ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1 บทที่ 19 – 23
บทที่ 19 สอนหนังสือ
ในที่สุดฝนแรกของฤดูหนาวก็ตกลงมา มิหนำซ้ำยังตกนานถึงสองวัน
โรแลนด์พิงโต๊ะทำงานมองเมืองเล็กๆ ท่ามกลางความมืดสลัวนอกหน้าต่าง สายฝนถูกลมพัดมากระทบหน้าต่างครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดเป็นลายคลื่นบนพื้นกระจก ส่งผลให้เค้าโครงของเมืองดูบิดเบี้ยวไป บ้านและถนนดูโย้เย้ผิดรูป ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนยามปกติ เนื่องจากขาดระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ บนถนนหินอันลดเลี้ยวเคี้ยวคดจึงเต็มไปด้วยน้ำไหลบ่า มองไกลๆ คล้ายกับลำธารสายเล็ก สะท้อนประกายระยับจับตา
หมู่เขาและผืนป่าที่ไกลออกไปถูกบดบังด้วยละอองน้ำ มองเห็นได้เพียงรางๆ ราวกับดินแดนมายาบนโลกมนุษย์
ทิวทัศน์อย่างนี้หากอยู่ในยุคสมัยใหม่คงจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม แต่เวลานี้โรแลนด์กลับอยากเห็นป่าคอนกรีตมากกว่า เมื่อฝนตกงานสร้างกำแพงก็ต้องหยุดชั่วคราว ทำให้ความรื่นรมย์จากการ ‘ไล่’ ทูตจากป้อมเมื่อไม่กี่วันก่อนของเขาเจือจางลงไปมาก
“ท่านเพิ่งบอกว่าอากาศรอบตัวเราประกอบขึ้นจากก๊าซหลายชนิด จริงหรือ”
เสียงใสๆ ขัดจังหวะความคิดของโรแลนด์ อันนาเอ่ยถามพลางกะพริบตาสีฟ้าคู่สวยของเธอ
“อะแฮ่ม อันนา เจ้าควรใช้ราชาศัพท์เวลาพูดกับเจ้าชาย” หัวหน้าองครักษ์ซึ่งอยู่อีกด้านเอ่ยเตือน
“ไม่ต้องเคร่งครัดนักหรอก” โรแลนด์หันกลับมา “ตอนนี้นางเป็นนักเรียนของข้า” ไหนๆ ฝนตกก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เขาจึงเรียกแม่มดสองคนกับคาร์เตอร์มาเรียนหนังสือกับเขา…ถูกต้อง เขาตัดสินใจเปิดสอนวิชาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติขึ้นที่นี่ โรงเรียนของคาร์ลจุดประกายความคิดให้เขา ในเมื่อช่างหินยังเปิดโรงเรียนได้ เขาซึ่งเป็นถึงวิศวกรออกแบบเครื่องกลย่อมทำได้เหมือนกัน ทำไมบนโลกนี้ถึงมีการดูถูกเหยียดหยาม ก็เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาไม่ใช่หรือ ไม่ว่ายุคใดสมัยใด การส่งเสริมการศึกษาก็เป็นวิธีขับเคลื่อนความเจริญที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด
ตอนแรกเขายังอยากเรียกให้ผู้ช่วยเจ้ากรมคลังมาเรียนด้วย แต่ระยะนี้อีกฝ่ายกำลังยุ่งกับงานของทางการ จึงปฏิเสธกลับมาอย่างสุภาพ ไม่รู้ทำไม โรแลนด์รู้สึกว่าตั้งแต่เข้าฤดูหนาวมาบารอฟก็ดูกระตือรือร้นมาก แทบจะบริหารเมืองชายแดนเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ
เมื่อได้ยินว่ามีศาสตร์ใหม่ๆ ให้เรียนรู้ อันนาก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ดวงตาคู่นั้นราวกับเปล่งแสงออกมาได้ ด้านนาน่าพอรู้ว่าไม่ต้องรักษาสัตว์สารพัดชนิดแล้วก็ดีใจไม่แพ้กัน ส่วนคาร์เตอร์เห็นว่าไหนๆ ก็ไม่มีอะไรทำ จึงมาเข้าเรียนด้วยอย่างไม่จริงจังนัก
ทว่าพอเริ่มบทเรียนได้ไม่นาน หัวหน้าอัศวินก็เริ่มตาลอย นาน่าผุดสีหน้างุนงง เหม่อมองคำว่าธรรมชาติและวิทยาศาสตร์คล้ายวิญญาณไม่อยู่กับตัว ส่วนอันนานั้นแม้ดูจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ยังพยายามจดจำทุกอย่างที่ได้ฟัง โรแลนด์จำต้องหยุดสอนสักครู่เพื่อให้เวลาคนทั้งสามย่อยเนื้อหาบทเรียน
เขาพยักหน้ายิ้มๆ ตอบคำถามของอันนา “แน่นอน แม้ว่าพวกมันจะหน้าตาเหมือนกันก็ตาม”
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อพวกมันหน้าตาเหมือนกัน แล้วพวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นก๊าซคนละชนิดกัน” คาร์เตอร์สงสัย
“ข้าจะพิสูจน์ให้พวกเจ้าดู”
โรแลนด์รู้ว่าหากอธิบายด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว คนส่วนใหญ่คงมึนงงกับทฤษฎีที่ฟังดูลึกลับพวกนี้ เขาจึงตัดสินใจใช้การทดลองง่ายๆ มากระตุ้นความสนใจของทุกคน
เทียนหนึ่งเล่ม แก้วหนึ่งใบ อ่างไม้หนึ่งอ่าง น้ำปูนใสหนึ่งถ้วย…เขาเตรียมอุปกรณ์พวกนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว แม้ว่าเวลานี้เนื้อแก้วจะมีสีน้ำตาลอ่อนๆ ไม่ใสเหมือนแก้วในโลกปัจจุบัน แต่ก็ยังพอใช้แก้ขัดได้ เพราะอย่างไรเสียการทดลองง่ายๆ ครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสังเกตกระบวนการเปลี่ยนแปลงอะไร
ก่อนหน้านี้โรแลนด์เคยลองทำการทดลองมาแล้ว ผลการทดลองพิสูจน์ว่าแม้โลกนี้จะมีเวทมนตร์วิเศษมากมาย แต่กฎธรรมชาติอื่นๆ ยังคงเหมือนโลกปกติ เขาให้อันนาจุดเทียนแล้วตั้งไว้ในอ่างไม้
“การเผาไหม้ต้องอาศัยก๊าซชนิดหนึ่ง ก๊าซชนิดนี้มีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดอย่างแน่นแฟ้น หากพวกเราหยุดหายใจ พวกเราก็จะเป็นเหมือนเทียนเล่มนี้ ดูให้ดี” โรแลนด์นำแก้วมาครอบเทียน เปลวไฟกระตุกอยู่สองครั้งก่อนจะดับลงอย่างรวดเร็ว
“ก็มันใช้อากาศหมดแล้ว ฝ่าบาท ไม่แปลกเลยสักนิด” หัวหน้าอัศวินพูดอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่มีอากาศ พวกเราก็ตายแน่นอน เช่นว่าตกลงไปในน้ำ”
นาน่าพยักหน้ารัว
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าในแก้วนี้ไม่มีอะไรเลยใช่หรือไม่” โรแลนด์ถามพลางเทน้ำปูนใสลงไปในอ่างไม้ ระดับน้ำค่อยๆ ไล่ระดับจากปากแก้วขึ้นมาหยุดที่กึ่งกลางแก้ว
การทดลองนี้ได้รับความนิยมมาก คุณครูชั้นประถมส่วนใหญ่นิยมใช้เป็นการทดลองพื้นฐานในวิชาการเรียนรู้ธรรมชาติ โรแลนด์ยังจำความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็นการทดลองและได้ฟังคำอธิบายของคุณครูได้จนถึงทุกวันนี้ นั่นทำให้เขาเลือกเดินบนเส้นทางสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์อันไม่อาจหวนกลับนับแต่นั้น
เขายกมุมแก้วด้านหนึ่งขึ้นเล็กน้อย ฟองอากาศพลันมุดออกมาจากปากแก้วแล้วผุดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
จากนั้นน้ำปูนใสแจ๋วก็เริ่มขุ่นน้อยๆ สารแขวนลอยสีขาวจำนวนหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากปากแก้วอย่างช้าๆ
“หากในแก้วไม่มีอะไรเลย พวกเราคงไม่เห็นฟองอากาศและการเปลี่ยนแปลงที่ผิวน้ำ นี่แสดงว่าในอากาศมีก๊าซสองชนิดเป็นอย่างน้อย ก๊าซที่ถูกใช้ในการเผาไหม้นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอากาศ ส่วนที่เหลือคือก๊าซที่เผาไหม้ไม่ได้ แม้ว่าก๊าซสองชนิดนี้จะไม่มีสีไม่มีกลิ่นเหมือนกัน แต่คุณสมบัติของพวกมันต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“ดู…ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น” คาร์เตอร์คิดอยู่ครู่ใหญ่จึงเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างสองสิ่ง “แต่ว่ารู้เรื่องพวกนี้ไปแล้วมีประโยชน์อันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“หากพวกเรามีก๊าซชนิดแรกก็จะทำให้เปลวไฟเผาไหม้ได้นานขึ้น ในทำนองเดียวกัน หากพวกเรามีก๊าซชนิดหลังก็จะดับเปลวไฟได้อย่างรวดเร็ว” อันนาโพล่งขึ้นมา
ฉลาดมาก โรแลนด์นึกชมในใจ แม้จะมีจุดผิดบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่เธอสามารถคิดไปถึงการแยกสารเพื่อใช้งานตามคุณสมบัติที่ต่างกันของก๊าซได้ มันสมองของเธอนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะ สำหรับคนที่ไม่เคยได้รับการศึกษาแบบยุคใหม่มาก่อน การคิดถึงจุดนี้ได้อย่างรวดเร็วแสดงให้เห็นว่าเธอมีตรรกะที่ดีกว่าคนทั่วไป…อย่างน้อยก็ดีกว่าหัวหน้าอัศวินของเขาเยอะ
“ไม่เลว มนุษย์เราเริ่มแตกต่างจากสัตว์อย่างชัดเจนก็ตอนที่รู้จักใช้ไฟ แม้จุดเริ่มต้นจะเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น เช่นว่าฟ้าผ่าต้นไม้จนเกิดการลุกไหม้ หรือหินกระทบกันจนเกิดประกายไฟ หากไม่มีใครสังเกตสิ่งเหล่านี้ ไม่มีใครลองใช้ประโยชน์จากมัน พวกเราในตอนนี้ก็คงยังเหมือนสัตว์” เขาอธิบายอย่างเป็นลำดับ “ข้าทำการทดลองนี้เพื่อให้พวกเจ้าเห็นว่าความช่างสงสัยและการขบคิดคือแรงผลักดันที่ทำให้มนุษย์พัฒนา ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ยังมีพลังที่ซุกซ่อนอยู่อีกมาก มันกำลังรอพวกเราเข้าไปค้นหาและนำมาใช้ประโยชน์”
พูดเสียยืดยาว คาร์เตอร์ก็ยังทำสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ส่วนนาน่านั้นอยู่ในประเภทที่ฟังไม่เข้าใจแต่ก็รู้สึกทึ่ง ดวงตาของเธอจับจ้องโรแลนด์ไม่กะพริบ มีเพียงอันนาเท่านั้นที่ก้มหน้าลงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เอาเถอะ โรแลนด์ถอนใจ แนวคิดที่ใหม่เกินจับต้องคงทำให้คนตื่นเต้นได้ยาก มีแต่จะทำให้มึนงงเท่านั้น ระดับความคิดของพวกเขายังไม่สามารถเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของพลังเหล่านั้นได้ นอกเสียจากจะเอาของจริงมาวางตรงหน้า พวกเขาถึงจะรู้ว่าพลังที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาตินั้นมหัศจรรย์แค่ไหน
เวลานี้กาน้ำที่แขวนอยู่เหนือเตาผิงส่งเสียงดังกึก ๆ นั่นเป็นเสียงไอน้ำพุ่งชนฝากา
“โอ๊ะ น้ำเดือดแล้ว” หัวหน้าอัศวินใช้ง่ามยกกาน้ำออกมา เสียงนั้นหยุดลงทันที เขาห่อด้ามจับด้วยผ้าขี้ริ้ว แล้วหิ้วกามาเติมน้ำใส่แก้วให้ทุกคน
ดังเช่นตัวอย่างนี้ โรแลนด์ยื่นมือไปกุมแก้วไว้ สัมผัสอุณหภูมิที่ส่งผ่านเนื้อแก้วออกมา นับตั้งแต่วันแรกที่ไฟถูกนำมาใช้ประโยชน์ มันก็ได้แสดงหลักการของมันอย่างชัดเจน ใครๆ ก็เคยเห็นและเคยต้ม ‘น้ำเดือด’ กันทั้งนั้น เพียงคิดไม่ถึงว่าไอน้ำเบาๆ นุ่มๆ ที่ลอยขึ้นมาไม่ขาดสายพวกนี้จะซุกซ่อนพลังอันน่าตกใจไว้
แหล่งกำลังขับเคลื่อนที่จะถูกมนุษย์นำมาใช้ประโยชน์ในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ มันได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์มนุษยชาติไปอย่างสิ้นเชิง แม้หลักการทำงานจะไม่ซับซ้อน แต่เพราะติดปัญหาด้านเทคโนโลยี มันจึงไม่ใช่ตัวเลือกอันดับต้นๆ ในการสร้างอาณาจักรของคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่สำหรับเขา เขาคิด ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าแม่มดอยู่ การใช้พลังวิเศษมาต่อสู้เข่นฆ่าเป็นเพียงวิถีของคนป่า…การใช้พลังวิเศษมาสร้างสิ่งใหม่ๆ และทดแทนสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาทางวัฒนธรรมต่างหากจึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง
พวกเขาพูดคุยกันจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า หลังจากกินอาหารเย็นพร้อมกับทุกคนแล้ว โรแลนด์ก็กลับห้องนอนตัวเอง
ในยุคนี้ยังไม่มีแสงสียามค่ำคืน หากไม่ทำกิจกรรมอย่างว่า ทุกคนก็เข้านอนกันเร็วมาก เขายังเคยคิดจะใช้สิทธิพิเศษในการเป็นเจ้าชายเรียกสาวใช้สักคนมาให้ความอบอุ่น แต่แล้วก็หน้าบางเกินกว่าจะพูดออกไป
ทันทีเขาที่จุดไฟในห้องนอน เสียงปรบมือก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ตามด้วยเสียงคนพูด “ช่างเป็นการบรรยายที่เปิดหูเปิดตาจริงๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าชายจะทรงมีความรู้กว้างขวางถึงเพียงนี้”
เสียงนั้นเป็นเสียงของหญิงแปลกหน้า เหงื่อเย็นๆ ของโรแลนด์พลันผุดออกมา คนแปลกหน้าที่แอบเข้าห้องเขาได้โดยไม่มีใครรู้เช่นนี้ ถ้าไม่ใช่นักฆ่าแล้วจะเป็นอะไร! เขารีบพุ่งไปที่ประตูทันที ทว่ายังไม่ทันแตะลูกบิด กระแสลมเย็นๆ ก็พัดวูบผ่านข้างหูไป พอตั้งสติได้ เขาก็เห็นกริชเงินเล่มหนึ่งปักแน่นติดบานประตู ตัวกริชอยู่ห่างจากแก้มเขาเพียงนิ้วมือเดียว
บทที่ 20 ไนติงเกล
“ใจเย็นไว้เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้มีเจตนาจะทำร้าย หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อเจรจากับฝ่าบาทเท่านั้น”
ให้ตายเถอะ นี่เรียกว่าวิธีขอเจรจาอย่างนั้นหรือ โรแลนด์กลืนน้ำลายก่อนจะหันกลับไปช้าๆ เมื่อถูกข่มขู่ด้วยกริช เขาจำต้องยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ
ใต้แสงเทียนสลัว โรแลนด์เห็นตัวอีกฝ่ายแล้ว…เธอกำลังนั่งอยู่ข้างเตียง ทั้งร่างอยู่ภายใต้ชุดคลุม ศีรษะสวมหมวกซึ่งเย็บติดกับชุด ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง แสงเทียนลากเงาเธอไปทาบบนผนังด้านหลัง กินพื้นที่ผนังไปกว่าครึ่ง
“เจ้าเป็นใคร”
“หม่อมฉันไม่มีชื่อเพคะ พวกพี่น้องเรียกหม่อมฉันว่า ‘ไนติงเกล’ ” เธอลุกขึ้น ยกชายชุดแล้วทำท่าถอนสายบัวแสดงความเคารพอย่างชนชั้นสูง “ก่อนอื่นหม่อมฉันต้องขอบพระทัยฝ่าบาทอย่างยิ่ง เจ้าชายโรแลนด์ วิมเบิลดัน”
ขอบคุณหรือ ใต้แสงเทียนภายในห้อง โรแลนด์สังเกตเห็นประกายแปลกตาสะท้อนออกมาจากชุดของอีกฝ่าย สามเหลี่ยมเรียงกันสามอัน แล้วก็รูปดวงตา…ดูเหมือนเขาจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
…‘ลวดลายบนนั้น…คือรูปภูเขาศักดิ์สิทธิ์และดวงตาปีศาจ มันคือสัญลักษณ์ของสมาคมแม่มดพ่ะย่ะค่ะ’
สมองเขาพลันนึกถึงคำพูดของบารอฟ “เจ้า…เป็นแม่มด!?”
“หึๆๆ” เธอส่งเสียงหัวเราะในลำคออยู่สักครู่ “ฝ่าบาททรงพระปรีชาจริงๆ”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายยืนยันตัวตน โรแลนด์ก็แอบโล่งอก ขอแค่ไม่ใช่นักฆ่าที่บรรดาพี่น้องของเขาส่งมาก็พอ “เจ้ามาที่เมืองกันดารแห่งนี้เพื่อช่วยแม่มดที่เหมืองเนินเขาทิศเหนือหรือ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปได้ข่าวมาจากที่ใด แต่มาเอาป่านนี้สายเกินไปหน่อยกระมัง หากข้าคิดจะแขวนคอนางจริงๆ นางคงตายไปนานแล้ว”
“หม่อมฉันรู้ และหากฝ่าบาททรงทำเช่นนั้นจริง หม่อมฉันคงทำมากกว่าแค่พูดคุยกับฝ่าบาท…” ไนติงเกลนั่งลงข้างเตียงอีกครั้ง “ทางสมาคมไม่ชอบให้สมาชิกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง แต่หม่อมฉันไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าไร การสังหารเจ้าชายเพราะแม่มดเพียงคนเดียวดูจะทารุณเกินไป หากแต่การทิ้งความประทับใจเล็กๆ น้อยๆ ให้ฝ่าบาทคงอยู่ในขอบเขตที่หม่อมฉันพอกระทำได้”
อีกฝ่ายข่มขู่อย่างเปิดเผย แต่โรแลนด์กลับรู้สึกเบาใจ “นางสบายดี”
“หม่อมฉันรู้ นอกจากนางแล้วยังมีสาวน้อยที่ชื่อนาน่าอีกคน” เธอพยักหน้า “หม่อมฉันมาถึงที่นี่ตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท หม่อมฉันเห็นทุกสิ่งที่ฝ่าบาททรงทำ แม้ไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงไม่รังเกียจแม่มดอย่างคนทั่วไป แต่ไม่ว่าอย่างไร หม่อมฉันในนามของสมาคมต้องขอขอบพระทัยฝ่าบาท”
“ตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว…” โรแลนด์ปาดหน้าผาก มิหนำซ้ำยัง ‘เห็นทุกสิ่งที่ฝ่าบาททรงทำ’ หรือว่านางสะกดรอยตามเขามาตลอด แต่เขากลับไม่ได้รู้ตัวเลย “เอาล่ะ เจ้าบอกว่าอยากเจรจากับข้า คงไม่ได้มาแค่กล่าวขอบคุณกระมัง”
“ทรงยืนตรัสกับหม่อมฉันเช่นนี้ ไม่ทรงเมื่อยหรือเพคะ” เธอพูดพลางดึงหมวกลง “เชิญฝ่าบาทเสด็จมาตรงนี้ดีกว่า หม่อมฉันหน้าตาไม่น่ากลัว ไม่ทำให้ฝ่าบาทตกพระทัยแน่นอน”
ไม่เพียงไม่น่ากลัว แต่เรียกได้ว่าสวยมากทีเดียว พริบตาที่หมวกถูกดึงออก ผมลอนสีทองของไนติงเกลก็สยายลงมาราวกับน้ำตก ประกายสีทองเรืองแสงน้อยๆ อยู่ใต้แสงเทียน จมูกของเธอโด่งสวย ดวงตาสดใสมีชีวิตชีวา ใบหน้าของเธอกำจายเสน่ห์อย่างสาวสะพรั่ง แตกต่างจากอันนาและนาน่าที่ยังเจือความไร้เดียงสา แม้ว่าแสงมัวสลัวจะทำให้เขาพิจารณาหน้าเธอได้ไม่ชัด ทว่าเงาเลือนรางของโครงหน้าที่ได้สัดส่วนก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความงามของเธอได้แล้ว
โรแลนด์ก้าวเนิบช้าไปนั่งลงที่ข้างเตียง ใช่ว่าความสวยของอีกฝ่ายทำให้เขาลืมระวังอันตรายไปหมดสิ้น แต่เพราะเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้ายจริงๆ
“เจ้าว่ามาเถอะ”
“จริงดังคาด ฝ่าบาทไม่ทรงกลัวหม่อมฉัน” เสียงของหญิงสาวคล้ายเจือแววดีใจ “ฝ่าบาทไม่ทรงเหมือนกับพวกที่หม่อมฉันเคยเจอ…พวกเขาเกลียดพวกหม่อมฉันเพราะพวกเขากลัวพวกหม่อมฉัน หม่อมฉันมองเห็นความกลัวได้จากนัยน์ตาพวกเขา แต่ฝ่าบาท…” เธอยื่นมือออกมาลูบใบหน้าโรแลนด์ “ทรงมีเพียงความสงสัยเท่านั้น”
โรแลนด์กระแอมอย่างขัดเขินแล้วรีบเบือนหน้าหนี เดี๋ยวก่อน บรรยากาศอย่าเพิ่งเปลี่ยนเร็วขนาดนี้ได้ไหม เมื่อครู่ยังเป็นแนวไล่ล่าลอบสังหารอยู่เลย ทำไมอยู่ดีๆ กลายเป็นแนวโรแมนติกชวนใจสั่นไปเสียได้
โชคดีอีกฝ่ายเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว “หม่อมฉันมาที่เพื่อบอกฝ่าบาทว่าหม่อมฉันจะพาตัวอันนากับนาน่าไปเพคะ”
“ไม่ได้!” โรแลนด์โพล่งออกไปด้วยความตกใจ แต่แล้วก็เริ่มกังวลว่าตัวเองปฏิเสธเสียงแข็งถึงเพียงนี้อาจทำให้อีกฝ่ายโมโหได้ จึงรีบพูดต่อว่า “พวกนางอยู่ที่นี่ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ไม่มีใครทำร้ายพวกนางได้ อีกอย่าง เจ้าจะพานางพวกไปที่ใด ไม่มีที่ใดปลอดภัยไปกว่าที่นี่แล้ว”
“หม่อมฉันจะพาพวกนางไปที่สมาคม ที่นั่นคือบ้านของพวกนาง” ไนติงเกลไม่โกรธที่เขาปฏิเสธ เธอยังคงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สมาชิกของสมาคมจะเป็นเพื่อนร่วมทางของพวกนาง ไม่มีการดูถูก ไม่มีการกลั่นแกล้ง…และพวกนางก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวเอง”
“สมาคมแม่มดอยู่ที่ใด พวกเจ้าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งหรือ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนทหารของข้าพบจุดตั้งค่ายของพวกเจ้าในป่าเร้นลับ รอยเท้าของพวกเจ้ามุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ…ทางทิศเหนือมีอะไร มีแต่ภูเขาใหญ่ไร้ขอบเขต!”
“ฝ่าบาทตรัสถูกแล้วเพคะ ตอนนี้สมาคมอาศัยอยู่สักแห่งในเทือกเขาสิ้นวิถี ที่นั่นปลอดภัยสำหรับแม่มดแน่นอน”
“ใช้ชีวิตกลางป่ากลางเขาเหมือนคนป่าจะปลอดภัยได้อย่างไร มีน้ำสะอาดหรือไม่ มีอาหารเพียงพอหรือไม่ มีที่นอนอุ่นๆ หรือไม่ แล้วอีกอย่างเดือนแห่งปีศาจก็ใกล้มาถึงเต็มที ดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือทั้งหมดถือเป็นพื้นที่อันตราย พวกเจ้าคิดจะทำอะ…” พอพูดถึงตรงนี้โรแลนด์ก็ชะงักไป ช้าก่อน บารอฟเคยพูดไว้ว่าอย่างไรนะ ‘แม่มดจะพบความสงบสุขที่แท้จริงก็ต่อเมื่อได้ไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น หลังจากสมาคมก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แม่มดก็เริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วออกตามหาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน’ ให้ตายเถอะ หรือว่า…“พวกเจ้าคิดจะตามหาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในเทือกเขาสิ้นวิถีอย่างนั้นหรือ”
“โปรดประทานอภัยที่หม่อมฉันไม่อาจตอบฝ่าบาทได้” ไนติงเกลยิ้มขื่นๆ ทว่าสีหน้าของเธอบอกโรแลนด์อย่างชัดเจนแล้วว่าเขาเดาถูก
“เช่นนั้นข้าไม่มีวันรับปากเด็ดขาด” โรแลนด์ปฏิเสธเสียงแข็ง “อีกสองเดือนหลังจากนี้ สัตว์อสูรจะเข้าครอบครองพื้นที่นอกเมืองทั้งหมด พวกเจ้าอยู่ในภูเขาอาจหลบคนได้ แต่หลบสัตว์อสูรไม่ได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน ไว้พวกเจ้าค่อยไปหาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทีหลัง มาหลบฤดูหนาวที่เมืองชายแดนกันก่อน หมดฤดูหนาวเมื่อไรค่อยไปหาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่สาย”
คราวนี้ไนติงเกลกลายเป็นฝ่ายตกตะลึงแทน “ให้ย้ายสมาคมมาที่นี่หรือเพคะ ฝ่าบาท…ทรงเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ” เธอคิดสักครู่ก่อนจะส่ายศีรษะในที่สุด “ฝ่าบาท แม้ฝ่าบาทจะไม่ทรงกลัวแม่มด แต่ชาวเมืองของฝ่าบาทยังกลัวอยู่ เพียงพวกเราเผยตัวต่อหน้าสาธารณชน สมุนของศาสนจักรก็จะปรากฏตัวขึ้นทันที”
หากพวกชาวเมืองได้รับการช่วยเหลือจากแม่มดและผ่านพ้นเดือนแห่งปีศาจได้อย่างปลอดภัย พวกเขาก็จะรู้ว่าพวกนางไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย ทว่าโรแลนด์ยังไม่ทันอ้าปากพูด อีกฝ่ายก็ขัดขึ้นเสียก่อน “นอกจากนี้หม่อมฉันยังมีอีกเหตุผลที่ต้องการพาพวกนางไปเพคะ อันนาใกล้จะบรรลุนิติภาวะแล้ว”
“บรรลุนิติภาวะหรือ”
“ถูกต้องเพคะ” ไนติงเกลอธิบายต่ออย่างสงบราวกับมองเห็นข้อสงสัยในใจโรแลนด์ “การบรรลุนิติภาวะคืออุปสรรคใหญ่ที่แม่มดทุกคนต้องข้ามผ่าน ยิ่งเป็นแม่มดเร็วเท่าไร ก็ยิ่งเอาชนะอุปสรรคได้ยากเท่านั้น ฝ่าบาท ทรงรู้หรือไม่เพคะว่าเหตุใดพวกเราจึงถูกมองว่าเป็นร่างจำแลงของปีศาจ”
บทที่ 21 สิ่งที่เธอต้องการ
ทันทีที่ไนติงเกลอธิบายจบ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงเปรี๊ยะดังออกมาจากเทียนที่กำลังลุกไหม้เป็นระยะ
โรแลนด์นั่งหน้าขรึม ในที่สุดเขาก็พอเข้าใจแม่มดคร่าวๆ แล้ว
แม่มดส่วนใหญ่ตื่นรู้ในเดือนแห่งปีศาจ หรือก็คือวันที่ประตูนรกเปิดตามตำนาน โดยปกติแล้วการบรรลุนิติภาวะเปรียบได้กับเส้นแบ่งของแม่มด หญิงสาวที่ไม่ได้ตื่นรู้ก่อนอายุสิบแปดปีจะหมดโอกาสในการเป็นแม่มด ในทางกลับกัน หากตื่นรู้ก่อนอายุสิบแปดปี ก็จะต้องถูกปีศาจกัดกินร่างอย่างทรมานในวันที่ตื่นรู้ของทุกๆ ปี
ความทรมานนี้คนธรรมดาไม่อาจจินตนาการได้ ไนติงเกลยังถึงกับเสียงสั่นเมื่อเล่าถึงตรงนี้ เธอเล่าจากประสบการณ์ตัวเองว่าเธอรู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างพยายามจะดันทะลุร่างกายออกมา เส้นเลือดและเส้นเอ็นแต่ละเส้นปวดบวมจนแทบทนไม่ไหว ในที่สุดก็จะมีเลือดซึมออกมาตามผิวหนัง ดวงตาถลนออกจากเบ้า…
หากอดทนจนผ่านพ้นไปได้ ร่างกายก็จะค่อยๆ กลับเป็นปกติในเวลาสี่ห้าวัน แต่หากทนไม่ได้ ก็จะตายไประหว่างการทรมานนี้ มิหนำซ้ำสภาพศพยังอนาถเกินดู
ไนติงเกลเคยเห็นเพื่อนแม่มดตายจากไปอยู่หลายครั้ง ร่างกายของพวกเธอรักษาสภาพไม่อยู่ แปรเปลี่ยนเป็นก้อนเนื้อบวมๆ เลือดและอวัยวะภายในพุ่งออกมาจากรูทวาร เมื่อสัมผัสอากาศก็จะกลายเป็นไอสีดำ เมื่อทุกอย่างไหลพุ่งออกมาจนหมดตัวแล้ว ก็จะเหลือทิ้งไว้เพียงผิวหนังที่ไหม้ดำกองอยู่บนพื้น
นี่คือสิ่งที่ทำให้แม่มดถูกมองว่าเป็นร่างจำแลงของปีศาจ
คนทั่วไปเห็นภาพนี้เข้าก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ใครจะสนใจสาเหตุการตายที่แท้จริง ยิ่งศาสนจักรคอยใส่ร้ายว่านี่คือจุดจบของผู้ที่นับถือปีศาจด้วยแล้ว นานวันเข้าแม่มดจึงกลายเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายไปโดยไม่อาจหลีกหนี
แต่ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร ความทุกข์ทรมานที่ว่านี้ก็มีอยู่จริง และนี่ก็คือสาเหตุที่แม่มดอายุสั้น ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งทรมาน แม่มดจำนวนไม่น้อยจึงเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลงเพราะเหตุนี้
การถูกปีศาจกัดกินร่างกายในปีที่บรรลุนิติภาวะถือเป็นด่านที่ทรมานที่สุดด่านหนึ่ง ความจริงแล้ว พลังวิเศษที่แม่มดได้มาก่อนหน้านี้ยังไม่ถือว่าสมบูรณ์ดี หลังบรรลุนิติภาวะแล้ว พลังเหล่านี้จึงจะแข็งแกร่งและคงตัว พลังที่คงตัวจะพัฒนาขึ้นจากก่อนหน้านี้มาก หรืออาจถึงขั้นแตกออกมาเป็นพลังชนิดใหม่เลยก็ได้
น่าเสียดายที่ขั้นตอนขณะปรับพลังนั้นทรมานมาก ความเจ็บปวดจากการถูกกัดกินร่างกายรุนแรงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะรับได้ แม่มดจำนวนมากจึงมักสิ้นใจในวันที่บรรลุนิติภาวะนั่นเอง
โรแลนด์ฟังจบแล้วนั่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดเสียงเบา “ในคัมภีร์โบราณบันทึกไว้ว่าแม่มดต้องไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นจึงจะได้รับความสงบอันเป็นนิรันดร์ ไม่ต้องทนทรมานจากการถูกกัดกินร่างกายอีก นี่เป็นเรื่องจริงหรือ”
“ไม่มีใครรู้เพคะ เพราะว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านั้นปรากฏแค่ในตำนาน แต่อย่างไรก็ตามพวกนางจะมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าหากได้ไปอยู่ที่ค่ายของสมาคม เพราะเมื่อไรที่แม่มดไม่ต้องคอยปกปิดตัวตน สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระแล้ว พลังปีศาจที่กัดกินร่างกายก็จะอ่อนแรงลงไปมาก”
โรแลนด์วุ่นวายใจมาก แผนการของเขาจะขาดอันนาและนาน่าไม่ได้เด็ดขาด แต่หากแผนการของเขาทำให้พวกเธอต้องเสี่ยงชีวิตถึงเพียงนี้ เขาเองก็แข็งใจไม่ลงจริงๆ สุดท้ายเขาจึงพูดขึ้นอย่างอ่อนแรง “อันนาอยู่ชั้นล่าง ข้าจะไปตามนางมาที่นี่ หากนางยินดีจะไปกับเจ้า เจ้าก็พานางไปได้เลย ส่วนนาน่าคงต้องรอพบนางพรุ่งนี้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เข้าพระทัย หม่อมฉันมองฝ่าบาทไม่ผิดจริงๆ” ไนติงเกลลุกขึ้นแสดงความขอบคุณ
เวลานี้อันนายังไม่เข้านอน ตอนที่โรแลนด์เรียกเธอนั้น เธอกำลังก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างบนโต๊ะ พอเห็นว่าคนที่มาเป็นโรแลนด์ก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อรู้ว่าต้องไปที่ห้องนอนเจ้าชาย อันนาก็ไม่ถามอะไรสักคำ กลับเดินตามเขาขึ้นไปแต่โดยดี
เมื่อสาวน้อยเดินเข้ามาในห้องแล้วเห็นว่ามีใครอีกคน เธอก็ถึงกับสะดุ้งโหยง โรแลนด์จับมือเธอไว้แล้วแนะนำอย่างคร่าวๆ ก่อนคนทั้งสามจะนั่งล้อมรอบโต๊ะกลม ไนติงเกลเล่าเรื่องเมื่อครู่นี้อีกครั้ง “…ที่ค่ายมีคนประเภทเดียวกับเจ้ามากมาย พวกนางทุกคนล้วนเป็นสหายของเจ้า”
“เรื่องราวคร่าวๆ ก็เป็นเช่นนี้ อันนา ถึงแม้ข้ากับเจ้าจะทำสัญญาว่าจ้างกัน แต่เมื่อเกิดกรณีที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ข้าก็ควรเคารพการตัดสินใจของเจ้า ถ้าหากเจ้าจะ…”
“หม่อมฉันไม่ไป”
โรแลนด์ตะลึง “เจ้าพูดอะ…”
“หม่อมฉันพูดว่าหม่อมฉันไม่ไปเพคะ” อันนาพูดแทรกโรแลนด์อย่างรวดเร็ว “หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่”
“อันนา ข้าไม่ได้หลอกเจ้า” ไนติงเกลขมวดคิ้ว “ข้ารับรู้ถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ในกายเจ้า มันใกล้จะปะทุเต็มที เจ้าจะบรรลุนิติภาวะในเดือนแห่งปีศาจที่จะมาถึงในอีกสองเดือนนี้แล้ว ยิ่งเจ้าไปค่ายเร็วขึ้นเท่าไร เจ้าก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น”
เธอไม่สนใจไนติงเกล แต่กลับหันไปมองโรแลนด์
“ฝ่าบาท ทรงจำได้หรือไม่ที่เคยตรัสถามหม่อมฉันว่าหม่อมฉันอยากกลับไปเรียนหนังสือกับอาจารย์คาร์ลเหมือนนาน่าหรือไม่”
โรแลนด์พยักหน้า
“ตอนนั้นหม่อมฉันไม่ได้ตอบออกไป แล้วฝ่าบาทก็ตรัสถึงเรื่องเกี่ยวกับว่า…แม่มดจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติอะไรพวกนั้น หม่อมฉันไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นเลย” น้ำเสียงของอันนานิ่งสงบเป็นธรรมชาติ “หม่อมฉันเพียงต้องการอยู่ข้างกายฝ่าบาท แค่นั้นเองเพคะ”
โรแลนด์เคยคิดว่าตัวเองอ่านใจอันนาออก แต่เขาเพิ่งตระหนักได้ตอนนี้เองว่าเขาไม่เคยเข้าใจเธอเลย
เขาไม่อาจอ่านความรู้สึกใดๆ จากแววตาคู่นั้นได้ เขาไม่เห็นความพึ่งพา ความชื่นชมศรัทธา หรืออะไรทั้งนั้น…มีเพียงความสงบที่ลึกซึ้งเกินกว่าเขาจะเข้าใจ
นึกถึงตอนที่เจออันนาครั้งแรก แววตาของเธอในตอนนั้นก็นิ่งสงบเช่นนี้เหมือนกัน
สิ่งที่ต่างกันก็คือใบหน้าของเธอในตอนนี้เต็มไปด้วยพลังชีวิต ราวกับดอกไม้ตูมที่รอเวลาเบ่งบาน เธอยังคงไม่กลัวความตาย ทว่าเธอก็ไม่ได้รอความตายอีกต่อไป
“ปีศาจพวกนั้นเอาชีวิตหม่อมฉันไปไม่ได้” อันนาเน้นทุกคำพูด “หม่อมฉันจะเอาชนะมันเพคะ”
ไนติงเกลหลับตาสูดหายใจลึก “…เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”
“เช่นนั้น เจ้าจะกลับไปเพียงลำพังหรือ” โรแลนด์ถาม
“ไม่เพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่” เธอดึงหมวกขึ้นสวมแล้วลุกยืน “อย่างไรเสียทางสมาคมก็ยังไม่ย้ายค่ายไปที่ใดจนกว่าเดือนแห่งปีศาจจะสิ้นสุดลง”
“เพราะเหตุใด” โรแลนด์ตกใจ อย่าบอกนะว่าเธอจะอยู่สังเกตการณ์เขาไปตลอดฤดูหนาว
“หม่อมฉันคิดว่าเด็กน้อยที่ยังไม่เคยผ่านการบรรลุนิติภาวะคงไม่เข้าใจถึงอันตรายของมัน หม่อมฉันเคยต่อสู้กับความตายมาแล้วหลายครั้ง และได้เห็นความตายของเหล่าสหายกับตาตัวเองมาไม่น้อย เมื่อวันนั้นมาถึง หม่อมฉันย่อมช่วยเหลือนางได้ หรือสมมติว่า…” ไนติงเกลยักไหล่ “สมมติว่านางเอาชนะปีศาจไม่ได้จริงๆ หม่อมฉันก็มีประสบการณ์ทำศพเพคะ”
เธอเดินไปที่หน้าประตู ดึงกริชออกมา แล้วถอนสายบัวให้โรแลนด์อีกครั้ง “เช่นนั้น หม่อมฉันทูลลา” พูดจบ ร่างของเธอก็ค่อยๆ เลือนหายไปในความมืด ไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้ราวกับหมอกควันถูกลมพัดพา
นี่คือพลังของไนติงเกลหรือ โรแลนด์ครุ่นคิด สามารถอำพรางตัวได้โดยไม่มีใครรู้เห็น เธอเกิดมาเพื่อเป็นนักฆ่าโดยแท้ นอกจากนี้ดูจากการเขวี้ยงกริชเมื่อครู่แล้ว เธอต้องเคยได้รับการฝึกฝนมาอย่างแน่นอน ไม่เพียงรวบรวมคนประเภทเดียวกันให้เกาะกลุ่ม แต่สมาคมแม่มดยังพัฒนากองกำลังของตัวเองด้วยหรือนี่ หรือว่าเธอมีความสามารถด้านนี้มาตั้งแต่ก่อนเข้าสมาคมแล้ว
ข้อมูลเกี่ยวกับสมาคมนี้มีน้อยมากจริงๆ โรแลนด์ไม่พบข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากความทรงจำ แต่เขามีลางสังหรณ์ว่าต่อไปคงจะได้ข้องแวะกับสมาคมนี้อีกแน่นอน ขอเพียงเขายังยืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อแม่มดต่อไป
“นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้ารีบกลับไปนอนเถอะ” โรแลนด์ลูบศีรษะอันนา
แต่คิดไม่ถึงว่าอันนากลับปัดมือเขาออก แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดไม่จา
ทันทีที่บานประตูปิดลง แสงสว่างถูกกั้นไว้ด้านหลัง เงามืดเข้าปกคลุมร่างของเธอ อันนาพิงบานประตูเบาๆ แววตาที่เคยสงบนิ่งราวผิวน้ำทะเลไม่อาจสงบได้อีกต่อไป
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วยกแขนขึ้นบังหน้า ในที่สุดก็พึมพำเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินออกมา
“…คนโง่”
บทที่ 22 แถลงการณ์
เช้าวันรุ่งขึ้นฝนก็หยุดตก เมืองชายแดนเริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ผู้คนพากันมาชุมนุมที่บริเวณลานเมือง รอฟังแถลงการณ์ของเจ้าชายท่ามกลางเสียงพูดคุยเซ็งแซ่
เพื่องานแถลงการณ์ครั้งนี้ โรแลนด์แปะประกาศไว้บนกระดานล่วงหน้าหนึ่งวัน ใครก็ตามที่มาฟังจะได้รับโจ๊กข้าวสาลีกับขนมปังครึ่งก้อน สำหรับชาวเมืองแล้ว นั่นไม่ต่างจากอาหารเที่ยงที่ได้มาเปล่าๆ เลย ดังนั้นจึงมีคนมารอฟังเขาเยอะกว่าที่แห่กันมาดูนักโทษถูกแขวนคอเสียอีก
พอใกล้ถึงเที่ยงวัน โรแลนด์ก็เดินขึ้นเวทีที่สร้างไว้
เมื่อเผชิญหน้ากับฝูงชนอันเนืองแน่นด้านล่าง หากบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยก็จะเป็นการหลอกตัวเองเกินไป ในชาติก่อน สิ่งที่เขามีปฏิสัมพันธ์ด้วยมากที่สุดคือหน้าจอคอมพิวเตอร์ เวลาเข้าประชุมก็เป็นแค่คนรอปรบมืออยู่ล่างเวที นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องขึ้นเวทีเอง
แต่เขาจำเป็นต้องทำ หากคิดจะรั้งทุกคนไว้ที่เมืองชายแดน เขาก็ต้องระดมกำลัง
โรแลนด์โบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
“สวัสดียามเที่ยง ประชาชนของข้า ข้าคือเจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอาณาจักรเกรย์คาสเซิล โรแลนด์ วิมเบิลดัน ข้าเรียกทุกคนมารวมตัวกันในวันนี้เพราะมีข่าวสำคัญมาแจ้งให้ทราบ!” แม้จะแอบซ้อมอยู่หลายครั้ง แต่พอถึงเวลาขึ้นเวทีจริง ปากก็ยังคงแห้งผาก เขาหยุดเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ทูตจากป้อมปราการลองซองมาที่นี่เมื่อสี่วันก่อน พวกเขามาเพื่อเจรจาเรื่องแร่ ทุกคนรู้ดี เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้าพวกเราเคราะห์ร้ายเกิดอุบัติเหตุเหมืองถล่มลงมา จนกระทั่งตอนนี้เหมืองก็ยังไม่สามารถฟื้นคืนการผลิตได้อย่างเต็มที่ ทำให้ในฤดูกาลที่ผ่านมา พวกเรามีผลผลิตแร่เพียงสองเดือนเท่านั้น
ข้าได้อธิบายสถานการณ์ให้เขาฟังแล้ว และหวังว่าเขาจะยอมแจกจ่ายเสบียงในปริมาณที่เพียงพอให้เมืองชายแดนล่วงหน้า ส่วนแร่ที่ขาดไปทางเราจะคืนให้หลังจากพ้นฤดูหนาวไปแล้ว แต่เขาปฏิเสธ! ไม่มีทางใดที่จะเจรจากันได้อีก เขาปฏิเสธที่จะแจกเสบียงเพิ่ม…เหมือนเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน”
ฝูงชนส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าทุกคนยังจำเหตุการณ์ขาดแคลนเสบียงเมื่อสองปีก่อนได้แม่น
“ทว่าครั้งนี้เลวร้ายกว่ามาก โหรของเกรย์คาสเซิลบอกข้าว่าฤดูหนาวปีนี้จะยาวนานกว่าในอดีต เดือนแห่งปีศาจอาจกินเวลานานเกินสี่เดือน นั่นแปลว่าครั้งนี้ทุกคนอาจต้องเผชิญภาวะขาดแคลนอาหารนานถึงสองเดือน เมื่อสองปีก่อนพวกเจ้าสูญเสียญาติมิตรไปมากมาย บางคนสูญเสียพี่น้อง บางคนสูญเสียบุตร ครั้งนี้พวกเจ้ายังจะต้องสูญเสียอีกมากเท่าไร”
“ไม่! ฝ่าบาท ทรงช่วยพวกเราด้วย!” ข้างล่างมีคนตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็มีเสียงตะโกนจำนวนมากตามมา “ฝ่าบาท ได้โปรดเถิด ทรงช่วยพวกเราด้วย!”
ดูเหมือนเขาจะคิดถูกที่เตรียมหน้าม้าไว้ล่วงหน้า โรแลนด์ยกมือขึ้นหยุดเสียงเอะอะของฝูงชน “แน่นอนว่าข้าไม่มีทางทิ้งประชาชนของข้า ไม่แม้แต่คนเดียว! พวกเจ้าอาจไม่รู้ว่ามูลค่าของข้าวสาลีและขนมปังที่ป้อมส่งมาในแต่ละปีนั้น เทียบไม่ได้กับแร่ที่พวกเขาขนกลับไปแม้แต่น้อย หากอิงจากราคาท้องตลาดตอนนี้ ผลผลิตแร่เพียงสองเดือนก็สามารถแลกเสบียงได้ถึงครึ่งปี! ดังนั้นข้าจึงขายแร่ให้แก่พ่อค้าเมืองวิลโลว์ เรือขนเสบียงของพวกเขาใกล้จะมาถึงเมืองชายแดนเต็มที นอกจากขนมปังแล้ว ยังมีเนยแข็ง ไวน์น้ำผึ้ง และเนื้อแห้ง! ทุกคนจะได้กินอิ่มตลอดฤดูหนาวนี้!”
เสียงไชโยโห่ร้องพลันดังกระหึ่มลานเมือง
“แต่ว่านี่เท่ากับเป็นการตัดสัมพันธ์กับป้อมปราการลองซอง พวกเขาจะไม่รับผู้ลี้ภัยจากเมืองชายแดนแม้แต่คนเดียว ดังนั้นฤดูหนาวปีนี้ พวกเราจะต้องอยู่ที่เมืองชายแดน หลายคนคงได้เห็นการก่อสร้างกำแพงเมืองทางทิศตะวันตกแล้ว ข้ารู้ บางคนยังกังวลว่าหากเจอสัตว์อสูรเข้าจริงๆ พวกเราจะรับมือได้หรือไม่ ข้าขอบอกทุกคนตรงนี้ว่าสัตว์อสูรพวกนั้นไม่ได้แข็งแกร่งกว่าสัตว์ป่าธรรมดาสักเท่าไร แม้พวกมันจะตัวหนาหนังเหนียว แต่พวกมันก็ปีนกำแพงไม่ขึ้น กัดหินไม่แตก ต่อให้หนังเหนียวแค่ไหนก็เป็นได้แค่เป้ายิงของพวกเรา!
บอกข้าเถิด ประชาชนของข้า พวกเจ้ายินดีที่จะหลบซ่อนอยู่ในกระท่อมผุๆ พังๆ ของป้อมแล้วหิวตายอย่างน่าอนาถ หรือว่าจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องบุตรและญาติพี่น้องของเจ้า อยู่รักษาเมืองชายแดนจนลมหายใจสุดท้ายภายใต้การนำของข้า ข้ายินดีให้คำสัตย์ตรงนี้ว่าหลังเดือนแห่งปีศาจสิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนที่ร่วมต่อสู้บนกำแพงกับข้าจะได้รับค่าตอบแทนยี่สิบห้าเหรียญเงิน ส่วนคนที่เสียชีวิตระหว่างต่อสู้ ครอบครัวของเขาจะได้ค่าชดเชยห้าเหรียญทอง!”
“พวกเราจะต่อสู้เพื่อฝ่าบาท!” เมื่อมีหน้าม้าคอยชักนำ ฝูงชนก็พากันตะโกนขอสู้ตาย โรแลนด์เห็นบรรยากาศกำลังคึกคักได้ที่ ก็สั่งแจกอาหารกลางวันอย่างถูกเวลา เขาไม่ได้หวังให้ทุกคนยอมอยู่ที่เมืองชายแดน ขอแค่มีคนยอมอยู่สักครึ่งหนึ่ง เขาก็มั่นใจว่าจะต้านทานสัตว์อสูรที่มุ่งหน้ามาที่นี่ได้แล้ว
เปโรย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกเจ้าชายใส่ร้ายอย่างไรบ้าง ตอนที่เขานำข่าวกลับมาแจ้งตระกูลทั้งหกที่ป้อมนั้น ท่าทีตอบรับของทุกคนคือการหัวเราะเสียงดังสนั่น
“เจ้าบอกว่าเจ้าชายผู้ไร้เดียงสาจะทรงเขี่ยพวกเราทิ้งแล้วสู้ด้วยพระองค์เองหรือ ทรงกล้าสร้างกำแพงเมืองตอนใกล้ถึงฤดูหนาวเช่นนี้ ข้าควรชื่นชมความกล้าหาญหรือหัวเราะเยาะความไม่เจียมตนของพระองค์ดี”
“เจ้าชายองค์โตทรงกล้าหาญเพียงใดใครๆ ก็รู้ แต่ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าชายลำดับที่สี่ก็ทรงกล้าหาญกับเขาเหมือนกัน ช่างโง่เขลายิ่งนัก!”
“ถูกต้อง พระองค์ไม่มีช่างหินด้วยซ้ำ ลำพังแค่วางหินบิดๆ เบี้ยวๆ ซ้อนขึ้นไปแล้วเชื่อมติดไว้ด้วยโคลนเปียก ประเดี๋ยววางกองสูงเข้าก็ต้องล้มลงมา”
“แต่ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นเรื่องดี หากพระองค์ทรงซมซานกลับมาที่ป้อม พระองค์ย่อมต้องตกอยู่ในการควบคุมของพวกเรา แต่หากพระองค์สิ้นพระชนม์ลงที่เมืองชายแดน…ละครตลกฉากนี้ก็จะสิ้นสุดเร็วขึ้น”
ทันใดนั้นดยุกที่นั่งหลับตาครุ่นคิดมาตลอดพลันเปิดปาก “เปโร เจ้ามีความเห็นเช่นไร”
เปโรอึ้งไปครู่ใหญ่ เขาคิดไม่ถึงว่าดยุกแห่งป้อมปราการลองซองจะถามความเห็นเขา “เอ่อ เดิมทีข้ายังอยากผูกขาดการค้านี้ไว้ ตราบใดที่ได้ราคาต่ำกว่าตลาดร้อยละสามสิบ ก็ยังถือว่าเป็นการซื้อขายที่คุ้มค่าอยู่ ทว่า…” เขาจัดระเบียบความคิดในสมองอย่างรวดเร็ว “ทว่าเจ้าชายไม่ทรงประสงค์ให้ป้อมผูกขาดแร่แล้ว พระองค์ทรงยอมขายแร่ด้วยราคาที่ลดลงร้อยละห้าสิบ นั่นหมายความว่าพระองค์ทรงมีแผนจะเพิ่มปริมาณการผลิตแร่ในปีหน้า หากพระองค์ทรงผลิตแร่ได้มากกว่าเดิมเป็นสองเท่า เงินที่พวกเราได้ก็จะมากกว่าในอดีต นอกจากนี้พระองค์ยังทรงวางแผนจะทำเครื่องมือจากเหล็กออกขายด้วย เครื่องมือเหล็กเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมโดยทั่วและขายต่อได้ง่าย แต่…เรื่องนี้ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ”
“อ้อ แล้วประเด็นสำคัญคืออะไร”
“หากเจ้าชายทรงรักษาเมืองชายแดนได้ก็จะเป็นผลดีกับทางป้อมเช่นกัน พวกเราจะได้ไม่ต้องคอยวางแผนรับมือสัตว์อสูรทุกปี ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ก้อนใหญ่ นอกจากนี้ที่ดินขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ระหว่างป้อมปราการลองซองกับเมืองชายแดนก็จะตกเป็นของพวกเรา ไม่ว่าจะนำมาเพาะปลูกหรือตั้งถิ่นฐานก็ล้วนเป็นทางเลือกที่ไม่เลว เป็นการแก้ปัญหาความแออัดของประชากรได้อีกทาง ที่สำคัญเจ้าชายคงไม่ประทับอยู่ที่เมืองชายแดนไปตลอดกาล พระราชโองการชิงตำแหน่งรัชทายาทกำหนดระยะเวลาไว้เพียงห้าปีเท่านั้น หลังจากห้าปีแล้ว พวกเราก็จะได้เมืองชายแดนที่เจริญยิ่งกว่าเดิม ถึงตอนนั้นก็จัดการยึดเมืองมาเป็นของป้อมเสีย ป้อมของพวกเราก็จะมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสามของอาณาจักร ดังนั้นความเห็นของข้าก็คือ…” หลังพูดแผนการในใจออกมา เขาเหลือบมองดยุกแวบหนึ่งก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง “ทางป้อมควรส่งคนไปช่วยเจ้าชายสร้างกำแพงเมืองและร่วมกันรักษาเมืองชายแดนไว้”
“พูดได้ไม่เลว” ดยุกยิ้ม “แต่ก็เป็นความคิดแบบพ่อค้า มองเห็นแต่ผลประโยชน์”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็ลุกขึ้น กวาดสายตามองผู้ร่วมประชุมคนอื่นๆ น้ำเสียงยิ่งทวีความน่ายำเกรง “ข้าก้าวมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะใช้ผลประโยชน์มาชั่งน้ำหนักทุกอย่าง เหตุใดข้าต้องทำการค้ากับผู้ที่ไม่ยอมอยู่ใต้ความควบคุมของข้า ระเบียบบางอย่างจำเป็นต้องปฏิบัติตาม ผู้ใดฝ่าฝืนต้องถูกลงโทษ เมืองชายแดนจะเจริญหรือล้าหลังไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญคือที่นั่นเป็นดินแดนของข้า ใครอย่าได้คิดจะสอดมือเข้ามา…ต่อให้คนผู้นั้นเป็นเจ้าชาย ก็ไม่มีข้อยกเว้น”
บทที่ 23 ขุมพลังขับเคลื่อน
“ไหนเจ้าลองเชื่อมแผ่นเหล็กสองแผ่นนี้ให้ติดกันซิ” โรแลนด์ว่า
อันนายื่นนิ้วไปกดบริเวณรอยต่อระหว่างแผ่นเหล็กทั้งสอง ทันทีที่เปลวไฟพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว รอยต่อของแผ่นเหล็กก็หลอมละลายด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“เบาไฟลง แล้วทำด้านหลังอีกที”
เธอพยักหน้า ทำตามที่เขาบอกอีกรอบ แผ่นเหล็กสองแผ่นประกบกันเป็นมุมเก้าสิบองศา เชื่อมติดกันอย่างแน่นหนา
โรแลนด์ตรวจดูรอยต่ออย่างละเอียดพบว่าผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้…รอยต่อสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เพียงนำไปขัดเสียหน่อย เอารอยตำหนิที่ได้จากตอนหลอมออก แผ่นเหล็กทั้งสองก็แทบไม่ต่างอะไรจากชิ้นงานที่ขึ้นรูปในขั้นตอนเดียว
“ดีมาก อันนา ดีมาก” โรแลนด์ชม “ทีนี้ก็เชื่อมอีกสองแผ่นที่เหลือด้วย”
“มันคืออะไรหรือเพคะ ถังน้ำ…ที่ทำจากเหล็กหรือ”
“ไม่ใช่ นี่คือกระบอกสูบ” เขาแก้
“กระบอกสูบหรือเพคะ” อันนาทวนคำอย่างงุนงง
“ถูกต้อง มันสามารถใช้อัดอากาศเข้าไปได้” โรแลนด์ชี้แผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมอีกแผ่น “เจ้าเห็นรูเล็กๆ บนนั้นไหม อากาศจะเข้ากระบอกสูบจากรูนี้แล้วไปดันลูกสูบ…เอ่อ ลูกสูบก็คือแผ่นเหล็กที่เล็กกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของกระบอกสูบเล็กน้อย มันสามารถเคลื่อนที่ในกระบอกสูบได้อย่างอิสระ”
พอเจอศัพท์แสงไม่คุ้นหูมากเข้า แม้แต่อันนาก็อดมึนงงไม่ได้ “เช่นนั้นพวก…กระบอกสูบหรือลูกสูบอะไรนี่มีไว้เพื่ออะไรหรือเพคะ”
“เพื่อสร้างเครื่องจักรที่สามารถเคลื่อนไหวเองได้”
เครื่องจักรไอน้ำ นำมาซึ่งพลังขับเคลื่อนอันมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่หนึ่ง ทำให้มนุษย์ไม่ต้องใช้แรงงานจากคนหรือสัตว์อีกต่อไป
วิศวกรเครื่องกลทุกคนคุ้นเคยกับแผนผังนี้เป็นอย่างดี พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือกาต้มน้ำขนาดใหญ่นั่นเอง ไอน้ำจากน้ำที่ต้มจนเดือดจะไหลเข้ากระบอกสูบไปดันลูกสูบและก้านลูกสูบ เปลี่ยนพลังงานความร้อนเป็นพลังงานกล
หลักการอาจฟังดูง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสร้างง่ายตามไปด้วย ความยากของมันอยู่ที่การทำให้ลูกสูบและผนังกระบอกสูบแนบสนิทกัน ตลอดจนการสร้างท่อไอน้ำ ในยุคที่เทคโนโลยีการแปรรูปโลหะยังไม่ก้าวหน้า ความคิดที่จะใช้มือตีกระบอกสูบให้ได้มาตรฐานนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ทว่าพลังของอันนาชดเชยความขาดแคลนของเทคโนโลยีได้อย่างสมบูรณ์
โรแลนด์เพียงแค่ออกแบบแผ่นเหล็กขนาดเดียวกันสี่ชิ้น ให้ช่างเหล็กหล่อออกมาแล้วขัดผิว จากนั้นใช้ฉากวัดกำหนดรูปทรงแล้วให้อันนาเชื่อม ก็จะได้กระบอกสูบทรงสี่เหลี่ยมที่มีความแข็งแรงทนทาน เมื่อมีแม่มดคอยช่วยเหลือ เขาก็ทิ้งวิธีดั้งเดิมที่ต้องสร้างเครื่องคว้านขึ้นมาก่อน แล้วค่อยแปรรูปงานออกมาเป็นกระบอกสูบทรงกระบอกไปได้เลย ชิ้นส่วนขนาดใหญ่ชิ้นอื่นก็สามารถใช้วิธีนี้ คือทำเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วค่อยเอามาต่อกัน วิธีนี้ทำให้โรงตีเหล็กเล็กๆ สามารถผลิตชิ้นส่วนของเครื่องจักรไอน้ำได้ทั้งหมด
ความจริงแล้วก่อนที่จะมีการคิดค้นวิธีเชื่อมโลหะขึ้น มนุษย์เชื่อมต่อชิ้นส่วนเล็กๆ ด้วยหมุดย้ำและสลักเกลียวเท่านั้น แต่เนื่องจากผนังด้านในกระบอกสูบต้องการความเนียนเรียบ จึงไม่สามารถใช้วิธีเชื่อมต่อแบบปกติได้
สิ่งเดียวที่ยุ่งยากคือท่อไอน้ำ อันที่จริงวิธีสร้างมันก็ไม่ได้พิเศษอะไร เพียงนำเหล็กยาวแผ่นหนึ่งมาเผาจนร้อน ใส่พิมพ์รูปเว้า แล้วใช้ค้อนทุบทีละค้อนจนกลายเป็นรูปทรง นี่เป็นวิธีเดียวกับการทำลำกล้องของปืนคาบศิลาซึ่งบรรจุกระสุนและดินปืนทางปากกระบอก เพียงแต่กระบอกปืนยังต้องดัดให้ตรงและเซาะเกลียวลำกล้องให้เกลี้ยง ขั้นตอนเหล่านี้มีแต่จะซับซ้อนยิ่งกว่า
แต่ความยุ่งยากของท่อไอน้ำอยู่ที่โรแลนด์ไม่สามารถเรียกช่างเหล็กมาที่สวนดอกไม้หลังปราสาทได้ เวลานี้เขายังไม่สามารถเปิดเผยเรื่องพลังของแม่มด และการตีเหล็กก็ไม่ใช่งานถนัดของเขาเลย ดังนั้นเขาจึงต้องเรียกหัวหน้าอัศวินมาทำหน้าที่นี้แทน ส่วนตัวเขาเพียงแต่ยืนกำกับอยู่อีกด้าน
หลังจากทำงานเดิมซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลาสามวัน ในที่สุดโรแลนด์ก็สร้างเครื่องจักรไอน้ำเครื่องแรกสำเร็จที่สวนหลังปราสาทนี้
“นี่คือของที่ฝ่าบาทตรัสว่ามีพละกำลังมหาศาลหรือพ่ะย่ะค่ะ” คาร์เตอร์ขมวดคิ้วมองเครื่องจักรประหลาด เขามั่นใจว่าของสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับมนตร์ดำแน่นอน เพราะเขาเป็นคนประกอบเหล็กทุกชิ้นเองกับมือ ดูแล้วหน้าตามันเหมือนกับเตาที่ปิดอยู่ หากเรียกปีศาจมาได้จริงๆ ก็คงไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก
แต่เศษเหล็กหนึ่งกองจะเคลื่อนไหวเองได้อย่างไร มันดูเงอะงะ เท้าก็ไม่มี หรือว่าจะบินได้
ทว่าในสายตาของโรแลนด์ เครื่องจักรที่ผลิตขึ้นอย่างหยาบๆ เครื่องนี้กลับเปล่งประกายความงามแห่งอุตสาหกรรม เขาเคยเห็นอะไรมามาก จึงไม่จำเป็นต้องเดินตามรอยเครื่องจักรไอน้ำแบบนิวโคเมน…แบบวัตต์…หรือแบบปรับปรุงแก้ไขอีก ผลงานทดลองชิ้นแรกของเขาก็เป็นเครื่องจักรไอน้ำแรงดันสูงที่มีก้านสูบคู่และลิ้นเลื่อนแล้ว ซึ่งวิธีสร้างมันก็ไม่ได้ยุ่งยากไปกว่าการสร้างเครื่องจักรไอน้ำรุ่นแรกเท่าไร หัวใจสำคัญอยู่ที่การใช้ความคิดสร้างสรรค์ล้วนๆ
“อีกเดี๋ยวเจ้าก็รู้แล้ว”
โรแลนด์เทน้ำหนึ่งถังใส่หม้อน้ำแล้วให้อันนาจุดฟืน
สิบกว่านาทีต่อมา น้ำถูกต้มจนเดือดปุดๆ กระบอกสูบพลันส่งเสียงเปรี๊ยะๆ โรแลนด์รู้ว่านั่นคือเสียงกระบอกสูบขยายตัวเมื่อโดนความร้อน แผ่นเหล็กที่ใช้ทำลูกสูบค่อนข้างบางจึงขยายตัวได้ค่อนข้างง่าย สุดท้ายก็ขยายจนดันติดผนังกระบอกสูบในที่สุด
“ที่แท้ก็เอาไว้ต้มน้ำ ไม่คิดเลยว่าจะใช้เป็นเตาจริงๆ” คาร์เตอร์บ่น
เมื่อไอน้ำอัดแน่นเต็มกระบอกสูบ โรแลนด์ก็ได้เห็นภาพอันน่าตื่นเต้น ลูกสูบเริ่มดันก้านสูบออกไปด้านนอก เมื่อดันขึ้นไปจนสุดแล้ว ก้านลูกสูบอีกก้านก็ดึงลิ้นเลื่อนให้ขยับ ไอน้ำดันลูกสูบกลับเข้าข้างในอีกครั้ง ก้านลูกสูบสองก้านวิ่งสลับไปมา ดันให้ล้อหมุนอย่างรวดเร็ว ยิ่งแรงไฟมาก ความเร็วก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุดอย่างรวดเร็ว
เครื่องจักรส่งเสียงร้องแสบแก้วหู ไอขาวพวยพุ่งออกมาทางปล่องพร้อมเสียงดังปู๊นๆ แสดงพลังอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม
“นี่คือ…พลังซึ่งซ่อนอยู่ในธรรมชาติที่ฝ่าบาทตรัสถึงหรือเพคะ” อันนาถามอย่างอึ้งๆ
หัวหน้าอัศวินผุดสีหน้าเหลือเชื่อ ล้อเหล็กขนาดใหญ่ชิ้นนั้นเขาต้องใช้พลังมหาศาลในการติดตั้ง ทว่าเวลานี้มันกลับหมุนอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก แค่ยืนข้างๆ ก็รู้สึกได้ถึงกระแสลมจากล้อที่พัดมาปะทะหน้า…นั่นหมายความว่าเศษเหล็กเครื่องนี้มีพลังที่ยิ่งใหญ่จนน่าตกใจ
เขาเริ่มรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทีละน้อย
เจ้าชายบอกว่ามันสามารถใช้แทนแรงงานคนและสัตว์ หากเป็นเรื่องจริงล่ะก็ ยามที่มันถูกใช้ลากรถศึกแทนกำลังม้า ลำพังแค่พลังอันแข็งแกร่งนี้ อัศวินสิบคนก็คงต้านไว้ไม่อยู่แล้ว
การฝึกอัศวินให้ได้มาตรฐานสักคนต้องใช้เวลานานถึงสิบห้าปี แต่การสร้างเตาเหล็กชิ้นนี้กลับใช้เวลาเพียงสามวัน รวมเวลาที่ช่างเหล็กทำชิ้นส่วนต่างๆ ด้วยแล้วก็ยังไม่เกินหนึ่งสัปดาห์
มันไม่ต้องการอาหาร ไม่กลัวหนาวหรืออดอยาก ไม่กลัวธนูและดาบ เพียงติดคมเหล็กไว้ด้านหน้า มันก็พร้อมพุ่งปะทะข้าศึกในสนามรบได้แล้ว
แล้วอย่างนี้…อัศวินในตำนานยังจำเป็นอยู่หรือ
ตกกลางคืน โรแลนด์ได้เจอไนติงเกลอีกครั้งในห้องนอน
ครั้งนี้เธอไม่ได้สวมหมวกคลุมหน้า เพียงนั่งอมยิ้มอยู่ข้างโต๊ะ โบกกระดาษหนังสัตว์ในมือไปมา “ดูเหมือนข่าวลือข้างนอกจะเชื่อถือไม่ได้จริงๆ ว่ากันว่าเจ้าชายลำดับที่สี่ทรงมีพฤติกรรมต่ำทรามและโฉดเขลายิ่งนัก แต่ความจริงแล้วสติปัญญาของฝ่าบาทไม่ได้ด้อยไปกว่าราชครูในวังเลย กระดาษแผ่นนี้คือแบบร่างของเตาเหล็กเครื่องนั้นหรือเพคะ ฝ่าบาททรงเรียกมันว่า…เครื่องจักรไอน้ำ ใช่หรือไม่เพคะ”
ให้ตายเถอะ ขอความเป็นส่วนตัวหน่อยได้ไหม คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป เธอคิดว่าที่นี่เป็นบ้านเธอหรือไร! โรแลนด์บ่นในใจไม่หยุด ทว่ายังคงตอบเธอด้วยสีหน้าปกติ “ถูกต้อง หากไม่ได้อันนาคอยช่วยเหลือ มันก็เป็นได้แค่รูปวาดเท่านั้น”
“มันทำอะไรได้บ้างเพคะ”
“เยอะแยะมาก ขนส่งแร่ ระบายน้ำ หลอมเหล็ก ตีเหล็ก อะไรก็ตามที่ต้องใช้กำลังมหาศาล มันทำได้ทั้งนั้น”
“เช่นนั้นหม่อมฉันขอนะเพคะ” ไนติงเกลม้วนกระดาษสอดเข้าไปในเสื้อคลุม “ที่สมาคมก็มีคนควบคุมเปลวไฟได้เช่นกัน”
“นี่…”
เธอโบกมือห้ามโรแลนด์ที่กำลังจะแย้ง “หม่อมฉันไม่เอาของฝ่าบาทไปเปล่าๆ แน่นอน ทอดพระเนตรสิ่งนี้ก่อนเพคะ” เธอวางสิ่งของสีขาวชิ้นเล็กลงบนโต๊ะ
โรแลนด์เดินเข้าไปหยิบพบว่ามันคือม้วนกระดาษ
เขาคลี่มันออกอย่างเบามือแล้วกวาดตามองคร่าวๆ “นี่มัน…”
“จดหมายลับที่มากับพิราบสื่อสาร” ไนติงเกลพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ผู้รับจดหมายคือไทร์ หัวหน้าสาวใช้ของฝ่าบาท จุๆ ดูท่าหลังบ้านของฝ่าบาทจะมีปัญหาเสียแล้ว”
“ข้าไม่เคยแตะต้องนาง” โรแลนด์ขมวดคิ้วว่า
ไทร์ หญิงสาวในความทรงจำคนนี้ดูเหมือนจะติดตามเขามานานมากแล้ว เจ้าชายสนใจเธอมากแต่ยังหาโอกาสครอบครองไม่ได้ พอมาถึงเมืองชายแดนจึงตั้งให้เธอเป็นหัวหน้าสาวใช้ จะได้คอยปรนนิบัติเขาอย่างใกล้ชิด ทั้งยังจัดให้เธออยู่ห้องข้างๆ ไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นสายลับ
จดหมายลับฉบับนี้แม้จะไม่ได้ลงชื่อ แต่ดูจากเนื้อหาข้างในแล้วคงไม่แคล้วมาจากพี่น้องของเขา ในจดหมายเขียนว่าเจ้านายไม่พอใจมากที่งานครั้งก่อนล้มเหลว ให้ฉวยโอกาสลงมืออีกครั้งตอนที่ป้อมปราการลองซองกำลังวุ่นวาย และห้ามพลาดอีกเด็ดขาด เอาเถอะ อันที่จริง พวกเธอก็ไม่ได้ล้มเหลวสักหน่อย เขาคิด ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กลายเป็นโรแลนด์ วิมเบิลดัน เจ้าชายลำดับที่สี่เช่นนี้หรอก
ไนติงเกลคงไม่ได้ปลอมแปลงจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา เพราะมีเพียงคนวงในเท่านั้นที่รู้แผนการลอบฆ่าครั้งก่อน และหากไนติงเกลต้องการฆ่าเขา ก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องให้ยุ่งยากถึงเพียงนี้
“เจ้าขโมยมาจากนางหรือ”
“หัวหน้าสาวใช้ของฝ่าบาทไม่ได้โง่ถึงเพียงนั้น นางอ่านจบแล้วกำลังจะเผาทิ้ง แต่เสียดายที่ตอนนางกำลังอ่านมัน หม่อมฉันบังเอิญอยู่ข้างหลังพอดี” เธอทำท่าสับเปลี่ยนของ “ทีนี้ฝ่าบาทจะทรงทำอย่างไรต่อไปเพคะ ทรงต้องการให้หม่อมฉันช่วย ‘จัดการ’ หรือไม่”
โรแลนด์เข้าใจคำว่า ‘จัดการ’ ที่เธอพูดถึงดี หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาก็พยักหน้าในที่สุด “รบกวนเจ้าด้วย” เรื่องเช่นนี้เขาไม่กล้าพอจะทำเองจริงๆ “และหากเป็นไปได้…ฝากถามนางด้วยว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
“น้อมรับพระบัญชาเพคะ ฝ่าบาท” ไนติงเกลหัวเราะพลางโค้งตัว “เช่นนั้น แบบร่างนี้ถือเป็นค่าตอบแทนแล้วกันนะเพคะ”