดแกว่งดาบเพื่อฆ่าศัตรูกลุ่มใหม่
เสียงร้องโหยหวนดังเป็นระลอก แยกไม่ออกว่าเป็นของพลทหารรักษาเมืองหรือทหารกบฏ
ไหล่มีความรู้สึกเจ็บหนึบแต่เฮ่อจั้นไม่ได้สนใจจะหันมอง และยิ่งไม่ใช่คนที่คิดอะไรชักช้า เขาพลิกมือฟันดาบใส่ฝ่ายตรงข้ามจนร้องโหยหวนและล้มลงไปทั้งที่ดาบยังคามือ
เฮ่อจั้นหอบหายใจหนักๆ พลางถอยไปข้างหลังหลายก้าวจนหลังแนบติดกำแพง เขามองแผลเร็วๆ แวบหนึ่ง
แผลดาบฟันเป็นทางยาวแต่ไม่ได้ลึกถึงกระดูก
เขาหยิบผ้าพันแผลม้วนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ใช้ปากคาบปลายด้านหนึ่งไว้เพื่อพันแผลหลายทบก่อนผูกเงื่อนให้แน่น
ผ้าพันแผลนี้เฮ่อหรงให้เฮ่อจยาเตรียมไว้ให้ ผ่านการต้มน้ำเดือดมาแล้ว เผื่อไว้ในสถานการณ์ฉุกเฉินเฮ่อจั้นจะได้พันแผลห้ามเลือดให้ตัวเองได้ทันเวลา หาไม่ในสนามรบที่เหตุการณ์ต่างๆ สามารถพลิกผันได้ภายในชั่วพริบตา ต่อให้ไม่ได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตเดี๋ยวนั้นก็มีสิทธิ์เสียเลือดจนตายได้ ยามนั้นเฮ่อจั้นยังไม่ได้คิดไปไกลและรู้สึกว่าพี่สามของตนทำตัวเหมือนแม่มากเกินไป แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก
ทหารกบฏที่ขึ้นเชิงเทินมาได้มีจำนวนไม่มาก ได้พวกเฮ่อจั้นทุ่มสุดชีวิตเป็นปราการด่านสุดท้ายทำให้สถานการณ์ไม่ถือว่าเลวร้ายเกินไป แต่ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อ…
เห็นทหารกบฏอีกหลายนายตั้งท่าจะขึ้นเชิงเทินมาอีก ในขณะที่รอบตัวมีแต่พลทหารที่กำลังสู้รบติดพัน ไม่มีใครว่างพอจะเข้ามาช่วยรับศึก เฮ่อจั้นจึงกัดฟันพุ่งตัวเข้าไปอีกครั้ง
“ทัพกบฏไม่น่าจะมีถึงสองหมื่น!”
โจวอี้ที่นิ่งมาได้ตลอดบัดนี้กลับเริ่มมีอาการร้อนรน หลังเดินกลับไปกลับมาเขาก็อดถามเฮ่อหรงซ้ำเป็นครั้งที่สามไม่ได้ว่า “คุณชายใหญ่กับคุณชายรองยังไม่กลับมาอีกหรือ”
เฮ่อหรงส่ายหน้า
โจวอี้เอ่ยขึ้น “นี่ก็ผ่านไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนเต็มๆ แล้ว จู๋ซานยังถูกโจมตีไม่หยุด ขนาดใช้ทหารทั้งหมดที่มีรวมกับคนงานที่พอรู้วรยุทธ์ก็ยังไม่เพียงพอ หากจะพูดให้ร้ายแรงหน่อยคือข้ากลัวว่าจู๋ซานจะยันไว้ได้ไม่ถึงตอนตะวันตกดิน”
“เกรงว่าหลังทัพกบฏตีเอาอำเภอซั่งยงสำเร็จคงมีการรับคนใหม่เข้ามาอีกไม่น้อย!”
หยางจวินที่นั่งอยู่ด้านข้างยิ่งเครียดหนัก เขาคอยหันไปมองเฮ่อหรงเป็นระยะ แต่ฝ่ายหลังก็เอาแต่ก้มหน้าครุ่นคิดโดยไม่ได้หันมาสบตากับเขา
เพราะมีเสบียงบริจาคของหยางจวินกับที่ถานจินริบมาได้ทำให้จู๋ซานในเวลานี้ไม่ขาดแคลนเรื่องเสบียง แต่ที่น่าหนักใจคือเรื่องของสถานการณ์ที่อยู่ในสภาวะเสี่ยง ถานจินอดไม่อยู่ต้องออกไปปลุกปลอบขวัญทหารที่แนวหน้า ทิ้งพวกเขาที่ไม่มีความสามารถในการสังหารศัตรูให้อกสั่นขวัญหาย ทำได้เพียงรอฟังข่าวกันด้วยความรู้สึกร้อนใจอยู่ที่นี่
ทั้งสามคนไม่มีใครได้นอนเลยทั้งคืน
เทียบกับหยางจวินและโจวอี้แล้ว เฮ่อหรงดูจะเหนื่อยล้ามากกว่า เพราะขาข้างที่ไม่ดีของเขาเย็นจัดจนแทบหมดความรู้สึก ทว่าเขากลับไม่พูดอะไรเลย
เฮ่อสี่วิ่งพรวดพราดเข้ามาจากด้านนอก “พี่สาม ข้าเจอตัวคนที่ท่านต้องการแล้ว!”
ผู้ใด หยางจวินกับโจวอี้มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
แต่เฮ่อหรงกลับลุกขึ้นไปพูดบางอย่างที่ข้างหูน้องชายสองสามประโยค
เฮ่อสี่ลังเล “เช่นนี้จะได้ผลจริงหรือ”
“ก็ดีกว่าไม่ทำอะไร ทำตามที่ข้าบอกเถอะ”
เฮ่อสี่รับคำแล้วหมุนตัววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วปานถูกไฟลนโดยไม่ได้เอ่ยคำทักทายหยางจวินกับโจวอี้เลย
เชิงเทินยังคงมีฝุ่นควันตลบฟุ้งและเสียงการฆ่าฟันดังสนั่น
ถานจินถูกพลทหารกันไว้ที่ด้านหลัง เขามองภาพของทั้งสองฝ่ายที่สู้รบกันอย่างสุดชีวิตห่างออกไปไม่ไกลด้วยความรู้สึกทั้งวิตกกังวลและสงสารตัวเอง เขาคิดในใจว่าวันนี้เขาอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว ไม่รู้ว่าหลังการพลีชีพเพื่อชาติ ทางราชสำนักจะอวยยศใดให้ตัวเองบ้างหรือไม่ เพราะเขาเป็นแค่นายอำเภอตัวเล็กๆ ไม่ใช่ขุนนางใหญ่ของราชสำนัก ยิ่งคิดถึงซือหม่าอวิ๋นที่ไม่ยอมส่งกองหนุนมาช่วยสักนิดก็อดขุดบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของอีกฝ่ายขึ้นมาทักทายรอบหนึ่งไม่ได้
เฮ่อสี่รีบเผ่นขึ้นไปบนเชิงเทินจนเกือบหายใจหายคอไม่ทัน “นาย…นายอำเภอ!”
สงครามช่วยกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายให้ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น เมื่อทุกคนต่างลงเรือลำเดียวกันแล้ว เวลานี้ถานจินจึงนับได้ว่ามีความคุ้นเคยกับครอบครัวสกุลเฮ่อ เห็นอีกฝ่ายผลุนผลันเข้ามาเช่นนี้เขาจึงขมวดหัวคิ้ว “เจ้าไม่ได้อยู่ช่วยในตัวเมืองหรอกหรือ วิ่งขึ้นมาทำอะไร!”
เฮ่อสี่เปิดทางให้ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังของเขาเดินออกมา “ท่านผู้นี้คือหวงปั้นเซียนผู้โด่งดังมีวาจาสิทธิ์ของเมืองนี้!”
สีหน้าของถานจินดำทะมึนขึ้นมาทันที “นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังจะมาก่อกวนอีก!”
เฮ่อสี่รีบบอก “คนครึ่งค่อนเมืองล้วนเคยได้ยินชื่อของท่านหวงปั้นเซียนกันทั้งนั้นว่าเขาทำนายทายทักได้แม่นยำ ไม่เคยผิดพลาด ข้าจึงขอให้เขามาช่วยทำนายชะตาของจู๋ซาน ได้มหาฤกษ์!”
หนวดเคราของหวงปั้นเซียนผู้นั้นพลิ้วไสว ไม่หวาดกลัวแม้อยู่กลางสมรภูมิ มีลักษณะของผู้เป็นเซียนไปแล้วครึ่งตัวอย่างแท้จริง หลังฟังจบคำเขาก็เอ่ยรับ “มิผิด นิมิตดี ขอเพียงเดินหน้าต่อย่อมต้องมีผู้สูงส่งให้ความช่วยเหลือ กลับร้ายกลายเป็นดี”
ถานจินรู้ดีว่าหวงปั้นเซียนมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในจู๋ซาน เนื่องจากมีคนอยากไปขอให้เขาทำนายให้เป็นจำนวนมาก ทว่าอีกฝ่ายกลับจำกัดจำนวนครั้ง ในแต่ละวันจะทำนายให้เพียงสามหน วันที่หนึ่งกับวันที่สิบห้าไม่รับทำนาย ทำให้คนที่อยากพบเขาต้องต่อแถวยาวไปถึงปีหน้า ถานจินคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าครั้งนี้หวงปั้นเซียนไม่เพียงไม่หนีไปอย่างคนอื่นๆ แต่เฮ่อสี่ยังหาตัวเขาพบด้วย
แต่เรื่องที่เหนือคาดยิ่งกว่านั้นคือคำพูดของหวงปั้นเซียนให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่าการที่เขามายืนอยู่ที่นี่ครึ่งค่อนวัน เพราะทันทีที่คำพูดประโยคนี้ถูกเปล่งออกไป ผู้คนที่อยู่รอบด้านก็พลันมีกำลังใจ สีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันที
เฮ่อสี่ยังกลัวว่าจะได้ผลดีไม่พอ เขาเลยให้พลทหารอีกหลายนายตะโกนไปที่เขตต่อสู้บนเชิงเทินว่า “หวงปั้นเซียนทำนายว่าจู๋ซานเราได้มหาฤกษ์! มหาฤกษ์เชียวนะ! ท่านผู้อาวุโสกล่าวว่าสถานการณ์ของจู๋ซานจะเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดีแน่ๆ! พี่น้องทุกคนจงยืนหยัดต่อไป!”
แม้คำทำนายจะไม่สามารถพลิกสถานการณ์การรบจากแพ้เป็นชนะ แต่อย่างน้อยก็ช่วยฟื้นฟูขวัญทหารให้มีความหวังที่จะยืนหยัดต่อไปได้
ไม่ต้องพูดถึงผู้คนที่อยู่รอบตัวถานจิน แม้แต่เฮ่อไท่ที่ช่วยงานอยู่ในเมือง ได้ยินคำของหวงปั้นเซียนแล้วยังมีสีหน้าชื่นมื่นและเอ่ยถามหวงปั้นเซียนไม่ขาดปาก “ทัพใหญ่ของราชสำนักจะมาช่วยพวกเราใช่หรือไม่”
หวงปั้นเซียนเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ ท่วงทีกิริยาดูเหมือนผู้สูงส่งที่ไม่อาจแพร่งพรายลิขิตสวรรค์
ถานจินดึงตัวเฮ่อสี่ไปที่ด้านข้าง “สารภาพมานะว่านี่เป็นความคิดของเฮ่อหรงใช่หรือไม่”
เฮ่อสี่จึงตอบตามสัตย์จริง “พี่สามบอกว่าเวลานี้วิธีใดที่นำมาบำรุงขวัญทหารได้ต้องนำขึ้นมาใช้ทั้งหมด เพื่อยันกันไว้ให้ได้นานที่สุด”
ถานจินฝืนยิ้ม “เขายังคงเจ้าอุบาย ลูกไม้มากหลาย ขอให้ทัพหนุนมากันจริงๆ เถอะ…”
คำพูดเพียงหนึ่งคำของหวงปั้นเซียนมีค่าประดุจทองพันชั่ง อย่าว่าแต่ทองพันชั่งเลย ต่อให้ถานจินต้องบำเหน็จทองหมื่นชั่งเพื่อเป็นการขอบคุณหวงปั้นเซียนเขาก็ยินดีทำ เนื่องจากคำพูดประโยคนี้ของหวงปั้นเซียนช่วยให้ทุกคนสามารถยืนหยัดกันไปได้อีกหนึ่งราตรี
พวกศัตรูที่อยู่ด้านล่างก็ต้องมีเวลาพักผ่อน คนที่อยู่บนเชิงเทินจึงฉวยโอกาสนี้หลับตาพักกันสักครู่ เมื่อมีการโจมตีรอบใหม่แต่ละคนก็กลับมากระฉับกระเฉง พร้อมรับศึกอีกครั้ง
พลทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามไปรักษา ในตัวเมืองมีการตั้งเพิงพักชั่วคราวไว้เพื่อรักษาทหารตั้งแต่ต้น โดยมีพวกสตรีจากบ้านเรือนต่างๆ มาให้ความช่วยเหลือ แรกๆ เฮ่อไท่ทำอะไรไม่ถูก แต่ภายหลังก็พอจะช่วยพันแผลตามอย่างคนอื่นๆ ไปได้
การรบยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ฝ่ายศัตรูก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนหลายคนไม่ทันได้หามลงไปเยียวยารักษาก็ต้องรับศึกกันก่อน
เพื่อทำลายขวัญศัตรู เล่อปี้จึงสั่งให้คนที่อยู่ด้านล่างกำแพงเมืองตะโกนว่า “ไว้ชีวิตผู้วางอาวุธ! ไว้ชีวิตผู้ยอมจำนน!”
ทว่าถานจินได้เตรียมพร้อมเอาไว้ตั้งแต่ก่อนทหารกบฏเข้าตีเมืองด้วยการส่งคนไปกระจายข่าวเรื่องความโหดร้ายทารุณของทหารกบฏให้ทั่วแล้ว ในข่าวบ่งบอกว่าถ้าพวกนั้นมาถึง ต้นหญ้าสักต้นก็ไม่มีทางได้ขึ้น ยิ่งหากเข้าเมืองสำเร็จก็จะสังหารบุรุษย่ำยีสตรี ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือเท็จก็ล้วนทำให้ราษฎรทุกคนพากันตื่นระวังมากขึ้น เพราะไม่อยากถูกฆ่าล้างอำเภอจึงต้องรักษาไว้ด้วยชีวิต
ราชวงศ์เพิ่งก่อตั้งมาไม่ถึงสามสิบปี ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในช่วงวัยนี้จึงยังจดจำช่วงเวลาที่แสนวุ่นวายก่อนหน้าที่ราชวงศ์จะก่อตั้งสำเร็จได้ว่ามีข้าศึกมากมาย ราษฎรไม่เคยได้อยู่เป็นสุข จวบจนปฐมกษัตริย์นั่งบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง ผู้คนส่วนใหญ่จึงค่อยมีวันดีๆ ได้ใช้ชีวิตสุขสงบ ทว่าวันนี้กลับมีทหารกบฏมาอีก ต่อให้พวกชาวบ้านไม่ได้อยากสู้ หากแต่ก็จำเป็นต้องรบ
เพราะเบื้องหลังของพวกเขายังมีญาติพี่น้อง พ่อแม่ บุตรและภรรยา จึงไม่มีทางเลือกอื่นให้เดินอีก
กลิ่นคาวเลือดตลบฟุ้ง แต่พอได้กลิ่นไปนานเข้ากลับรู้สึกคุ้นชิน
แขนข้างขวาของเฮ่อจั้นหมดความรู้สึกเพราะต้องยกดาบขึ้นฟาดฟันซ้ำๆ ไม่รู้ว่าเขาฆ่าศัตรูไปมากน้อยแค่ไหน
เสื้อผ้าเลอะเลือดทั้งตัว เป็นด่างเป็นดวงจนมองสีเดิมไม่ออก
ชายหนุ่มเอนตัวพิงกำแพง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ตามองไปยังท้องฟ้ายามราตรีที่อยู่ห่างไกลออกไป
ในความมืดมิดเหมือนมีแสงสีส้มจางๆ คล้ายสัญญาณของแรกอรุณ
ไม่รู้ว่าตนยังจะมีโอกาสได้เห็นดวงตะวันขึ้นอีกครั้งหรือไม่ เฮ่อจั้นคิดเช่นนี้อยู่ในใจ
ในสมองเวลานี้มีภาพมากมายผ่านเข้ามา ทั้งภาพของผู้คนและเรื่องราวจำนวนมาก
ตอนที่ครอบครัวถูกเนรเทศ ระหว่างทางจากเมืองหลวงมายังฝางโจว ในรถม้าที่กระเด้งกระดอน มารดาแท้ๆ ของเขาป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ลุกไม่ขึ้น แทบไม่มีโอกาสรอดอีกแล้ว ตัวเขาในวัยสี่ขวบทำได้เพียงนั่งคุกเข่าน้ำตาไหลรินอยู่เงียบๆ ด้านข้าง ไม่อาจทำอย่างอื่นได้ พี่สามรั้งตัวเขาเข้าไปกอดในอ้อมแขนและใช้มือข้างหนึ่งปิดตาเขา เอ่ยบอกว่า ‘หลับเถอะ’
เฮ่อจั้นระบายลมหายใจเบาๆ แล้วหลับตาลง
ต่อมาเขาได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องดังสนั่นกัมปนาทปานอสนีบาตฟาด ทลายความเงียบสงัดในยามราตรี
“กองหนุนมาแล้ว! ราชสำนักมาช่วยพวกเราแล้ว!!!”
บทที่ 12
นับตั้งแต่ที่เฮ่อมู่กับเฮ่อซิ่วออกจากอำเภอจู๋ซานจนพากองหนุนรุดมาสำเร็จกินเวลาทั้งหมดเจ็ดวัน
ในช่วงเจ็ดวันนี้สำหรับผู้ที่อยู่รักษาอำเภอจู๋ซานมันคือช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่แสนทรมาน แต่สำหรับเฮ่อมู่กับเฮ่อซิ่วมันคือช่วงเวลาแบบไหนน่ะหรือ…พวกเขาต้องควบม้าเร็วกันทั้งวันทั้งคืนจนเลยฝางหลิงไปแล้วก็ยังไม่ได้ชะลอลง สองวันเต็มๆ กว่าจะไปถึงซางโจวเพื่อขอกำลังหนุนจากผู้ตรวจการมณฑล
เซี่ยสือไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง พอเขารู้ว่าฝางหลิงไม่ยอมส่งกองหนุนไปช่วยจู๋ซานก็โกรธจัด บริภาษด่าทอซือหม่าอวิ๋นว่าไม่ยอมดูดำดูดีราษฎรและเสนอส่งกองทัพจำนวนห้าพันไปช่วยคลี่คลายสถานการณ์ทันที ทำให้เฮ่อมู่กับน้องชายที่เหนื่อยล้าจนแทบทานทนไม่ไหวแล้วมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกันนั้นอู่เวยโหวจางเทาได้นำกำลังทหารจำนวนห้าพันของราชสำนักเดินทางมาถึงพอดี หลังได้ยินว่าจู๋ซานกำลังมีภัยจางเทาก็ไม่พูดมาก ร่วมเดินทางกับเฮ่อมู่และเฮ่อซิ่วสองพี่น้อง ล่วงหน้ามาที่จู๋ซานก่อน ตอนที่ผ่านฝางหลิงเกิดมีเรื่องเล็กๆ แทรกเข้ามา…เนื่องจากซือหม่าอวิ๋นได้ยินว่าราชสำนักส่งทัพใหญ่มาแล้วจึงออกจากเมืองมาต้อนรับด้วยตนเอง เขาชิงกล่าวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณและสรรเสริญความมานะบากบั่นของอู่เวยโหว จากนั้นก็น้ำตาไหล พิลาปรำพันว่าฝางหลิงเองก็ยากจะเอาตัวให้รอด แต่ตัวเขายังจัดเตรียมกำลังทหารครึ่งหนึ่งให้ไปช่วยจู๋ซาน คิดไม่ถึงว่าราชสำนักจะส่งคนมาก่อน สวรรค์คุ้มครองจู๋ซานแล้วจริงๆ
เฮ่อซิ่วข่มกลั้นโทสะเอาไว้ไม่ไหวต้องตอกกลับไปตรงนั้นประโยคหนึ่งว่า “นายอำเภอถานส่งคนมาขอกำลังเสริมจากฝางหลิงสามสี่รอบแล้วแต่ไม่เห็นจะได้รับการตอบกลับจากท่านข้าหลวงตรวจการเลย!”
ซือหม่าอวิ๋นทำหน้าประหลาดใจ “ก่อนหน้านี้ถานจินเคยส่งคนมาจริง แต่ข้าได้บอกพวกเขาไปแล้วว่าขอให้ทางจู๋ซานอย่าได้ร้อนใจ เพราะถึงอย่างไรตัวข้าก็เป็นผู้ตรวจการมณฑลฝางโจว เปรียบเสมือนบิดา แล้วจะไม่เหลียวแลความปลอดภัยของจู๋ซานได้อย่างไร” เขายังทำหน้าเคร่งกล่าวต่อ “หรือถานจินหลอกลวงเบื้องสูง ใส่ไคล้ข้า?”
เฮ่อซิ่วไม่เคยพบเห็นคนหน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ตอนแรกเขายังคิดจะตีฝีปากกับอีกฝ่ายสักตั้ง แต่จางเทากลับห้ามเขาไว้ “สถานการณ์ที่จู๋ซานกำลังวิกฤต ข้าได้รับคำสั่งจากราชสำนักให้ไปปราบกบฏ คงไม่อาจอยู่วิสาสะกับท่านข้าหลวงซือหม่าได้”
กล่าวจบก็โบกมือสั่งให้ทัพใหญ่เคลื่อนพล
ซือหม่าอวิ๋นรีบบอก “อู่เวยโหวไม่ต้องรีบร้อน อยู่พักสักคืนก่อนค่อยไปดีหรือไม่”
ตัวเองไม่ช่วยแล้วยังจะดึงแข้งดึงขาคนที่เขาจะไปช่วยอีกหรือ เฮ่อซิ่วหวิดจะอดไม่อยู่ด่ากราดออกไปแล้ว แต่เฮ่อมู่กระซิบบอกเขาว่า “หากอู่เวยโหวไปช้า ช่วยจู๋ซานไม่ทัน ซือหม่าอวิ๋นย่อมสามารถปัดความรับผิดชอบให้ทางราชสำนักไปเอาผิดกับอู่เวยโหวได้ ความผิดไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา”
หน้าไม่อายจริงๆ! เฮ่อซิ่วถ่มน้ำลายแรงๆ อยู่ในใจ ไม่เหลือความรู้สึกที่ดีให้ผู้ตรวจการมณฑลฝางโจวผู้ทำตัวอิดออดไม่ยอมส่งกำลังหนุนไปช่วยจู๋ซานในช่วงวิกฤตแม้แต่น้อย
แต่จางเทากลับไม่ได้เร่งจากมาอย่างที่เขาคิด เนื่องจากสาเหตุหลักที่ทัพใหญ่ต้องรีบเดินทางมาที่ฝางหลิงเป็นเพราะต้องการเสบียงจากซือหม่าอวิ๋น อีกฝ่ายสามารถมองเมินคำขอร้องของถานจินได้ แต่ไม่อาจมองเมินความประสงค์ของจางเทา ไม่ว่าในใจจะคิดอะไรก็ทำได้เพียงจัดเตรียมเสบียงอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการเท่านั้น
การเคลื่อนทัพมีความคล่องตัวน้อยกว่าการเร่งเดินทางกันแค่สองคน เพราะจางเทาต้องให้กำลังทหารเกินครึ่งลำเลียงสัมภาระตามมาข้างหลัง ยังดีที่ตัวเองนำพลม้าจำนวนหนึ่งพันนายล่วงหน้าไปจู๋ซานกับพวกเฮ่อมู่ก่อน
ตลอดการเดินทางแบบเร็วบ้างช้าบ้าง ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่าจู๋ซานอาจถูกข้าศึกยึดไปแล้ว เนื่องจากความห่างชั้นกันของทั้งสองฝ่ายทำให้จู๋ซานมีสิทธิ์ที่จะไม่รอดแปดถึงเก้าในสิบส่วน และองค์ชายใหญ่เฮ่อไท่อาจตกอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายตรงข้ามซึ่งถ้าหากการณ์เป็นเช่นนั้น เขาคงได้แต่ทำตามพระกระแสรับสั่งคือประกาศออกไปว่าเฮ่อไท่พลีชีพเพื่อชาติ ยอมตายเพื่อรักษาเมือง
แต่สิ่งที่จางเทาคิดไม่ถึงคือจู๋ซานจะสามารถยืนหยัดด้วยความยากลำบากมาได้จนถึงเวลานี้
เป็นเวลาสองวันสองคืนเต็มๆ
แม้จางเทาจะนำพลม้ามาเพียงหนึ่งพันนาย แต่คนกลุ่มนี้เป็นระดับสุดยอด สามารถรับมือกับทหารกบฏที่เข้าตีเมืองจนเหนื่อยล้าหมดสภาพได้อย่างเหลือเฟือ ฝ่ายตรงข้ามพ่ายแพ้ยับเยินอย่างรวดเร็ว ทัพกบฏจำเป็นต้องถอยกลับไปที่ซั่งยง ในขณะที่อำเภอจู๋ซานต้อนรับพวกจางเทากันอย่างอึกทึก
ตอนที่ได้ยินข่าว เฮ่อไท่แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
เขานึกถอดใจเรื่องรักษาเมืองไปแล้ว ทว่าหากแม้แต่ตุ่นและมดยังสู้อดทนเอาชีวิตรอดไปวันๆ ได้ ผู้ใดเล่าจะเฝ้าคอยความตายตาปริบๆ
การที่พวกคหบดีได้ยินข่าวเรื่องทัพกบฏจะเข้าโจมตีแล้วเกิดหวาดกลัวจนต้องเผ่นหนีก็เพราะต่างรักตัวกลัวตาย เฮ่อไท่เองก็ไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งที่เมืองนี้เช่นกัน
หากในช่วงที่กำลังสิ้นหวังนั้นส่วนลึกในใจของเขายังรู้สึกยินดีอยู่เล็กน้อย เนื่องจากเฮ่อมู่กับเฮ่อซิ่วหนีออกไปได้สำเร็จ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายมากแค่ไหน อย่างน้อยสกุลเฮ่อก็ยังเหลือเชื้อสายแถวหนึ่งอยู่
จวบจนทัพหนุนมาถึง ความยินดีแทบคลุ้มคลั่งได้กลบทับความกลัวทั้งหมด ทำให้เฮ่อไท่รู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน
“จู๋ซาน…รอดแล้วหรือ” เขาถามถานจินด้วยน้ำเสียงติดจะสั่นนิดๆ
ตัวของถานจินเองก็ไม่ได้ดีกว่าเขาสักเท่าไร เพราะความรู้สึกยินดีที่เอาชีวิตรอดมาจากความตายได้หลากล้นเข้าสู่หัวใจของคนทุกคนในจู๋ซานแล้ว
“ใช่แล้ว! นายท่านเฮ่อ พวกเรารอดแล้ว!”
ถานจินดึงตัวเฮ่อไท่ไปหาจางเทาเพื่อคารวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม “ท่านโหวเป็นยอดขุนศึกจากสรวงสวรรค์ ช่วยพลิกผันสถานการณ์ที่เลวร้าย ผู้น้อยขอเป็นตัวแทนราษฎรชาวจู๋ซาน ขอบคุณท่านโหวที่ช่วยชีวิต!”
จางเทาไม่ได้วางท่า เขายื่นมือทั้งสองมาประคอง “นายอำเภอถานไม่ต้องมากพิธี ถ้าไม่ใช่เพราะท่านนำกำลังชาวบ้านยืนหยัดสู้ตายจนข้ามาถึง ป่านนี้เราคงเจอแต่เมืองที่ถูกข้าศึกยึดไปเรียบร้อยแล้ว”
นึกย้อนไปถึงความปริวิตกหวาดกลัวและฝนคาวโลหิตในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ถานจินก็อดผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกมาไม่ได้
จางเทาเป็นฝ่ายทักทายเฮ่อไท่ก่อน “ลำบากนายท่านเฮ่อแล้ว”
ถานจินรีบบอก “ครั้งนี้นอกจากคุณชายใหญ่กับคุณชายรองสกุลเฮ่อที่ล่วงหน้าไปขอกำลังเสริมจากซางโจว ยังได้ความช่วยเหลือจากนายท่านเฮ่อกับบุตรคนอื่นๆ อีกมาก ทำให้สามารถรักษาอำเภอจู๋ซานเอาไว้ได้ เรียกได้ว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญเลยทีเดียว!”
แม้ถานจินจะมีความสามารถอยู่ในระดับธรรมดา แต่กลับมีสายตาไม่เลว อีกทั้งรู้จักคุณคน ช่วงแรกที่เกิดเรื่องหากเขามีปฏิกิริยาโต้ตอบช้าเกินไปสักนิด หรือเป็นนายอำเภอที่หัวโบราณไปสักหน่อย ย่อมไม่ยอมปล่อยให้เฮ่อมู่กับเฮ่อซิ่วออกไปขอกำลังเสริม เช่นนี้ต่อให้จางเทามาก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของจู๋ซานจะวิกฤตสักแค่ไหน เพราะยิ่งเวลาทอดยาวออกไปนานเท่าไรประตูเมืองก็เจียนจะถูกตีแตกได้เท่านั้น
ทว่าบัดนี้สกุลเฮ่อได้สร้างความชอบใหญ่หลวง จักรพรรดิยังส่งอู่เวยโหวมาอีก จึงมีสิทธิ์มากว่าพระองค์จะเห็นแก่คุณงามความดีของครอบครัวองค์ชายใหญ่ อนุญาตให้พวกเขากลับเมืองหลวง ถานจินจึงช่วยส่งเสริมด้วยการผลักดันเฮ่อไท่อีกแรง
จะว่าไปแม้การรักษาเมืองครั้งนี้เฮ่อไท่จะไม่ได้มีบทบาทมาก แต่ลูกๆ ของเขา ไม่ต้องพูดถึงเฮ่อมู่กับเฮ่อซิ่ว ลำพังเฮ่อหรงกับเฮ่อจั้นก็โดดเด่นมากพอแล้ว ถานจินจึงไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด
การถูกเนรเทศมานานหลายปีทำให้เฮ่อไท่เรียนรู้ที่จะระมัดระวัง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงถ่อมตัวว่า “เพราะได้ท่านนายอำเภอช่วยชี้นำสั่งสอน รวมถึงความเสียสละของพลทหารกับราษฎรที่ต่อสู้ข้าศึกอย่างกล้าหาญด้วยต่างหาก มิใช่ครอบครัวของข้าเพียงคนเดียว คงไม่กล้ารับว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง”
จางเทาหัวเราะ “นายท่านเฮ่อก็ถ่อมตัวเกินไป บัดนี้ศึกใหญ่เสร็จสิ้นแล้ว ทุกท่านคงจะเหน็ดเหนื่อยกันมาก หากนายอำเภอถานไม่รังเกียจ สามารถให้คนที่ข้าพามาเปลี่ยนเวรยามเฝ้าระวังเมืองแทน เพื่อที่พลทหารทุกนายจะได้หลับสนิทกันสักตื่นหนึ่ง!”
ระหว่างที่จางเทากับถานจินสนทนากัน เฮ่อมู่กับเฮ่อซิ่วได้ถือโอกาสเข้าไปหาบิดา หลังแยกห่างกันนานหลายวันจนเกือบตายจาก ทั้งสองคนรู้สึกตื้นตันใจอย่างยากที่จะระงับ
“ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ!”
เฮ่อไท่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกเพื่อสงบใจที่เต้นโลดลง ตบไหล่พวกเขา “พ่อไม่เป็นไร ที่บ้านสบายดี! พวกเจ้าทำงานได้ไม่เลว!”
ในเมืองมีเสียงไชโยโห่ร้องดังลั่น พวกทหารจับกลุ่มกันพยุงตัวลงจากเชิงเทินอย่างต่อเนื่อง เหลือเพียงเฮ่อจั้นคนเดียวที่นั่งพิงกำแพงนิ่ง ไม่ขยับตัว
ดาบวางอยู่ที่ข้างมือ แต่คราบเลือดที่เปรอะอยู่แห้งกรังไปแล้ว
ใช่ว่าไม่มีใครมาช่วยประคองเขา แต่ล้วนถูกเฮ่อจั้นปฏิเสธ
เพราะเฮ่อจั้นเหนื่อยมาก เหนื่อยจนไม่อยากขยับนิ้วเลยสักนิ้วเดียว
ความอึกทึกในเมืองเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด
ชายหนุ่มหลับตาลง สติล่องลอย นึกอยากจะหลับสนิทให้ยาวๆ สักตื่นโดยไม่ต้องไปสนใจเรื่องภายนอกอีก
พลันมีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาจากทางด้านข้าง
เฮ่อจั้นย่นหัวคิ้วอย่างนึกรำคาญ
บอกแล้วมิใช่หรือว่าไม่ต้องมายุ่งกับเขา
ผู้มามิปิดบังอำพรางตัวตนทำให้เมื่อเฮ่อจั้นฟังเสียงดีๆ จะพบว่าจังหวะก้าวของอีกฝ่ายหนักบ้างเบาบ้าง
หัวใจของเฮ่อจั้นกระตุกเล็กน้อย เขาลืมตาขึ้น
“พี่สาม?”
เฮ่อหรงบอก ‘อืม’ แล้วก้มลงมาพยุงเขา
เฮ่อจั้นถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นตามแรงฉุด ยามนี้เรี่ยวแรงเขาหายเกลี้ยง และแขนขวาก็หมดความรู้สึก แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระให้แก่เฮ่อหรง เขาจึงทิ้งน้ำหนักส่วนใหญ่ไปยังกำแพงที่อยู่ด้านหลัง
“ท่านมาได้อย่างไร ได้ยินว่าอู่เวยโหวมา พี่สามน่าจะอยู่ต้อนรับกับท่านพ่อมิใช่หรือ ครั้งนี้ถ้าไม่ได้แผนของพี่สามเกรงว่าพวกเราคงยันไว้ไม่ถึงตอนนี้”
“เจ้านี่พูดมาก”
มือข้างหนึ่งของเฮ่อหรงถือไม้เท้ายันพื้น อีกข้างจับแขนข้างหนึ่งของเฮ่อจั้นขึ้นพาดไหล่ตัวเองเพื่อช่วยประคอง
“ออกแรงหน่อยสิ”
เฮ่อจั้นฝืนยิ้ม “ข้าไม่มีแรงเหลือแล้ว ท่านไม่ต้องสนใจข้า ประเดี๋ยวก็ล้มไปพร้อมกันจนได้”
แต่เฮ่อหรงกลับแรงเยอะกว่าที่เขาคิดมาก ไม่เพียงประคองเขาให้ลุกขึ้น แต่ยังสามารถพาเขาเดินไปข้างหน้าได้ด้วย ทั้งสองคนประคองกันและกันเดินลงไปจากเชิงเทินช้าๆ
“ถึงพี่สามของเจ้าจะออกรบสังหารข้าศึกไม่ไหว แต่แค่พาเจ้าเดินคนเดียวถือว่าสบายมาก”
ด้วยสติปัญญาระดับเฮ่อจั้นก็ยังรู้ว่าจางเทาเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อการได้กลับเมืองหลวงของพวกเขามากแค่ไหน ทว่าการที่ตนต้องสู้รบแบบละเลงเลือดมานานถึงสองวันสองคืนเต็มๆ โดยที่ไม่มีบิดาหรือพี่น้องสักคนมาถามไถ่ใส่ใจก็ทำให้เขาอดรู้สึกทอดถอนใจเล็กๆ ไม่ได้
ใต้หล้านี้มีแต่คนอยากแสวงหาความรุ่งเรือง
คงมีเพียงคนเดียวที่ยินดีเฝ้าคอยเจ้าอยู่ใต้แสงตะเกียงอันเลือนราง
เฮ่อจั้นอมยิ้มที่มุมปาก “ใช่แล้ว พี่สามช่างเก่งกาจ”
ดูเหมือนเฮ่อหรงจะรู้ว่าเขาคิดอะไร “เจ้าสู้รบละเลงเลือดอย่างไม่ห่วงตัวเอง ต่อให้ไม่ใช่เจ้าแต่เป็นชาวบ้านธรรมดาก็สมควรได้ตกรางวัลเช่นกัน ไม่ต้องเป็นห่วง”
“พูดเช่นนี้แสดงว่าพวกเราจะได้กลับเมืองหลวงใช่หรือไม่”
“หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“พี่สาม ท่านชอบทำตัวเหมือนคนแก่ แม้แต่คำพูดคำจาก็ไม่สมอายุเลยสักนิด จะช่วยพูดให้ข้าอารมณ์ดีหน่อยไม่ได้เชียวหรือ”
“ข้าพูดแล้วจะมีประโยชน์อะไร ข้าไม่ใช่จักรพรรดิ คำพูดข้าจึงไม่ใช่พระราชโองการ สู้เจ้าคิดถึงเรื่องในตอนนี้ดีกว่า อาจยาห่อเกี๊ยวผักจี้ไช่ที่เจ้าชอบที่สุดไว้ กลับไปก็ได้กินพอดี”
“เวลานี้ข้าไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น อยากแต่จะหลับสักตื่น เมื่อครู่หากท่านไม่มาหาข้า ข้าคงหลับคาเชิงเทินไปแล้ว”
“เช่นนั้นจะให้ข้าวางเจ้าลง ปล่อยให้เจ้านอนหลับกลางถนนสักตื่น ดีหรือไม่”
“ไม่เอา…”
แสงตะวันในยามเช้าสดใสชื่นฉ่ำ ดอกกุ้ยยังไม่ร่วงโรย อำเภอจู๋ซานที่เพิ่งเสร็จศึกใหญ่มีบรรยากาศผ่อนคลายลอยวนเป็นสาย
แม้บนใบหน้าของทุกคนจะมีร่องรอยของความเหนื่อยล้าอย่างปิดไม่มิด แต่ที่มีมากยิ่งกว่าคือความรู้สึกยินดีและความหวัง
สองพี่น้องต่อปากต่อคำกันเป็นระยะขณะเดินประคองกันและกันเพื่อตรงกลับบ้าน