Uncategorized
ทดลองอ่าน นิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 26 ตอนที่ 1
บทที่1พระราชโองการ
เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในตลาดที่อึกทึกครึกโครมซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นของผักเน่าและสิ่งปฏิกูล ชายผู้หนึ่งถือกาสุราเดินเข้ามาในร้านขายเนื้อ คนขายเนื้อปิดประตูแล้วจึงพาชายผู้นั้นขึ้นไปยังชั้นสอง นั่งที่โต๊ะแล้วเริ่มดื่มสุราและกินเนื้อ
ปีศาจสุรามองไปยังจุดจุดหนึ่งบนฟ้าพลางกล่าวเสียดสี
“มันมักพูดว่าเฮ่าเทียนอยู่สูงแล้วมีประโยชน์อันใด มันแข็งแกร่งแล้วเป็นอย่างไร สุดท้ายยังต้องจากไป เหาะขึ้นไปบนฟ้า”
คนขายเนื้อเอ่ยว่า
“ทิ้งการมีชีวิตอยู่อย่างนิรันดร์เพื่ออุดมการณ์ประหลาดไร้สาระพวกนั้น ไปสู้กับฟ้าที่ไม่มีทางชนะ บางคนคิดว่าแบบนี้ช่างงามสง่า ที่จริงแล้วเป็นแค่เพียงคนเขลา”
ในป่าโบราณบนเขาลึกของแคว้นเทพซีหลิง
เฉินผีผีคุกเข่าอยู่ริมทะเลสาบในอารามจือโส่ว มองฟ้าพลางร้องไห้ไม่หยุด หัวไหล่ตก ร่างกายสั่นระริก มันร้องไห้จนตาบวมแดงเหมือนกระต่ายที่หิมะเข้าตา
นักพรตวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างหลังมันถอนหายใจก่อนกล่าวปลอบว่า
“จอมปราชญ์ในเมื่อขึ้นสวรรค์ไปแล้ว เช่นนั้นบิดาของท่านก็กลับมาได้ อย่างน้อยนี่ถือเป็นเรื่องดี”
บิดาของเฉินผีผีคือเจ้าอารามของอารามจือโส่ว
มันชื่อเฉินโหม่ว ไม่รู้นานเท่าใดแล้วที่มันสวมแต่ชุดนักพรตสีเขียว เหตุนี้จึงได้ฉายาว่านักพรตชุดเขียว
เมื่อนานมาแล้วเคอเฮ่าหรานแห่งสถานศึกษาถูกฟ้าสังหาร จอมปราชญ์ขึ้นเขาเถาซาน เข้าอาศรมเทพ อารามจือโส่วถูกบีบให้ต่อสู้เต็มกำลัง การต่อสู้ครั้งนั้นยอดฝีมือนิกายเต๋าจำนวนนับไม่ถ้วนบ้างตายบ้างพิการสาหัส นักพรตชุดเขียวแม้เชิญเจ้าคณะฝ่ายเทศนาแห่งวัดเสวียนคงมาร่วมมือกันยังไม่อาจยืนหยัดต่อกระบองของจอมปราชญ์แม้เพียงครู่
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นมันถูกบังคับให้ไปเร่ร่อนยังเกาะหนานไห่ ตลอดชีวิตมิกล้าเหยียบผืนแผ่นดินใหญ่
นักพรตชุดเขียวตระเวนไปตามหมู่เกาะต่างๆ ของหนานไห่ ล่องทะเลไปกับเรือหาปลา ฝึกฌานอย่างสม่ำเสมอ ให้กำเนิดเด็กคนหนึ่งกับสตรีชาวประมงเก็บหอยมุกที่เกาะหนานไห่ จากนั้นส่งเด็กคนนั้นไปยังสำนักของจอมปราชญ์
กระนั้นมันก็ยังเหยียบแผ่นดินใหญ่ไม่ได้
เพราะจอมปราชญ์ไม่อนุญาต
วันนี้จอมปราชญ์ขึ้นสวรรค์แล้ว ว่ากันตามหลักมันควรจะได้ขึ้นฝั่ง
แต่ชุดเขียวสะบัดพัดพลิ้วยังคงวูบวับไปมาตามเกาะย่อยต่างๆ ของหนานไห่
บนเกาะที่เขียวชอุ่มเกาะหนึ่งพลันปรากฏร่างของมัน
ครู่ต่อมาก็หายไป
ห่างออกไปหลายพันลี้ สองเท้าของมันเหยียบลงบนหาดทรายของอีกเกาะหนึ่ง
จากนั้นก็หายไปอีกครั้ง
บนเกาะแต่ละเกาะมันหยุดพักได้เพียงชั่วครู่ บางครั้งไม่ทันได้พักก็ต้องหนีต่อ
ชุดนักพรตเปื้อนโลหิต มวยผมยุ่งกระเซิง สภาพของมันดูทุลักทุเลยิ่ง นั่นเพราะมีกระบองสั้นอันหนึ่งไล่ตามมันอยู่ ทุกครั้งที่มันหายตัวไปยังเกาะหนึ่ง กระบองอันนั้นก็จะหายตัวตามไป ไหล่ขวามันถูกตีไปแล้วทีหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะมันคุ้นเคยกับหมู่เกาะหนานไห่ คิดว่าคงหลบกระบองนี้ไม่ได้แม้สักครั้ง
มันคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายเต๋า อยู่ด่านไร้ระยะในตำนาน แต่กระบองของจอมปราชญ์ก็อยู่ด่านไร้ระยะเช่นกัน มันจึงได้แต่หนีตายไปเรื่อยๆ จนกว่าจอมปราชญ์จากโลกนี้ไปจริงๆ บางทีเมื่อถึงเวลานั้นกระบองไม้จึงตกลงสู่ทะเล
ด้านหลังอารามจือโส่วมีภูเขาลูกหนึ่ง
ทั้งหินและดินล้วนเป็นสีแดงคล้ายสีของโลหิตที่ทิ้งไว้นานปี แต่เพราะบริเวณหน้าผามีเถาวัลย์ขึ้นอยู่จำนวนมาก ดูไปจึงคล้ายภูเขาเขียว เถาวัลย์ที่ขึ้นอยู่หนาแน่นปิดบังถ้ำมากมายที่เหมือนรังมดในภูเขาจนมิดชิด ปิดบังท้องฟ้ายามมองออกมาจากถ้ำเหล่านั้น สำคัญที่สุดคือปิดบังลมปราณของเหล่ายอดฝีมือที่อยู่ในถ้ำ
เสียงหัวเราะที่บ้างแหบบ้างแหลมหลายสิบเสียงดังทะลุเถาวัลย์ออกมานอกถ้ำ ถ่ายทอดสู่โลกภายนอก
เสียงหัวเราะเหล่านี้เต็มไปด้วยความเศร้าใจและโกรธแค้น ทั้งฟังดูอำมหิตชั่วร้าย
ในถ้ำมดบนเขามียอดฝีมือนิกายเต๋าจำนวนมากอาศัยอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจุดสูงสุดของด่านรู้ชะตา ถึงขนาดมีบางคนก้าวข้ามด่านทั้งห้าไปแล้ว กลายเป็นหนึ่งในตำนาน
พวกมันบ้างบาดเจ็บสาหัส บ้างพิการสาหัส ครึ่งหนึ่งบาดเจ็บใต้คมกระบี่ของเคอเฮ่าหราน ส่วนอีกครึ่งบาดเจ็บจากการต่อสู้เมื่อครั้งจอมปราชญ์ขึ้นเขาเถาซานตัดดอกท้อ คำว่าสถานศึกษาคือฝันร้ายของยอดฝีมือผู้เร้นกายเหล่านี้ เคอเฮ่าหรานถูกฟ้าสังหารเมื่อนานมาแล้ว และในที่สุดวันนี้จอมปราชญ์ก็ขึ้นสวรรค์ โลกนี้จึงไม่มีพลังอำนาจใดที่ทำให้พวกมันรู้สึกกลัวได้อีกแล้ว ในที่สุดพวกมันก็ได้รับโอกาสที่จะได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง
พวกมันจึงร้องไห้อย่างเต็มที่ หัวเราะอย่างเบิกบาน และกระโดดโลดเต้น แม้โดยพื้นฐานแล้วพวกมันบางคนแขนขาดหรือบางคนขาขาดก็ตาม พวกมันปลดปล่อยปราณของตนอย่างกำแหง ประกาศความแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ของตนต่อโลก
พวกมันกำแหงยิ่งนัก
ปราณที่แข็งแกร่งของพวกมันไม่เพียงแผ่กระจายไปในโลกมนุษย์ ถึงขนาดเกือบสัมผัสถึงสวรรค์
พวกมันไม่กังวลว่าเฮ่าเทียนจะลงโทษเพราะพวกมันคือสาวกที่ศรัทธาที่สุดและบริวารที่ภักดีที่สุด เฮ่าเทียนคงไม่ให้พวกมันกลับคืนสู่เฮ่าเทียนในเร็ววัน แต่พวกมันลืมไปว่าบนท้องฟ้าในตอนนี้ยังมีคนผู้หนึ่ง
เงาร่างสูงใหญ่แม้ค่อยๆ หายเข้าไปในแสงสว่างไพศาล แต่ยังไม่ได้จากโลกมนุษย์ไปอย่างสมบูรณ์
“เดิมทีข้าไม่อยากยุ่งกับโลกมนุษย์แล้ว แต่ในเมื่อพวกเจ้าอยากมีตัวตนนัก เช่นนั้นก็สิ้นลมอย่างสงบเถอะ”เสียงของจอมปราชญ์ดังขึ้น
หนึ่งฝ่าเท้าเหยียบลงบนภูเขาจากนภากาศ
เสียงหัวเราะบนเขาพลันเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกและเสียงร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัว ปราณที่แข็งแกร่งหลายสิบสายไหลทะลักพุ่งหนีออกจากภูเขา ทว่ามิทันการณ์ เท้าข้างนั้นเหยียบลงบนภูเขาราบเป็นหน้ากลอง ยอดฝีมือผู้เร้นกายของนิกายเต๋าพากันสิ้นลมหายใจ
บนท้องฟ้าท่ามกลางแสงสว่าง จอมปราชญ์สะบัดเท้าเอาเศษหินเศษดินที่ใต้รองเท้าออก มองโลกมนุษย์คราหนึ่งแล้วหันไปเอ่ยกับซังซัง
“อยากกลับไปหรือ เจ้ากลับไม่ได้แล้ว”
ใบหน้างดงามสมบูรณ์ของซังซังที่เดิมไร้ความรู้สึกบัดนี้กลับหวาดกลัวสุดขีด
แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นแล้วกระจายออก
ประตูใหญ่ของแดนเทพเฮ่าเทียนบัดนี้พังทลาย ท้องฟ้าเริ่มสั่นสะเทือน บางบริเวณถึงขนาดปรากฏรอยแยกเล็กๆ ซึ่งสำหรับโลกมนุษย์ถือว่ากว้างมาก ก้อนสีขาวที่ไม่ใช่ทองไม่ใช่หยกจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาจากฟ้าพร้อมเสียงดังกึกก้อง เสียดสีกับอากาศอย่างรุนแรงกลายเป็นอุกกาบาตหลายหมื่นลูก ตกลงในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลเกิดเป็นคลื่นขนาดมหึมาจำนวนมาก มีไอน้ำที่ร้อนจัดแผ่พุ่งมากมาย ท่ามกลางไอน้ำมีปลาและนกตายอยู่นับไม่ถ้วน
หากแต่ผืนแผ่นดินและมนุษย์ยังคงปลอดภัยดี
ในจำนวนอุกกาบาตหลายหมื่นลูกมีลูกหนึ่งที่โปร่งใสเหมือนหินผลึก ตอนที่ตกลงสู่มหาสมุทร ผลึกลูกนั้นสะท้อนแสงสว่างจากท้องฟ้า วาดเป็นเส้นโค้งสุกใสเส้นหนึ่งกลางอากาศ พุ่งไปทางทิศเหนือของโลกสุดท้ายไม่รู้ไปตกยังที่ใด
ภูเขาหลังสถานศึกษา
เจ้าเหลืองนอนเซื่องซึมอยู่บนพื้นหญ้า
ศิษย์พี่ใหญ่วางหญ้าสดใหม่ตะกร้าหนึ่งไว้ตรงหน้ามัน
ศิษย์พี่รองวางเนื้อปลาสดใหม่แผ่นบางๆ จานหนึ่งไว้ตรงหน้ามัน
เจ้าเหลืองไม่ยอมกินหญ้าและไม่ยอมกินปลา ดูอ้างว้างมากและเหนื่อยล้ามาก
มันหลับตาช้าๆ มีหยดน้ำซึมออกมาจากหางตา จากนั้นหยดลงบนแก้มมัน ก่อนจะหยดลงมามากขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองแหงนหน้ามองฟ้าจึงรู้ว่าฝนตก
หลังจากจอมปราชญ์ขึ้นสวรรค์ ทั้งโลกเริ่มมีฝนตก
ฝนตกครั้งนี้ตกหนักมากและตกต่อเนื่องนานมากด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นพายุฝนพัดกระหน่ำ มีบ้างบางเวลาที่ตกปรอยๆ แต่คือตกอย่างไม่มีขาดช่วง
ฝนตกครั้งนี้ต้องถูกบันทึกในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน
ฝนตกครั้งนี้ต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องราวมากมายในโลกอย่างแน่นอน
จอมปราชญ์เคยกล่าวว่าจากที่ใดก็ตามบนโลกนี้ หากเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ สุดท้ายจะต้องพบกับยอดเขาหิมะ ยอดเขาหิมะลูกนั้นคือที่ที่อยู่เหนือสุดและเป็นที่ที่หนาวเย็นที่สุดของโลกนี้
เขตหนาวทางซีกโลกเหนือแต่ไรมาไม่เคยมีฝนตก มีแต่หิมะตก ช่วงเวลาที่ราตรียาวนาน หลังจากชาวฮวงอพยพลงทิศใต้ ผืนดินที่เงียบสงบและร้างผู้คนแห่งนี้ก็เริ่มมีหิมะตกน้อยลงและเริ่มมีฝนตกแทน
ชั้นหิมะที่ผิวทะเลเร่อไห่ถูกฝนกระหน่ำจนเกิดรูมากมาย ภูเขาหิมะที่สูงที่สุดในโลกลูกนั้นเกิดหิมะถล่มหลายครั้งเพราะพายุฝน มีครั้งหนึ่งเกิดหลุมขนาดใหญ่บนสันเขา ดูแล้วเหมือนถูกหินจากนอกโลกพุ่งชน
หนิงเชวียตื่นขึ้นมา
มันพบว่าตนเองอยู่ในทุ่งร้าง เวลานี้ฝนหยุดแล้ว มันวิเคราะห์ได้ว่าที่นี่เคยมีฝนตกหนักจากสภาพพื้นดินที่เฉอะแฉะและหยดน้ำบนต้นหญ้าข้างกาย
มันไม่รู้ว่าผ่านไปกี่วัน แต่คิดดูแล้วคงนานมาก
หลายวันไม่มีอาหารตกถึงท้อง ร่างกายมันแม้ทรหดก็ยังรู้สึกอ่อนแรง กระเพาะอาหารที่แน่นเต็มตอนอยู่กับจอมปราชญ์ว่างเปล่าไปนานแล้ว แต่มันไม่อยากกินอะไร
มันนั่งอยู่บนพื้นหญ้าหลังฝนตก นั่งอยู่ในทุ่งร้างแห่งดินโคลน กอดเข่าหนาวสั่นมองฟ้าหลังฝน ใบหน้าที่ซูบเซียวถูกแดดส่องจนขาวซีด
ฟ้ายังเป็นฟ้าเดิม
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
อาจารย์สู้กับเฮ่าเทียนครั้งนี้แพ้แล้วใช่ไหม
อาจารย์ตายแล้ว
ซังซังคือเฮ่าเทียน นางกลับไปแล้วก็คือตายแล้วเหมือนกัน
มันทุกข์ใจมาก
แต่เรื่องที่ทำให้มันทุกข์ใจที่สุดคือเรื่องอื่น
จนถึงตอนนี้มันจึงเข้าใจคำพูดต่างๆ ที่อาจารย์พูดกับตนก่อนขึ้นสวรรค์ มันเดิมทีอาจเปลี่ยนแปลงเรื่องทั้งหมดนี้ได้ แต่เพราะหลายสาเหตุทำให้มันคิดไม่ถึง หรืออาจพูดว่าไม่อยากไปคิดถึง มันจึงไม่ทำอะไร นิ่งดูดายมองเฮ่าเทียนหาอาจารย์จนเจอ นิ่งดูดายมองอาจารย์ขึ้นสวรรค์ไปสู้ จากนั้นก็พ่ายแพ้
หนิงเชวียกอดเข่ามองท้องฟ้า มันนั่งอยู่อย่างนี้ อะไรก็ไม่อยากพูด อะไรก็ไม่อยากทำ อะไรก็ไม่อยากคิด มันไม่รู้ว่าตนควรทำอย่างไรต่อไปจึงนั่งอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนกระทั่งรัตติกาลมาเยือน
หนิงเชวียมองท้องฟ้ายามราตรี พลันตื่นตะลึง
มันยืนขึ้น ร่างส่ายโงนเงนจนแทบล้ม มันเปล่งเสียงหัวเราะ เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ แต่เพราะน้ำเสียงที่แหบแห้งพอฟังแล้วจึงเหมือนกำลังร้องไห้ มันล้มนอนบนพื้นหญ้าที่เฉอะแฉะ หัวเราะและร้องไห้อย่างเต็มที่ ทั้งยังกลิ้งไปมาเหมือนเด็ก
ดวงจันทร์ปรากฏบนท้องฟ้า นั่นย่อมไม่ใช่ดวงจันทร์จริงๆ หรือกล่าวได้อีกอย่างว่าไม่ใช่ดวงจันทร์ที่หนิงเชวียรู้จัก มันสายตาดี ดวงจันทร์ดวงนี้มันมองไม่เห็นเงาดำของปากปล่องภูเขาไฟบนนั้น เห็นแต่แสงสว่างที่อบอุ่น
ส่วนลึกของทุ่งร้างเกิดเสียงหมาป่าเห่าหอนขึ้นมากมาย พวกมันไม่เคยเห็นดวงจันทร์ ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร
แต่หนิงเชวียรู้ว่าดวงจันทร์ดวงนี้คืออะไร จอมปราชญ์ยังมีชีวิตอยู่ ยังต่อสู้อยู่บนฟ้า เพียงแต่เปลี่ยนรูปลักษณ์ จอมปราชญ์เคยพูดไว้ว่านั่นต้องเป็นภาพที่สวยงามมาก และภาพนี้ก็สวยงามมากจริงๆ
มันตะโกนไปที่ดวงจันทร์
“ต้องชนะนะ!”
คัมภีร์สวรรค์เล่มแสงสว่างเขียนไว้ว่า
‘ความสว่างคือดวงตะวันและดวงจันทร์ ดวงตะวันและดวงจันทร์หมุนเวียนสลับเปลี่ยน มีความสว่างก็ต้องมีความมืดเคียงคู่กันไป เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่าตามกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติคือเต๋า เต๋าให้กำเนิดกฎเกณฑ์ เมื่อกฎเกณฑ์เข้าสู่วาระสุดท้าย ราตรีจะมาเยือน ดวงจันทร์จะปรากฏ’
ปฐมพุทธะหลังจากอ่านคัมภีร์เล่มแสงสว่างแล้วได้เขียนไว้ในบันทึกว่า
‘ดวงตะวันและดวงจันทร์หมุนเวียนเปลี่ยนสลับ มีสว่างก็ต้องมีมืด เช่นนั้นดวงจันทร์ควรต้องปรากฏในตอนกลางคืน ทว่าหลังผ่านหายนะมานับครั้งไม่ถ้วน ในราตรีอันยาวนานกลับไม่เคยเห็นดวงจันทร์’
จอมปราชญ์คือดวงจันทร์
หากฟ้าไม่ให้กำเนิดจอมปราชญ์ นิจนิรันดร์คงมีแต่รัตติกาลที่มืดมน
นี่คือฝนตกครั้งใหญ่ที่ยาวนานที่สุดและปกคลุมอาณาบริเวณกว้างที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร จากปลายคิมหันต์ต่อเนื่องจนถึงฤดูสารทจึงค่อยเบาบางลง ฝนตกนี้อยู่เหนือจินตนาการของทุกผู้คน น้ำฝนโปรยลงมาจากฟ้าไม่หยุด ตกลงบนภูเขา แม่น้ำ ทุ่งร้าง และทะเลสาบ หลังจากถูกน้ำฝนกัดเซาะ หน้าผาเริ่มถล่ม ถนนหนทางชำรุด เขื่อนกั้นน้ำพังทลายจนเกิดอุทกภัย
ภัยจากธรรมชาติที่ร้ายแรงเช่นนี้เพียงพอให้คนทั้งโลกรู้สึกถึงความสิ้นหวัง ดีที่อาศรมเทพรวมถึงราชสำนักของแคว้นต่างๆ ช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติอย่างรวดเร็ว ต่อหน้าภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง มนุษย์ได้แสดงพลังชีวิตและความอดทนที่น่ากลัวออกมาอีกครั้ง ไม่เพียงไม่ล้มลง หากยังรับมืออย่างสุขุมและพยายามต่อสู้กลับ
ฝนตกลงในทุ่งร้างเช่นกัน ทุ่งร้างถูกปกคลุมด้วยดินโคลนไปทั้งผืน พื้นดินเฉอะแฉะเละเทะ การเดินทางที่นี่กลายเป็นเรื่องยากลำบาก คนเลี้ยงสัตว์ไม่สามารถปล่อยสัตว์ไปหาอาหาร ได้แต่หลบอยู่ในกระโจม ผ่านวันเวลาไปอย่างแสนอึดอัด แม้แต่พวกโจรขี่ม้ายังต้องหลบอยู่ในป่าริมทะเลสาบซูปี้ โอดครวญต่อฝนที่ตกไม่หยุด
หลังจากสงครามในทุ่งร้างจบลงกองทัพของต้าถังก็ถอนกำลังกลับโดยแยกเป็นสองทาง กองกำลังฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือก่อนหน้าฝนตกก็ไปถึงเมืองถู่หยางที่อยู่ทางทิศใต้แล้ว ส่วนทหารม้าเกราะเหล็กของค่ายบัญชาการทัพเหนือที่ตามเสด็จนั้น หลังหยุดพักที่เมืองเฮ่อหลันได้พักหนึ่งก็ถูกฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องบังคับให้ต้องอยู่ต่อ
แม้แคว้นต้าถังไม่เสียดายกำลังทรัพย์และกำลังคน ลงทุนกับที่นี่มาอย่างต่อเนื่องหลายร้อยปี แต่ถึงอย่างไรเมืองเฮ่อหลันก็อยู่ไกล ที่พักอาศัยในเมืองมีจำกัด ทหารม้าของค่ายบัญชาการทัพเหนือหลายหมื่นนายหลังจากเข้าพักในค่ายและที่พักในเมืองจนเต็มแล้ว ยังเหลือทหารเป็นจำนวนมากที่จำเป็นต้องไปพักอาศัยในหอคอยบนกำแพงเมือง
หอคอยบนกำแพงเมืองอยู่สูงบนหน้าผา พอตกกลางคืนลมหนาวจะพัดโกรกเข้ามา เดิมทีอากาศช่วงรอยต่อระหว่างคิมหันต์และฤดูสารทเหมาะแก่การตั้งค่าย จนใจที่ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องหลายวัน ฤดูสารทจึงมาเยือนทุ่งร้างเร็วกว่ากำหนด อากาศจึงเย็นเยือก เพื่อให้ทหารม้าทุกนายได้อยู่อย่างอบอุ่น ฮั่นชิงแม่ทัพเมืองเฮ่อหลันหลายวันนี้ได้ทุ่มเททำทุกวิถีทาง
เสบียงยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด
เมืองเฮ่อหลันแม้สะสมเสบียงไว้มาก แต่เมื่อมีทหารหลายหมื่นรวมทั้งม้าศึกอีกนับไม่ถ้วนเพิ่มเข้ามา แรงกดดันที่ต้องแบกรับจึงเพิ่มขึ้นในพริบตา ตอนนี้ยังพอยืนหยัดต่อไปได้สักระยะ แต่หากฝนยังตกต่อไปเรื่อยๆ เสบียงจากทางใต้ส่งมาไม่ได้ พวกมันเองก็ไปจากที่นี่ไม่ได้ ถึงตอนนั้นเมืองเฮ่อหลันจะตกอยู่ในภาวะขาดแคลนเสบียง
ปัญหาและเรื่องยุ่งยากต่างๆ นานาเมื่อรวมเข้าด้วยกันจะกลายเป็นภัยร้ายแรง ทว่าไม่ว่าจะเป็นนายกองของทหารม้าค่ายบัญชาการทัพเหนือหรือแม่ทัพฮั่นชิงต่างล้วนไม่กล้านำปัญหานี้ไปทูลขอพระดำริจากองค์จักรพรรดิ ทั้งไม่กล้ารบกวนพระอัครมเหสีหรือหวงหยางต้าซือ
เพราะจักรพรรดิยามนี้กำลังทรงพระประชวรอย่างหนัก
หลี่จ้งอี้จักรพรรดิแห่งต้าถังให้ความสำคัญกับน้ำใจไมตรีและคุณธรรม แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์คร่ำครึไม่รู้เท่าทันคน เมื่อครั้งทรงเป็นองค์ชายทรงเป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกร เกือบยี่สิบปีมานี้ที่ทรงนั่งบัลลังก์มังกรทรงสุขุมและอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูหมิ่นพระองค์
ในความคิดของจักรพรรดิของแคว้นหนานจิ้น แคว้นเยวี่ยหลุน แคว้นเยี่ยน แคว้นฉี แคว้นซ่ง และแคว้นเฉิน จักรพรรดิของแคว้นต้าถังจัดอยู่อันดับหนึ่งในรายชื่อของคนที่พวกมันอยากให้ตาย ทุกขณะเวลาไม่รู้มีคนมากน้อยเท่าใดที่ลอบอธิษฐานให้พระองค์ประชวรเป็นโรคที่ไม่อาจรักษา สาปแช่งให้ประชวรหนักจนสิ้นลม
ความจริงมีไม่กี่คนที่รู้ว่าเมื่อหลายปีก่อนจักรพรรดิหลี่จ้งอี้ทรงพระประชวรด้วยโรคร้ายแรงมาก เรื้อรังจนโรคเข้าถึงกระดูกและอวัยวะภายใน รักษาไม่ได้แล้ว
จอมปราชญ์เคยตรวจดูพระอาการ…อาจเป็นเพราะโรคนี้ยากรักษา หรืออาจเป็นเพราะจอมปราชญ์มองเห็นนัยลึกซึ้งในโชคชะตาหลังการประชวรครั้งนี้ จึงเพียงแค่จัดยาให้เทียบหนึ่ง ไม่ได้ใช้พลังของโลกมนุษย์เช่นที่ทำกับซังซัง
โรคนี้เรื้อรังมาจนถึงฤดูสารทของรัชสมัยเทียนฉี่ปีที่สิบแปด แล้วกำเริบขึ้นพร้อมกับการปรากฏในโลกมนุษย์ของมังกรทอง ต่อเนื่องมาจนถึงพายุฝนเหน็บหนาวระลอกใหญ่ และเป็นไปตามกระแสแห่งโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้
องค์จักรพรรดิทรงนอนอยู่บนพระแท่นบรรทม สีพระพักตร์ซีดเผือด พระหัตถ์กุมผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง บนผ้าเช็ดหน้ามีคราบเลือด
พระอัครมเหสีก้มหน้าอยู่ไม่ได้กล่าววาจาใด ลูบพระอุระฝ่าบาทอย่างเบามือ หวังให้พระองค์ทรงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“ไม่กี่ปีมานี้เมืองฉางอันมีคนตายจำนวนมาก ขุนนางอาวุโสหลายคนเคยติดตามรับใช้เสด็จพ่อ บางคนถึงขั้นเป็นขุนนางอาวุโสตั้งแต่ครั้งเสด็จปู่ ล้วนจากไปก่อนเรา แม้แต่อาจารย์ใหญ่ก็จากพวกเราไปแล้ว ตอนนี้เราเองก็ไม่ไหวแล้ว”
จักรพรรดิทรงกุมมือนางไว้แน่น ตรัสต่อไปว่า
“ฟ้าจะลงทัณฑ์แคว้นต้าถังเราโทษฐานไม่สู้รบเพื่อมัน…แม้เป็นเช่นนี้เราก็มิได้หวั่นเกรง เพราะเราเชื่อมั่นว่าต้าถังต้องได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด”
น้ำตาอุ่นๆ หยดลงมาจากดวงตาของพระอัครมเหสี ตอนนี้จักรพรรดิทรงกุมมือนางอยู่ หยดน้ำตาเมื่อหยดลงบนสองมือที่เกาะกุมกันแน่นก็แตกกระเซ็น
“เราคือบุรุษที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก แต่งกับสตรีที่เราชอบที่สุดในโลก ถึงต้องตายระหว่างทางของการทำสงคราม ชีวิตนี้ก็ไม่มีสิ่งใดต้องเสียดาย ดังนั้นเจ้าจงอย่าได้เศร้าใจ”
พระอัครมเหสีเงยหน้าขึ้น กล่าวทั้งน้ำตานองหน้าว่า
“แต่หม่อมฉันยังมีเรื่องเสียดายอีกมากมาย หม่อมฉันยังไม่ได้เห็นพระองค์ยามแก่ชรา พระองค์ยังไม่ได้เห็นเสี่ยวลิ่วเติบโต หม่อมฉันยิ่งเสียใจที่ตอนนั้นรับคำสั่งจากนิกายลงใต้มาฉางอัน มายั่วยวนพระองค์ หลอกลวงพระองค์ สุดท้ายทำร้ายพระองค์จนต้องกลายเป็นแบบนี้”
จักรพรรดิทรงพระสรวลพลางตรัสว่า
“ยั่วยวนเรา หลอกลวงเรา ทำร้ายเรา และสุดท้ายเจ้ายังรักเรา”
ได้ยินวาจาหวานซึ้ง พระอัครมเหสีจึงยิ้มได้ทั้งน้ำตา
“พระองค์โทษหม่อมฉันบ้างไหม”
“หากพูดว่าไม่เคยคิดโทษเจ้านั่นก็เป็นคำเท็จ สุดท้ายแล้วใครบ้างไม่อยากมีอายุยืน”
จักรพรรดิยื่นพระหัตถ์ไปเช็ดน้ำตาให้นาง
“แต่ภายหลังมาคิดดูว่าการต่อสู้ระหว่างเราสองคน สุดท้ายเราเป็นฝ่ายชนะ อาการบาดเจ็บที่ได้รับจึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ”
พระอัครมเหสีโอบกอดองค์จักรพรรดิ กล่าวเบาๆ ว่า
“ตั้งแต่พบพระองค์ หม่อมฉันก็พ่ายแพ้แล้ว”
จักรพรรดิทรงพระสรวลขึ้นมาอย่างเบิกบานพระทัย ชีวิตนี้พระองค์ทำสงครามน้อยใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน แต่มีเพียงสงครามครั้งนั้นที่สลักลึกอยู่ในพระทัย และทรงเห็นความสำคัญกับผลแพ้ชนะมากที่สุด
“หากเราไม่เป็นจักรพรรดิคงเป็นศิษย์คนหนึ่งของสถานศึกษา ตอนนี้มาคิดดูชีวิตแบบนั้นอาจสนุกกว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรเรายังนับถือจอมปราชญ์เป็นอาจารย์”
จักรพรรดิทรงพระสรวลอย่างอ่อนล้า ทอดพระเนตรนางพลางตรัสว่า
“ตอนนี้อาจารย์ขึ้นสวรรค์ไปทำงาน ส่วนพวกเรายังต้องทำงานที่โลกมนุษย์ต่อ หลังจากเราตามอาจารย์ไปแล้ว เจ้าคงรู้ว่าควรทำอย่างไร”
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หม่อมฉันทราบว่าควรทำอย่างไร”
“เราจะให้เสี่ยวลิ่วกราบเซียนเซิงใหญ่เป็นอาจารย์ อยากให้มันเรียนรู้วิถีแห่งเมตตาธรรม เจ้าเด็กสองคนนั้นถ้าไม่ก่อเรื่องวุ่นวายก็…ละเว้นชีวิตพวกมันเถอะ”
น้ำตาของพระอัครมเหสีหยุดไหลแล้ว กล่าวรับคำเสียงเรียบว่า
“หม่อมฉันจะจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างเหมาะสม”
“เช่นนั้นเราก็วางใจ”จักรพรรดิตรัสแล้วหลับพระเนตรลงช้าๆ
หวงหยางต้าซือเดินเข้ามาในห้อง
พระอัครมเหสีมององค์จักรพรรดิที่คล้ายบรรทมหลับ มองอยู่เนิ่นนาน จากนั้นถอดสร้อยประคำที่ข้อมือไปใส่ให้องค์จักรพรรดิ แล้วก้มลงจูบพระนลาฏเบาๆ
หวงหยางต้าซือประนมสองมือ
ครู่ต่อมาเสียงสวดมนต์ดังขึ้นในห้อง
สุขาวดีวยูหธารณี