• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา บทที่7-10

     

    ตอนที่ 7

    การพบกันของเฉินและถัง

    ขณะนี้ถึงเวลาที่ธูปไหม้หมดแล้ว มีเสียงระฆังดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าการสอบสิ้นสุดลง เฉินฉางเซิงเดินตามกลุ่มคนออกมาจากสิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้ใส่ใจสายตาที่จ้องมองเขาด้วยความแปลกประหลาด มุ่งไปข้างหน้าตามคำชี้แนะเพื่อไปยังแผ่นหินประกาศรายชื่อที่อยู่ด้านหลังทะเลสาบ รอผลการทดสอบในช่วงสุดท้าย

    คนส่วนใหญ่ยังอยู่บนสิ่งปลูกสร้างหลังนั้น เปรียบเทียบคำตอบของกันและกัน หรือไม่ก็ถกเถียงกันถึงความยากของข้อสอบ ตอนที่เขาเดินมาถึงด้านหลังของทะเลสาบ แผ่นหินยังคงสงบนิ่ง มีเพียงชื่อเดียวเปล่งแสงสว่างไสว นั่นเป็นชื่อของเด็กหนุ่มอาภรณ์ครามผู้ซึ่งยามนี้กำลังยืนอยู่ริมทะเลสาบ แน่นอนว่านั่นหมายถึงเจ้าตัวผ่านการทดสอบ เฉินฉางเซิงคิดว่าผู้มีพรสวรรค์คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโอหังถือดี เขาจึงไม่ได้เดินไปตรงนั้น แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะเดินเข้ามาหา

    “ข้าชื่อถังซานสือลิ่ว” เด็กหนุ่มอาภรณ์ครามเอ่ย

    เฉินฉางเซิงตกตะลึงเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเอ่ยวาจากับเขาก่อน เขาจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ กล่าวตอบอย่างมีมารยาท “ข้าแซ่เฉิน นามว่าฉางเซิง”

    ถังซานสือลิ่วตะลึงงันราวกับไม่คาดคิดว่าชื่อของเด็กหนุ่มจะธรรมดาขนาดนี้ ต่อให้เป็นในหมู่บ้านชนบทก็คงจะไม่มีใครตั้งชื่อบุตรชายของตนเช่นนี้แน่ เขาเงียบอยู่ชั่วขณะ หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า “ชื่อนี้มีความจริงใจ ข้าคงไม่อาจพูดได้ว่าด้อย”

    เฉินฉางเซิงในใจคิดว่าชื่อของอีกฝ่ายก็แปลกอย่างยิ่งเหมือนกันนั่นล่ะ

    “ข้าชื่อเฉินฉางเซิง เมื่อตอนเด็กข้าเคยป่วย อาจารย์หวังให้ข้ามีอายุยืนยาวร้อยปีจึงตั้งชื่อนี้ให้ เจ้าล่ะ เหตุใดถึงชื่อถังซานสือลิ่ว หรือว่าเจ้าเป็นอันดับที่สามสิบหกของคนในบ้าน บ้านของเจ้าเหตุใดถึงมีคนเยอะมากมายนัก บ้านของเจ้าอยู่ไหน มีพี่น้องมากมายเช่นนี้เวลาอ่านตำราเสียงดังหรือไม่”

    ถังซานสือลิ่วนิ่งอึ้ง

    การที่ฝ่ายตรงข้ามถามความเป็นมาของชื่อของตนต่อหน้าเช่นนี้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีมารยาทนัก ยิ่งกว่านั้นเขาเป็นคนค่อนข้างเย็นชา คนแปลกหน้าไม่เคยเข้าใกล้ ผู้คนเหล่านั้นที่ไม่รู้ความเป็นมาของชื่อเขาเกรงว่าไม่ว่าจะแปลกใจแค่ไหนแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็คงต้องสะกดกลั้นความสงสัยไว้ ไม่ถามออกมา ถังซานสือลิ่วจึงคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนี้กลับถามออกมาอย่างสบายๆ และยังมีคำถามตามมาอีกมากมาย

    ที่จริงแล้วเฉินฉางเซิงมีความคิดเรียบง่าย เขาไม่คุ้นเคยกับเมืองจิงตูที่ผู้คนเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน สำนักเทียนเต้าวางตัวสูงส่ง ยามนี้เห็นอย่างชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามทั้งที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ แต่กลับเป็นฝ่ายอยากสนิทกับตนก่อน ตามเหตุตามผลตนควรจะส่งไมตรีจิตและเจตนาที่ดีกลับไป หากก็ไม่รู้จะพูดคุยเรื่องอะไรดี

    เขาเติบโตมากับอาจารย์และศิษย์พี่ อาจารย์เป็นคนพูดน้อย ศิษย์พี่ยิ่งไม่ชอบพูดคุย ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าการกล่าวทักทายควรจะเป็นอย่างไร แม้เขาอยากจะมอบน้ำใจกลับคืนให้ฝ่ายตรงข้าม แต่ดูเหมือนว่าคำถามเขาจะหยาบกระด้างและฟังไม่ระรื่นหู อาจทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย ดังเช่นเมื่อวานตอนที่อยู่จวนขุนพลเทพ

    ทว่าสิ่งที่น่าสนใจก็คือถังซานสือลิ่วไม่มีอาการไม่ยินดีด้วยเหตุนี้ ตรงกันข้ามกลับคิดว่าเฉินฉางเซิงผู้นี้เป็นคนที่ซื่อตรงชัดเจนอย่างยิ่ง ถังซานสือลิ่วชีวิตนี้สิ่งที่อยากทำที่สุดคือการเป็นคนจริง ที่ผ่านมาเขาพบเจอแต่คนที่โกหกหลอกลวง ดังนั้นการได้บังเอิญพบเจอคนเช่นเฉินฉางเซิง เขาจึงพึงพอใจอย่างยิ่ง

    “ตระกูลของข้ามีคนรุ่นเดียวกันกับข้ามากมาย แต่ตอนอ่านตำราก็ล้วนอ่านอยู่ที่บ้านของตน ดังนั้นจึงไม่เสียงดัง ถึงแม้ข้าชื่อถังซานสือลิ่ว แต่ไม่ใช่เพราะข้าเป็นอันดับที่สามสิบหกของบ้าน เป็นเพราะเมื่อปีก่อนตอนที่ข้าอายุสิบห้าปีข้าเข้าสอบเป็นครั้งแรกและได้อันดับที่สามสิบหกของทำเนียบชิงอวิ๋น ข้าคิดว่ามันช่างน่าอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับสตรีนางนั้นและลูกหมาป่านั่น ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นถังซานสือลิ่วเพื่อย้ำเตือนถึงความสามารถที่ไม่เอาไหนของตน…อืม เหมือนว่าคำถามที่เจ้าถามมาข้าล้วนตอบหมดแล้ว…ใช่ ตอบหมดแล้ว”

    นับแต่เฉินฉางเซิงออกจากซีหนิง มาถึงเมืองจิงตูที่เจริญรุ่งเรือง นี่เป็นครั้งแรกที่นับว่าเริ่มคบค้าสมาคมกับผู้อื่น เช่นเดียวกับถังซานสือลิ่วที่ออกจากเวิ่นสุ่ย หลังจากมาถึงจิงตู นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มคบค้าสมาคมกับผู้อื่น เวลานี้เฉินฉางเซิงอายุสิบสี่ปี ถังซานสือลิ่วใกล้จะครบสิบหกปี ต่างก็มีด้านที่ไร้เดียงสาเช่นเด็กน้อยอยู่บ้าง การคบค้าสมาคมครั้งนี้ไม่ต้องมีข้อสงสัยว่าจะไม่งดงาม ทั้งมีความน่าสนใจและดูขบขัน แต่รับประกันได้เลยว่าเมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป การคบค้าสมาคมครั้งนี้จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ อาจกล่าวได้ว่ามีบทบาทพอๆ กับการทำสัญญาสงบศึกระหว่างจักรพรรดิไท่จงกับราชาแห่งเผ่าปีศาจเลยทีเดียว

    “เจ้าตอบข้อสอบไปกี่ข้อ”

    ถังซานสือลิ่วเอ่ยถาม ที่จริงแล้วเขามีความสนใจในการสอบข้อเขียนนี้ เพราะเขาคิดว่าแม้เฉินฉางเซิงจะเป็นเพียงคนธรรมดา แต่…คงจะไม่ใช่คนธรรมดา ขณะจ้องมองใบหน้าขาวซีดของเฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วถึงพบว่าตนถามคำถามที่ไม่เหมาะสมออกไป ข้อสอบเหล่านั้นประหนึ่งมหาสมุทรก็มิปาน ขนาดเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์เพียงนี้ยังรู้สึกว่าการทำข้อสอบเป็นเรื่องที่เหนื่อยยากยิ่งนัก ดูท่าพลังจิตของเฉินฉางเซิงคงจะเสียหายอย่างหนัก ผลที่ออกมาคงไม่ค่อยจะดีนัก

    “มีคำถามบางข้อเกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ข้าตอบไม่ได้ สัมผัสเทพ พลังปราณ ยังมีเรื่องการรวบรวมดาว…”

    เฉินฉางเซิงตอบด้วยความสัตย์จริง ในใจก็คิดว่าตนช่างโชคดีอย่างมิคาดหมายที่เมื่อตอนเยาว์วัยได้ท่องคัมภีร์เต๋ามากมาย คำถามเหล่านั้นลึกซึ้งเข้าใจยาก แต่สำหรับเขาแล้วพูดได้ว่าไม่ยากแต่อย่างใด ขณะที่คำถามที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรเขาไม่ได้ตอบ โชคดีที่นี่เป็นเพียงแค่การสอบรับศิษย์ใหม่เข้าศึกษาในสำนัก คำถามเหล่านั้นจึงมีไม่มาก

    ถังซานสือลิ่วได้ฟังดูแล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ที่ตอบไม่ได้มีเพียงแค่นี้? คำถามที่เหลือเจ้าเด็กนี่ตอบได้หมดเลย? ตอนนั้นเองเขาก็สังเกตเห็นว่าที่อีกฟากของทะเลสาบ อาจารย์ท่านหนึ่งกำลังหอบข้อสอบหนาปึกก้าวเดินอย่างเร่งรีบไปยังสิ่งปลูกสร้างอีกแห่ง ดูท่าอาจารย์ท่านนั้นคงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตอนที่ก้าวขึ้นขั้นบันไดหินถึงได้เกือบจะหกล้มเช่นนั้น ถังซานสือลิ่วตกตะลึงไปขณะหนึ่งพลางคิดถึงคำพูดของเฉินฉางเซิง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหลือเชื่อ หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะทำให้คนตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ

    “ข้อที่เหลือ…เจ้าแน่ใจว่าตนเองตอบได้หมด?”

    “ข้าไม่กล้าพูดว่าแน่ใจ คาถาใจพิสุทธิ์เทพไท่ซั่งมีสองฉบับ ตอนที่ก่อตั้งศาสนาหลวงขึ้นในปีนั้นได้มีการเขียนแก้ไขใหม่หนึ่งครั้ง หลังจากนั้นทุกคนก็ยึดฉบับที่แก้ไขใหม่เป็นหลักมาตลอด แต่คำถามที่ถามคือก่อนปีพัน

    ห้าร้อยเจ็ดสิบสาม ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ว่าต้องยึดฉบับไหนมาตอบคำถาม สุดท้ายใช้ทั้งสองฉบับมาเป็นหลักในการตอบ เพียงแต่เกรงว่าจะทำให้อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบรู้สึกไม่ยินดีจนหักคะแนน”

    ถังซานสือลิ่วได้ฟังประโยคดังกล่าวก็นิ่งเงียบไป

    ข้อสอบข้อนั้นเขาตอบไปแค่คำตอบเดียว เพราะเขารู้จักคาถานั่นเพียงแค่ฉบับเดียว

    เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงพลางกล่าวว่า “ข้าเคยคิดว่าตัวเองและอาจจะมีอีกจำนวนหนึ่งเป็นคนที่ถือดีที่สุดในรุ่น คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังถือดียิ่งกว่าข้าเสียอีก”

    เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ ในใจโต้แย้งว่าตนนั้นถือดีตรงไหน

     

    ผลการสอบประกาศอันดับออกมาแล้ว

    ไม่มีชื่อของเฉินฉางเซิงอยู่บนนั้น

    เฉินฉางเซิงยืนอยู่ด้านล่างของป้ายประกาศ นิ่งเงียบเป็นเวลานาน

    ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นจ้องมองเฉินฉางเซิงด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร ไม่ปิดบังแววเยาะเย้ยถากถางและเหยียดหยาม ถ้าหากไม่ใช่เพราะถังซานสือลิ่วยืนอยู่ข้างๆ เขา เวลานี้คงจะมีคำพูดที่ไม่น่าฟังออกมามากมายแล้ว

    “ข้าไม่เข้าใจ” เฉินฉางเซิงกล่าว

    ถังซานสือลิ่วก็ไม่เข้าใจ เขาเชื่อว่าเด็กหนุ่มที่ทำให้เขารู้สึกสนิทใจด้วยจะไม่พูดหลอกลวง ในเมื่อเจ้าตัวบอกเองว่าตอบคำถามส่วนใหญ่ได้ เช่นนั้นก็คือตอบได้ ว่ากันตามคะแนน ต่อให้ไม่ได้อยู่อันดับสูงสุด แต่การมีชื่อขึ้นอยู่บนประกาศนั้นนับว่าเหลือเฟือ

    เฉินฉางเซิงไปหาอาจารย์ที่รับผิดชอบการทดสอบหินเหนี่ยวนำท่านนั้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าต้องการตรวจสอบข้อสอบของข้า”

    อาจารย์ท่านนั้นกำลังจัดการเรื่องสัพเพเหระ ไม่ได้มองสบสายตาที่สงบนิ่งและเด็ดเดี่ยวของเขาโดยตรงขณะเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าอ้างกฎระเบียบเพื่อที่จะได้มีคุณสมบัติในการสอบข้อเขียน เช่นนั้นก็น่าจะรู้ว่าข้อสอบของสำนักเทียนเต้าแต่ไหนแต่ไรมาไม่อนุญาตให้มีการตรวจสอบซ้ำ นี่ถือเป็นการให้เกียรติต่อสำนักเทียนเต้า เจ้าสอบไม่ได้ก็คือสอบไม่ได้”

    เฉินฉางเซิงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างนิ่งเงียบเป็นเวลานาน แล้วจึงหมุนตัวจากไป

     

    “ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กนั่นจะไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่ข้าก็รู้ได้ว่าเขาอยากพูดอะไร…เด็กหนุ่มที่กำลังโกรธแต่ไม่ผรุสวาทออกมาเช่นนี้ช่างน่าสรรเสริญอย่างยิ่ง” ถังซานสือลิ่วจ้องมองเฉินฉางเซิงจนเงาแผ่นหลังของอีกฝ่ายลับหายไป จากนั้นหันกลับไปจ้องมองคนที่ยืนอยู่ข้างตัว กล่าวถากถางว่า “คนที่มีพรสวรรค์เยี่ยงนี้ แต่สำนักเทียนเต้ากล้าที่จะไม่รับ ช่างน่าสรรเสริญจริงๆ”

    “เจ้าอายุมากกว่าเขาเพียงแค่สองปี การที่เจ้าเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เจ้าเด็กนั่น’ ก็น่าสนใจจริงๆ” รองเจ้าสำนักเทียนเต้ากล่าวต่อ “ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาอยากจะพูดอะไร”

    “เขาอยากจะพูดว่าพวกเจ้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน…ที่ข้ารู้เพราะถ้าข้าได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้ คงจะพูดประโยคนี้ออกมาเป็นแน่”

    “สำนักเทียนเต้าปฏิเสธคนธรรมดาคนหนึ่งถึงกับจะต้องเสียใจภายหลังเลยรึ”

    “เขาไม่ใช่คนธรรมดา เขามีพรสวรรค์ดังเช่นข้า”

    รองเจ้าสำนักเทียนเต้าหลังจากสงบนิ่งไปชั่วขณะจึงเอ่ยว่า “ข้าเห็นข้อสอบของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียร แต่มีความรอบรู้และความสามารถแยกแยะได้อย่างเฉียบขาดเช่นนี้ ที่จริงสามารถกล่าวได้ว่าคือผู้มีพรสวรรค์ นำไปเทียบกับหวังจือเช่อในปีนั้นก็คงจะห่างกันไม่มาก หากว่าเป็นยามปกติข้าจะรับเขาเข้าสำนักอย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็จะอบรมสั่งสอนเขาด้วยตนเอง แต่น่าเสียดายที่ครานี้ไม่ได้”

    ถังซานสือลิ่วจ้องเขาแล้วถามกลับ “เพราะเหตุใดถึงไม่ได้”

    “เพราะมีคนสั่งมา” รองเจ้าสำนักกล่าว

    “ใคร”

    “ท่านขุนพลเทพ”

    “ผืนพิภพในเวลานี้มีหนึ่งผู้ครองภพ ห้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ลมฝนแปดทิศ บนทำเนียบเซียวเหยามีผู้เก่งกาจนับไม่ถ้วน ยังไม่นับพวกเผ่าปีศาจที่ซุกซ่อนอยู่ตามป่ารกร้างอีก สามสิบแปดขุนพลเทพถึงแม้จะมีอำนาจ…แต่สำนักเทียนเต้าคือสถานที่เช่นไร ข้านึกไม่ถึงเลยว่ายังต้องฟังคำสั่งจากจวนขุนพลเทพด้วย”

    “บิดาของเจ้ายกเจ้าให้อยู่ในความดูแลของข้า ดังนั้นเรื่องนี้ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า แต่ไม่อนุญาตให้เจ้าไปพูดที่อื่น…หากเป็นแค่จวนขุนพลเทพธรรมดานั้นไม่มีผลกระทบต่อสำนักเทียนเต้าของพวกเรา แต่จวนขุนพลเทพแห่งนั้นไม่เหมือนกัน เหตุเพราะเป็นจวนขุนพลเทพตงอวี้ เจ้าของจวนมีชื่อว่าสวีซื่อจี้”

    “สวีซื่อจี้…แม้จะเป็นคนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เชื่อใจ กำลังความสามารถแข็งแกร่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงแค่ขุนพลเทพอยู่ดีมิใช่หรือ”

    “จวนของเขามีหงส์ตัวหนึ่ง…”

    หลังจากถังซานสือลิ่วได้ยินคำว่า ‘หงส์’ คำนี้ก็ยากที่จะรักษาความเฉยเมยและทะนงตนไว้ได้ นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน พึมพำกับตนเอง “…เจ้าเด็กเฉินฉางเซิง นึกไม่ถึงว่าเบื้องหลังถึงกับมีเรื่องกับหงส์ตัวนั้น แท้จริงแล้วเขาเป็นใครกันแน่”

    รองเจ้าสำนักกล่าวด้วยความสงบ “ไม่ต้องสนใจว่าเป็นใคร สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีที่ยังไม่เริ่มบำเพ็ญเพียร บนโลกนี้มีผู้มีพรสวรรค์มากมาย ถึงแม้เขาจะมีคุณสมบัติแต่แล้วอย่างไรเล่า ก่อนหน้านี้นำเขาเปรียบเทียบกับหวังจือเช่อ ถ้าหากเขามีความเด็ดเดี่ยวและได้รับโอกาสเหมือนหวังจือเช่อจริง จะเข้ามาอยู่ที่สำนักเทียนเต้าหรือไม่ก็ไม่ได้มีผลอะไรไม่ใช่รึ”

     

    เฉินฉางเซิงย่อมไม่รู้ว่าที่ตนสอบไม่ผ่านนั้นเกี่ยวข้องกับจวนขุนพลเทพ เขาคิดว่าเป็นเพราะผู้มีอำนาจบางคนในเมืองจิงตูเล่นไม่ซื่อ นำชื่อคนของพวกเขามาแทนชื่อตน ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งลงจากเขาเหยียบย่างสู่โลกมนุษย์ แต่เขาเคยอ่านเจอมาไม่น้อย ผู้คนในโลกล้วนลวงหลอกกันไปลวงหลอกกันมา เขาจึงทำได้เพียงแค่นิ่งเงียบ ตัวเขาในตอนนี้นอกจากนิ่งเงียบแล้วยังจะทำอะไรได้อีก

    เด็กหนุ่มออกจากสำนักเทียนเต้ามุ่งไปยังสำนักแห่งที่สองในรายชื่อ ยังคงไม่ได้ระแวดระวังว่ารถม้าที่มีสัญลักษณ์ของหงส์ตามตนอยู่ห่างๆ

     

    ตอนที่ 8

    เด็ดดารา

    ทุกวันนี้แนวทางการบำเพ็ญเพียรยึดตามหลักการของศาสนาหลวงที่กล่าวว่าแหล่งกำเนิดสำคัญที่สุดของพลังปราณก็คือดวงดาวที่ดารดาษเต็มท้องฟ้า สิ่งที่ศาสนาหลวงให้ความสำคัญคือคำว่าแสงสว่าง แต่แสงสว่างที่เปล่งประกายโอบท้องนภายามราตรีแท้จริงแล้วก็คือแสงของสรรพดาราที่ส่องสะท้อนไปทั่วทั้งผืนปฐพี มอบพลังให้แก่โลกมนุษย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกายของคนธรรมดา ซึ่งนี่เองคือจุดมุ่งหมายของการบำเพ็ญเพียร จากจุดนี้ทำให้เห็นถึงความสำคัญของ ‘ดวงดาว’ ทุกแคว้นทุกสำนักล้วนแต่มีแท่นดูดาว แผ่นดินต้าโจวมีหอชมดาวที่มีชื่อเสียงนับไม่ถ้วน มีไม่น้อยที่ตั้งชื่อโดยมีคำว่าดาวหรือดารา ล้วนแต่เป็นชื่อที่ฟังดูสูงส่ง มิเช่นนั้นจะเป็นการไม่เคารพหรือแสดงถึงความไร้ศรัทธา

    แต่บนใบรายชื่อในมือของเฉินฉางเซิง สำนักอันดับสองกลับชื่อว่า ‘สำนักไจซิง’ ซึ่งแปลว่า ‘เด็ดดารา’

    ชื่อของสำนักนี้เต็มไปด้วยความเหิมเกริม ให้ความรู้สึกของการตั้งตนเป็นใหญ่ ทว่าศาสนาหลวงกลับไม่มีความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น

    นั่นเป็นเพราะในใต้หล้านี้มีเพียงสำนักนี้เท่านั้นที่กล้าใช้ชื่อทำนองนี้ และมีคุณสมบัติพอที่จะใช้ชื่อนี้

    สำนักแห่งนี้ขึ้นตรงต่อกองทัพต้าโจว หลายปีมานี้ได้สร้างคนหนุ่มที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวนับไม่ถ้วน ก้าวเดินออกจากสำนักประหนึ่งกลุ่มดาวแห่งขุนพล หลายปีก่อนในศึกกับเผ่าปีศาจที่ทั่วหล้าหวาดกลัว ในคราวคับขัน ตั้งแต่เจ้าสำนักจนถึงลูกศิษย์ธรรมดาของสำนักไจซิงต่างพากันรีบเร่งออกไปสนามรบ ข้างหน้าพลาดท่าเสียทีล้มลง ข้างหลังกระโจนเข้าสู้ต่ออย่างมิขาดสาย คนล้มตายในสนามรบประหนึ่งเม็ดทรายในทะเล มหาศาลมากมายสุดลูกหูลูกตา หลังจากการรบสิ้นสุดลง สำนักไจซิงจึงได้รับความเคารพยกย่องจากคนทั่วหล้าและมีอำนาจอย่างยากที่ผู้ใดจะตีเสมอได้

    เพราะเหตุนี้ อย่าว่าแต่เด็ดดาราเลย ถึงแม้จะเอาคำว่าเผาดารามาตั้งเป็นชื่อสำนักก็คงจะไม่มีผู้ใดกล้าออกความคิดเห็นอยู่ดี

    ผู้คนบนโลกใบนี้ต่างเข้าใจประวัติศาสตร์ที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเกียรติยศของสำนักไจซิงแห่งนี้ เฉินฉางเซิงก็ไม่เว้น ที่จริงแล้วในความคิดและมุมมองของเขาจัดให้สำนักไจซิงอยู่อันดับแรกสุด ดังนั้นการที่ไม่สามารถสอบเข้าสำนักเทียนเต้าได้แม้จะทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาเชื่อมั่นว่าสำนักไจซิงคงจะไม่ปฏิบัติในสิ่งที่มิชอบธรรมดังเช่นสำนักเทียนเต้าเป็นแน่ หรืออย่างน้อยก็คงจะไม่ปฏิบัติอย่างออกนอกหน้าเช่นนั้น ขณะที่คิดดังนี้เขาก็เดินมาถึงสำนักไจซิงที่มีกลิ่นอายของความเคร่งครัด เตรียมตัวที่จะลงสนามสอบที่สอง

    สำนักไจซิงและสำนักเทียนเต้าไม่เหมือนกันเลย ด้านนอกประตูใหญ่แม้รายล้อมไปด้วยผู้คนแน่นขนัดพอๆ กัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาดุจเหยี่ยวของทหารผู้เกรียงไกรซึ่งมีอาวุธครบมือตรงทางเข้าประตู หรือเป็นเพราะแผ่นหินที่เต็มไปด้วยรายชื่อของขุนพลที่เสียสละเพื่อชาติ จึงทำให้ผู้คนรู้สึกสำรวม ทั่วทั้งลานเงียบสงัด มีใบสมัครให้กรอกอย่างเรียบง่าย รับเอาหมายเลข แล้วก็มีนายทหารพาคนที่รอการสอบเดินเข้าไปในสำนัก

    ทำนองเดียวกับสำนักเทียนเต้า สำนักไจซิงก็ได้เตรียมการทดสอบก่อนการสอบข้อเขียนไว้เช่นกัน จุดประสงค์ก็เพื่อคัดคนธรรมดาที่ยังไม่สำเร็จขั้นชำระล้างกระดูกออกเพื่อให้คนของสำนักทำงานลดลงในขั้นตอนของการสอบคัดเลือกอย่างเป็นทางการ เนื่องจากสำนักไจซิงโดยเนื้อแท้มีความเป็นทหาร วิธีการจึงทำอย่างตรงไปตรงมามากกว่าสำนักเทียนเต้า ที่นี่ไม่ได้มีหินเหนี่ยวนำ มีเพียงแค่จานหินแผ่นหนึ่ง

    จานหินแผ่นนี้ใหญ่มาก คล้ายกับจานรองโม่หิน ในความเป็นจริงแล้วมันก็คือจานรองโม่หินนั่นเอง ขนมาจากแท่นโม่หินที่อยู่ด้านหลังห้องครัวของสำนักไจซิงเพื่อใช้ชั่วคราว หนักสามร้อยชั่ง คนที่สามารถยกจานรองโม่หินแล้วเดินขึ้นบันไดหินไปได้สามสิบขั้นเท่ากับผ่านการทดสอบด่านแรกไปได้ มีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบคัดเลือกอย่างเป็นทางการ

    น้ำหนักสามร้อยชั่ง นอกจากสำเร็จการชำระล้างกระดูกจนกล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแกร่งก็ยากยิ่งนักที่คนธรรมดาจะยกขึ้น แล้วยังต้องเดินขึ้นบันไดหินที่มีระยะทางยืดยาวอีก คนจำนวนมากที่ยังไม่สำเร็จขั้นชำระล้างกระดูกพอมองไปที่จานหินแผ่นนั้นก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี หลายคนหน้าม่อยคอตกถอยกลับไป ในบรรดานั้นมีกระทั่งคนที่สำเร็จขั้นชำระล้างกระดูกด้วยซ้ำ แม้ไม่ยินยอมแต่กลับต้องจำใจล้มเลิก แน่นอนว่าย่อมมีเด็กหนุ่มธรรมดาที่กล้าหาญ คิดใช้พลังร่างกายแต่ดั้งเดิมของตนมาทดลองฝีมือ หากกลับไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ

    ผู้ที่ยังไม่สำเร็จการชำระล้างกระดูกและสามารถยกจานหินแผ่นนั้นขึ้นได้ ในประวัติศาสตร์การสอบคัดเลือกศิษย์ใหม่ของสำนักไจซิงใช่ว่าไม่เคยมี ดังเช่นขุนพลเทพไป๋หู่ (พยัคฆ์ขาว) ที่ตอนนี้เป็นผู้พิทักษ์ด่านเฉียหลัน ในปีนั้นเขาได้เข้าสำนักทั้งที่ยังไม่สำเร็จขั้นชำระล้างกระดูก อาศัยเพียงพละกำลังที่มีมาแต่กำเนิดยกจานแผ่นนั้นโยนไปยังทะเลสาบอย่างง่ายดาย…

    แต่ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร สุดท้ายแล้วเรื่องทำนองนี้ก็ไม่ได้พบเห็นบ่อย

    อาจารย์ผู้คุมการทดสอบมองดูเวลาแล้วตัดสินใจเร่งการทดสอบให้เร็วขึ้น สั่งผู้เข้ารับการทดสอบให้รายงานระดับขั้นการฝึกบำเพ็ญ แล้วให้คนที่สำเร็จขั้นชำระล้างกระดูกแล้วเข้าทดสอบก่อน หลังจากนั้นถึงจะให้คนธรรมดาทดลองดู

    น่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ผ่านพ้นไปครึ่งค่อนวันยังคงไม่มีคนธรรมดาคนไหนที่สร้างปาฏิหาริย์ได้

    ผู้คนที่มามุงดูรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจก็เตรียมตัวจะจากไป แต่แล้วพลันมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ในมือถือป้ายหมายเลข เดินเข้าไปในสนามทดสอบ ยกจานหินแผ่นนั้นอย่างสบายมือ ตึงๆๆ แม้แต่ขึ้นบันไดหินสามสิบขั้นก็ยังไม่หอบหายใจ หน้าไม่แดง ยิ่งไปกว่านั้นยังแบกจานหินนั่นกลับมายังที่เดิมด้วย!

    ทั่วบริเวณเกิดเสียงดังอื้ออึง

    เด็กหนุ่มคนนั้นยกมือขึ้นโบกไปรอบๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดหินอีกครั้งด้วยความหยิ่งผยอง ตรงเข้าไปยังด้านในของสำนัก ที่น่าสนใจก็คือเขามีใบหน้าและบุคลิกที่ดูซื่อตรงเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้แสดงท่าทีหยิ่งผยองเพียงใด แต่ในสายตาของผู้คนก็เห็นเป็นเพียงแค่ความเก้ๆ กังๆ ดูน่าขบขันเท่านั้น ไม่มีการด่าทอใดๆ มีเพียงเสียงหัวเราะระคนเอ็นดู

    ลับหลังเด็กหนุ่มไปแล้วก็เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าที่แท้อีกฝ่ายคือใครกัน มีคนคนหนึ่งพูดขึ้นว่าได้สังเกตเห็นรอยตราสีฟ้าจางที่ข้อเท้าของเด็กหนุ่มผู้นั้น และนั่นทำให้ทั้งบริเวณเงียบกริบลงอีกครั้ง เพราะมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะมีเชื้อสายของเผ่ามาร!

    หลายร้อยปีมานี้ เพราะครั้งหนึ่งเผ่ามนุษย์และเผ่ามารเคยร่วมมือกันต่อต้านเผ่าปีศาจ แม้จะบอกไม่ได้ว่ามีความสัมพันธ์อย่างเป็นมิตร แต่ก็นับว่าอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบเรียบร้อย เผ่ามารชั้นสูงที่สามารถจำแลงกายได้บางตระกูลถึงขั้นอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ด้วยซ้ำ ในจิงตูเมืองหลวงแคว้นต้าโจวเองก็ต้องมีแน่นอน เพียงแต่มนุษย์กับมารนั้นอย่างไรเสียยังคงแตกต่าง เอาเป็นว่าขอเพียงแค่พวกเผ่ามารเหล่านั้นไม่ก่อเรื่องวุ่นวายก็พอ

    เมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำที่ถูกสงสัยว่าเป็นเผ่ามารยกจานหินสำเร็จก็คล้ายกับเป็นการผลักประตูบานหนึ่งให้เปิดออก เพราะหลังจากนั้นเด็กหนุ่มสองคนที่มาจากหมู่บ้านนายพรานบนขุนเขาต้าเหล่าเองก็ทำสำเร็จ อาศัยเพียงพละกำลังก็ยกจานหินเดินขึ้นบันไดหินไป แม้จะเห็นได้ชัดว่ายากลำบาก แต่เมื่อทำสำเร็จแล้วก็ตะโกนดีใจอยู่พักหนึ่ง

    ข้างบนบันไดหินมีนายทหารกำลังถือพู่กันจดบันทึก เขาพยักหน้าเล็กน้อย ดูท่าแล้วคงพึงพอใจกับคะแนนสอบของปีนี้

    เวลาล่วงเลยไป ในที่สุดก็ถึงตาเฉินฉางเซิง ผู้คนที่มามุงดูจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่ม ช่วยส่งเสียงให้กำลังใจด้วยเจตนาอันดี แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะเห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนี้เยาว์วัยยิ่งนัก ร่างกายยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเด็กหนุ่มเผ่ามารร่างกายสูงใหญ่กำยำนั่น แม้แต่สองคนนั้นจากหมู่บ้านนายพรานก็ยังห่างไกลยิ่งนัก มองอย่างไรก็ไม่มีทางที่เจ้าตัวจะยกจานหินที่หนักอึ้งขึ้นได้

    ที่สำนักเทียนเต้า เฉินฉางเซิงอาศัยช่องโหว่ในกฎระเบียบของสำนัก ผ่านด่านคัดกรองเฉพาะผู้ที่สำเร็จขั้นชำระล้างกระดูก แต่ในเวลานี้เขาอยู่ที่สำนักไจซิง ทั้งที่เขาสามารถคิดถึงวิธีอื่นได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศของสำนักที่สง่างามทว่าเร่าร้อนฮึกเหิมนี้หรือไม่ หรือเพียงแค่อยากจะลองดูสักหน่อย เขาจึงไม่ได้คิดหาช่องโหว่ในกฎระเบียบหรือวิธีการเอาตัวรอดอื่นใด

    เขาเดินไปถึงด้านหน้าของจานหิน ค่อยๆ ย่อลงไป มือทั้งสองจับสองข้างของจานหิน สูดลมหายใจเข้าและออกยาวลึกอย่างช้าๆ ห้าครั้ง เคลื่อนพลังทั้งหมดจากเอวไปยังแขนขา ร้องฮึบเสียงต่ำหนึ่งที ทันใดนั้นพลันออกแรง!

    เบื้องหน้าขั้นบันไดสูงชันเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดไปทั้งหมด ผู้คนที่กำลังคุยพูดเหล่านั้นงงงันจนลืมคำที่จะพูดต่อ อ้าปากค้างจ้องมองไปยังสนามทดสอบ

    จานหินค่อยๆ ถูกยกขึ้น ในที่สุดก็ถูกเฉินฉางเซิงยกขึ้นมาถึงระดับหน้าอก ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ผ่านเกณฑ์การทดสอบหนึ่งช่วงนิ้วมือพอดิบพอดี

    ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย แต่ท่าทางที่แสดงออกมายังนับว่าสงบนิ่ง ในแววตาของเฉินฉางเซิงมองไม่เห็นความรู้สึกสับสนวุ่นวายและตื่นตระหนกแต่อย่างใด

    เฮ! ในสนามมีเสียงกู่ร้องด้วยความยินดีอย่างคึกคัก ทุกคนไม่หยุดที่จะช่วยกันส่งเสียงปลุกใจเด็กหนุ่ม พากันกู่ร้องเป็นจังหวะ ราวกับปรารถนาจะใช้เสียงช่วยเขายกเท้าก้าวเดิน

    เฉินฉางเซิงเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เพียงแค่หนึ่งก้าวหัวเข่าของเขาก็สั่นเทา

    ยกจานหินขึ้นนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ยกจานหินที่หนักอึ้งแล้วเดินขึ้นบันไดหินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ลมหายใจของเขาเปลี่ยนเป็นสับสนวุ่นวาย ใบหน้ายิ่งนานยิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงมากขึ้น

    เขาไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ ทั้งสิ้น แต่จากแก้มที่นูนออกเล็กน้อยสามารถมองเห็นได้ว่าเขากำลังออกแรงกัดฟัน

    เขาเดินขึ้นบันไดหินไปทีละก้าว…ทีละก้าว

    เฉินฉางเซิงยังไม่สำเร็จขั้นชำระล้างกระดูก ความแข็งแรงของกระดูกเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อตามเหตุผลควรอยู่ในระดับเดียวกับเด็กหนุ่มธรรมดา และเพราะสาเหตุจากโรคในวัยเยาว์ ความจริงเขาควรจะอ่อนแอกว่า

    เด็กหนุ่มทั่วไปถึงจะถูก แต่ก็เพราะโรคนี่เอง และยังเป็นโรคที่รักษายากอย่างยิ่ง ดังนั้นบรรดาคนซึ่งอาศัยอยู่ในวัดเก่านอกเมืองซีหนิงจึงใส่ใจในสุขภาพของเขาที่สุด

    ตอนที่เพิ่งจะรู้ความเขาก็ถูกบังคับให้ท่องคัมภีร์เต๋าทั้งสามพันม้วน อาจารย์ของเขา นักพรตเต๋าผู้เดินตามวิถีทางแห่งเซียนขุดสมุนไพรนับไม่ถ้วนมาต้มเป็นยาให้เขาแช่ตัว แล้วก็ยังมีศิษย์พี่ที่ถือไม้กระบองช่วยเคี่ยวยาให้เข้าไปในร่างกายเขาอย่างไม่หยุดมือ เป็นเวลานับสิบปี ผู้คนที่เขาคุ้นเคยที่สุดก็คือเหล่าคนที่อยู่ในวัด กลิ่นที่เขาคุ้นเคยที่สุดก็คือกลิ่นของตำรา รวมถึงกลิ่นยาและกลิ่นไม้กระบอง

    แม้จะผ่านการรักษาและความทุกข์ทรมานเป็นระยะเวลายาวนาน โรคของเขาก็ยังรักษาไม่หาย เขาไม่มีทางเป็นเหมือนเด็กหนุ่มเผ่ามารผู้มีพรสวรรค์ด้านพละกำลังคนนั้น แต่เขาที่สมควรจะอ่อนแอไร้ใครเปรียบกลับไม่ได้มีร่างกายปวกเปียกแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับคนธรรมดายังดีกว่ามาก ทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

    เด็กน้อยที่ป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่ถูกปกคลุมไปด้วยเงาอันมืดมนหลังจากอายุครบสิบปีเป็นต้นมา ควรจะต้องใส่ใจเรื่องสุขภาพของตนเองมากกว่าคนอื่น ควรจะต้องใส่ใจรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพร่างกายตนมากกว่าสิ่งใด แต่วันนี้เขาอยู่ที่สำนักไจซิง เดินไปยังจานหินอย่างเงียบงัน เพียงเพราะแค่อยากอาศัยพละกำลังของตนเองเพื่อผ่านการทดสอบครั้งนี้เท่านั้น

    เขาอยากยกจานหินที่หนักอึ้งนี้ขึ้นเพื่อพิสูจน์บางเรื่องของตนเอง ในเวลาเดียวกันก็แสดงถึงความซาบซึ้งใจต่ออาจารย์และศิษย์สำนักไจซิงทั้งหลาย

    หนึ่งก้าว

    สองก้าว

    สามก้าว

    สี่ก้าว…

    ลมหายใจของเฉินฉางเซิงยิ่งทียิ่งหนักหน่วง สีหน้ายิ่งทียิ่งไม่น่าดู ผมดำขลับที่มัดไว้อย่างแน่นหนาชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อนานแล้ว แต่แววตาของเขายังคงสงบนิ่งไม่ลังเลเช่นเดิม

    เสียงให้กำลังใจและเสียงกู่ร้องปลุกใจทั้งสองข้างของบันไดหยุดลงแล้ว ผู้คนทั้งหมดจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่ก้มหัวลง เด็กหนุ่มผู้มุ่งไปข้างหน้าด้วยความลำบาก ก้าวเดินขึ้นบันไดด้วยอาการสั่นเทา แล้วก็พากันเป็นห่วงระคนเลื่อมใสอย่างยิ่ง หลายครั้งที่มองเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นทำท่าจะล้มลง แต่ไม่รู้ว่าเอาพละกำลังมาจากที่ใด ยังคงประคับประคองยืนหยัดต่อไปได้อย่างคาดไม่ถึง!

    อาจารย์ผู้คุมการทดสอบมองเฉินฉางเซิงอยู่บนบันไดหิน ในสายตาปรากฏความชื่นชม

    เจ็ดก้าว

    แปดก้าว

    เก้าก้าว…

    แต่ละก้าวเดินของเฉินฉางเซิงยิ่งทียิ่งช้า

    ความรู้สึกชื่นชมในสายตาของอาจารย์ยิ่งทียิ่งมากขึ้น เขาประหลาดใจกับระดับความสามารถที่เด็กหนุ่มคนนี้แสดงออกมาอย่างยิ่ง สิ่งที่เขาสนใจก็คือความเด็ดเดี่ยวและความกล้าหาญที่เฉินฉางเซิงแสดงออกมา เขาได้ตัดสินใจแล้ว ถึงแม้ว่าเฉินฉางเซิงจะไม่สามารถยกจานหินไปถึงบันไดขั้นบนสุดได้ เขาก็จะให้อีกฝ่ายผ่านการทดสอบในรอบนี้ แม้ว่าจะกระทบต่อชื่อเสียงของสำนักและกองกำลังต้าโจวก็ตาม…

    อาจารย์ท่านนั้นจ้องมองผู้คนที่อยู่ในอาการตื่นเต้น แล้วก็รู้สึกโล่งใจ ดูท่าแล้วคนจำนวนมากในที่นี้ก็คงจะคิดเหมือนกันกับตน

    เด็กหนุ่มที่ตั้งใจและมีความพยายาม คุ้มค่าที่จะให้รางวัลชมเชยเป็นอย่างยิ่ง

    ขณะครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ อาจารย์ผู้คุมการทดสอบเผลอใจลอยไปขณะหนึ่ง สายตาไม่ได้จับจ้องขั้นบันไดหินอยู่ตลอด จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หลุดออกจากภวังค์ พลันเพ่งความสนใจไปยังใบหน้าของเหล่าผู้คนที่เกิดการเปลี่ยนแปลง

    ทันใดนั้นเขาหันไปมอง พบว่าข้างกายมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

    เป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนระโหยโรยแรงและร่างกายเปียกชุ่มคนหนึ่ง

    อาจารย์คิดในใจว่าตนเองไม่ต้องลำบากใจแล้ว ยื่นมือเข้าไปตบไหล่ของเด็กหนุ่มเล็กน้อย

    เฉินฉางเซิงเดินขึ้นมาถึงบันไดหินขั้นบนสุด

    จานหินที่หนักอึ้งแผ่นนั้นวางอยู่ข้างเท้าของเขา

    เขาทำสำเร็จแล้ว

     

    ตอนที่ 9

    ข้าทำผิดอะไรหรือ

    เฉินฉางเซิงประสบความสำเร็จในการทดสอบรอบแรกของสำนักไจซิง หนนี้ไม่เหมือนกับครั้งสำนักเทียนเต้าที่ต้อนรับเขาด้วยการเยาะเย้ยถากถางและความเย็นชา ด้วยสิ่งที่รอเขาอยู่ที่นี่คือสายตาให้กำลังใจอันอบอุ่นและการเฝ้าคอยอย่างแรงกล้า เพราะเหตุนี้เขาจึงรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก มีความตั้งใจอย่างยิ่ง สามารถพูดได้ว่าอารมณ์ดีสุดแสน

    บรรดาสำนักในเมืองจิงตูแต่ละแห่งมีหลักการรับศิษย์ไม่เหมือนกัน สำนักเทียนเต้าเน้นคำสอนตามหลักศาสนาหลวงกับพรสวรรค์ทางด้านการบำเพ็ญเพียร สำนักไจซิงกลับไม่ใส่ใจเรื่องการบำเพ็ญเพียรในขั้นตอนรับสมัครสักเท่าไร กองกำลังทหารต้าโจวคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ค่อยไปให้ความสนใจหลังเข้าสำนักแล้วก็ได้ พวกเขาสนใจความสามารถที่เกี่ยวข้องกับทางด้านทหารและระเบียบวินัยของผู้ที่มาสมัครสอบมากกว่า ดังนั้นจำนวนข้อสอบของสำนักไจซิงจึงไม่มากเท่าสำนักเทียนเต้า แต่จะเข้มงวดกับรูปแบบลายมือและรูปแบบการตอบคำถามมากกว่า อีกทั้งเนื้อหาของข้อสอบก็เน้นเกี่ยวกับการจำลองการสู้รบและการวิเคราะห์ตัวอย่างการรบ

    หากถามว่าเฉินฉางเซิงมีพรสวรรค์อย่างไร การที่เขาสามารถท่องจำตำราคัมภีร์เป็นร้อยพันได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญตั้งแต่เยาว์วัยนั่นก็เป็นประจักษ์ถึงพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ของเขาแล้ว ดังเช่นการทดสอบของสำนักเทียนเต้า เมื่อพลิกข้อสอบ มองเห็นคำถามข้อแรกก็รู้สึกคุ้นตา เนื่องจากมหามรรคสามพันม้วนครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง ศาสตร์นับไม่ถ้วนบรรจุอยู่ในนั้นดุจดวงดาวและเม็ดทรายก็มิปาน จึงเป็นธรรมดาที่จะมีบันทึกยุทธวิธีการรบที่ขึ้นชื่อ รวมทั้งประวัติศาสตร์การรบที่มีชื่อเสียง รวมถึงการสู้รบระหว่างมนุษย์และเผ่าปีศาจ เขาจดจำสิ่งเหล่านั้นได้ ย่อมไม่มีทางตอบผิดพลาด

    สิ้นสุดการสอบ ทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่น เฉินฉางเซิงเดินมาถึงด้านหน้าของหอวินัยทัพพร้อมกับสหายร่วมสอบทั้งหลาย รอคอยการประกาศรายชื่อ ขณะยืนอยู่ด้านหน้ารูปปั้นสัตว์เทพที่เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพต้าโจว เขาก็หวนคิดถึงเนื้อหาของข้อสอบ มั่นใจว่าตนสามารถสอบเข้าสำนักไจซิงได้อย่างแน่นอน ไม่น่ามีปัญหาแต่อย่างใด เขารู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย พลันสายตาก็เหลือบเห็นใบหน้าที่แสดงถึงความเสียใจของเด็กหนุ่มเผ่ามารคนนั้น จึงเขย่งเท้าตบบ่าฝ่ายตรงข้ามเพื่อแสดงความปลอบใจอย่างมีเจตนาดี ชัดเจนว่าเด็กหนุ่มเผ่ามารผู้มีพรสวรรค์ทางด้านพละกำลังคนนี้คงไม่เข้าใจเกี่ยวกับยุทธวิธีการรบของมนุษย์สักเท่าไร จึงทำข้อสอบได้ไม่ดี

    อาทิตย์อัสดงใกล้จะลับหลังเขา แสงสีแดงอ่อนส่องกระทบกับสัตว์เทพและรั้วเหล็กของหอวินัยทัพให้รู้สึกเย็นยะเยือก เกิดเป็นบรรยากาศที่ลึกลับแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เฉินฉางเซิงยืนอาบแสงอาทิตย์อัสดง มองดูแผ่นหินที่ยังว่างเปล่า ใบหน้าอ่อนเยาว์เกลี้ยงเกลาเต็มไปด้วยรอยยิ้มดีใจและคาดหวังกับอนาคต

    เขาในตอนนี้ไม่คิดเลยว่าอีกครู่ตนเองจะยังคงต้องเผชิญความผิดหวังอันปวดร้าวขมขื่น

    “เพราะเหตุใด”

    นายทหารต้าโจวก่อนหน้านี้ที่เป็นผู้ดูแลการทดสอบยกจานหิน รวมทั้งอาจารย์ที่มีลักษณะท่าทางน่าเคารพท่านนั้นยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะหนังสือ มองไปยังขุนพลวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังโต๊ะพลางกล่าวถาม ใบหน้าดำครึ้มอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดยิ่งว่าใกล้จะไม่สามารถสะกดอารมณ์โกรธในใจได้

    ตรงข้ามกับขุนพลวัยกลางคนที่สีหน้าไม่มีความรู้สึกใดๆ คิ้วหนาเข้มประหนึ่งหนอนไหมสีดำดูน่าเกรงขาม เขากำลังฟังผู้ใต้บังคับบัญชาซักถาม ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “นี่คือท่าทีการถามผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้าอย่างนั้นรึ”

    ทั้งสองได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกอึดอัด หนึ่งในนั้นชี้ไปยังอาทิตย์อัสดงที่อยู่ด้านนอกหอวินัยทัพ เอ่ยว่า “ถึงแม้จะมีเพียงพวกเราสองคนที่เห็นข้อสอบฉบับนั้น แต่สหายร่วมสอบที่ใส่ใจในตัวเด็กหนุ่มนามว่าเฉินฉางเซิงยังมีอีกมาก หากพวกเขารู้ผลการสอบก็คงจะมีข้อสงสัยเช่นเดียวกันกับพวกข้า”

    ขุนพลวัยกลางคนกล่าว “สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มธรรมดาที่ไม่สามารถชำระล้างกระดูกสำเร็จ เหตุใดพวกเจ้าถึงให้ความสำคัญเช่นนี้”

    อาจารย์ท่านนั้นโมโห ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ชี้ไปยังข้อสอบที่ถูกขยี้จนกลายเป็นขยะอยู่ด้านหลังโต๊ะ กล่าวว่า “ท่านก็ได้ดูข้อสอบนั่นแล้ว ท่านน่าจะเข้าใจแจ่มแจ้งอย่างยิ่ง สิบปีที่ผ่านมานี้ การทดสอบรับศิษย์ใหม่เข้าสำนักแต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยปรากฏผลสอบที่สมบูรณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามหรือการวิเคราะห์ตัวอย่างการรบ ไม่มีช่องโหว่แต่อย่างใด ไม่มีตัวอักษรเขียนผิดสักตัว ขีดตัวอักษรขรุขระแม้แต่นิดก็ยังไม่มี! จริงอยู่ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคงไม่มีทางที่จะเป็นขุนพลที่กล้าหาญยิ่งใหญ่เช่นท่าน แต่เขาจะเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่ดีเลิศที่สุดเป็นแน่”

    ขุนพลวัยกลางคนเงียบไปชั่วขณะ หลังจากนั้นกล่าวว่า “เป็นคำสั่งมาจากในพระราชวัง ข้าไม่ปรารถนาที่จะอธิบายกับเจ้า”

    อาจารย์ท่านนั้นได้ยินแล้วตกตะลึง ผ่านไปชั่วครู่ถึงได้สติกลับมา กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “แต่…ข้าต้องไปอธิบายแก่เด็กหนุ่มคนนั้น”

    ขุนพลวัยกลางคนแหงนศีรษะขึ้น มองเขาแวบหนึ่ง กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าให้เขาเข้ามา ข้าจะอธิบายกับเขาเอง”

     

    เฉินฉางเซิงเดินเข้าไปยังสิ่งปลูกสร้างที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวด มองดูเปลวเทียนที่กำลังเผาไหม้อยู่บนโต๊ะ นิ่งเงียบไม่พูดจา กำหมัดทั้งสองข้างแน่นอยู่ข้างลำตัว ใบหน้าขาวซีด ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยล้าหรือว่าโมโห หรืออาจเป็นทั้งสองอย่าง ตอนที่เขาเห็นว่าบนแผ่นหินยังคงไม่มีชื่อของเขา เขารู้สึกโมโหมากจริงๆ โมโหกว่าเมื่อตอนที่พบกับสายตาเย็นชาและความเหยียดหยันในจวนขุนพลเทพเมื่อวานนี้หลายพันเท่า

    เพราะเขาโอบอุ้มความคาดหวังอันยิ่งใหญ่เดินเข้าไปยังสำนักไจซิง ทว่าในตอนที่จ้องมองไปยังแผ่นหินนั้นความคาดหวังทั้งหมดพลันแปรเปลี่ยนเป็นผิดหวัง ความขยันหมั่นเพียรที่เขาอดทนทุ่มเทเพื่อมันตอนนี้มองดูแล้วล้วนกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน เรื่องทั้งหมดนี้มันคืออะไรกัน

    เขาต้องการคำอธิบาย

    ขุนพลวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังโต๊ะกล่าวว่าจะให้คำอธิบายกับเขา เขาอยากจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร

    “ขออภัย”

    ขุนพลวัยกลางคนยืดตัวลุกขึ้น จ้องมองเขาด้วยแววตาเยียบเย็น คล้ายกับสัตว์ร้ายที่จ้องกระต่ายน้อยสีขาวก็มิปาน หากแต่คำพูดที่กล่าวออกจากปากกลับเป็นคำว่าขออภัยคำนี้

    “ในฐานะทหารต้าโจวคนหนึ่ง ข้ากลับต้องฝ่าฝืนหลักการของตนเอง ขออภัยอย่างยิ่ง

    การกระทำของข้าทำให้เกียรติยศของสำนักไจซิงได้รับความเสียหาย ขออภัยอย่างยิ่ง

    เจ้ามีความสามารถและสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีอนาคต เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ข้ากลับต้องหยุดอนาคตของเจ้าลงชั่วคราว ขออภัยอย่างยิ่ง

    ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ขออภัยอย่างยิ่ง

    แต่ข้าคิดว่าอีกไม่นานเจ้าก็จะรู้สาเหตุ ถึงตอนนั้นหวังว่าเจ้าจะให้โอกาสข้าแก้ไขความผิดพลาดอีกสักครั้ง”

    เมื่อเฉินฉางเซิงฟังคำพูดของขุนพลวัยกลางคนจนจบก็นิ่งเงียบชั่วครู่ แล้วหมุนตัวจากไป

     

    เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เฉินฉางเซิงตื่นตรงเวลาเหมือนเมื่อวาน เหมือนทุกวัน เหมือนกับตลอดสิบสี่ปีที่ผ่านมา เขาล้างหน้าสวมใส่เสื้อผ้า สงบนิ่งทำจิตใจให้กระจ่าง หลังจากนั้นออกจากที่พัก มุ่งไปยังหนทางแห่งการศึกษาของตนต่อไป

    เขายึดตามการเรียงลำดับของรายชื่อ ไปยังสำนักศึกษาอื่นอีกสองแห่ง แม้สิ่งที่พบเจอที่สำนักเทียนเต้าและสำนักไจซิงจะทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มไม่ยินดี แต่บนโลกใบนี้เขาเป็นคนที่เห็นคุณค่าของเวลาที่สุด เขาจึงไม่ยินดีที่จะเสียเวลาไปกับการโมโหและทุกข์ระทมคร่ำครวญอันไร้ค่า การกระทำเช่นนี้ของเขาคู่ควรให้ผู้คนชื่นชม

    ราวกับสิ่งที่ประสบเมื่อวานไม่ได้ก่อผลกระทบกับเขาแต่อย่างใด เขาตั้งใจเตรียมตัวเข้าสอบด้วยความรอบคอบ ใช้ความรู้ที่เก็บสะสมไว้ในสมองและจิตใจที่แน่วแน่ สามารถผ่านการทดสอบขั้นแรกเข้าไปในสำนักอีกสองแห่งสำเร็จ และเมื่อมองเนื้อหาของข้อสอบ เขาคิดว่าตนจะสามารถผ่านการสอบข้อเขียนไปได้ แต่สุดท้ายเขายังคงไม่ได้รับคัดเลือกซึ่งก็ไม่ก่อให้เกิดความแปลกประหลาดใจแต่อย่างใด

    มีประสบการณ์ก่อนหน้านี้แล้วสองครั้ง เฉินฉางเซิงไม่ได้ผิดหวังเช่นนั้นแล้ว หรืออาจพูดได้ว่าเขาชาชินเสียแล้ว

    เขาเข้าใจกระจ่างแจ้ง จะต้องมีคนพุ่งเป้ามาที่ตนอย่างลับๆ เป็นแน่ ส่วนเป็นใครนั้น…คำตอบก็ชัดเจนเช่นกัน

    พลบค่ำ ตอนที่เขาเดินออกจากสำนักแห่งที่สี่ ในที่สุดก็เป็นครั้งแรกที่สังเกตเห็นรถม้าของจวนขุนพลเทพคันนั้น มองไปยังเพลารถเห็นสัญลักษณ์ของสายเลือดหงส์สีเข้มทว่าชัดเจนจนทำให้คนรู้สึกอกสั่นขวัญหาย ไม่ต้องสงสัยว่าฝ่ายตรงข้ามจงใจให้รถม้าจอดอยู่ด้านหน้าประตูสำนักเพราะต้องการให้เขาได้เห็น

    เฉินฉางเซิงกำลังจ้องมองรถม้า มั่นใจหลายส่วนถึงคำตอบที่คิดได้ก่อนหน้านี้

    ถึงแม้ว่าเขาจะเดาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดได้ แต่อารมณ์ความรู้สึกตอนที่ต้องเผชิญหน้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    หญิงรับใช้อาวุโสผู้นั้นก้าวลงจากรถม้า

    “เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กน้อย เดิมทีไม่มีคุณสมบัติอันใดที่จะทำให้จวนขุนพลเทพทำเรื่องมากมายเช่นนี้” หญิงรับใช้อาวุโสเดินมาตรงหน้าเขา ใบหน้าไร้ความรู้สึก กล่าวต่อ “แต่พวกเราก็ยังทำเรื่องตั้งมากมาย เพราะพวกเราเป็นห่วงว่าเจ้าจะตระหนักถึงสถานการณ์ได้ไม่ชัดเจน ดังนั้นพวกเราจึงตั้งใจเปิดเผยให้เจ้าได้เห็นอำนาจที่แท้จริง ตอนนี้เจ้าคงจะเข้าใจชัดเจนแล้ว ขอเพียงพวกเราไม่ยินดี เจ้าอยู่บนแผ่นดินต้าโจวจะไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวันตลอดไป”

    เฉินฉางเซิงจำนางได้ ที่จวนขุนพลเทพคนที่เขาพบเป็นคนแรกก็คือนาง จึงทักทายด้วยความเคารพ หลังจากนั้นยืดตัวตรง ไม่เอ่ยสิ่งใด

    ดวงตาของหญิงรับใช้อาวุโสกะพริบด้วยความประหลาดใจ นางคาดไม่ถึง แม้จะอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้เด็กหนุ่มก็ยังสงบนิ่ง กระทั่งไม่ลืมที่จะแสดงความเคารพ การแสดงออกเช่นนี้ทำให้คนไม่รู้จะรับมืออย่างไรโดยแท้ ขนาดว่าทำให้คนรู้สึกไม่สงบ แต่นางจำเป็นต้องทำให้เรื่องนี้จบลง

    “พวกเราปรารถนาอะไร เจ้าย่อมรู้ชัด…ถ้าเจ้ายินยอม สิ่งที่เจ้าสมควรจะได้รับทั้งหมด สิ่งที่พวกเราได้ลิดรอนไปจากเจ้าล้วนสามารถนำมาคืนข้างกายเจ้าได้ สำนักเทียนเต้า สำนักไจซิง หอจงซื่อ (บวงสรวง)…สุดแต่เจ้าจะเลือก ปรารถนาจะศึกษาอะไรก็สุดแต่เจ้า ปรารถนาจะศึกษากับอาจารย์ท่านไหนก็สุดแต่เจ้า หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วเจ้าอยากเข้าไปอยู่ที่กองทัพทหารหรืออยากเข้าศาสนาหลวง กระทั่งเป็นขุนนางราชสำนัก ทั้งหมดทั้งมวลก็ล้วนสุดแต่เจ้าจะเลือก”

    หญิงรับใช้อาวุโสจ้องมองเขาแล้วกล่าวด้วยอารมณ์ที่เคร่งขรึม “แต่หากว่าเจ้าไม่ยินยอม ชีวิตของเจ้าก็จะยังคงเกิดภาพเดิมเช่นสองวันนี้ซ้ำไม่หยุดเป็นแน่”

    เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ไม่เอ่ยสิ่งใด

    หญิงรับใช้อาวุโสกล่าว “เจ้าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง น่าจะเข้าใจว่าควรต้องเลือกอย่างไร”

    เฉินฉางเซิงจ้องมองไปที่นาง ในที่สุดจึงเอ่ยประโยคแรกออกมา “สมุดบันทึกของศิษย์พี่ได้เขียนไว้ คนฉลาดมักใช้ชีวิตอย่างไร้สุข จึงต้องแสร้งทำเป็นคนเลอะเลือน”

    หญิงรับใช้อาวุโสยิ้ม “อันที่จริงแล้วเจ้าเป็นเด็กดี ฉลาดอย่างยิ่ง ไม่ได้บอกเรื่องการหมั้นหมายกับผู้ใด มิเช่นนั้นตอนนี้เจ้าคงกลายเป็นศพไปแล้ว”

    เฉินฉางเซิงในที่สุดก็มั่นใจเต็มที่ สองวันที่ผ่านมาจวนขุนพลเทพตงอวี้ให้คนติดตามตนมาตลอด

    “เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อยู่สูงสุด แต่ไหนแต่ไรมาจวนขุนพลเทพทำตามกฎเกณฑ์มาตลอด เดิมทีไม่เคยรังแกใคร เพียงปรารถนาจะช่วยผู้คน ขอแค่เจ้ามอบของบางสิ่งซึ่งเดิมทีเป็นสิ่งที่เจ้าเตรียมจะมอบให้อยู่แล้ว พวกเราจะสามารถช่วยให้เจ้าได้ประโยชน์มากมาย”

    สิ่งที่เดิมทีเตรียมจะมอบให้…ที่แท้ก็คือหนังสือสมรสฉบับนั้น

    ช่วยให้ได้ประโยชน์มากมาย…แต่สิ่งเหล่านั้นเดิมเป็นสิ่งที่ตัวเขาสมควรจะได้รับตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

    เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าเมื่อเปรียบเทียบกันกับเมืองจิงตูอันรุ่งเรืองแล้ว ป่าเขาด้านหลังวัดเก่าที่ทรุดโทรมแห่งนั้นซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ดุร้ายกลับดูสวยงามและปลอดภัยมากกว่า

    เขาจ้องมองหญิงรับใช้อาวุโส อ้าปากเอ่ยว่า “แม่เฒ่า ข้าทำผิดอะไร”

    หญิงรับใช้อาวุโสตะลึงงัน กล่าวสิ่งใดไม่ออกไปชั่วขณะ

    นางอยู่ที่จิงตูมาร้อยกว่าปี มองดูคุณหนูของนางแต่งเข้าบ้านสกุลสวี มองดูนายท่านสวีที่ต่อสู้ในสนามรบอย่างไม่คิดชีวิตเพื่ออนาคตของตระกูล เคยชินกับการพบเจอขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในวังและผู้แกร่งกล้าในใต้หล้า คุ้นเคยกับการหลอกกันไปหลอกกันมา แผนการมากเล่ห์เพทุบาย แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ยินคำถามเช่นนี้…ดูเหมือนเป็นคำถามที่ไร้เดียงสา แต่กลับคิดหาคำตอบได้ยากเหลือเกิน

    ดังนั้นนางจึงไม่ได้ตอบออกไป

     

    ตอนที่ 10

    เมื่อใดจะอยู่บนทำเนียบชิงอวิ๋น

    “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้ทำผิดอะไร” เฉินฉางเซิงมองหญิงรับใช้อาวุโสพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อข้าไม่ได้ทำผิดอะไร เช่นนั้นเพราะเหตุใดข้าต้องแก้ไขเรื่องราวเหล่านี้”

    ขณะกล่าวประโยคนี้ ลักษณะท่าทางของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงแค่ลมหายใจเข้าออกที่หนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย ยากที่คนจะสังเกตเห็น

    หากศิษย์พี่ของเขาอยู่ที่นี่ด้วยจะต้องรู้แน่ๆ ว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาแสดงออกมานี้หมายความว่าเขากำลังโมโหอย่างยิ่งแล้ว

    ท่าทางของหญิงรับใช้อาวุโสเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เอ่ยว่า “เจ้าไม่กลัวตายหรือ”

    “ข้า…กลัวตายอย่างยิ่ง” น้ำเสียงของเฉินฉางเซิงแข็งกระด้างราวกับเหล็ก “…ดังนั้นข้ามาถึงจิงตูจึงมุ่งไปยังจวนขุนพลเทพเพื่อถอนการหมั้นหมายเป็นอันดับแรก เมื่อวานข้าก็คิดไว้ว่าหลังจากสอบเข้าสำนักเทียนเต้าหรือสำนักไจซิงได้แล้วก็จะเลือกวันเพื่อไปถอนการหมั้นหมายอีกครา…แต่ขออภัยอย่างยิ่ง ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้วจริงๆ”

    หญิงรับใช้อาวุโสจ้องเขาเขม็ง แววตาเยือกเย็น

    เฉินฉางเซิงเองก็จ้องนางกลับ เอ่ยว่า “นอกเสียจากว่าพวกท่านจะรู้ว่าตนเองทำผิดอะไร และจดจำชื่อของข้าไว้”

    หญิงรับใช้อาวุโสนิ่งเงียบเนิ่นนานก่อนเอ่ยปากอีกครั้ง

    “อันที่จริงแล้วข้าชื่นชมเจ้าอย่างยิ่ง” นางมองเฉินฉางเซิง ความรู้สึกในแววตาสับสนเล็กน้อย “สองสามวันมานี้ข้าเฝ้ามองการดำรงชีวิตของเจ้าอยู่ตลอด แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยพบเจอเด็กหนุ่มอายุเช่นนี้จะมีกฎระเบียบของตนเอง และยังพยายามสอบเข้าทั้งสี่สำนัก การกระทำของเจ้านั้นพบเห็นได้อย่างยากยิ่ง ช่างคู่ควรต่อการชื่นชม…ข้าเคยถึงขั้นคิดว่าถ้าหากข้ามีบุตรสาวสักคนหนึ่ง ให้นางแต่งกับเจ้าคงเป็นการเลือกที่ไม่ผิดเป็นแน่”

    เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไร แต่ในเมื่อถูกยกย่องชื่นชมก็จำต้องมีการตอบสนองกลับไปบ้าง เขาคิดแล้วคิดอีกหลังจากนั้นจึงกล่าวคำคำนี้ “ขอบคุณ”

    กล่าวขอบคุณในช่วงเวลาเช่นนี้ช่างน่าขบขัน ช่างน่ารัก และน่าเคารพนับถืออย่างยิ่ง

    หญิงรับใช้อาวุโสมองไปยังกำแพงหินข้างประตูสำนัก เอ่ยว่า “แต่ที่น่าเสียใจก็คือบนโลกนี้ไม่มีใครคิดว่าคุณหนูควรจะแต่งงานกับเจ้า”

    เฉินฉางเซิงมองตามสายตานาง เห็นเพียงกำแพงหินศิลาดำที่สลักแน่นไปด้วยรายชื่อ ตรงนี้คือด้านหลังประตูหลักของสำนักศึกษา หากนี่ไม่ใช่ป้ายประกาศรายชื่อผู้ผ่านการทดสอบเข้าสำนัก เช่นนั้นแล้วจะเป็นรายชื่ออะไรได้…ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ เมื่อวานตอนอยู่ที่สำนักเทียนเต้าและสำนักไจซิง เขาคล้ายกับเห็นแผ่นหินลักษณะนี้ที่ด้านบนสลักไปด้วยรายชื่อมากมาย

    บนสุดของกำแพงหินสลักตัวอักษรแบบตวัด

     

    ‘หยิบยืมแรงสายลมที่พัดมา ส่งข้าขึ้นไปสู่ชิงอวิ๋น’

     

    ขณะจ้องมองที่ตัวอักษร เฉินฉางเซิงนึกถึงบันทึกตำราที่เคยอ่าน พลันรู้แล้วว่ากำแพงหินนี้คือทำเนียบชิงอวิ๋นในตำนาน

    ผืนพิภพมีผู้แกร่งกล้านับไม่ถ้วน แต่ที่เรียกว่าอัจฉริยะนั้นล้วนเริ่มต้นจากผู้เยาว์ ทำเนียบชิงอวิ๋นคือการเรียงลำดับผู้แกร่งกล้าที่มีอายุน้อยกว่ายี่สิบปี รายชื่อที่สามารถได้รับการบันทึกบนทำเนียบชิงอวิ๋นล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ที่ทุกแคว้นทุกสำนักได้อบรมบ่มเพาะออกมา หรืออาจจะเป็นผู้เก่งกาจมีพรสวรรค์โดยกำเนิด หากไม่ล้มเลิกกลางคัน ชื่อเหล่านี้สุดท้ายแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นผู้แกร่งกล้าอย่างแท้จริง

    ทุกสำนักศึกษาในจิงตูจะมีทำเนียบชิงอวิ๋น พวกเขาคิดว่ารายชื่อที่อยู่บนกำแพงหินเป็นรายชื่อที่เต็มไปด้วยเกียรติยศ พึงตั้งไว้เพื่อปลุกเร้าเหล่าศิษย์ให้ก้าวหน้าอย่างห้าวหาญ อีกทั้งเพิ่มความแนบแน่นของศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันให้มากยิ่งขึ้น เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร เพราะบรรดาศิษย์สำนักตระหนักว่าตนไม่มีความเป็นไปได้ใดๆ ที่จะอยู่ในทำเนียบชิงอวิ๋น กล่าวได้ว่ารายชื่อพวกนั้นทำให้พวกเขารู้สึกทั้งเลื่อมใส ยำเกรง และกระทั่งหมดความหวัง

    ทำเนียบชิงอวิ๋นไม่ถามถึงวิชาความรู้ ไม่ถามถึงภูมิลำเนา อาจารย์ สำนัก ไม่แบ่งชายหญิง เพียงถามถึงความแข็งแกร่งและความอ่อนแอ ข้อแม้เพียงหนึ่งเดียวก็คือบุคคลที่จะอยู่ในทำเนียบต้องมีอายุไม่เกินยี่สิบปี ในอดีตเคยมีหลายครั้งที่ผู้ที่มีวิทยายุทธ์สูงส่งต้องพ่ายแพ้ให้คู่ต่อสู้ที่มีวิทยายุทธ์ต่ำกว่าและถูกดันตำแหน่งตกไป กลายเป็นที่ดูหมิ่นดูแคลนของผู้คน

    ปีนั้นที่หอเทียนจี (ความลับสวรรค์) ริเริ่มทำเนียบจัดอันดับ การพิจารณาคัดเลือกด้วยมาตรฐานเช่นนี้เคยถูกตั้งข้อสงสัยหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งคำตอบของหอเทียนจีนั้นก็ง่ายดายหากแต่ทรงพลังอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นวิชาความรู้ ความสามารถ แม้แต่ความประพฤติ จิตวิญญาณ และอารมณ์ความรู้สึก ต้องนำทุกด้านมารวมกันถึงจะเป็นความแกร่งกล้าที่แท้จริง ทำเนียบชิงอวิ๋นจัดอันดับตามความแกร่งกล้าที่ผ่านการบูรณาการแล้ว และวิธีการคัดเลือกผู้ที่จะได้จารึกนามบนทำเนียบที่ดีที่สุดก็คือการต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะ

    สายตาของเฉินฉางเซิงอยู่ที่ทำเนียบชิงอวิ๋น ไล่กวาดไปตามรายชื่อ ตัวหนังสือเหล่านั้นสำหรับเขาแล้วไม่คุ้นเคย ในนั้นยังพบเห็นชื่อสกุลที่แปลกๆ อาจจะเป็นเด็กหนุ่มผู้แกร่งกล้าจากเผ่ามาร หรืออาจจะเป็นผู้มีพรสวรรค์จากป่าลึกทางใต้ ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นชื่อถังถังตรงตำแหน่งที่สามสิบหก หวนคิดถึงตอนอยู่ที่สำนักเทียนเต้า เด็กหนุ่มอาภรณ์ครามผู้นั้นได้เล่าความเป็นมาของชื่อถังซานสือลิ่ว เฉินฉางเซิงพลันหัวเราะอย่างมีความสุข รู้สึกภูมิใจในเกียรติยศนี้แทนเจ้าตัว

    ในที่สุดสายตาของเขาก็ไล่ไปถึงจุดที่สูงที่สุดของกำแพงแผ่นหิน มองเห็นชื่อที่โดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้น โดดเดี่ยวอยู่บนที่สูง โดดเดี่ยวจนเหมือนจะแผ่กลิ่นอายความเย่อหยิ่งและเฉยชาออกมาอย่างชัดเจน ชื่อนั้นเป็นชื่อที่เขารู้จัก ชื่อนั้นเป็นชื่อที่เขาแสนจะคุ้นเคย…สวีโหย่วหรง

    “ทำเนียบชิงอวิ๋นได้บันทึกรายชื่อคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ในโลกนี้ ต้าโจวมีผู้มีความสามารถมากมาย ลำพังแค่ในเมืองหลวงก็มีมากกว่าสิบรายชื่อแล้ว มาจากสำนักเทียนเต้าสี่คน สำนักไจซิงสามคน แต่ถ้าเทียบกับพรรคฉางเซิงและสำนักไหวย่วน (ต้นไหว) ในแดนใต้ก็ไม่ได้นับว่าเลิศเลอนัก จนกระทั่งคุณหนูได้อยู่ในทำเนียบ ถึงได้รู้ผลสักทีว่าระหว่างเหนือกับใต้ ใครแพ้ใครชนะ…”

    หญิงรับใช้อาวุโสจ้องมองกำแพงหิน ยากที่จะปกปิดความภาคภูมิใจ แต่นางก็มิได้ปรารถนาจะปกปิดมันอยู่แล้ว แสร้งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “…สองปีที่แล้วคุณหนูได้เข้าไปอยู่ในทำเนียบ ครั้งแรกก็ขึ้นไปอยู่ในอันดับ

    หนึ่ง ตั้งแต่วันนั้นอันดับก็ไม่เคยต่ำลง เหล่าหนุ่มสาวผู้มีพรสวรรค์คนอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะไล่แซง แม้แต่เข้าใกล้ก็ยังยากยิ่ง”

    เฉินฉางเซิงจ้องมองรายชื่อที่อยู่ด้านบนสุด นิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใด สี่ปีมานี้เขาเป็นผู้เก็บรักษาหนังสือสมรส เขาเคยเห็นหลายครั้งหลายครา เขารู้จักชื่อของนาง และก็ชัดแจ้งในอายุของนาง ลองนับดูแล้วคุณหนูแห่งสกุลสวีอายุสิบสองปีก็ได้อยู่บนทำเนียบชิงอวิ๋น ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้…สายเลือดหงส์ที่แท้แล้วช่างน่าเกรงขามเช่นนี้เอง

    หญิงรับใช้อาวุโสถอนสายตากลับคืน มองไปทางเฉินฉางเซิง กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าความจริงแล้วดีเลิศอย่างยิ่ง ไม่สำเร็จขั้นชำระล้างกระดูกก็สามารถสอบเข้าสำนัก แต่ระหว่างเจ้ากับคุณหนูมีความห่างไกลกันยิ่งนัก นี่ไม่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ดิ้นรน ไม่เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ และก็ไม่เกี่ยวข้องกับความขยัน เจ้าอยู่ในหนทางชีวิตของเจ้าโดยไม่หยุดที่จะตะเกียกตะกาย ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถขึ้นไปอยู่บนยอดเขาสูงได้ แต่คุณหนูออกจากที่นั่นมานานแล้ว หากว่าเจ้ายังดึงดันอยากจะติดตามนาง สิ่งที่รอต้อนรับเจ้าอยู่ก็คือสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากสวรรค์”

    เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบ หลังจากนั้นก็คิดถึงสาวใช้ซวงเอ๋อร์ที่กล่าวถึงเทพมังกรกลับชาติมาเกิดผู้นั้น ได้รับยกย่องให้เป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์ที่ฟ้าส่งมาให้เป็นคู่กัน

    “ชิวซานจวิน…”

    หญิงรับใช้อาวุโสคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะรู้เรื่องเกี่ยวกับชิวซานจวิน กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ก่อนหน้าสองปีที่แล้วชิวซานจวินอยู่อันดับแรกของทำเนียบชิงอวิ๋นมาตลอด”

    เฉินฉางเซิงกล่าวถาม “เพราะเหตุใดเขาถึงไม่มีชื่ออยู่ในทำเนียบแล้ว ใช่เพราะไม่อยากพ่ายแพ้ให้กับแม่นางสวีหรือไม่”

    “เมื่อสองปีก่อนชิวซานจวินได้บรรลุขั้นถอดจิตแล้ว ตอนนี้เขาอยู่อันดับแรกของทำเนียบเตี่ยนจิน”

    เฉินฉางเซิงถอนหายใจ พบว่าตนเองช่างยากที่จะหาสิ่งใดมาปลอบใจต่อเรื่องนี้ เพราะคนในเรื่องราวของเขาล้วนแต่อยู่เหนือผู้คนทั้งหลาย ขณะที่ตัวเขาเอง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่าจะได้ขึ้นทำเนียบชิงอวิ๋นหรือไม่ เพียงแค่อยากมีรายชื่อในประกาศรับศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาสักแห่งยังยากอย่างยิ่ง โลกของตนกับพวกเขาช่างแตกต่างราวฟ้ากับดิน

    เขากล่าวถาม “ก่อนหน้านั้นท่านกล่าวว่าระหว่างข้ากับแม่นางสวีแตกต่างกันไม่เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ และไม่เกี่ยวข้องกับการดิ้นรนต่อสู้ ถ้าอย่างนั้นแท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับอะไร”

    “เพียงเกี่ยวข้องกับโชคชะตา เจ้าแม้จะมีคุณสมบัติดีเลิศ หากตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังเป็นคนธรรมดา แต่คุณหนูตั้งแต่เกิดก็มิใช่คนธรรมดา เจ้าเกิดมาคือมนุษย์ นางเกิดมาคือหงส์ ระหว่างเจ้ากับนางมีระยะห่างราวฟ้ากับดิน”

    “ที่แท้…ก็คือโชคชะตา”

    เฉินฉางเซิงถอนหายใจด้วยความหดหู่ นิ่งเงียบเป็นเวลานาน จ้องมองไปยังหญิงรับใช้อาวุโสก่อนกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านอาจจะไม่เชื่อ สาเหตุแท้จริงที่ข้ามาจิงตูก็เพื่อที่จะเปลี่ยนโชคชะตาซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับการหมั้นหมาย แต่คำว่าโชคชะตานี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกศรัทธา”

    หญิงรับใช้อาวุโสตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่านางพูดชัดเจนแจ่มแจ้งเช่นนี้ เขายังไม่ยอมวางมือ

    อาทิตย์ยามอัสดงคล้อยต่ำทางตะวันตก เฉินฉางเซิงเดินไปยังถนนที่อยู่ตรงข้าม เดินปะปนไปกับผู้คน เดินห่างไกลออกไป

    หญิงรับใช้อาวุโสให้ความสนใจเขา แรกเริ่มศีรษะของเขาก้มต่ำ ร่างกายโค้งงอเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะอ่อนระโหยโรยแรง แต่ผ่านไปไม่นานร่างกายของเขาก็ค่อยๆ เหยียดตรง ศีรษะค่อยๆ แหงนเงยขึ้น เริ่มมองผู้คนบนถนนและพระอาทิตย์ในที่ไกลออกไปอย่างสงบ

    แสงอาทิตย์ยามอัสดงตกต้องบนตัวเขา ดูราวกับกำลังลุกไหม้

     

    “ข้าไม่เคยพบเจอเด็กหนุ่มที่มีระเบียบต่อตนเอง ควบคุมการกินอยู่ของตนเองได้อย่างเข้มงวดและยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อน เขาไม่มีพฤติกรรมนอกลู่นอกทางหรือข้องเกี่ยวกับสถานที่ไม่ดีงาม เขารักษาเวลาอย่างยิ่ง รักษาเวลาจนกระทั่งข้าคิดว่ามีใครไล่ตามเขา หรือมีแส้ที่กำลังโบยเขาไม่หยุด แต่เขาไม่ได้ทำให้คนรอบกายรู้สึกกังวลร้อนรน มองออกว่าเขาชอบที่จะมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิต หรืออาจพูดได้ว่าเขามีความสุขกับชีวิต…เป็นคนรักความสะอาดสะอ้าน วันแรกข้าเคยนับ เขาล้างมือทั้งหมดเจ็ดครั้ง ผ้าเช็ดหน้าคงจะมีห้าผืนขึ้นไป” ในจวนขุนพลเทพ หญิงรับใช้อาวุโสยืนอยู่ข้างหน้าสวีฮูหยิน ใบหน้าไร้ความรู้สึกขณะกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าจำเป็นต้องพูด เด็กคนนี้ไม่เลวเลย ถ้าหากว่าให้โอกาสเขา เขาจะต้องเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้าได้รับโอกาสเล็กน้อยอาจจะมีอนาคตที่ดีอย่างยิ่ง”

    สวีฮูหยินคิดไม่ถึงว่าคนที่ติดตามตนมาตลอดหลายสิบปี สตรีที่มีจิตใจซื่อสัตย์ภักดีคนนี้จะถึงกับพูดแทนเด็กหนุ่มคนนั้น คิ้วขมวดขณะเอ่ยว่า “เจ้าอยากจะกล่าวอะไรกันแน่”

    “คุณหนูย่อมไม่อาจแต่งงานกับเขา…แต่แทนที่จะกดดันเขาอย่างน่าละอายเช่นนี้ มิสู้เปลี่ยนเป็นสังหารเขาเสียเลย”

    ตรรกะเช่นนี้คนธรรมดาฟังคงยากเข้าใจ แต่สวีฮูหยินกลับสามารถเข้าใจได้ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะชื่นชมเฉินฉางเซิงด้วยใจจริง ทำให้หวนคิดถึงคำพูดของสวีซื่อจี้ในห้องหนังสือค่ำคืนนั้น ก่อนกล่าว “มีคนมากมายที่คอยจ้องมองจวนขุนพลเทพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสพวกนั้นที่ไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ถ้าหากจวนเรามีเรื่องอื้อฉาว แม้โดยรวมแล้วจะไม่ส่งผลกระทบ แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คงไม่ยินดีเป็นแน่ ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องทำด้วยความระมัดระวังรอบคอบ สามารถใช้วิธีการสันติเอาหนังสือสมรสมาได้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด หากสุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มคนนั้นยังคงหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอันน่าเวทนาของตนเองต่อไป หรือว่ามุ่งผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ เช่นนั้นย่อมต้องให้เขาตายไปอย่างเงียบๆ แม้ไม่แคล้วคงมีเรื่องยุ่งยากตามมา แต่ได้นำต้นตอของความยุ่งยากทิ้งไปก็นับว่าเป็นวิธีที่ไม่เลว”

     

    ซวงเอ๋อร์กลับมาถึงห้องของตน เหม่อลอยอยู่ข้างโต๊ะเป็นเวลานาน คิดไปถึงประโยคสนทนาที่ได้ยินนอกห้องของสวีฮูหยิน รู้สึกกระสับกระส่ายไม่สงบนิ่ง กระทั่งชาในกาเย็นชืดและนางดื่มไปแล้วกว่าครึ่งกาก็ยังไม่สามารถสงบนิ่งได้แม้สักนิด นางรู้ว่าการที่สามารถได้ยินบทสนทนามากมายขนาดนี้เป็นเพราะสวีฮูหยินอยากให้นางได้ยิน สวีฮูหยินรู้ว่านางมักจะติดต่อกับคุณหนูทางจดหมาย จึงอยากบอกเรื่องนี้กับคุณหนูผ่านทางนาง นับว่าคือการแจ้งให้คุณหนูทราบนั่นเอง คุณหนูไม่อยากแต่งงานกับเจ้าหนุ่มที่ชื่อเฉินฉางเซิงอย่างแน่นอน แต่…จะทำเช่นนี้จริงหรือ คุณหนูจะเห็นด้วยหรือ

    นางเดินไปข้างโต๊ะ กางกระดาษให้เรียบ ยกพู่กันจุ่มน้ำหมึก หลังจากคิดแล้วคิดอีกก็เริ่มเขียนจดหมาย

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook