• Connect with us

    Enter Books

    คู่กิเลนค้ำบัลลังก์

    ทดลองอ่าน คู่กิเลนค้ำบัลลังก์ 4 บทที่ 1-2

    บทที่ 1

     

    ประตูเมืองทางด้านเหนือของเมืองหุยเล่อไม่ใหญ่ นับตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนจนถึงปัจจุบันผู้ปกครองของที่นี่มีการผลัดเปลี่ยนคนแล้วคนเล่า เช่นเดียวกับราชวงศ์ที่มีการสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียน มีเพียงเมืองหุยเล่อที่ยังคงอยู่ที่เดิม แม้จะผ่านการเพิ่มเสริมให้แข็งแรงและปรับปรุงบางสิ่งใหม่ แต่ยังสามารถมองเห็นร่องรอยของกาลเวลาและความเก่าแก่ที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูด คล้ายจะประกาศให้ผู้ที่สัญจรผ่านไปมาได้สัมผัสถึงความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมของประวัติศาสตร์นับร้อยปี ตลอดจนความแปรผันจากหน้ามือเป็นหลังมือของมันอยู่เงียบๆ

    วันนี้เป็นอีกครั้งที่เมืองหุยเล่อได้ต้อนรับผู้มาเยือนซึ่งอาจจะพูดได้ว่าเป็นนักเดินทางที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน

    อีกฝ่ายมาพร้อมขบวนยิ่งใหญ่ เข้าเมืองมาทางประตูด้านเหนือ ผู้นำคือหลินเหมี่ยว ส่วนอีกคนที่อยู่ข้างๆ สวมผ้าคลุมปิดศีรษะ ซ่อนใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง

    แต่สำหรับเฮ่อหรงรูปร่างของฝ่ายตรงข้ามรวมไปถึงบุคลิกลักษณะล้วนไม่ใช่สิ่งแปลกตา

    เพราะตอนอยู่นอกด่านห่างออกไปพันลี้พวกเขาเคยทำศึกเคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน และเคยผ่านช่วงเวลาวิกฤตที่คนทั่วไปยากที่จะจินตนาการมาด้วยกันแล้ว

    ตอนเห็นเฮ่อหรงนำคนออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง หลินเหมี่ยวรีบลงจากหลังม้าก่อนประคองสตรีสวมผ้าคลุมลงมาด้วย

    “นับตั้งแต่จากกันที่วังจนถึงวันนี้ก็หลายปี องค์หญิงสบายดีหรือไม่”

    สตรีนางนั้นปลดผ้าคลุมศีรษะลง เผยให้เห็นใบหน้าคุ้นตา

    เทียบกับเมื่อหลายปีก่อนดูเหมือนองค์หญิงเจินติ้งจะเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล แม้นางจะยังคงมีความงามสง่า แต่หว่างคิ้วกับหางตาล้วนมีประจักษ์พยานที่เกิดจากการผ่านช่วงเวลาอันหนักหน่วง

    “ข้าสบายดี เจ้าสิที่ไม่สบายอยู่ตลอด เกรงว่าขาข้างนี้คงต้องพิการไปตลอดชีวิต” องค์หญิงเจินติ้งยิ้มบาง

    วาจาล่วงเกินของอีกฝ่ายทำให้หลินเหมี่ยวชะงัก แต่ไม่รู้ว่าควรออกหน้าแทนเฮ่อหรงดีหรือไม่

    ทว่าเฮ่อหรงกลับไม่มีสีหน้าไม่พอใจ ซ้ำยังหัวเราะเสียงดัง

    “องค์หญิงคงต้องยอมลำบากให้คนพิการเช่นข้าช่วยเหลือแล้ว!”

    คนอื่นต่างนึกว่าขาที่พิการเป็นปมของเฮ่อหรงจึงไม่มีผู้ใดกล้าพูดเรื่องนี้กับเขาแม้แต่ครึ่งประโยค ทว่าเจ้าตัวกลับพูดถึงมันได้อย่างไม่ถือสาด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ

    ทั้งสองมองตากัน ครั้งนี้รอยยิ้มขององค์หญิงเจินติ้งมีความจริงใจเพิ่มมากขึ้น

    หลินเหมี่ยวถึงเพิ่งเข้าใจว่านี่คือวิธีทักทายแบบเฉพาะตัวของบุคคลสำคัญทั้งสอง โชคดีที่เมื่อครู่เขาไม่ได้พูดแทรก

    คณะเดินทางกลับขึ้นหลังม้าอีกครั้งเพื่อเดินทางเข้าไปในตัวเมืองอย่างช้าๆ

    “เช่นนี้เท่ากับองค์หญิงได้คืนถิ่นแล้วใช่หรือไม่” เฮ่อหรงถาม

    องค์หญิงเจินติ้งกวาดตามองทัศนียภาพรอบตัว ถอนหายใจ “มิผิด ตอนแต่งงานข้าเดินทางออกจากด่านไปทางนี้ เพียงแค่กะพริบตาเวลาก็ผ่านไปหลายสิบปี ที่นี่ยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ในขณะที่ข้าชราแล้ว”

    น้ำเสียงของเฮ่อหรงทุ้มนุ่ม “มิควรกล่าวฝั่งซางอวี๋ย่ำค่ำแล้ว ด้วยยังมีแสงสายัณห์ฉาบทั่วฟ้า”*

    องค์หญิงเจินติ้งชะงักไปครู่หนึ่ง นางกล่าวเยาะตนเอง “เกรงแต่ว่าจะแก่แล้วแก่เลย ต่อให้มีใจทว่าไร้กำลัง!”

    จากประตูเมืองไปที่จวนถ้าขี่ม้าไปจะรู้สึกว่าไม่ไกล เฮ่อหรงให้คนจัดเตรียมห้องพักกับข้าวของเครื่องใช้ไว้ให้องค์หญิงเจินติ้งเรียบร้อย

    เมื่อกลับมาถึงจวนเฮ่อหรงเชิญองค์หญิงเจินติ้งนั่ง ชายหนุ่มจัดแจงเสื้อผ้า แล้วคารวะนางอย่างเต็มพิธีการหนึ่งครั้ง

    องค์หญิงเจินติ้งหลุดขำ “องค์ชายทำอันใด ต่อให้ต้องมีการทำความเคารพกันจริงๆ ก็สมควรเป็นข้าคารวะเจ้าถึงจะถูก เพราะถ้าเจ้าไม่ส่งหลินเหมี่ยวไปช่วย เกรงว่าป่านนี้ข้าคงหนีออกจากทูเจวี๋ยตะวันตกไม่สำเร็จ”

    แผนการรุกรานตะวันตกของฝูเนี่ยนข่านดำเนินไปอย่างเร่งเร้ารุนแรง เดิมทูเจวี๋ยตะวันออกกับตะวันตกมีความแตกต่างทางด้านความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ฝูเนี่ยนข่านเล็งไว้ว่ายามนี้ราชสำนักจงหยวนกำลังรักษาความเป็นกลาง ไม่กล้าเป็นฝ่ายท้าทำสงคราม เขาจึงรวบรวมทัพใหญ่บุกทูเจวี๋ยตะวันตกเพื่อเริ่มแผนรวมทูเจวี๋ยให้เป็นหนึ่งตามที่กะเกณฑ์เอาไว้ตั้งแต่ต้น

    กองทัพม้าเหล็กของทูเจวี๋ยตะวันออกทะลวงผ่านเขาอาเอ่อร์ไท่** ผ่านเมืองฝูถู เลาะผ่านแนวตะเข็บเมืองกู่เกาชาง ตรงเข้าวังทูเจวี๋ยตะวันตกอย่างรวดเร็ว

    เดิมราษฎรของทูเจวี๋ยตะวันตกก็ไม่มากเท่าทูเจวี๋ยตะวันออก ยิ่งในช่วงหลายปีมานี้ภายใต้การปกครองขององค์หญิงเจินติ้ง นางได้เปิดเส้นทางการค้าให้ขบวนสินค้าที่จะเดินทางไปปอซือสามารถเลือกเดินทางผ่านทูเจวี๋ยตะวันตก ทำให้พวกเขากลายเป็นแกะอ้วนสำหรับทูเจวี๋ยตะวันออก

    ทัพใหญ่อันดุดันเหี้ยมหาญของทูเจวี๋ยตะวันออกตรงเข้ากลืนกินอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลของทูเจวี๋ยตะวันตก ช่วงเวลานี้เองที่ชนชั้นสูงของทูเจวี๋ยตะวันตกกลุ่มต่างๆ ที่ถูกองค์หญิงเจินติ้งกำราบมานานมองว่าเป็นโอกาส พวกเขาจึงฉวยจังหวะตอนที่เกิดความชุลมุนตลบหลังองค์หญิงเจินติ้งเพื่อยึดอำนาจ สังหารหลู่จี๋ข่าน ส่งข่าวไปให้ฝูเนี่ยนข่านอย่างนึกว่าตัวเองฉลาด ผู้ใดจะรู้ว่าสิ่งแรกที่ทัพทูเจวี๋ยตะวันออกทำตอนที่บุกเข้าวังคือการสังหารไส้ศึกชาวทูเจวี๋ยตะวันตกที่อวดฉลาดกลุ่มนี้ทิ้ง

    องค์หญิงเจินติ้งจำเป็นต้องล่าถอยมาเรื่อยๆ จนถึงเมืองเยียนฉี ตอนที่นางเตรียมจะสู้ชนิดหลังชนแม่น้ำที่เมืองเยียนฉี หลินเหมี่ยวก็ได้นำกำลังมาถึง

    ยามนั้นองค์หญิงเจินติ้งไม่เคยคิดที่จะกลับจงหยวน นางรู้ดีว่าการที่สารขอความช่วยเหลือของตนไม่ได้รับการตอบรับเปรียบได้กับการทุ่มหินลงไปในมหาสมุทร แสดงว่าราชสำนักจงหยวนจะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงถึงได้ไม่คิดจะมารับนาง ดังนั้นต่อให้นางหนีกลับไป แม่ทัพที่ประจำอยู่ชายแดนก็คงไม่เปิดประตูเมืองรับ ดีไม่ดีคนพวกนั้นอาจจับนางไปประเคนให้ฝูเนี่ยนข่านเพื่อเป็นการประจบเอาใจทูเจวี๋ยตะวันออกด้วย

    ทว่าหลินเหมี่ยวกลับเดินทางมา เขาบอกองค์หญิงเจินติ้งว่าเฮ่อหรงไม่เคยลืมนาง และไม่เคยคิดฉีกสัญญา เพียงแต่ไม่สามารถพูดให้ราชสำนักยอมเคลื่อนทัพได้ จึงส่งคนมาช่วยองค์หญิงเจินติ้งด้วยตัวเอง ขอเพียงพวกองค์หญิงเข้ามาในเขตหลิงโจว ต่อให้ฝูเนี่ยนข่านยาตราทัพตามมาถึง เฮ่อหรงก็ไม่มีทางทอดทิ้งองค์หญิงเจินติ้ง

    องค์หญิงเจินติ้งเชื่อใจเขา นางจึงนำกำลังที่เหลือของตนถอยออกจากเมืองเยียนฉี ติดตามหลินเหมี่ยว โดยไม่สนใจกานโจวที่อยู่ใกล้ทูเจวี๋ยตะวันตกมากกว่า แต่ยอมอ้อมทะเลทรายเกอปี้* ฝ่าสายลมกับเม็ดทรายเพื่อมายังหลิงโจว

    เฮ่อหรงสั่นศีรษะ “ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งที่ไม่สามารถทำตามที่เคยรับปากท่าน ทำให้ต้องผิดคำสัตย์และผิดต่อท่าน”

    แน่นอนว่าองค์หญิงเจินติ้งต้องโกรธ แต่นางรู้ว่าไม่สามารถระบายโทสะนี้ใส่เฮ่อหรง เพราะการที่อีกฝ่ายยอมเสี่ยงส่งคนไปช่วยนางถือว่ามีคุณธรรมมากแล้ว

    “ผู้ใดใช้ให้เจ้าไม่เป็นจักรพรรดิเอง ช่วยไม่ได้!” องค์หญิงเจินติ้งหัวเราะเยาะอย่างไม่เกรงใจ “ตอนนั้นเจ้าอุตส่าห์สร้างผลงานชิ้นใหญ่ ทำให้ข้าเข้าใจว่าถึงอย่างไรจักรพรรดิของพวกเจ้าน่าจะมองเจ้าใหม่ นึกไม่ถึงว่าหลายปีผ่านไปเจ้ากลับถูกเตะมาอยู่ชายแดน นับวันยิ่งถอยหลังเข้าคลองจริงๆ”

    หลินเหมี่ยวเริ่มไม่พอใจที่ได้ยินนางวิพากษ์วิจารณ์บุคคลที่ตนเคารพนับถือเช่นนี้ จึงหลุดปากออกไป “องค์ชายขอมาอยู่ที่นี่เองต่างหาก!”

    องค์หญิงเจินติ้งหัวเราะ “ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ที่เมืองหลวงไม่ได้ ผู้ใดจะเต็มใจวิ่งมาอยู่ในที่แบบนี้”

    เฮ่อหรงยังคงเป็นปกติ ไม่มีอาการโกรธเคืองให้เห็น “องค์หญิงพูดถูก แต่ถ้าไม่ใช่เพราะข้าอยู่หลิงโจว ต่อให้ตอนนี้อยากจะส่งคนไปช่วยท่านก็คงเป็นได้แค่น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้”

    โดนเขาพูดเช่นนี้ องค์หญิงเจินติ้งก็ไม่สามารถพูดจาเยาะหยันได้อีก นางถอนหายใจยาวแล้วเงียบ

    เฮ่อหรงเอ่ย “พวกท่านเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมาก ไปพักผ่อนก่อนดีกว่า เรื่องอื่นเอาไว้ตื่นแล้วค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย”

    หลังจากพวกองค์หญิงเจินติ้งแยกตัวไป เซวียถานก็เข้ามา

    “เท่าที่คำนวณดูคร่าวๆ คนที่องค์หญิงเจินติ้งพามาครั้งนี้มีราวๆ แค่สองพัน ดูท่าฝูเนี่ยนข่านจะเล่นงานพวกเขาเสียกระอัก!”

    เฮ่อหรงพูดเสียงหนัก “ดูท่าทูเจวี๋ยจวนจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว”

    ครั้งนี้แม้แต่เซวียถานที่ตามปกติเป็นคนชอบหัวเราะร่าเริง อวดโอ่ราวกับใต้หล้านี้ไม่มีปัญหาใดที่แก้ไขไม่ได้ยังต้องหุบยิ้มอย่างหาได้ยาก

    “หลังทูเจวี๋ยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฝูเนี่ยนข่านจะต้องพุ่งเป้ามาที่จงหยวน ก่อนหน้านี้พวกเราเข้าใจว่าเขาจะเข้าตีจงหยวน ผู้ใดจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกลับไปเล่นงานทูเจวี๋ยตะวันตกชนิดไม่บอกไม่กล่าว ฝูเนี่ยนข่านผู้นี้ไม่เพียงจิตใจเหี้ยมหาญเฉกสุนัขป่า แต่ยังมีเล่ห์อุบายลึกซึ้ง ช่าง…”

    “เป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวคนหนึ่ง” เฮ่อหรงต่อคำพูดเขา

    เซวียถานผงกศีรษะ “องค์ชายคิดจะทำอย่างไรต่อไป”

    “หลี่อวิ๋นเล่า”

    “องค์ชายไม่ตอบรับข้อเสนอของเขาทำให้เขาชวดผลประโยชน์ วันนี้เลยเดินทางกลับ อีกไม่นานราชสำนักน่าจะรู้เรื่องที่องค์หญิงเจินติ้งเดินทางมาที่หลิงโจว”

    “เจ้าจงไปเตรียมตัว อีกสองสามวัน คอยให้องค์หญิงพร้อมแล้วข้าจะเดินทางไปเมืองหลวงกับนาง”

    เซวียถานอ่านเจตนาของเขาออกทันที “ท่านเกรงว่าที่ฉางอันจะมีคนทำหนังสือร้องเรียนเรื่องนี้?”

    น้ำเสียงของเฮ่อหรงเรียบสนิท “คนบางคนคุกเข่ามานานจนกระดูกคดงอ ไม่สามารถยืนตัวตรงได้อีก ข้ามีเหตุผลพอที่จะเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าถ้าฝูเนี่ยนข่านตั้งใจจะเอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุผลเล่นงานจงหยวน จะต้องมีคนในราชสำนักยุยงฝ่าบาทให้ส่งตัวองค์หญิงไป เพราะฉะนั้นข้าจึงต้องชิงพาองค์หญิงเดินทางไปอย่างเปิดเผยเพื่อให้ฝ่าบาททรงพิจารณา”

    ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเซวียถานคงไม่ห่วง แต่นี่แม้แต่คนที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดินอย่างเขายังรู้สึกว่าการที่เฮ่อหรงเลือกกลับไปเมืองหลวงตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี

    เซวียถานฝืนยิ้ม “ก่อนหน้านี้ท่านล่วงเกินคนตระกูลใหญ่และตระกูลขุนนาง ต่อมายังล่วงเกินคนของรัชทายาท กลับไปคราวนี้ ต่อให้ไม่ได้มีเพลงฉู่ก้องสี่ทิศ* หรือสิบทิศมีภัยร้ายซุ่มซ่อน แต่ก็ต้องยืนหยัดเดียวดาย ไร้ผู้สนับสนุน หรือจะให้ซิงอ๋องกลับไปเมืองหลวงเพื่อช่วยพูดฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้ท่านกับจี้อ๋องดีหรือไม่”

    เฮ่อหรงไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม “อวี๋เซิน เจ้าติดตามข้ามานาน ได้เห็นข้าก้าวจากการเป็นพระราชนัดดาที่ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญมาเป็นอย่างทุกวันนี้ และเจ้าเองก็รู้จักพี่น้องของข้าดี เจ้ารู้สึกว่าเรื่องระหว่างข้า รัชทายาท กับจี้อ๋อง ยังจะสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกหรือไม่”

    เซวียถานเงียบไปพักหนึ่งก่อนบอก “ไม่ พวกท่านสามคนมีทางเดินสามทาง”

    ต่างทางเดินย่อมไม่อาจร่วมแผน

    รัชทายาทมองว่าตัวเองเป็นบุตรชายคนโต มีสิทธิ์ที่จะครอบครองทุกสิ่งโดยชอบธรรม เขาจึงหวังว่าพวกน้องๆ จะเชื่อฟังและอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาอย่างสงบเสงี่ยม เมื่อนั้นเขาย่อมทำตัวเป็นพี่ที่รักและเป็นที่เคารพของน้องๆ เหมือนที่ผ่านมา คอยปกป้องดูแลพวกเขา แต่กลับลืมไปว่าวันนี้ไม่เหมือนวันวาน เพราะพวกน้องๆ ตอนนี้ไม่ได้พอใจแค่ข้าวหนึ่งชามกับเนื้อหนึ่งชิ้นเหมือนเมื่อก่อน สถานภาพที่เปลี่ยนแปลงทำให้พวกเขามีสิ่งที่ต้องการมากยิ่งขึ้น แต่รัชทายาทกลับให้ได้แค่ข้าวหนึ่งชามกับเนื้อหนึ่งชิ้น จึงเป็นที่แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องไม่พอใจจนเกิดเป็นรอยร้าวฉาน

    รัชทายาทที่ไม่ใช่บุตรชายของภรรยาเอกต้องผ่านความยากลำบากต่างๆ นานา ซ้ำภรรยาที่แต่งมาก็เป็นแค่ชาวบ้าน จำเป็นต้องพาตัวเองไปเข้าทาง ‘สามัญชนคนยากจน’ เพราะตระกูลขุนนางวางตัวไม่หมางเมินแต่ก็ไม่เป็นมิตรต่อเขา ทำให้ชายหนุ่มต้องแสวงหาทางอื่นด้วยการยกย่องลูกหลานคนยากจนและรวบรวมขุนนางที่มาจากครอบครัวสามัญชนมาเป็นพวก

    จี้อ๋องเฮ่อซิ่วมีผลงานจากการทำศึก เขาเคยขอออกไปอยู่ชายแดนแต่กลับถูกรัชทายาทจงใจกดข่ม เกิดเป็นปมในใจ เพราะเข้าใจว่ารัชทายาทปรารถนาในอำนาจจนไม่สนใจความสัมพันธ์ในครอบครัว เขาจึงต้องการที่จะหลุดพ้นจากการควบคุมของรัชทายาทอย่างรุนแรง ดังนั้นเขาจึงไปเข้าหาหลี่ควน จี้อ๋องผู้มีภรรยาคนแรกเป็นคนในตระกูลสูงศักดิ์ เช่นเดียวกับภรรยาคนใหม่เลยกลายเป็นตัวแทนของอำนาจฝ่ายตระกูลสูงศักดิ์

    ส่วนเฮ่อหรงเขาเดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างจากพี่น้องทุกคน

    ชายหนุ่มไม่ได้รวบรวมคนจนมาเป็นพวก ไม่ได้ผูกสัมพันธ์กับตระกูลสูงศักดิ์ และยิ่งไม่ยอมก้มศีรษะให้ขุนนาง ข้างกายเขามีลูกหลานของตระกูลใหญ่อย่างจางเจ๋อกับมีขุนนางที่ถือกำเนิดจากตระกูลขุนนางอย่างจี้หลิง ซ้ำยังมีพวกเซวียถานและถานจิน ทำให้ไม่มีผู้ใดแปะป้ายว่าเขาเป็นฝ่ายใดได้อย่างชัดเจน ทำได้แค่บอกว่าเขาใช้คนอย่างไม่มีการปิดกั้น

    ทว่าเนื่องจากเวลานี้เฮ่อหรงไม่ได้อยู่ ณ จุดศูนย์กลางของราชสำนัก และคนสนิทไม่ได้มีตำแหน่งสำคัญ ทำให้ไม่ตกเป็นเป้าเพ่งเล็ง มีน้อยคนมากที่มองอันอ๋องคนนี้เป็นหอกข้างแคร่ ทุกคนต่างรู้สึกว่าเขาชอบทำเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ บางครั้งก็เลินเล่อ บางครั้งก็ละเอียดรอบคอบ

    แต่ครั้งนี้การที่เขาสังหารโจวซู่และไล่ตะเพิดหลี่อวิ๋นทำให้คนนอกต่างมองว่าอันอ๋องวางตัวอยู่ในจุดที่โดดเดี่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย

    เซวียถานที่คอยดูอยู่ที่ด้านข้างมองเห็นชัด รู้ว่าเฮ่อหรงจำเป็นต้องทำแบบนี้ เขาเข้าใจดีว่าเส้นทางของเฮ่อหรงแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ทั้งยังมีอันตรายมากมาย

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องสนใจอะไรอีก หากเรื่องทั้งหมดเป็นไปอย่างที่พวกเขาคาดการณ์กัน ไม่ช้าก็เร็ววันนั้นย่อมต้องมาถึง เวลานี้ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสรรพ เพราะการที่เฮ่อหรงจะกลับเมืองหลวงก็เป็นก้าวหนึ่งในแผน

    “ไม่ว่าอย่างไรข้าจะคอยติดตามอยู่ข้างหลังท่านเสมอ แต่ท่านอย่าเดินไวเกินไปจนข้าตามไม่ทันเล่า”

    พอคิดตกเซวียถานก็กลับมามีสีหน้าสบายๆ พูดเล่นได้เหมือนเดิม

    เฮ่อหรงหัวเราะ “ได้”

     

    บทที่ 2

     

    รัชศกจยาโย่วปีที่ห้า แน่นอนว่าไม่ใช่ปีแห่งสันติ

    ฝูเนี่ยนข่านแห่งทูเจวี๋ยตะวันออกเข้ารุกรานทูเจวี๋ยตะวันตกขนานใหญ่ ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แค่สามเดือนสามารถสำแดงอานุภาพปราบปรามได้อย่างราบคาบ กลืนกินทูเจวี๋ยตะวันตกได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นับแต่นี้เป็นต้นไปทูเจวี๋ยตะวันออกและทูเจวี๋ยตะวันตกถูกควบรวมเข้าด้วยกัน ทำให้ฝูเนี่ยนข่านกลายเป็นข่านของทูเจวี๋ยเพียงหนึ่งเดียว ได้รับการขนานนามเป็นถ่าเก๋อต้าหาน (ข่านถ่าเก๋อผู้ยิ่งใหญ่) มีความหมายว่าประดุจขุนเขาสูง ให้ความรู้สึกน่าเคารพยำเกรง

    เรื่องนี้อาจจะใช่สำหรับชาวทูเจวี๋ย แต่สำหรับชาวจงหยวนฝูเนี่ยนข่านไม่ใช่ถ่าเก๋อต้าหาน แต่เป็นศัตรูตัวฉกาจ

    หลายคนเพิ่งเข้าใจว่าที่ก่อนหน้านี้ทูเจวี๋ยตะวันออกเงียบหายไป ทำให้สถานการณ์สงบสุขไร้เรื่องราว เป็นเพราะเตรียมกลืนทูเจวี๋ยตะวันตกในคราวเดียว

    เดิมทีเพราะมีทูเจวี๋ยตะวันตกทำให้ทูเจวี๋ยตะวันออกเป็นศัตรูตัวร้ายของจงหยวน แต่ยังไม่ถึงขั้นทำให้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น ทว่าเวลานี้พื้นที่แถบด้านเหนือทั้งหมดต่างอยู่ภายใต้เงาดำของเกือกม้าเหล็กของชาวทูเจวี๋ย ขณะที่เขตหล่งซีพื้นที่สำคัญทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือก็ยังถูกเซียวอวี้ยึดครอง

    ต่อให้จักรพรรดิจยาโย่วไม่มีความรู้เรื่องการทหารแม้แต่น้อยก็ยังรู้ว่ากระเพาะของชาวทูเจวี๋ยลำพังแค่แคว้นเหลียงของเซียวอวี้ไม่มีทางเติมเต็มความละโมบโลภมากของพวกเขา มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าเซียวอวี้ที่แต่งงานกับน้องสาวของฝูเนี่ยนข่านจะเป็นพันธมิตรกับเขาเพื่อต่อต้านราชสำนักจงหยวน

    การตระหนักรู้เรื่องนี้ทำให้หลายๆ คนว้าวุ่นใจ แม้แต่จักรพรรดิจยาโย่วยังไม่มีแก่จิตแก่ใจไปเยือนตำหนักในเป็นเวลาหลายวัน ถึงขั้นพลิกตัวไปมา นอนไม่หลับด้วยอารมณ์ปริวิตก พระองค์ตั้งใจเรียกพวกหลี่ควนกับฟั่นอี้เข้าวัง พอรู้ว่าแถบชายแดนเตรียมรับศึกกันอย่างเต็มที่จึงรู้สึกเบาใจ

    แต่แล้วท่ามกลางฤดูสารทมากเรื่องราวกลับมีข่าวว่าเฮ่อหรงส่งคนไปช่วยองค์หญิงเจินติ้งกลับมาจากทูเจวี๋ยตะวันตก

    การที่องค์หญิงเจินติ้งนำกำลังคนที่เหลือรอดถึงสองพันกว่าเข้าเมืองเป็นเรื่องใหญ่มาก ต่อให้อยากปิดก็ปิดไม่อยู่ ประกอบกับเฮ่อหรงไม่คิดจะปิดบัง เขาจึงส่งหนังสือรายงานฉบับหนึ่งไปบอกว่าตนกับองค์หญิงเจินติ้งจะเดินทางไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิที่เมืองหลวง

    มีหนังสือกล่าวโทษว่าเขากระทำการอุกอาจ เอาแต่ใจ ถือตนเป็นใหญ่เพิ่มจำนวนมากขึ้นจนจักรพรรดิจยาโย่วแอบสบถด่าบุตรชายที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย เนื่องจากองค์หญิงเจินติ้งไม่ใช่องค์หญิงในราชวงศ์ปัจจุบัน ซ้ำยังเป็นผู้สำเร็จราชการของทูเจวี๋ยตะวันตก ถือว่าเป็นชาวทูเจวี๋ยไปนานแล้ว การที่ทูเจวี๋ยตะวันตกเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นภายใน จงหยวนย่อมเป็นน้ำไกลไม่อาจช่วยดับไฟใกล้ ขอเพียงนั่งดูอยู่เฉยๆ ย่อมไม่เป็นไร แต่เฮ่อหรงกลับส่งคนไปรับตัวองค์หญิงเจินติ้งกลับมา ถ้าทำแบบเงียบๆ ยังพอว่า แต่นี่กลับเอาคนมาอีกตั้งมากมายรวมถึงสองพันกว่า หากฝูเนี่ยนข่านอ้างเรื่องนี้มาขอตัวคน ราชสำนักจะยกให้หรือไม่ยกให้เล่า

    ถ้ายกให้ราชสำนักยังจะเหลือศักดิ์ศรีอีกหรือ

    แต่ถ้าไม่ยกให้นั่นอาจเป็นข้ออ้างให้ทูเจวี๋ยเปิดสงคราม

    เรื่องที่เฮ่อหรงถูกร้องเรียนไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแค่วันสองวัน แต่มันมากมายหลายครั้งจนเขาเลิกใส่ใจ ที่ผ่านมาจึงเอาแต่นิ่ง ปล่อยให้ทุกคนด่าลับหลัง เพราะถึงอย่างไรตัวเขาก็ไม่ได้ยิน เช่นนั้นย่อมไม่ต้องแยแส เพราะเนื้อเขาก็ไม่ได้หายไปแม้เพียงน้อยนิด

    แต่เฮ่อหรงจำเป็นต้องใส่ใจความคิดของจักรพรรดิจยาโย่ว และเพราะสาเหตุนี้หลังจากที่องค์หญิงเจินติ้งเดินทางกลับมา ชายหนุ่มจึงรีบส่งหนังสือฉบับหนึ่งเพื่อบอกว่าอยากถือโอกาสตอนไปรายงานตัวที่เมืองหลวงพาองค์หญิงเจินติ้งไปเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ อีกทั้งเนื่องจากองค์หญิงจากบ้านไปนาน คิดถึงแผ่นดินเกิด จึงอยากกลับไปเยือนฉางอัน

    หนังสือของเฮ่อหรงถูกนำขึ้นทูลเกล้าถวายอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิจยาโย่วกำลังอยากอบรมบุตรชายซึ่งหน้าเพื่อไม่ให้เขาทำเหิมเกริมอีก ด้านเฮ่อหรงเองก็หวังว่าจะอาศัยโอกาสนี้เบิกตัวองค์หญิงเจินติ้งต่อสาธารณชนอย่างเปิดเผย

    นอกจากนี้จักรพรรดิจยาโย่วยังให้ซิงอ๋องกับเว่ยอ๋องกลับไปรายงานตัวด้วย ในเรื่องงานมีประเด็นที่ทูเจวี๋ยกำลังขยายอิทธิพล ทำให้พระองค์อยากจะฟังความคิดเห็นของพวกเฮ่อจั้น ในเรื่องส่วนตัวคือให้เว่ยอ๋องได้กลับมาอยู่กับครอบครัว เนื่องจากบุตรชายคนโตของอีกฝ่ายต้องอยู่ที่เมืองหลวงไม่สามารถไปที่ใดได้

    วันถัดมาหลังได้รับพระราชโองการ เฮ่อหรงกับองค์หญิงเจินติ้งก็ออกเดินทาง

    องค์หญิงเจินติ้งทิ้งกำลังคนสองพันกว่าไว้ที่หลิงโจวโดยให้เข้าสังกัดกองทหาร การที่องค์หญิงเจินติ้งเสนอเช่นนี้ก็เนื่องจากบุรุษชาวทูเจวี๋ยซึ่งเป็นตัวจริงเสียงจริงกลุ่มนี้เชี่ยวชาญการทำศึก มีพละกำลังดีกว่าทหารจงหยวนเป็นเท่าตัว เฮ่อหรงย่อมยินดีที่จะรับคนกลุ่มนี้ไว้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาเมืองหลิงโจว

    เขาตั้งใจกำชับหลินเหมี่ยวว่าอย่าได้กีดกันทหารทูเจวี๋ยออกจากทหารจงหยวน ต้องปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเสมอภาค หากพบว่าในกองทัพมีการใช้กำลังรังแกคนอ่อนแอหรือแสดงพฤติกรรมรังเกียจทหารทูเจวี๋ย ให้หยุดยั้งอย่างเปิดเผยและดำเนินการลงโทษอย่างหนักตามที่เห็นสมควร ทั้งยังต้องแบ่งทหารทูเจวี๋ยให้ไปอยู่ในทุกค่าย เพื่อมิให้ทั้งสองฝ่ายมีการแบ่งพรรคแบ่งพวก ยั่วยุจนเกิดเรื่อง

    เซวียถานอยู่เฝ้าหลิงโจวกับภรรยา ลองว่ามีเขาอยู่เฮ่อหรงย่อมไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ส่วนจางเจ๋อเป็นลูกหลานที่ถือกำเนิดในตระกูลของอู่เวยโหว คนสกุลจางอาศัยอยู่เมืองหลวง จึงมีเหตุผลให้ควรกลับไปเยี่ยม

    คณะเดินทางไม่ได้มีเจตนาเร่งการเดินทาง แต่การขี่ม้าย่อมไม่ชักช้า ไม่นานพวกเขาก็มาถึงอำเภอซานหยวนที่อยู่ห่างจากฉางอันไม่ไกล

    ท้องฟ้าเย็นย่ำ ไม่มีทางเข้าเมืองได้ทัน ทุกคนจึงตัดสินใจเข้าพักที่บ้านพักขุนนางก่อน พรุ่งนี้ค่อยตรงไปที่ฉางอันแบบไม่ต้องหยุดพักอีก

    เจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักขุนนางได้รับแจ้งข่าวล่วงหน้าจึงจัดเตรียมห้องพักเอาไว้พร้อม ทั้งทำความสะอาดและต้มน้ำร้อนไว้ให้เหล่าผู้สูงศักดิ์

    ในราชวงศ์นี้บ้านพักขุนนางเป็นสถานที่ที่ขุนนางและราษฎรใช้ร่วมกัน หรือพูดได้ว่าหากชาวบ้านเดินทางผ่านบ้านพักขุนนาง ขอเพียงจ่ายเงินก็สามารถเข้าพักได้ บ้านพักขุนนางอำนวยความสะดวกให้แก่ทหารและพ่อค้าในการหาสถานที่พักเท้า แต่มีกฎอยู่ว่าเรือนพักบางส่วนมีเพียงขุนนางบรรดาศักดิ์เท่านั้นที่เข้าพักได้ ต่อให้ชาวบ้านจ่ายเงินมากเพียงใดก็ไม่อนุญาตให้เข้าพัก

    บ้านพักขุนนางของอำเภอซานหยวนที่พวกเฮ่อหรงเข้าพักก็เป็นแบบนี้ เนื่องจากอยู่ใกล้ฉางอันมากจึงมีคนเข้าออกกันจนใกล้พลบ หน้าบ้านพักยังคงมีการส่งข่าวกันไปมา และมีหาบเร่มาร้องตะโกนขายถั่วขายขนม คึกคักดีมาก

    หงเยี่ยนติดตามองค์หญิงเจินติ้งมาหลายสิบปี ครั้งนี้นางก็ตามอีกฝ่ายหนีจากแดนตะวันตกกลับมาที่จงหยวนด้วย หลังเดินทางจากหลิงโจวมาที่บ้านพักขุนนางของอำเภอซานหยวน ความเหนื่อยล้าที่เก็บสะสมอยู่ในกระดูกก็ถึงกาลระเบิด ทำให้นางล้มป่วยลงระหว่างการเดินทาง องค์หญิงเจินติ้งกับนางผูกพันกันประหนึ่งพี่น้อง องค์หญิงจึงรับหน้าที่ดูแลหงเยี่ยนด้วยตัวเองจนไม่มีแก่ใจสังเกตดูบ้านเกิดที่ตนคุ้นเคยอย่างละเอียด รีบประคองหงเยี่ยนเข้าไปในเรือนพัก

    เฮ่อหรงยกเรือนหลังใหญ่ที่สุดให้พวกนาง องค์หญิงกล่าวคำขอบคุณอย่างไม่มีอิดออด

    เจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักขุนนางโค้งตัว “องค์ชาย ให้ผู้น้อยไปตามหมอดีหรือไม่ พอดีสองวันนี้มีหมอมาเข้าพักคนหนึ่ง เขากำลังจะเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเกิด”

    “ไม่ต้อง พวกเรานำยามาด้วย เจ้าส่งข้าวกับน้ำแกงร้อนๆ มาดีกว่า พวกเราหิวแล้ว”

    นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักขุนนางได้รับรองผู้สูงศักดิ์อย่างเฮ่อหรง เขาจึงทั้งเคารพทั้งหวาดเกรงจนวางไม้วางมือไม่ถูก เพราะกลัวว่าจะให้การต้อนรับไม่ดีพอจึงได้แต่รับคำและรีบไปจัดการ

    ข้าวกับน้ำแกงร้อนๆ ถูกส่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทุกคนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน คร้านจะพูดคุยกันแล้ว อยากเพียงกินข้าวให้เสร็จเร็วๆ จะได้ไปพักผ่อน

    ผู้ติดตามเฮ่อหรงคนหนึ่งตั้งใจจะตักน้ำแกงให้ แต่จางเจ๋อเห็นด้วยหางตาว่าในน้ำแกงมีแมลงตัวเล็กๆ ลอยอยู่ เขาจึงแสดงสีหน้าโกรธจัด ปราดเข้ามาขวางหน้าผู้ติดตามพร้อมเรียกหาเจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักขุนนางเพื่อให้เตรียมเปลี่ยนน้ำแกงมาใหม่

    “อาหารของพวกเจ้าย่ำแย่ถึงเพียงนี้ แม้แต่องค์ชายยังกล้าล่วงเกิน? หรือต้องให้พวกเราจ่ายเงินด้วย!” จางเจ๋อแสดงท่าทางอันธพาลที่ไม่ได้เห็นมานานออกมา

    เจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักขุนนางกล่าวน้ำเสียงละอายใจ “องค์ชาย วัตถุดิบในการทำอาหารของพวกเราอาศัยของที่ส่งมาจากเมืองหลวง ตอนที่ท่านส่งคนมาบอกว่าจะเข้าพัก วัตถุดิบถูกใช้ไปพอสมควรแล้ว เวลานี้เกรงว่าคงเปลี่ยนให้ไม่ได้ เอาไว้พรุ่งนี้เช้าผู้น้อยค่อยเข้าเมืองไปซื้ออาหารมาได้หรือไม่ขอรับ”

    “ช่างเถอะ” เฮ่อหรงโบกมือ “ชิงไป่”

    “ขอรับ” ผู้ติดตามขานรับ

    “เจ้าช่วยไปซื้อขนมกับผลไม้ที่หน้าประตูมาให้พวกเราที”

    เจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักรีบบอก “จะให้องค์ชายต้องจ่ายเงินได้อย่างไร ข้าจะไปซื้อเอง ขอองค์ชายได้โปรดคอยสักครู่!”

    ชิงไป่หันมองเฮ่อหรงแวบหนึ่ง เห็นเขาผงกศีรษะนิดๆ จึงเดินตามเจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักออกไป

    จางเจ๋อทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างเดียดฉันท์ “ในน้ำแกงมีแมลงยังพอว่า ท่านดูผักนี่สิ ใบกลายเป็นสีเหลืองหมดแล้ว เห็นพวกเราเป็นอะไร!”

    เขาตักน้ำแกงช้อนหนึ่งเพื่อเอาแมลงตัวนั้นออกมาดมดูก่อนสาดทิ้ง

    “อยู่ข้างนอกก็ผ่อนปรนหน่อย เจ้าผ่านการฝึกในค่ายทหารมานาน เหตุใดถึงทำท่าอันธพาลออกมาอีก”

    จางเจ๋อหัวเราะแหะๆ “ใกล้ถึงเมืองหลวงแล้ว หากไม่วางท่าให้คนในฉางอันได้เห็นบ้าง พวกเขาอาจนึกว่าพวกเราไปตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก ยอมผ่อนปรนให้ทุกสิ่ง เช่นนั้นมิยิ่งเสียเกียรติขององค์ชายหรือ”

    แต่ไหนแต่ไรมาเฮ่อหรงไม่ใช่คนถือยศถืออย่าง เขาจึงรับฟังยิ้มๆ ปล่อยให้จางเจ๋อทำตามใจ

    จางเจ๋อไม่ได้อยากดื่มน้ำแกง เขาหยิบตะเกียบมาเขี่ยๆ ก่อนคีบกระดูกซี่โครงชิ้นหนึ่งขึ้นมา ตั้งใจจะเอาใส่ปาก แต่กลับฉุกคิดอะไรบางอย่างจึงเอากระดูกซี่โครงชิ้นนั้นเดินออกไปที่ลาน เรียกแมวสีเหลืองที่นอนหมอบอย่างเกียจคร้านบนหลังคามา

    เจ้าแมวตัวนั้นคุ้นเคยกับพวกคนงานดี พอมองเห็นก็รีบกระโดดลงมาจากหลังคา คาบกระดูกซี่โครงไปอย่างไม่เกรงใจ ไม่ยอมร้องเหมียวสักแอะ วิ่งไปกินที่ใต้ต้นไม้อย่างมีความสุข

    กระดูกซี่โครงมีเนื้อติดเยอะมาก แต่เพราะทุกคนต่างเหนื่อยจนหมดความอยากอาหาร พวกเขาย่อมเห็นว่าเนื้อล้วนกินง่ายกว่า จึงปล่อยให้จางเจ๋อเอากระดูกซี่โครงทั้งจานไปป้อนแมวโดยไม่ว่าอะไร

    เจ้าแมวสีเหลืองกินพลางเอาอุ้งเท้าเช็ดหน้าพลาง จางเจ๋อเอาเห็ดหอมชิ้นหนึ่งจากในเรือนพักมาส่งให้มันอีก แต่เจ้าแมวเพียงปรายตามองแวบหนึ่งก่อนก้มหน้ากินกระดูกต่อ

    องค์หญิงเจินติ้งดูแลหงเยี่ยนเรียบร้อย พอเดินมาที่ห้องโถงเห็นจางเจ๋อนั่งยองๆ เล่นกับแมวอยู่ข้างนอกก็อดส่ายหน้าไม่ได้

    นับวันยิ่งถอยหลังเข้าคลองจริงๆ

    เฮ่อหรงเอ่ยถาม “หงเยี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง หากอาการหนักข้าจะได้สั่งให้คนไปเรียกหมอจากในเมืองมา”

    “ไม่จำเป็น น่าจะเพราะผิดน้ำผิดดิน ข้าให้คนไปเอาดินเจ้าซินถู่* แล้ว แค่ผสมน้ำให้นางดื่มกับกินยาลูกกลอนสักหน่อย พรุ่งนี้ก็น่าจะเห็นผล ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยตามหมอ”

    มีเสียงพูดคุยจากอีกฟากหนึ่งของผนังดังเข้ามาในห้องโถง เสียงคนเดินผ่านเป็นระยะ เนื่องจากใกล้ค่ำ ประตูเมืองปิดแล้ว นักเดินทางหลายคนเข้าเมืองไม่ทันจึงต้องเลือกพักเท้าที่นี่ ทำให้บ้านพักขุนนางคึกคักขึ้น

    เจ้าแมวสีเหลืองคุ้นเคยกับบรรยากาศเช่นนี้ มันจึงยังคงกินเนื้อได้อย่างเอร็ดอร่อย ทว่าจู่ๆ มันกลับขากระตุกขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วก็หยุดกินอาหาร มีอาการเหมือนเมาสุรา เดินโซซัดโซเซไปได้สองก้าวก็ฟุบลงกับพื้น ไม่กระดุกกระดิกอีก

    จางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี เขาหันหลังพุ่งตัวเข้าไปในเรือนพักอย่างไม่ต้องหยุดคิด ยื่นมือไปปัดตะเกียบขององค์หญิงเจินติ้งที่กำลังคีบผักกระเด็น

    เฮ่อหรงกับองค์หญิงเจินติ้งตะลึงกับการกระทำของจางเจ๋อ ต่างหันออกไปมองข้างนอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

    เจ้าแมวสีเหลืองนอนอยู่ตรงนั้น ไร้ซึ่งลมหายใจ

    “รีบให้คนล้อมบ้านพักขุนนางไว้ ห้ามผู้ใดไปไหนทั้งสิ้น และเรียกตัวเจ้าหน้าที่ประจำบ้านพัก พ่อครัว กับคนรับใช้มา” น้ำเสียงของเฮ่อหรงเน้นหนัก

    ชายหนุ่มยังนิ่งได้ ในขณะที่จางเจ๋อนิ่งไม่ไหว เขาถามเฮ่อหรงเสียงสั่น “องค์ชายยังไม่ได้กินอะไรเข้าไปใช่หรือไม่”

    เฮ่อหรงตบไหล่เขา “เมื่อครู่ข้ากับองค์หญิงเอาแต่สนทนากัน ยังไม่ทันได้กิน รีบไปเถอะ”

    สีหน้าขององค์หญิงเจินติ้งปั้นยากอยู่ชั่วลมหายใจหนึ่ง แต่คนที่ผ่านลมผ่านฝนมานานเช่นนางก็สามารถสงบลงได้อย่างรวดเร็ว

    “ยังไม่ทันเข้าฉางอันก็มีคนประกาศศักดาใส่เจ้าเสียแล้ว”

    เฮ่อหรงไม่ดื่มแม้แต่น้ำชา เขาให้คนไปเอาถุงน้ำที่พวกเขานำมามาแทน แม้คุณภาพของน้ำจะสู้น้ำที่เพิ่งตักขึ้นจากบ่อไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต

    “เช่นนี้ก็ตื่นเต้นดีมิใช่หรือ”

    องค์หญิงเจินติ้งเห็นเขายังมีแก่ใจคุยเล่นได้จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “ผู้ใดอยากสังหารเจ้า”

    “ข้าไม่ทราบ” เฮ่อหรงคีบผักชิ้นหนึ่งมาดมดู แต่พบว่าไม่มีกลิ่น “แต่แผนนี้ไม่ฉลาด การวางยาพิษในอาหารไม่สามารถรับรองได้ว่าคนที่กินคนแรกต้องเป็นข้า ลองว่าพลาดครั้งหนึ่งข้าย่อมต้องระวังตัว เช่นนี้อีกฝ่ายน่าจะต้องการเตือนข้ามากกว่า”

    จางเจ๋อให้คนล้อมบ้านพักขุนนางไว้อย่างรวดเร็ว การกระทำอย่างโจ่งแจ้งของเขาทำให้ทุกคนที่อยู่ในบ้านพักขุนนางตกใจ หลายคนสบถด่าด้วยความไม่พอใจ แต่พอเห็นสีหน้าเหี้ยมเกรียมของพวกทหารก็ไม่กล้าส่งเสียงอีก

    เจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักกับชิงไป่ซื้อผลไม้กลับมาโดยไม่รู้ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น จนพวกเขาเห็นแมวที่นอนนิ่งไม่กระดุกกระดิกตรงกลางลาน ใบหน้าพลันซีดเผือด ปล่อยผลไม้หล่นกระจายเต็มพื้น เจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักรีบคุกเข่าขอชีวิต “องค์ชาย! องค์ชายได้โปรดไว้ชีวิตด้วย เรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ!”

    เฮ่อหรงถาม “อาหารพวกนี้ผ่านมือผู้ใดมาบ้าง”

    เจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักพูดเสียงตะกุกตะกัก “พอพ่อครัวทำเสร็จก็ให้คนงานในบ้านพักยกมา ผู้น้อย…ก็เห็น”

    ห้องครัวเป็นสถานที่ที่มีคนเข้าออกตลอดเวลา ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถเข้าไปได้ รวมถึงแขกที่อยู่ในบ้านพัก สามคำสอนเก้าสำนัก มัจฉามังกรว่ายปะปน* เฮ่อหรงไม่มีทางแยกแยะได้ นอกจากปล่อยให้จางเจ๋อรับไปจัดการ

    จางเจ๋อรับผิดชอบเต็มที่ เขาให้คนไปค้นสัมภาระกับห้องหับของทุกคน แต่ไม่พบสิ่งใด ซึ่งคนที่เข้าพักที่บ้านพักขุนนางในวันนี้นอกจากคณะของเฮ่อหรงแล้วยังมีขบวนสินค้าอีกสองกลุ่มกับบัณฑิตที่กำลังออกหาประสบการณ์อีกสามคน

    พวกบัณฑิตถูกจางเจ๋อสอบซักจนรู้สึกว่าถูกหมิ่นจึงไม่ยอมให้รื้อค้นสัมภาระ ลามไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งกับพวกทหาร ทว่าพอเจอกับดาบคมกริบพวกเขาก็พบว่าฝีปากของตนไม่มีทางสู้คมดาบ สุดท้ายจึงต้องยอมจำนน

    พวกพ่อค้าย่อมไม่กล้าต่อกรกับจางเจ๋อจึงปล่อยให้มีการค้นห้องหับกับสัมภาระ ทว่าหลังตรวจไปหนึ่งรอบกลับไม่พบสิ่งใด

    แต่ใช่ว่าจางเจ๋อจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย เพราะเขาเจอบางสิ่งที่น่าตกใจ

    “องค์ชาย!” ชายหนุ่มผลักประตูเข้ามาพลางหอบฮัก ไม่ได้สนใจเลยว่าเฮ่อหรงคลายเสื้อเตรียมเข้านอนแล้ว

    “เมื่อครู่พวกเราเจอสิ่งนี้ที่ข้างอานม้าขอรับ!”

    จางเจ๋อวางเข็มเล่มยาวบางเฉียบหลายเล่มลงบนโต๊ะ เข็มเงินสะท้อนแสงเทียนเป็นประกายเรืองๆ

    ขอเพียงวันพรุ่งนี้เฮ่อหรงขึ้นหลังม้า เข็มเงินจะแทงเข้าที่ตัวม้า ทำให้ม้าตกใจและเกิดพยศ ซึ่งคนที่อยู่บนหลังมันย่อมต้องมีอันตราย

    แผนนี้มีเจตนาให้เฮ่อหรงถึงตายจริงๆ

    “หลังจากพวกเราเข้ามาในบ้านพักมีผู้ใดเข้าใกล้คอกม้าบ้าง” เฮ่อหรงถาม

    “ข้าสอบถามดูแล้ว มีคนเลี้ยงม้าไปดูม้า และเจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักก็ให้คนไปป้อนอาหาร ยังมีคนของขบวนสินค้า พอพวกเราเข้ามาพวกเขาก็ตามมาติดๆ น่าจะมีการจูงม้าไปไว้ที่คอก ข้าให้เจ้าหน้าที่เอาใบผ่านด่านของพวกเขามา พบว่าเป็นขบวนสินค้าของหยางโจว ออกเดินทางมาจากฉางอัน แต่ที่น่าแปลกคือยามนี้พวกเขาเกิดรีบร้อนออกเดินทางกันตอนกลางคืน ข้าส่งคนไปตาม แต่ไม่รู้ว่าจะตามสำเร็จหรือไม่”

    น้ำเสียงของเฮ่อหรงเน้นหนัก “ต่อไปคงมีเรื่องทำนองนี้มากขึ้น ไม่ลดน้อยลง เพราะข้าเดาว่าคนที่อยากสังหารข้าคงไม่ได้มีกลุ่มเดียว”

    เห็นได้ชัดว่าจางเจ๋อเองก็คิดแบบเดียวกัน สีหน้าจึงซีดลงกะทันหัน

    ถ้าเป็นคนกลุ่มเดียวกันย่อมไม่มีทางลงมือหลายวิธีในครั้งเดียว เพราะการใส่ยาพิษลงในอาหารทำให้เฮ่อหรงเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น แต่หากไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกันนั่นย่อมแสดงว่าเฮ่อหรงมีศัตรูเป็นจำนวนมาก และเรื่องทำนองนี้ต่อให้ครั้งนี้ไม่สำเร็จ คราวหน้าก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จ

    ตอนอยู่หลิงโจวที่นั่นเป็นถิ่นของพวกเขา เฮ่อหรงจะสังหารโจวซู่ก็ดี จะช่วยองค์หญิงเจินติ้งก็ได้ ผู้อื่นไม่สามารถทำอะไรเขา แต่ที่ฉางอันไม่เหมือนกัน ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าฉางอันก็มีคนมากมายหมายเล่นงานพวกเขาให้ถึงตาย คอยให้เข้าฉางอันเมื่อใดมิกลายเป็นจับตะพาบในไห* ของผู้อื่นหรอกหรือ

    คิดถึงตรงนี้จางเจ๋อก็นั่งไม่ติด

    “หรือไม่ท่านทูลฝ่าบาทว่าพวกเราไม่เข้าฉางอันแล้ว กลับหลิงโจวกันเลยดีหรือไม่”

    เฮ่อหรงมองหน้าเขา “เจ้านึกว่าฉางอันเป็นที่ที่ข้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้หรือ คอยให้เข้าเมืองฉางอัน อยู่ใต้บาทโอรสสวรรค์ คนพวกนั้นย่อมไม่กล้าทำเหลวไหล มีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น ช่วงที่ใกล้ถึงฉางอันเช่นนี้พวกเราก็ระวังตัวกันเอาไว้หน่อย”

    จางเจ๋ออย่างน้อยๆ ก็เป็นคนในตระกูลของอู่เวยโหว ใช่ว่าจะไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขามีอู่เวยโหวจางเทาคอยกันพายุหอกดาบกระบี่ ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องไปบุกเอง ทว่านับตั้งแต่ผู้เป็นลุงจากไป จางเจ๋อเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน เวลาปกติเขายังคงเป็นคุณชายเจ้าสำราญหน้าทะเล้นประจำจวนแม่ทัพบัญชาการพอๆ กับเซวียถาน แต่เวลามีงานจริงจังเขากลับไม่กล้าปล่อยปละละเลยแม้แต่น้อย หาไม่เฮ่อหรงคงไม่วางใจยกเรื่องนี้ให้เขาไปจัดการ

    ได้ยินเฮ่อหรงพูดเช่นนี้ จางเจ๋อจึงรีบให้ลูกน้องไปเฝ้าอยู่นอกห้องพักของเฮ่อหรงกับองค์หญิงเจินติ้ง อาหารและน้ำดื่มทุกอย่างต้องผ่านการทดสอบพิษ สัมภาระทุกชิ้นต้องตรวจสอบหนึ่งรอบ แม้แต่หญ้าที่ม้ากินก็ห้ามปล่อยผ่าน ตราบใดที่ยังหาหลักฐานไม่ได้จางเจ๋อย่อมไม่มีเหตุให้ไปจับคน แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้คนกลุ่มนี้ทำอะไรเฮ่อหรงสำเร็จ การที่เขาวิ่งวุ่นเช่นนี้ทำให้คนในบ้านพักขุนนางขัดเคืองแต่ไม่กล้าออกปาก ได้แต่อธิษฐานขอให้พระพุทธรูปสูงใหญ่พวกนี้รีบไปกันไวๆ

    จางเจ๋อหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถไปจากสถานที่บ้าบอนี้ได้เร็วๆ ถ้าอยู่หลิงโจวลองมีคนกล้าวางยาพิษในอาหาร ไม่ถึงหนึ่งวันคนร้ายจะต้องถูกตามตัวออกมาจนได้ แต่ความยุ่งยากของที่นี่อยู่ที่ทุกคนสามารถเข้าออกได้ เกรงว่าต่อให้บ่าวในบ้านพักพาญาติเข้ามาเดินเล่นหนึ่งรอบก็ไม่มีใครรู้ ไร้ร่องรอยให้ตรวจสอบ

     

    ม่านราตรีทิ้งตัวลงมา หงเยี่ยนกินยาแล้วก็มีสติแจ่มใสมากขึ้น นางมององค์หญิงเจินติ้งที่เฝ้าตนอยู่ที่ข้างเตียงด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง ก่อนก้าวลงจากเตียง

    “เจ้าจะทำอะไร วุ่นวายอีกแล้ว” องค์หญิงเจินติ้งกดตัวนางลง “เจ้ารับใช้ข้ามาหลายปี ข้าจะดูแลเจ้าบ้างไม่ได้หรือ”

    หงเยี่ยนตาแดงเรื่อ “บ่าวไร้ประโยชน์”

    “เจ้ามีประโยชน์มากพอแล้ว หากไม่มีประโยชน์เจ้าคงไม่มีชีวิตรอดตอนอยู่ทูเจวี๋ยตะวันตก และคงไม่ได้อยู่กับข้ามานานหลายปีเช่นนี้ วันเวลาต่อจากนี้ยังอีกยาวไกล ข้ายังต้องอาศัยเจ้า ดังนั้นเจ้าห้ามล้มเด็ดขาด”

    หงเยี่ยนพยักหน้ารัวๆ “บ่าวจะอยู่รับใช้องค์หญิงไปจนองค์หญิงอายุนับร้อยปี…ว่าแต่เมื่อครู่ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเพคะ”

    องค์หญิงเจินติ้งเล่าเรื่องที่มีคนตั้งใจสังหารเฮ่อหรงให้ฟัง หงเยี่ยนตกใจ “เป็นถึงพระราชโอรสแท้ๆ ยังมีคนที่ใจกล้าเทียมฟ้าเช่นนี้ด้วยหรือ!”

    “เขาล่วงเกินคนเอาไว้มาก ผู้ใดก็มีสิทธิ์อยากเอาชีวิตเขาทั้งนั้น”

    น้ำเสียงของหงเยี่ยนเป็นกังวล “เช่นนั้นท่านอยู่กับเขาจะพลอยลำบากไปด้วยหรือไม่”

    องค์หญิงเจินติ้งกล่าวเสียงจริงจัง “หงเยี่ยน ข้าผ่านมาสามแผ่นดิน ตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน ทูเจวี๋ยตะวันตก ยังมีราชวงศ์ปัจจุบัน ได้รู้ได้เห็นมาหมดทุกสิ่ง ทั้งความลุ่มหลงในเงินทองของผีหน้าเงิน การไล่ล่าแบบผู้อ่อนแอต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแรงกว่า ใต้หล้าอันกว้างใหญ่ไม่มีที่ใดที่ปลอดภัย หากบ้านเมืองมีความเข้มแข็งย่อมไม่มีความจำเป็นต้องส่งสตรีไปแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี สามารถทำให้ชนต่างเผ่ารอบด้านต้องยอมศิโรราบ ความรุ่งเรืองเช่นนี้ข้าเคยพบแต่ในหนังสือ และข้าอยากรู้เหลือเกินว่าในช่วงที่ข้ายังมีชีวิตอยู่จะได้เห็นยุคสมัยอันรุ่งเรืองเช่นนั้นด้วยตาตนเองหรือไม่”

    “ท่านรู้สึกว่าอันอ๋องเป็นจอมกษัตริย์ในหัวใจของท่านใช่หรือไม่ แต่ได้ยินว่าเวลานี้ราชสำนักมีรัชทายาทแล้ว…”

    หงเยี่ยนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในสายตาของนางราชวงศ์ปัจจุบันไม่ได้แตกต่างไปจากราชวงศ์ก่อน เพราะพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะทำศึกกับชาวทูเจวี๋ย แม้เฮ่อหรงที่ช่วยเหลือพวกนางจะเป็นคนกล้า แต่เขาก็เป็นแค่พระราชโอรสที่ถูกให้ไปกินศักดินาที่หลิงโจวคนหนึ่ง จะไปมีสิทธิ์มีเสียงอะไร

    องค์หญิงเจินติ้งถอนหายใจ “ข้าไม่รู้หรอกว่าเขาจะเป็นจอมกษัตริย์หรือไม่ การจะมาพูดเรื่องนี้กันตอนนี้มันเร็วเกินไป ยิ่งทูเจวี๋ยตะวันตกถูกทำลาย ข้าพูดไปก็เท่านั้น จู่ๆ ข้าก็กลายเป็นแค่คนผ่านทาง ใต้หล้านี้ไม่รู้ว่าที่ใดจึงจะเป็นบ้านที่แท้จริงของพวกเรา”

    จากบ้านเกิดไปหลายสิบปี จนถึงตอนนี้แม้แต่บ้านที่แท้จริงอยู่ที่ใดยังไม่รู้ แม้ฉางอันจะดี แต่กลับไม่ใช่ที่ที่พวกนางคุ้นเคยอีกแล้ว

    หงเยี่ยนพลอยนึกเสียใจตาม ทันใดนั้นนางได้ยินเสียงตวาดดังมาจากด้านนอก ตามมาด้วยเสียงการเคลื่อนไหวรุนแรง ทำให้ต้องสะดุ้ง องค์หญิงเจินติ้งกดตัวนางไว้ ให้นางนอนต่อ บอกว่าตัวเองจะออกไปดู แต่หงเยี่ยนจะนอนลงได้อย่างไร นางจึงตามออกไปด้วย

     

    ภายในลานมีทหารจำนวนมาก ในมือของพวกเขาถือคบเพลิง ทำให้ทั้งเรือนสว่างไสว

    เจ้าหน้าที่หลี่ประจำบ้านพักที่คอยต้อนรับพวกเขาเมื่อตอนกลางวันคุกเข่าอยู่ตรงกลางลาน เนื้อตัวสั่นสะท้าน ข้างกายเขามีคนนอนอยู่ เป็นตายไม่แจ้ง

    พวกจางเจ๋อกับชิงไป่หน้าซีดเผือด

    หงเยี่ยนลองสอบถามดูทำให้รู้ว่าเมื่อครู่พบมือสังหารปลอมตัวเป็นคนงานที่ทำงานอยู่ในห้องครัว เขากับเจ้าหน้าที่หลี่ยกอาหารมื้อดึกมาให้เฮ่อหรง ผลคือพอเข้าไปในห้อง มือสังหารก็ลงมือสังหารเฮ่อหรง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าจางเจ๋อเตรียมพร้อมด้วยการสลับห้องและเสื้อผ้ากับเฮ่อหรงเอาไว้ก่อน ทำให้มือสังหารทำงานพลาด เมื่อเห็นท่าไม่ดีมือสังหารจึงฆ่าตัวตายเดี๋ยวนั้นอย่างคนใจเด็ด แม้แต่จางเจ๋อก็ห้ามไว้ไม่ทัน

    เจ้าหน้าที่หลี่ร้องไห้โฮ “ขอองค์ชายโปรดอภัย! ผู้น้อยไม่รู้เรื่องจริงๆ…ตามปกติผู้น้อยเคยเห็นคนงานผู้นี้อยู่หลายหน แต่กลับจำรูปร่างลักษณะของเขาไม่ค่อยได้ ซ้ำฟ้ามืดทำให้เห็นสิ่งใดก็ไม่ชัดเจน ผู้น้อยคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะเป็นมือสังหาร!”

    องค์หญิงเจินติ้งไม่ได้อยู่ฟังต่อ นางพาหงเยี่ยนกลับเข้าไปในห้องพักก่อน

    หงเยี่ยนหน้าตื่น “วันเดียวเกิดเรื่องติดกันสามครั้ง ท่าทางจะแค้นอันอ๋องมากจริงๆ! หากเข้าฉางอันจะ…”

    “หากเข้าฉางอันแล้วจะปลอดภัย ไม่ต้องเป็นห่วง”

    องค์หญิงเจินติ้งมีความเด็ดขาดเช่นเดียวกับพวกเฮ่อหรง

    คืนนี้มีหลายคนที่ต้องพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับกัน จนฟ้าเริ่มสว่างองค์หญิงเจินติ้งจึงลุกขึ้นมาสอบถามจางเจ๋อ พบว่าคดีเมื่อคืนสืบหาตัวคนร้ายไม่ได้จริงๆ

    มือสังหารตายแล้ว คนงานที่ถูกสวมรอยก็ตายเช่นกัน ใบหน้าและเสื้อผ้าของมือสังหารไม่สามารถบอกสถานภาพหรือที่มาของอีกฝ่ายได้เลย

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการรั้งอยู่ที่นี่เพื่อสืบเรื่องราวต่อย่อมไม่ได้ผลอะไร นอกจากเสียเวลาเปล่า

    ฝ่ายตรงข้ามวางแผนไว้รอบคอบดีมาก ประดุจตาข่ายฟ้าไร้ตะเข็บ

    จางเจ๋อจนใจเพราะทำอะไรไม่ได้ นอกจากเสนอให้เฮ่อหรงเร่งออกเดินทางเพื่อไปให้ถึงฉางอันภายในวันนี้

    เฮ่อหรงตอบตกลงและให้คนนำศพของมือสังหารไปผูกไว้ที่หลังม้าเพื่อนำไปด้วย

    ส่วนเจ้าหน้าที่หลี่คนนั้นแม้จะมีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะถูกใส่ความ แต่ก็ไม่อาจปล่อยไปทั้งแบบนี้ เขาจึงถูกนำตัวกลับไปให้กรมอาญาสอบปากคำเช่นเดียวกัน

    อยู่ที่นี่นานไม่ได้ ไม่เพียงแต่พวกจางเจ๋อเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ แม้แต่แขกคนอื่นๆ ที่พักอยู่ในบ้านพักขุนนางก็ตัดสินใจออกเดินทางกันเดี๋ยวนั้นเพื่ออยู่ให้ห่างจากสถานที่ประหลาดนี่

    …ใกล้ถึงฉางอันแล้ว

     

    (โปรดติดตามตอนต่อไป…)

     

    * ‘มิควรกล่าวฝั่งซางอวี๋ย่ำค่ำแล้ว ด้วยยังมีแสงสายัณห์ฉาบทั่วฟ้า’ เป็นสำนวนเปรียบเปรย หมายถึงต่อให้คนเราจะมีอายุล่วงเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตก็สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้ โดยต้นซางและต้นอวี๋เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงภาพทิวทัศน์ยามพระอาทิตย์ตก จึงมักใช้อุปมาถึงคนสูงวัย

    ** เขาอาเอ่อร์ไท่ หมายถึงเทือกเขาอัลไต

    * ทะเลทรายเกอปี้ หมายถึงทะเลทรายโกบี

    * ‘เพลงฉู่ก้องสี่ทิศ’ หรือ ‘สี่ด้านยินเสียงเพลงแคว้นฉู่’ หมายถึงรอบด้านมีแต่ศัตรู ไร้ความหวังที่จะได้ชัยชนะ มีที่มาจากสงครามฉู่ฮั่นระหว่างเซี่ยงอวี่กับหลิวปัง ทหารฉู่ถูกทหารฮั่นปิดล้อมอยู่ในเมืองไกซย่า กำลังพลเหลือน้อย เสบียงร่อยหรอ หลิวปังยังใช้อุบายทำให้ทหารฉู่คิดถึงบ้านและเสียขวัญด้วยการให้คนมาร้องเพลงพื้นเมืองของแคว้นฉู่รอบๆ เมืองไกซย่าในช่วงค่ำคืน ทหารฉู่ได้ยินก็เข้าใจว่าทัพฮั่นคงตีทัพฉู่ได้แล้วและกวาดต้อนเชลยมาจำนวนมากจึงมีเสียงร้องเพลงมากเช่นนี้ ทหารฉู่เสียขวัญหมดกำลังใจจึงพากันหนีทัพไปมากมาย ในที่สุดเซี่ยงอวี่ก็พ่ายแพ้แก่หลิวปัง

    * เจ้าซินถู่ แปลตรงตัวว่าดินใจกลางเตา หมายถึงดินสีเหลืองเข้มใต้เตาไฟที่ได้จากการเผาหญ้าและฟืน ชาวจีนใช้เป็นสมุนไพรเข้ายา เพราะมีสรรพคุณห้ามเลือด แก้อาเจียน และแก้ท้องเดิน

    * ‘สามคำสอนเก้าสำนัก’ และ ‘มัจฉามังกรว่ายปะปน’ เป็นสำนวน หมายถึงผู้คนสารพัดแบบในสังคม ซึ่งมีความแตกต่างหลากหลาย และปะปนกันทั้งคนดีและคนชั่ว

    * จับตะพาบในไห เป็นสำนวน หมายถึงการกระทำที่ผลสำเร็จอยู่แค่เอื้อม ไม่ต้องลงแรงมาก หรือเปรียบเปรยถึงเป้าหมายที่อยู่ในการควบคุม หนีไม่พ้นเงื้อมมือ

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in คู่กิเลนค้ำบัลลังก์

    นิยายยอดนิยม

    Facebook