ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา 10 ครั้งที่ 2
ตอนที่ 4
สหายเก่าที่มาพร้อมสายลมและเกล็ดหิมะ
ก่อนหน้านี้นางก็กำลังคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ ในตอนนี้ก็คิดขึ้นมาอีกครั้ง และไม่อาจสะกดเอาไว้ได้อีก
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การคิดถึงเขา และไม่ได้อยากไปเจอเขา…นางบอกตัวเองเช่นนี้
นางเพียงแค่ประหลาดใจอยู่บ้างก็เท่านั้น อยากไปดูเขาว่ากำลังทำอะไรอยู่ อยากรู้ว่าเขาอยู่ในจิงตูเป็นอย่างไร
ในสุสานผู้ครองภพโจวนางเคยพูดกับเขาคนนั้นถึงเรื่องศิษย์พี่ชิวซานกับสัญญาหมั้น เคยพูดไว้ว่าที่ตนใส่ใจที่สุดคือการทำตามหัวใจ
ในตอนนี้หัวใจนางได้ตัดสินแล้ว แน่นอนว่าก็จะไม่ลังเลอีก นางกลับห้องไปเปลี่ยนชุด หยิบร่มขึ้นมา แล้วเดินออกไปนอกเรือนท่ามกลางหิมะในยามราตรี
ซวงเอ๋อร์กำลังยกจานใส่เนื้อวัวเดินเข้ามา ถามขึ้นอย่างตกตะลึง “คุณหนู ดึกดื่นขนาดนี้แล้วท่านยังจะออกไปอีกหรือ”
“ใช่”
“ท่านจะไปหาแม่นางโม่อวี่หรือ”
“…ใช่”
สำนักศึกษาศาสนาหลวงในตอนกลางคืนเงียบสงบเป็นอย่างมาก แต่ตรอกไป่ฮวาที่อยู่นอกสำนักกลับครึกครื้นเป็นอย่างมาก แสงโคมจากหอสุราอาบไล้เกล็ดหิมะที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา ผสานกับไอที่เกิดจากความร้อนภายในหอ ภาพที่เห็นจึงดูเลือนราง สวีโหย่วหรงถือร่มยืนอยู่นิ่งๆ ตรงท้ายตรอก ชุดนักบวชสีขาว เสื้อคลุมสีแดง นี่เป็นการดำรงอยู่ที่งดงามที่สุดในภาพอันเลือนรางนี้
เพราะร่มกระดาษทองจึงไม่มีใครรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของนาง คนที่อยู่ในหอสุราเหล่านั้นไม่มีวาสนาจะได้เห็นภาพเช่นนี้ แน่นอนว่าจึงไม่เกิดความกังวลอะไร ต่างพูดคุยกันเสียงดังเหมือนตามปกติ ดื่มสุรากันอย่างเต็มที่ ตะโกนเรียกผองเพื่อน เกี้ยวพาราสีหญิงสาว เสียงดนตรีในบางครั้งก็หยุดไป แต่เสียงหัวเราะและเสียงร้องเพลงกลับมิได้หยุดลง
เมื่อได้ยินบทเพลงที่ออกจะลามกซึ่งดังออกมาจากหอสุราเหล่านั้น สวีโหย่วหรงก็ขมวดคิ้ว
สำหรับศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาศาสนาหลวงนางเคยคาดเดาเอาไว้มากมาย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในระยะห่างเพียงกำแพงกั้นจะเป็นสถานที่ที่ซุกซ่อนคนชั่วเอาไว้
“เป็นเจ้าสำนักแล้ว ทำไมถึงไม่มาดูแลสักหน่อย”
น่าประหลาดที่เรื่องนี้ทำให้นางเกิดความไม่พอใจต่อคนผู้นั้นเป็นอย่างมาก
สายลมยามราตรีพัดผ่าน เกล็ดหิมะปลิวไสว นางข้ามผ่านกำแพงสำนักไปอย่างไร้สุ้มเสียง องครักษ์แห่งศาสนาหลวงที่เฝ้าอยู่กลางหิมะเหล่านั้นล้วนไม่รับรู้ เมื่อลงมาอยู่อีกฟากกำแพงก็พบกับทะเลสาบแห่งหนึ่ง ข้างทะเลสาบมีห้องเรียงกันอยู่ พอจะสามารถได้กลิ่นของไม้ฟืน นางจึงเดาว่าที่นั่นน่าจะเป็นโรงครัว จึงก้าวเท้าเดินเข้าไป เมื่อยืนยันได้ว่าไม่มีคนก็ผลักประตูเข้าไปดูสักหน่อย
“อาหารไม่เลวเลยจริงๆ”
นางมองวัตถุดิบที่อยู่ในโรงครัวของสำนักศึกษาศาสนาหลวงแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ แต่กลับไม่รู้สึกเลยว่าการที่นางมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ออกจะผิดที่ผิดทางไปสักหน่อย
ในตอนที่นางมองเห็นเปลือกของกุ้งมังกรสีครามที่อยู่ในกองวัตถุดิบเหล่านั้น ในที่สุดก็เชื่อคำพูดของซวงเอ๋อร์
นางส่ายหน้า ในใจคิดว่าถึงกับย้ายหอเฉิงหูมาจริงๆ คุณชายสกุลถังแห่งเวิ่นสุ่ยผู้นั้นช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
นางเดินเลียบทะเลสาบไปจนถึงฝั่งตรงข้ามก็ได้เห็นต้นไทรใหญ่ต้นนั้น ต่อมานางก็มองเห็นอาคารกับแสงไฟที่อยู่หลังกำแพงเตี้ยทางด้านนั้น
นางนึกถึงตอนอยู่ในศาลลมหิมะที่ทุ่งหญ้ารื่อปู้ลั่ว เขาเคยพูดถึงภาพเหล่านี้และเล่าเรื่องบางอย่าง ยังมีข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับเขาเหล่านั้น นางเดาได้ว่าที่นั่นน่าจะเป็นหอตำรา เขาค้นหาดาวโชคชะตาของตัวเองพบตอนที่อยู่ในหอแห่งนั้น
ไม่ไกลจากต้นไทรใหญ่มีอาคารหลังเล็ก เมื่อเทียบกับโคมไฟที่ส่องสว่างกับความคึกคักของที่อื่นๆ ในสำนักศึกษาศาสนาหลวง อาคารหลังเล็กนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเงียบสงบกว่ามาก
นางผลักประตูของอาคารหลังเล็ก ถือร่มกระดาษทองเดินเข้าไป
หลังจากนั้นนางก็หยุดเท้าลง
นี่เป็นชั้นแรก นางหยุดลงที่หน้าประตูของห้องแรก ที่รอยแยกของประตูสามารถได้กลิ่นยาที่กำจายออกมา
ในห้องที่อยู่ด้านหลังประตูมีเตียงหลังหนึ่ง
เจ๋อซิ่วนอนอยู่บนเตียงหลังนั้น
ถึงแม้ว่าบาดแผลของเขาจะค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว แต่บาดแผลในส่วนของเส้นลมปราณยังไม่หายดี ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่เขาจึงยังต้องนอนอย่างสงบ
ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นมา
เขาค่อยๆ กลอกตามองไปทางประตูห้อง สีหน้าพลันเคร่งเครียด ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่
สีหน้าของเขาในตอนนี้ถึงขนาดระมัดระวังยิ่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับคู่สามีภรรยาขุนพลปีศาจในสวนโจวเสียอีก
สายตาไปหยุดอยู่ที่ประตูห้อง รูม่านตาค่อยๆ หดลง
แขนขวาที่อยู่ใต้ผ้าห่มขยับช้าๆ แล้วจับไปที่กระบี่ธงผู้บัญชาทัพปีศาจ
เสี้ยวเวลาที่จับไปที่ด้ามกระบี่ หลังมือของเขาก็มีขนสีดำงอกขึ้นมาเป็นจำนวนมาก รูม่านตาที่หดลงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว
เขาเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้แล้ว กระทั่งเตรียมพร้อมจะจำแลงกายอย่างไม่ลังเล เป็นเพราะเขารู้สึกได้ว่าผู้ที่อยู่นอกประตูห้องคนนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก
หากพูดถึงระดับพลัง คนที่อยู่นอกประตูผู้นั้นน่าจะไม่ต่างกับเขามาก แต่กลับให้ความรู้สึกที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งกับเขา
นี่ก็คือจุดที่เป็นปัญหา
เพราะสายเลือดพรสวรรค์ที่มีความพิเศษกับสภาพแวดล้อมที่เติบโตมาอย่างโหดร้าย ตั้งแต่เล็กเขาก็คลุกคลีกับการฆ่าสังหาร อาศัยการฆ่าเผ่าปีศาจเพื่อให้มีชีวิตรอด สามารถพูดได้ว่าเด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าอย่างเจ๋อซิ่วเป็นผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญการต่อสู้หรือพูดอีกอย่างได้ว่าการฆ่าสังหารมากที่สุด ในความคิดของเขากระทั่งในความคิดของทุกคน ผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกันกับเขาไม่มีใครที่สามารถเอาชนะเขาได้ ตอนที่เขายังไม่ได้อยู่ในขั้นทะลวงอเวจียังเคยคิดจะฆ่าโก่วหานสือที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้ว
แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าต่อให้ตนไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือฟื้นฟูจนอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นั้น
เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งที่น่าประหลาดเป็นอย่างมาก เขามั่นใจว่าไม่เคยประมือกับคนที่อยู่นอกประตูผู้นั้น แต่ราวกับได้ประมือกับอีกฝ่ายมานับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้ง…เขายังไม่เคยเอาชนะได้เลย
นี่เป็นความรู้สึกอันตรายระคนกับความรู้สึกแปลกใจ ทำให้เขาค่อนข้างอ่อนไหว จึงระมัดระวัง กระทั่งไม่ค่อยจะสบายใจ
คนที่อยู่นอกประตูห้องผู้นั้นเป็นใครกันแน่
สวีโหย่วหรงถือร่มกระดาษทอง มองประตูห้องอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
นางเดาได้แล้วว่าคนที่อยู่ในห้องเป็นใคร
นางกับอีกฝ่ายไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่ที่จริงเคยพบกันมาหลายครั้ง
สถานที่ที่พวกเขาพบกันก็คือป้ายหินที่อยู่หน้าประตูสำนักไม้เลื้อยกับสำนักต่างๆ
บนนั้นก็คือทำเนียบชิงอวิ๋น
สามปีที่ผ่านมา นางเป็นอันดับหนึ่งของทำเนียบชิงอวิ๋นมาโดยตลอด ส่วนคนผู้นั้นเป็นอันดับสองของทำเนียบชิงอวิ๋นมาโดยตลอดเช่นกัน
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนนางจะต้องไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะได้ประมือกับอีกฝ่ายแน่ แต่ในตอนนี้นางรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หายดี แน่นอนว่าไม่มีทางส่งคำเชิญไป
ครู่หนึ่งให้หลังนางก็หันกายเดินขึ้นไปที่ชั้นบนโดยที่ไม่ได้จงใจลบเสียงฝีเท้าของตน
จากเสียงฝีเท้า เจ๋อซิ่วฟังออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงได้เข้ามาในสำนักศึกษาศาสนาหลวงยามค่ำคืน
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงข่าวที่สะเทือนจิงตูในวันนี้เป็นที่สุดข่าวนั้น ไปจนถึงนกกระเรียนขาวที่ช่วงกลางวันอยู่ที่ข้างทะเลสาบไปครึ่งวันตัวนั้น ใบหน้าเผยความตกตะลึงออกมา
พริบตาเดียวเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเฉินฉางเซิงในตอนนี้กำลังทำอะไร ความตกตะลึงพลันเปลี่ยนเป็นสงสารและเห็นใจในทันที
สวีโหย่วหรงเดินตรงไปที่ห้องของเฉินฉางเซิง
สำหรับนางแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องน่าตะขิดตะขวงใจ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจความเป็นส่วนตัวของเจ้าสำนักอะไรนั่น ขอเพียงแค่เข้าใจเขาก็พอแล้ว
นางจำได้อย่างชัดเจน ตอนที่อยู่ในสวนโจว ต่อให้จะลำบากหรือยุ่งสักแค่ไหน ต้องหลบหนีเอาชีวิตรอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีเวลาจะอาบน้ำ เขาก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะล้างใบหน้ากับมือให้สะอาด
ชั้นสองนี้สะอาดเป็นอย่างมาก สะอาดอย่างถึงที่สุด สะอาดจนทำให้ผู้คนขนลุก
ไม่มีใยแมงมุม ไม่มีเศษกระดาษ ไม่มีขยะ กระทั่งแม้แต่รอยต่อของพื้นไม้ที่อยู่ตรงมุมก็ยังไม่เห็นเศษฝุ่นแม้แต่น้อย พื้นทางเดินราวกับถูกล้างด้วยน้ำหลายสิบรอบในทุกๆ วัน สะอาดจนแทบสามารถสะท้อนเห็นเงาคนได้อยู่แล้ว
สวีโหย่วหรงมองกระโปรงที่ตนสวมอยู่ รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่บ้าง ในใจคิดว่าคนที่รักสะอาดล้วนไม่ปกติเช่นนี้หรือ
นางเดินไปทางห้องห้องนั้น รองเท้าที่เหยียบย่ำลงบนพื้นไม่ได้ส่งเสียงออกมา เหลือทิ้งไว้เพียงหิมะกับดินโคลนที่ติดมาจากด้านนอก
เมื่อมาถึงหน้าประตู นางหันกลับไปมองรอยเท้าอันชัดเจนที่อยู่บนทางเดินแสนสะอาดเหล่านั้น ใบหน้าเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
เมื่อยืนยันได้ว่าในห้องไม่มีคน นางก็ผลักประตูแล้วเดินตรงเข้าไป
ตอนที่ 5
แมลงปอไม้ไผ่ที่อยู่บนชั้นหนังสือ
นี่เป็นห้องที่เรียบง่ายอย่างมาก มีเพียงเตียงหลังหนึ่ง โต๊ะตัวหนึ่ง ชั้นหนังสือสองแถว ตู้เสื้อผ้าใบหนึ่ง แล้วก็อ่างสามใบ
อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี สิ่งแรกที่สวีโหย่วหรงทำหลังจากเข้ามาในห้องก็คือเปิดตู้เสื้อผ้า
ในตู้เสื้อผ้าก็เรียบง่ายอย่างมาก โดยพื้นฐานแล้วเป็นเสื้อผ้าสีขาว ที่มีมากที่สุดคือชุดของสำนักศึกษาศาสนาหลวง นอกจากกลิ่นของเจ้าเจี่ยว* จางๆ แล้วก็ไม่มีกลิ่นใดอื่นอีก
สำหรับเรื่องนี้นางพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่ในตอนที่นางเห็นผ้าเช็ดตัวกับผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ด้านล่างสุดของตู้เสื้อผ้ากว่าห้าสิบผืน นางก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
นางปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเดินไปที่หน้าชั้นหนังสือ นางหยิบหนังสือออกมาดูอย่างไม่ใส่ใจสองสามเล่ม พบว่าล้วนเป็นหนังสือประโลมโลกแนวลี้ลับอิงประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นที่นิยมในจิงตูในช่วงหลายปีมานี้ นางจึงนิ่งเงียบไปอีกช่วงหนึ่ง
ตั้งแต่เล็กอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าจนแตกฉาน ในตอนนี้ก็เลยไม่คิดจะพัฒนาตัวเองแล้วอย่างนั้นหรือ
ทันใดนั้นนางก็มองเห็นของชิ้นหนึ่งบนชั้นหนังสือ สีหน้าจึงตะลึงงันไปเล็กน้อย
นั่นเป็นแมลงปอไม้ไผ่ตัวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผ่านไปนานมากแล้ว มันเริ่มซีดเหลืองแล้ว และดูเหมือนว่าจะเคยถูกน้ำมาก่อน ที่ขอบใกล้จะเปื่อยยุ่ย นางรู้สึกว่าค่อนข้างคุ้นตา จึงคิดอยู่นานถึงนึกขึ้นมาได้ นี่เป็นสิ่งที่ตอนยังเล็กนางได้แนบมันไปให้เขาพร้อมกับจดหมาย
เมื่อนึกถึงเรื่องในตอนเด็กเหล่านั้นนางก็มึนงงไปบ้าง มองดูแมลงปอไม้ไผ่ที่ผ่านไปหลายปีก็ยังถูกเขาเก็บเอาไว้…เอาเถอะ ถึงแม้จะเก็บเอาไว้ไม่ดีนัก แต่อย่างไรเสียก็ยังเก็บเอาไว้ ที่แท้ก็เป็นคนที่ระลึกถึงคืนวันเก่าๆ นางค่อนข้างพอใจ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดที่ตามมาถึงเป็นความโกรธ แล้วเพียงแค่ครู่นางก็ตระหนักว่าเหตุผลที่โกรธก็เป็นตัวนางเอง เช่นนั้นสรุปแล้วควรจะโกรธหรือว่าดีใจกันเล่า นางคิดถึงปัญหาข้อนี้ แต่กลับไม่รู้ตัวว่าบนใบหน้าของตนมีรอยยิ้มค้างอยู่ตลอด
นางนำแมลงปอไม้ไผ่วางกลับไปบนชั้นหนังสืออย่างระมัดระวังแล้วเดินไปที่เตียง แน่นอนว่านางไม่ได้นั่งลงไป เพียงแค่กวาดตามองเท่านั้น
ผ้าห่มถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อยและสะอาดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูเตียงหรือบนปลอกหมอนก็ล้วนมองไม่เห็นส่วนไหนที่ไม่สะอาด แม้แต่เส้นผมก็ยังไม่มีเลยสักเส้น ไม่สิ…นั่นคืออะไร
มุมหนึ่งของปลอกหมอนมีเส้นผมเส้นหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ยากอยู่
สวีโหย่วหรงนิ่งเงียบไป
เส้นผมเส้นนั้นทั้งยาวและละเอียดเล็กเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นของสตรี
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงไอเย็นเล็กน้อย
ครู่หนึ่งให้หลังนางถึงได้พบว่าหน้าต่างของห้องนั้นเปิดอยู่
คืนนี้มีหิมะตก เกล็ดหิมะได้โปรยปรายเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ทำให้โต๊ะหนังสือชื้นไปมุมหนึ่ง
นางค่อนข้างไม่เข้าใจ คนอย่างเฉินฉางเซิงที่ทั้งสุขุมหนักแน่นอีกทั้งยังมีโรครักความสะอาด ตอนที่ออกจากห้องจะไม่ปิดหน้าต่างได้อย่างไร
ต่อให้จะไม่ใส่ใจกับหิมะ แต่หากที่ถูกพัดเข้ามาเป็นเศษฝุ่นกับใบไม้ร่วงเล่าจะทำอย่างไร
หน้าต่างที่ไม่ได้ปิดบานนี้ หรือว่าจะเปิดทิ้งเอาไว้ให้ใคร
สวีโหย่วหรงพลันได้สติขึ้นมาอย่างกะทันหัน
การคาดเดาเช่นนี้ การอนุมานที่ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้ ไม่ได้ใช้ในการต่อสู้กับการฝึกบำเพ็ญเพียร แต่กลับใช้ไปกับการขุดคุ้ยที่มาของเส้นผมเส้นนี้ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ตนกลายมาเป็นคนเช่นนี้แล้ว
นางส่ายหัวแล้วหันกายเดินมาหน้าตู้เสื้อผ้า เปิดประตูตู้ออก เตรียมที่จะหยิบผ้าออกมาเพื่อจะเช็ดหิมะที่ตกลงบนโต๊ะหนังสือเหล่านั้นให้สะอาด
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในครู่ถัดมาก็ทำให้นางเข้าใจว่าการคาดเดาและอนุมานไม่มีที่สิ้นสุดกับความรู้สึกไม่พอใจเหล่านั้นไม่ใช่เพราะตนเปลี่ยนเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ แต่เพราะเจ้าคนผู้นั้นต่างหากที่เดิมทีก็เป็นคนที่ใช้ไม่ได้อย่างมาก
เกล็ดหิมะปลิวไสว กลิ่นหอมอ่อนๆ กำจายมา สตรีนางหนึ่งพลันลอยข้ามหน้าต่าง แล้วร่อนลงภายในห้อง
ในเวลาเดียวกับที่อีกฝ่ายลอยเข้ามา ในหูของสวีโหย่วหรงก็มีคำพูดหนึ่งดังก้อง
“อย่าโทษว่าพี่สาวไม่เคยพูดกับเจ้า คู่หมั้นของเจ้าผู้นั้นไม่พอใจเจ้าอย่างมาก เจ้าต้องระวังสักหน่อย นิสัยของนางถ้าได้ระเบิดออกมา…หึๆ พูดขึ้นมาแล้ว เจ้าอย่าได้บอกกับนางเป็นอันขาดถึงเรื่องที่ข้ามักจะมานอนที่นี่ ไม่เช่นนั้น…”
ทันใดนั้นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหยอกเย้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
เพราะสตรีนางนั้นพบว่าผู้ที่อยู่หลังประตูตู้เสื้อผ้าไม่ใช่เฉินฉางเซิง
สวีโหย่วหรงปิดประตูตู้แล้วมองไปทางสตรีนางนั้น นางรู้สึกว่าอาจารย์พูดถูก บนโลกนี้เรื่องที่ต้านทานไม่ได้ที่สุดคือคำพูด เจ้าพูดอะไรไว้ เรื่องนั้นก็มักจะเกิดขึ้นตามที่เจ้าพูด
ยกตัวอย่างเช่นก่อนจะออกจากจวนขุนพลเทพตงอวี้ ซวงเอ๋อร์ถามนางว่านางไปทำอะไร นางไม่ได้พูดความจริง นางพูดว่าจะไปหาโม่อวี่ ดังนั้นในตอนนี้…นางก็เลยได้เจอกับโม่อวี่
เพียงแต่ไม่ใช่ในพระราชวัง และก็ไม่ใช่สวนเสี่ยวจวี๋ที่นางพักอาศัยอยู่ แต่เป็นห้องบนชั้นสองในสำนักศึกษาศาสนาหลวง
โม่อวี่อ้าปากค้าง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังพูดอะไรไม่ออก หลังจากนั้นนางก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแหบแห้ง “สามารถทำเป็นไม่เห็นข้าได้หรือไม่”
สวีโหย่วหรงมองนางนิ่งๆ “ข้าเห็นเจ้าไปแล้ว”
โม่อวี่ใช้มือขวาทาบหน้าผาก แล้วใช้มือซ้ายชี้ไปที่นาง “เจ้าอย่าเพิ่งรีบถาม ให้ข้าทำความเข้าใจกับสถานการณ์ก่อน”
สวีโหย่วหรงพูดขึ้นอย่างเรียบนิ่ง “ได้ เจ้าค่อยๆ คิดดู”
โม่อวี่ในตอนนี้ไร้คำพูดจริงๆ ในสมองก็ค่อนข้างสับสน นางคิดจะอาศัยเรื่องที่สวีโหย่วหรงกลับจิงตูมาหยอกล้อเฉินฉางเซิงสักรอบ ในเวลาเดียวกันก็จะมาเตือนเขาสักหน่อย แต่ใครจะไปคิดว่าจะเจอกับตัวหลักของเรื่องในห้องของเฉินฉางเซิง อีกทั้งยังถูกนางได้ยินคำพูดเหล่านั้นเข้าอีก
“อันดับแรกพวกเราควรจะมีความเข้าใจที่ตรงกันก่อน นั่นก็คือเจ้าต้องใจเย็นแล้วฟังที่ข้าอธิบาย” โม่อวี่ลดมือลง มองนางอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “นิสัยเสียของเจ้าที่ข้าพูดถือว่าข้าว่าร้ายเจ้าลับหลัง แต่เรื่องนอนนี้เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด”
สวีโหย่วหรงแย้มยิ้ม “ว่าต่อสิ”
โม่อวี่เห็นสีหน้าของนางก็รู้ว่านางโมโหแล้วจริงๆ ในใจเลยถอนหายใจไปครั้งหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “นอนก็เป็นเพียงการนอนเฉยๆ ไม่ใช่การนอนแบบที่เจ้าคิดนั่น”
“อ๋อ เช่นนั้นที่ข้าคิดเป็นการนอนแบบไหนล่ะ” รอยยิ้มของสวีโหย่วหรงยิ่งเพิ่มความอ่อนโยน
โม่อวี่พูดขึ้นอย่างจนใจ “อย่างไรเสียเจ้าก็อย่าได้เข้าใจผิดเป็นอันขาด”
สวีโหย่วหรงมองประเมินนางตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง เห็นเพียงแค่นางสวมชุดคลุมสีแดง เปลือยเท้าทั้งสอง เรือนผมสีดำปรกบ่า ดูมีความชื้นอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าเพิ่งจะอาบน้ำมา
“อืม เชิญเจ้าบอกข้าว่าอย่างไรถึงจะไม่เข้าใจผิด”
โม่อวี่มองตามสายตาของนางมาที่ร่างของตน ในใจพลันเต้นแรงขึ้นมา หลังจากครั้งก่อนที่เฉินฉางเซิงพูดไว้ นางก็อาบน้ำก่อนที่จะมาทุกครั้งจริงๆ จนเริ่มเปลี่ยนเป็นความเคยชิน คืนนี้ก็มาเช่นนี้อย่างเป็นธรรมชาติ…ดูเหมือนว่าต่อให้กระโดดลงไปในมหาสมุทรแห่งดวงดาวก็ยังล้างมลทินไม่ออก
อย่างที่เรียกว่าหม้อแตกตกแตกซ้ำ โม่อวี่ในตอนนี้ก็เช่นกัน เมื่อเห็นว่าแก้ตัวไปก็ไร้ผล นางก็เปลี่ยนเป็นมีเหตุผลที่จะพูดอย่างเต็มปากเต็มคำขึ้นมา “เรื่องราวนี้ยาวมาก ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่สนใจที่จะฟัง เจ้าเล่า ข้ากลับอยากจะฟังเรื่องราวของเจ้าอย่างมาก กลับจิงตูมาวันแรกไม่อยู่ที่บ้านตัวเอง เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
สวีโหย่วหรงเดินไปที่หน้าต่าง ไม่ได้พูดและไม่ได้มองนาง แสงจากนอกกำแพงสำนักสาดส่องไปยังหิมะ สะท้อนกลับมาถึงใบหน้าของนาง
โม่อวี่มองใบหน้าอันงดงามของนางที่แม้แต่ตัวเองก็ยังอิจฉาอยู่บ้าง ดวงตาของนางสั่นไหวแล้วถามขึ้นต่อ “ธิดาเทพเกิดหวั่นไหวแล้วหรือ”
สวีโหย่วหรงมองนางแวบหนึ่งก่อนถามขึ้น “ตอนนั้นที่เจ้าพูดในจดหมายถึงเรื่องของเขากับมังกรดำ…เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“จริงแท้แน่นอน ในตอนนั้นเขากับนางก็กำลังกอดกัน” โม่อวี่เห็นว่าสามารถเบี่ยงประเด็นไปได้ ไหนเลยจะพลาดโอกาสนี้ นางแทบจะใช้ชื่อของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มาสาบาน เพียงแต่นางนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน จึงพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก “แต่ก็เหมือนเมื่อครู่ที่เจ้าเห็นข้าเข้ามา ได้ยินที่ข้าพูดคำพูดเหล่านั้น สิ่งที่ตาเห็นก็ใช่ว่าจะเป็นความจริง”
สวีโหย่วหรงไม่ได้พูดอะไร ราวกับกำลังใช้ความคิด
โม่อวี่นึกถึงอะไรบางอย่างแล้วถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าจะถามเรื่องนี้ไปทำไม เจ้าคงไม่ได้มีความรู้สึกให้เขาจริงๆ หรอกนะ มิน่าเล่าวันแรกที่เจ้ากลับจิงตูก็มาหาเขา!”
“ข้ากับเขามีสัญญาหมั้นหมายกันอยู่ หลังจากกลับจิงตูแล้วมาหาเขาก็เป็นเรื่องธรรมดา”
สวีโหย่วหรงสงบนิ่งอย่างมาก มีเพียงมือทั้งสองข้างซึ่งไพล่อยู่ด้านหลังที่กำแน่น แสดงให้เห็นว่าอันที่จริงแล้วนางกังวลเป็นอย่างมาก
โม่อวี่คิดไม่ถึงว่านางจะยอมรับอย่างสงบถึงเพียงนี้ จึงพูดขึ้นอย่างตกตะลึง “ในตอนแรกที่เจ้าเขียนมาในจดหมายไม่ได้พูดเช่นนี้ เพื่อทำลายสัญญาหมั้นของพวกเจ้า ข้านั้นจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยเลย เจ้าจะต้องคิดให้ชัดเจน เฉินฉางเซิงในตอนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ที่ข้าล่วงเกินไปคือเจ้าสำนักศึกษาศาสนาหลวง และก็ใต้เท้าสังฆราชในอนาคต หากในตอนนี้เจ้าบอกข้าว่าเจ้าเตรียมจะอยู่กับเขาแล้วจริงๆ ข้าจะไม่ยอมจบกับเจ้า!”
สวีโหย่วหรงมองเรือนผมสีดำที่เปียกชื้นของนางกับชุดคลุมแล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “จ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยจริงๆ แต่เขาน่าจะไม่รู้สึกว่านี่เป็นการล่วงเกินกระมัง”
โม่อวี่ไม่อาจแก้ตัว จึงพูดขึ้นอย่างอับอายและเคียดขึ้ง “คนอื่นไม่รู้ แต่เจ้ากับข้าล้วนรู้ดี ใต้เท้าสังฆราชได้ยกเลิกสัญญาหมั้นระหว่างพวกเจ้าไปแล้ว ต่อให้ข้ากับเขาจะเป็นอย่างไร เจ้าอาศัยสถานะอะไรมาวุ่นวาย”
สวีโหย่วหรงพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
โม่อวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น “สรุปแล้วเจ้าคิดอย่างไรกันแน่”
สวีโหย่วหรงก้มหน้าลงเล็กน้อย “ก็ยังไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
มีเพียงคนที่คุ้นเคยกับนางที่สุดถึงจะรู้ว่าในตอนนี้แม้ภายนอกนางจะดูสงบนิ่ง แต่ที่จริงแล้วเปราะบางเป็นอย่างมาก
โม่อวี่มองนางแล้วพูดขึ้นอย่างปลดปลง “เช่นนั้นเจ้าก็อัดอั้นจนตายไปเถอะ”
สวีโหย่วหรงพูดขึ้นอย่างสงบ “เขาไปที่ไหนแล้ว”
โม่อวี่เลิกคิ้ว “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไปจริงๆ ล่ะ”
เป็นในตอนนี้เอง เสียงดนตรีที่นอกกำแพงสำนักพลันดังขึ้นมา โม่อวี่จึงมองไปทางนั้น ต่อให้เป็นเกล็ดหิมะที่ตกหนักในยามราตรีก็ไม่อาจบดบังสายตาของนางได้ นางเห็นเพียงแสงโคมส่องสว่างที่หอสุราทางด้านนั้น นางรำกำลังร่ายรำอยู่กลางโถง
“เจ้าอย่าโกรธไป ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ตรงนั้น” นางมองสวีโหย่วหรงแวบหนึ่ง
สวีโหย่วหรงมองไปทางด้านนั้น คนผู้นั้นอยู่ที่ชั้นบนสุดของหอสุราจริงๆ กำลังดื่มสุรา ข้างกายยังมีเด็กหนุ่มอยู่อีกสองคน แล้วก็ยังมีหญิงสาวมากมายเดินไปเดินมา ราวกับผีเสื้อที่อยู่กลางมวลบุปผาก็มิปาน
ช่างเป็นภาพที่ชื่นมื่นเสียเหลือเกิน
นางมองหอสุราอย่างสงบ คิดอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นนางเห็นนางรำผู้หนึ่งที่กำลังร่ายรำอยู่กลางโถงเหมือนจะยืนไม่มั่นคง สะดุดล้มลงสู่อ้อมกอดของคนผู้นั้น…
ไม่รู้เพราะอะไรนางพบว่าตนเองยากจะรักษาความสงบของเส้นทางแห่งจิตได้ หน้าอกค่อยๆ ขยับขึ้นลงน้อยๆ
“สวีโหย่วหรงกลับมาก็กลับมาสิ เจ้าจะกลัวทำไม แล้วจะกลัดกลุ้มอะไรอีก อย่าได้มีอุปสรรคในใจ ควรจะสู้ก็สู้เสีย” ในหอสุรา ถังซานสือลิ่วถือกาสุราโดยรับมาจากนางรำผู้นั้น เขามองเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “เดิมทีบุรุษสตรีก็เท่าเทียมกัน ขอเพียงเจ้าอย่ามีความคิดที่ว่าไม่สามารถสู้กับสตรีซึ่งเป็นความคิดที่คร่ำครึ การต่อสู้นี้อย่างไรก็จะต้องสู้”
ตอนที่เขาพูด นางรำผู้นั้นที่อยู่ในอ้อมอกของเขากำลังเงยหน้ามองเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความยกย่องและความสุขสม
สีหน้าของนางรำที่อยู่ข้างเฉินฉางเซิงกลับมีความไม่พอใจอยู่บ้าง ไม่เพียงเพราะเฉินฉางเซิงมีกฎเกณฑ์เกินไป ตั้งแต่ต้นจนจบแม้แต่นิ้วมือนางก็ไม่ได้สัมผัส และก็เป็นเพราะทั่วทั้งผืนพิภพล้วนรู้ว่าคู่หมั้นของเจ้าสำนักหนุ่มของสำนักศึกษาศาสนาหลวงผู้นี้เป็นใคร นางเป็นเพียงนางรำ จึงไม่อยากล่วงเกินจวนขุนพลเทพตงอวี้กับหงส์ฟ้าที่สูงศักดิ์ผู้นั้น
“ข้าเตรียมที่จะแพ้ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
อยู่ๆ เฉินฉางเซิงก็พูดขึ้น
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทั่วทั้งห้องโถงก็เงียบไป
ตอนที่ 6
สัญญานัดหมายเจ็ดวัน
“แน่นอนว่าไม่ได้” ถังซานสือลิ่วมองตาของอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้น “ตัวเจ้ายอมขายหน้าได้ แต่สำนักศึกษาศาสนาหลวงจะขายหน้าเช่นนี้ไม่ได้ ภายหลังใต้เท้าสังฆราชจะพูดต่อหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร เจ้าอย่าได้ลืม นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้าเพียงคนเดียว แต่เป็นเรื่องของทั้งศาสนาหลวง”
เรื่องนี้ทั่วทั้งผืนพิภพล้วนรู้กัน จึงไม่จำเป็นต้องเลี่ยงไม่พูดต่อหน้านางรำพวกนี้ แต่บรรยากาศตรงนั้นก็ยังคงกดดัน
ถังซานสือลิ่วอยากให้เฉินฉางเซิงอารมณ์ดีขึ้นมาจึงแย้มยิ้มพูด “อีกอย่างเจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ เปลี่ยนภาพลักษณ์สามีเสียใหม่รึ ไม่เห็นหรือว่าแม่นางน้อยทั้งหลายได้ยินที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ว่าจะยอมแพ้ให้นางก็ตกตะลึงกันหมดแล้ว”
ซูโม่อวี๋ที่อยู่ด้านข้างส่ายหน้า “คำพูดนี้ไม่เหมาะ ไม่ว่าใต้เท้าสังฆราชจะถอนสัญญาหมั้นของพวกเขาทั้งสองคนหรือไม่ แต่ในเมื่อเฉินฉางเซิงยืนยันแล้วว่าจะไม่สานต่อการแต่งงานครั้งนี้ เช่นนั้นก็ไม่สามารถใช้คำว่าภาพลักษณ์สามีได้ เรื่องเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของธิดาเทพ นี่ไม่เหมาะสม”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างหมดความสนใจ “พูดล้อเล่นก็เท่านั้น ตอนนี้สำนักศึกษาศาสนาหลวงมีพวกบ้าตำราอย่างพวกเจ้าสองคน เจ๋อซิ่วเป็นมือสังหารเลือดเย็น อีกคนก็เจ้าทึ่มเซวียนหยวนพั่ว แม้แต่คู่สนทนาสักคนข้าก็ไม่มี ช่างน่าสงสารจริงๆ”
เมื่อพูดจบเขาก็แย่งถ้วยของเฉินฉางเซิงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมา เทน้ำชาที่อยู่ในถ้วยออก เปลี่ยนเป็นรินสุราร้อนแรงที่มาจากชายแดนตะวันตกแทน
เฉินฉางเซิงโบกมือปัด “ข้าบอกแล้วนี่ว่าไม่ดื่มสุรา”
ซูโม่อวี๋ที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้น “อากาศเย็น หิมะตกหนัก รีบกลับกันเถอะ”
ถังซานสือลิ่วจนใจอย่างมาก “ข้ากำลังช่วยเขาลดแรงกดดันอยู่นะ”
วันนี้นกกระเรียนขาวบินร่อนลงมาที่ข้างทะเลสาบ สวีโหย่วหรงกลับจิงตู เฉินฉางเซิงก็ยิ่งนิ่งเงียบ แสดงให้เห็นว่ามีเรื่องในใจ เขาถึงได้ตั้งใจจัดงานเลี้ยงในคืนนี้ขึ้นมา หวังว่าจะสามารถลดแรงกดดันของเฉินฉางเซิงไปได้บ้าง ใครจะคิดว่าหลังจากที่มาถึงหอสุรา เฉินฉางเซิงกับซูโม่อวี๋สุราก็ไม่ดื่ม ทั้งยังนั่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนที่มองดูนางรำร่ายรำแล้วปรบมือชื่นชมก็ทำอย่างจริงจัง นี่เหมือนการออกมาเที่ยวเสียที่ไหนกัน
มองดูนางรำที่ร่ายรำอยู่กลางห้องโถงไม่หยุดผู้นั้น อยู่ๆ เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา ดูสง่างามน่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก ทำเอาดวงตาของนางรำที่อยู่ในอ้อมอกยิ่งเพิ่มความรักใคร่ขึ้นมา เป็นเวลาเดียวกับที่เขากำลังแย้มยิ้ม นิ้วมือของเขางอลง ดีดเมล็ดสนที่อยู่ในจานออกไปเมล็ดหนึ่ง
ไร้ซึ่งสุ้มเสียง เมล็ดสนเมล็ดนั้นพุ่งเข้าไปที่หัวเข่าของนางรำ นางล้มลงมาไม่แรง เพียงแต่ตำแหน่งนั้นอ่อนไหวเกินไป เพราะเซล้มลงมาในอ้อมกอดของเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงรีบพยุงนางแล้วถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “แม่นางไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
นางรำผู้นั้นเคยชินกับเรื่องชู้สาว ความรู้ก็กว้างขวาง ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก่อนอื่นก็มองถังซานสือลิ่วอย่างขุ่นเคืองแวบหนึ่ง หลังจากนั้นมองเฉินฉางเซิงอย่างอ่อนโยน แล้วพูดขึ้นเสียงเบาด้วยลมหายใจหอมกรุ่นดุจดอกไม้ “ดูเหมือนว่าข้าน้อยจะเมาเสียแล้ว”
เวลาเดียวกับที่พูด แขนทั้งสองข้างของนางก็คล้องไปที่คอของเฉินฉางเซิงอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งเนื้อทั้งตัวแนบชิดอยู่ในอ้อมกอดของเขา
หยกงามอยู่ในอก เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม มีเพียงความรู้สึกไม่ชินและอึดอัด
เขาเตรียมจะพยุงนางรำไปนั่งที่ด้านข้างอย่างมีมารยาท ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าไกลออกไปในค่ำคืนหิมะโปรยนี้มีใครกำลังมองมาที่เขา
ดวงตาคู่นั้น ดวงตา…ที่คล้ายมีคล้ายไม่มีและไม่ได้เย็นเยียบนักคู่นั้นทำให้ส่วนลึกในใจของเขาเกิดความไม่สงบอย่างรุนแรง ดังนั้นอึดใจถัดมาจิตใต้สำนึกอันบริสุทธิ์ กระทั่งเป็นการตอบสนองตามสัญชาตญาณ ทำให้เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เขาเพียงแค่อยากจะแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้มีความคิดเกินเลยใดๆ กับนางรำ มือทั้งสองข้างก็ไม่ได้สัมผัสร่างของนาง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าการกระทำเช่นนี้เมื่ออยู่ในสายตาของผู้อื่นแล้วจะดูน่าขบขันขนาดไหน
ในโถงใหญ่เงียบลงครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา โดยเฉพาะถังซานสือลิ่วยิ่งหัวเราะเสียจนน้ำตาเกือบจะไหล
สวีโหย่วหรงยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่าง มองดูภาพเหตุการณ์ในหอสุรา ตอนที่นางรำผู้นั้นล้มลงไปในอ้อมกอดของเฉินฉางเซิง ต่อให้เส้นทางแห่งจิตของนางจะมั่นคงสงบนิ่งสักแค่ไหนก็อดไม่ได้ที่จะกระเพื่อมไหว นางเลิกคิ้วขึ้น
แต่ในครู่ถัดมา เมื่อนางได้เห็นท่าทางชูมือทั้งสองข้างขึ้นสูงของเฉินฉางเซิง และได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากนอกกำแพงนั่น นางก็เผยรอยยิ้ม แต่พยายามฝืนเอาไว้ไม่ให้ส่งเสียงหัวเราะออกมา
โม่อวี่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของนางทั้งหมด “อยากหัวเราะก็หัวเราะสิ จะกลั้นไว้ทำไม”
สวีโหย่วหรงยังคงมองไปทางหอสุรา มองดูท่าทางลำบากใจของเฉินฉางเซิง เมื่อได้ยินคำพูดของโม่อวี่ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ส่งเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ!”
โม่อวี่ถูกเสียงหัวเราะของนางทำเอาตกอกตกใจ จึงกุมหน้าอกแล้วพูดขึ้น “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ทำไมถึงได้หัวเราะเหมือนป้าข้างบ้านเช่นนี้…”
เสียงหัวเราะของสวีโหย่วหรงค่อนข้างโผงผางหรืออาจพูดว่าเสียงดังดี สรุปแล้วเสียงหัวเราะของนางไม่เหมือนกับเด็กสาวอายุสิบหกปี แต่กลับเหมือนป้าที่ขายปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้อยู่ที่ปากตรอกไป่ฮวาผู้นั้น หรือจะพูดให้ตรงกว่าก็คือเหมือนป้าที่เล่นไพ่นกกระจอกกับนางในเมืองเล็กๆ ผู้นั้น
สวีโหย่วหรงเขินอายอยู่บ้าง รีบปรับท่าทีให้สงบลง “เจ้าดูเขาสิ อย่างกับเจ้าโง่ก็มิปาน”
ไหนเลยโม่อวี่จะมีแก่ใจมองดูเฉินฉางเซิงต่อ นางมองสวีโหย่วหรง มองจนเหม่อลอยไปแล้ว
นางจำได้อย่างชัดเจน ครั้งแรกที่ได้เจอกับสวีโหย่วหรงในปีนั้น สวีโหย่วหรงเพิ่งจะห้าปี ยังเป็นเด็กน้อยนางหนึ่ง แต่มักจะนั่งอย่างสงบ อ่านหนังสือแล้วก็ฝึกบำเพ็ญเพียร ศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง ราวกับธิดาเทพตัวน้อย
ไหนเลยจะเคยเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางเช่นนี้
“เจ้าคงจะไม่ได้…ชอบคนผู้นั้นขึ้นมาจริงๆ หรอกนะ”
โม่อวี่ตกตะลึงและกังวลเป็นอย่างมาก
งานเลี้ยงยามค่ำคืนในหอสุรา หลังจากเสียงหัวเราะในครั้งนี้จบลง พวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคนก็ปีนกำแพงกลับมาที่สำนักศึกษาศาสนาหลวง
เพิ่งจะเดินเข้ามาในอาคารหลังเล็ก ประตูของห้องที่อยู่ด้านข้างประตูอาคารก็เปิดออก พวกเขามองเข้าไปก็พบว่าเจ๋อซิ่วกำลังยืนพิงบานประตูอยู่ตรงนั้น
“ในที่สุดวันนี้ก็มีอารมณ์ลุกขึ้นมาเดินแล้วหรือ” ถังซานสือลิ่วพูดล้อเลียน
เจ๋อซิ่วไม่ได้สนใจเขา แต่มองไปทางเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “นางมาที่นี่”
“ใคร” เฉินฉางเซิงไม่ค่อยเข้าใจ
“สวีโหย่วหรง”
เมื่อพูดชื่อนี้เสร็จเจ๋อซิ่วก็ปิดประตูห้อง ดูท่าทางแล้วคงจะกลับไปนอนต่อ
หลังจากที่ทั้งสามคนได้ยินชื่อนี้ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก มองดูประตูห้องที่ปิดสนิทก็รู้ว่าในคืนนี้ตนเองคงยากจะนอนให้หลับแล้ว
ถังซานสือลิ่วเดินออกมาที่หน้าอาคารหลังเล็ก ขมวดคิ้วแล้วมองไปรอบด้าน หลังจากนั้นก็มองไปทางเฉินฉางเซิงอย่างรู้สึกผิดแล้วพูดขึ้น “เป็นไปได้ว่าจะเห็นที่พวกเราดื่มสุรากันเมื่อครู่ ขอโทษด้วย”
เฉินฉางเซิงกุมหน้า “ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ไปๆ เจ้าก็จะลากข้าให้ไปจนได้”
ถังซานสือลิ่วเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็ไม่พอใจขึ้นมา “เจ้าไม่ได้จะแต่งกับนาง และก็ไม่เห็นว่านางจะอยากแต่งกับเจ้า เจ้าจะกลัวอะไรนาง”
นั่นเองเฉินฉางเซิงถึงได้สติขึ้นมา ในใจก็คิดว่าจริงด้วย พลันรู้สึกขายหน้ากับท่าทางกุมหน้าอย่างกลัดกลุ้มของตนเมื่อครู่ยิ่งนัก เขาจึงแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง “ถูกแล้ว ต่อให้เห็นแล้วจะทำไม”
ถังซานสือลิ่วพูดล้อเลียน “จะมาแสร้งทำเป็นชายชาตรีอะไร มีปัญญาก็เอามือวางบนร่างของสตรีให้ได้สิ”
“ข้ามีโรครักความสะอาด” เฉินฉางเซิงมองเขากับซูโม่อวี๋แล้วตั้งใจอธิบาย “ข้าไม่ได้รังเกียจว่าพวกนางนั้นสกปรก เพียงแต่ในใจผ่านด่านนั้นไปไม่ได้”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจนัก “พวกข้ามีหรือจะไม่รู้ เจ้าไม่ได้รังเกียจว่าพวกนางสกปรก แต่เจ้ารังเกียจว่าทุกคนสกปรก”
ซูโม่อวี๋ที่นิ่งเงียบมาตลอดในตอนนี้พลันถามขึ้นอย่างกะทันหัน “ธิดาเทพมาที่สำนักศึกษาศาสนาหลวงทำไม”
“นั่นสิ” ถังซานสือลิ่วไม่พูดถากถางต่อ เขามองเฉินฉางเซิงแล้วถามอย่างจริงจัง “ใช่เป็นเพราะนางโกรธมากหรือไม่ ดังนั้นถึงได้แอบเข้ามา คิดจะใช้กระบี่แทงเจ้าให้ตาย” อึดใจให้หลังเขาก็พูดอย่างปลดปลง “นั่นเป็นการวางแผนฆ่าสามีของตัวเองโดยแท้”
คำพูดนี้ของเขาดูเหมือนจะไม่ได้เยาะเย้ยถากถาง แต่แท้จริงแล้วใจความกลับเยาะเย้ยถากถางกว่าเดิม
ซูโม่อวี๋ดูเหมือนจะเฉลียวฉลาด ความจริงแล้วยังคงทึ่มทื่อ “เพิ่งจะพูดไป ในเมื่อหนังสือสมรสถูกยกเลิกแล้ว เฉินฉางเซิงก็ไม่อาจมองธิดาเทพเป็นคู่หมั้นได้ เช่นนั้นต่อให้นางมาเพื่อแทงเฉินฉางเซิงให้ตายก็ไม่นับว่าเป็นการฆ่าสามีของตน สามารถพูดได้เพียงว่าเป็นการฆ่าคนโดยเจตนา”
ที่จริงหนังสือสมรสฉบับนั้นเฉินฉางเซิงได้ขอให้ใต้เท้าสังฆราชถอดถอนแล้ว แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาถึงไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ออกไป
ซูโม่อวี๋มองถังซานสือลิ่วแล้วพูดต่ออย่างลึกซึ้ง “อีกทั้งอย่างไรเสียนางก็เป็นธิดาเทพ เจ้าน่าจะเคารพนางสักหน่อย”
ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้ว “นอกจากต่อสู้เก่งกว่าข้า ข้าก็มองไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่จะต้องเคารพนาง”
เป็นในตอนนี้เอง เสียงของเจ๋อซิ่วก็ดังออกมาจากด้านในอาคารหลังเล็ก
“ข้าเคารพสวีโหย่วหรงเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ดังนั้นพวกเจ้าก็ควรจะเคารพนาง”
เรื่องราวได้พัฒนาไปไวกว่าที่คิดไว้มาก เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นก็มีศิษย์จากกองสิบสามชิงเย่ากับสำนักศึกษาหนานซีมาเยือนสำนักศึกษาศาสนาหลวง
เมื่อคิดว่าสวีโหย่วหรงเคยมาที่นี่ กระทั่งเป็นไปได้ว่าเคยเข้าไปในห้องของตน เฉินฉางเซิงก็รู้สึกไม่ปกติอยู่บ้าง ขนาดที่เมื่อคืนยังนอนหลับไม่สนิทเท่าไร ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าศิษย์ทั้งสามคนของกองสิบสามชิงเย่ากับสำนักศึกษาหนานซี ขอบตาจึงค่อนข้างดำคล้ำ มองดูแล้วมีความอ่อนแรงอยู่บ้าง ศิษย์พี่หญิงที่มาจากสำนักศึกษาหนานซีคิดถึงหอสุราที่เห็นตอนก่อนจะเข้าสำนักก็เกิดการคาดเดาขึ้นมา สายตาที่มองเขาจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความดูถูกอยู่บ้าง
ศิษย์พี่หญิงจากกองสิบสามชิงเย่าผู้นั้น เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วเคยเจอที่สวนโจวมาก่อน นับว่ารู้จักกัน นางจึงยิ้มขึ้นมาอย่างค่อนข้างอึดอัด ไม่ได้พูดคุยอะไรก็ส่งจดหมายมาให้
ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนที่ศาสนาหลวงจัดการประลองระหว่างสำนักขึ้น สำนักศึกษาศาสนาหลวงก็ได้รับจดหมายประเภทนี้มานับไม่ถ้วน แต่ตอนที่เฉินฉางเซิงรับจดหมายมาก็ยังคงรู้สึกหนักหน่วงอยู่บ้าง
จดหมายก็คือจดหมายท้าประลองที่เห็นบ่อยๆ แต่คนนั้นกลับพิเศษอย่างมาก นั่นก็คือสวีโหย่วหรง
ทั่วทั้งผืนพิภพล้วนรอคอยการต่อสู้ครั้งนี้ และมันก็มาอย่างเด็ดขาดเช่นนี้
เฉินฉางเซิงเปิดอ่านอย่างจริงจังรอบหนึ่ง ดูจากตัวอักษรแล้วน่าจะไม่ใช่ลายมือของสวีโหย่วหรง ในนั้นไม่ได้มีเนื้อหาอะไรเป็นพิเศษ สำคัญที่สุดก็คือวันเวลากับสถานที่
เวลาคือเจ็ดวันให้หลัง
สถานที่คือบนสะพานไน่เหอ
* เจ้าเจี่ยว เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง กิ่งมีหนาม ใบซ้อนรูปนก ช่อดอกเป็นพวง ดอกสีเหลืองอ่อน ผลเป็นฝักแบนสีน้ำตาล ใช้ซักเสื้อผ้า และทำความสะอาดร่างกายต่างสบู่ได้