• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 2 ตอนที่ 2

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    1

    รอยเท้าที่อยู่ตรงหน้า

     การแข่งฟู้ดทรักและการกินอาหารในร้านมิชลินสามดาวจบลงจนเวลาล่วงเลยมาหกวันแล้ว ในระหว่างนั้นไม่มีการสั่งให้ทำภารกิจใดๆ เลย อาจเป็นเพราะความลำบากที่ผู้แข่งขันต้องทำงานอยู่ในรถเป็นอาทิตย์เลยได้พักนานหน่อย หรือไม่ก็อาจเป็นเพียงเพราะว่าตารางงานของกรรมการไม่ว่างก็ได้ แม้จะไม่มีภารกิจ แต่รายการก็ถูกออกอากาศไปอีกหนึ่งตอนเมื่อวานนี้ ตอนที่เจ็ดเป็นเรื่องราวของการทำภารกิจแบบทีม โดยทีมถูกแบ่งเป็นทีมของคาย่าและทีมของเจค็อบซึ่งแน่นอนว่ามีเรื่องที่ปีเตอร์ก่อขึ้น

    มินจุนหันไปมองปีเตอร์ เขากำลังนั่งดูมือถืออยู่ที่โต๊ะอาหารตั้งแต่ครู่ก่อนแล้ว ช่วยไม่ได้เพราะปีเตอร์และคาย่าถูกพูดถึงมากที่สุดหลังจบรายการตอนนี้ มาร์ตินเป็นมืออาชีพมาก เขาไม่ใช่คนที่จะตัดต่อฉากแย่ๆ ให้ออกมาดูดีเพียงเพราะสงสารปีเตอร์

    ทุกคำพูดที่ปีเตอร์เคยพูดถูกนำไปออกอากาศตามนั้น แม้ปีเตอร์จะดูเหมือนคนไม่รู้จักโตสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สมควรถูกโจมตีเรื่องส่วนตัว มินจุนเข้าใจปีเตอร์ดี อีกฝ่ายก็แค่มนุษยสัมพันธ์ไม่ดีนักและควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้

    แต่คนดูไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของปีเตอร์…ไม่สิ ถึงจะรู้จักพวกเขาก็ไม่สนใจอยู่ดี ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่พวกเขาได้ยินเพียงไม่กี่ประโยคในทีวีก็ทำให้พวกเขาตัดสินไปแล้วว่าปีเตอร์เป็นตัวร้าย หลายคนพุ่งความโกรธเคืองไปที่ปีเตอร์ แต่ก็มีหลายคนที่แย้งขึ้นมาว่าเรื่องนี้คาย่าเป็นฝ่ายพูดจาไม่ดีก่อน

    ไม่ว่าอย่างไรการพูดจาไม่ดีของคาย่าก็กลบความผิดของปีเตอร์ไม่ได้เพราะสุดท้ายแล้วปีเตอร์ก็ทำไก่ทันดูรีไหม้ ยิ่งคนดูอินกับรายการนี้มากเท่าไหร่ความโกรธก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น มินจุนถอนหายใจก่อนจะพูดว่า

    “บอกให้เลิกอ่านคอมเมนต์ไง”

    เสียงนั้นคงเบาเกินกว่าที่หูของปีเตอร์จะได้ยิน คาย่าก็เช่นกัน อันที่จริงตัวมินจุนเองตอนแรกก็พยายามจะไม่อ่าน แต่รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังอ่านคอมเมนต์อยู่เหมือนกัน

    เทียบกันแล้วสถานการณ์ของมินจุนถือว่ายังดีกว่ามาก ช่วงแรกที่ออกอากาศมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ให้เป็นประเด็น แต่หลังจากเรื่องประสาทรับรสที่แม่นยำถูกออกอากาศ กระแสก็เปลี่ยนไป ทุกคนพากันมองว่าเขาทำทุกอย่างโดยให้เหตุผลมาก่อนเสมอ ความเป็นชาวเอเชียที่แตกต่างจากผู้เข้าแข่งขันอื่นๆ ก็กลายเป็นปีกให้เขา ทุกคนพากันคิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจ

    พูดตามตรงเขาไม่ได้รู้สึกเกลียดกระแสพวกนั้น แม้จะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่ก็ตื่นเต้นและสนุกไปกับมันด้วย การที่คนดูชอบเขา การที่คนที่ไม่รู้จักกันคาดหวังกับชื่อของเขา มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่จริงๆ

    “เดี๋ยวจะเริ่มถ่ายแล้วนะครับ!กรุณาเก็บมือถือด้วย!”

    ทันทีที่เสียงของสตาฟฟ์ดังขึ้นปีเตอร์ก็รีบเก็บมือถือใส่กระเป๋าด้านหน้าของผ้ากันเปื้อน หลังจากนั้นกรรมการก็เดินเข้ามาแล้วพูดเปิดรายการเหมือนทุกครั้ง

    “บนเคาน์เตอร์ของแต่ละคนมีกล่องใบหนึ่งวางอยู่ ถ้าผมนับถึงสามแล้วให้พวกคุณเปิดฝากล่องออกนะครับ…หนึ่ง สอง สาม!”

    เมื่ออลันพูดจบ ทุกคนก็เปิดกล่องออก บางคนถอนหายใจอย่างโล่งอก บางคนทำหน้าบูดบึ้ง มินจุนอยู่ในกลุ่มหลัง เพราะเนื้อติดกระดูกชิ้นใหญ่เบ้อเริ่มที่อยู่ตรงหน้าเขามันเป็นแขกที่ไม่น่ายินดีสักเท่าไหร่ มันเป็นส่วนทีโบนที่มีเนื้อสันนอกและเนื้อสันในปนกันอยู่

    โจเซฟพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

    “ทีโบนไม่ใช่ส่วนของสเต๊กที่อร่อยที่สุด แต่มันก็เป็นเรื่องของความชอบ สิ่งที่สามารถบอกได้แน่ๆ ก็คือทีโบนสเต๊กเป็นสเต๊กที่ทำได้ยากที่สุด ถ้าทำให้สุกด้วยไฟระดับเดียวกันในเวลาเท่ากัน แน่นอนว่าเนื้อสันนอกจะสุกเร็วกว่าเนื้อสันใน แต่พวกเราต้องการให้เนื้อทั้งสองส่วนสุกในระดับที่เท่ากัน”

    มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น นี่เป็นการแข่งขันที่ตัดสินจากเทคนิคล้วนๆ ถ้าทำพลาดแค่นิดเดียว ทุกอย่างก็จบ แต่คำพูดต่อมาของโจเซฟก็ช่วยทำให้สบายใจขึ้นมาได้หน่อย

    “พวกคุณไม่ต้องตื่นเต้นตกใจกันไปครับ เพราะการแข่งขันครั้งนี้เป็นแค่การยืดเส้นยืดสายเท่านั้น คนที่ได้อันดับหนึ่งจะได้สิทธิพิเศษ นั่นคือสิทธิ์ยกเว้นไม่ต้องแข่งรอบคัดผู้ตกรอบ”

    คำพูดนั้นทำให้หลายคนทำตาเป็นประกาย มินจุนเองก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่หวังจะได้อันดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะที่เกาหลีนั้นไม่ใช่จะได้เจอทีโบนได้ง่ายๆ ร้านขายเนื้อจะขายเนื้อสันนอกกับเนื้อสันในแยกกัน ไม่มีที่ไหนขายทีโบนเลย แม้แต่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ ก็ยังหาซื้อทีโบนได้ยาก จึงทำให้ค่าประสบการณ์ของเขาน้อยตามไปด้วย

    พอสังเกตดูก็พบว่าเนื้อมีความหนาประมาณสองเซนติเมตร ไม่สามารถเรียกว่าบาง แต่ก็ไม่สามารถเรียกว่าหนาได้เช่นกัน การทำสเต๊กโดยพื้นฐานแล้วถ้าเนื้อหนาจะทำได้ง่ายกว่า เพราะยิ่งบางเวลาที่เนื้อจะต้องสัมผัสกับไฟก็จะยิ่งน้อย มีหลายครั้งเวลาทำอาหารที่เราอยากจะเซียร์*เฉพาะด้านนอกเพียงเล็กน้อย ผลคือกะเวลาพลาด คุมไฟไม่ได้ ทำให้ด้านในเนื้อโอเวอร์คุกหรือสุกเกินกว่าระดับที่ต้องการ

    “ไม่ให้ใช้ซอสอะไรเลย ให้ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยเท่านั้น จำไว้ให้ดีนะว่าสิ่งที่สำคัญคือระดับความสุกจะต้องเท่ากัน และรสชาติก็ต้องอร่อยในระดับมาตรฐาน ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มได้เลยครับ!มีเวลาให้เพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น!”

    มินจุนรีบใช้ความคิด การย่างทีโบนให้สุกทั่วถึงนั้นไม่มีกรรมวิธีอะไรเป็นพิเศษ แต่เป็นการอาศัยประสบการณ์และความรู้สึกล้วนๆ ในร้านสเต๊กเวลาจะจ้างเชฟแค่ดูจากการทำทีโบนก็รู้ได้แล้วว่าเชฟคนนั้นมีความสามารถระดับไหน

    ถ้าไม่คำนึงถึงระดับความสุกที่ต้องเท่ากัน การทำให้สเต๊กออกมารสชาติดีก็ไม่ใช่เรื่องยาก เนื้อสันนอกสุกระดับมีเดียม เนื้อสันในก็จะสุกระดับมีเดียมแรร์ มีลูกค้าหลายคนที่เพลิดเพลินกับรสชาติของระดับความสุกที่แตกต่างกัน แต่ก็มีลูกค้าหลายคนที่ต้องการให้ทั้งด้านนอกและด้านในสุกเท่ากัน การเป็นเชฟที่ดีต้องทำอาหารออกมาให้ลูกค้าทุกคนพึงพอใจ

    มินจุนเหลือบไปมองคาย่าแล้วก็เห็นว่าเธอกำลังถือตะแกรงย่างอยู่ ดูเหมือนคาย่าตั้งใจจะย่างสเต๊กบนตะแกรง เป็นเพราะเธอมีความสามารถในการควบคุมไฟซึ่งวิธีการนี้คงดีที่สุดสำหรับเธอ แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่มินจุนจะเลือก ครั้งแรกที่เห็นเธอย่างปลาไหลนั้นเขาถึงกับตะลึง เพราะรู้ดีว่าการย่างโดยให้ถูกไฟโดยตรงแบบนั้นมันยากมาก ถ้าทำตามโดยไม่คิดให้รอบคอบก็อาจทำให้เนื้อด้านนอกไหม้หมด

    มินจุนตัดมันที่ติดอยู่กับผิวด้านนอกออก จากนั้นก็บดเม็ดพริกไทยใส่ลงไปเพื่อกลบกลิ่น แต่ยังไม่ใส่เกลือ ถ้าต้องการย่างให้ได้ความสุกระดับมีเดียมก็ต้องใช้เวลาประมาณสี่นาที และใช้เวลาในการพักเนื้ออีกหนึ่งนาที รวมแล้วใช้เวลาห้านาทีซึ่งก็ถือว่าเพียงพอ แต่ถ้าใส่เกลือลงไปจะทำให้น้ำที่อยู่ในเนื้อไหลออกมาด้านนอกจนหมด ทำให้การเซียร์ไม่มีประสิทธิภาพ

    มินจุนหันไปมองรอบๆ แต่ทันใดนั้นเองก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะเขาเห็นภาพบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ ปีเตอร์กำลังวอร์มเตาอบอยู่ และดูเหมือนอลันก็สงสัยแบบเดียวกับเขา อลันเดินเข้าไปหาปีเตอร์แล้วถามว่า

    “คิดว่าจะทำสเต๊กยังไงเหรอครับ”

    “ผมจะนำเข้าเตาอบจนสุก แล้วนำไปเซียร์กับกระทะ จากนั้นก็พักเนื้อครับ”

    “ทำให้ความสุกเท่ากันโดยการใช้เตาอบ?จะทำได้เหรอ”

    “ถ้าวางด้านที่เป็นเนื้อสันในเอาไว้ตรงขอบๆ กระทะแล้วย่างให้สุกอีกนิดก็น่าจะโอเคครับ”

    “จะรอดูแล้วกันนะครับ ว่าจะออกมาเป็นยังไง”

    ปีเตอร์ทำหน้าเจื่อนทันที มันเป็นวิธีที่ตัวเขาคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ แต่พออลันพูดออกมาแบบนั้น ความมั่นใจจึงหดหายไป แต่เขาก็จะไม่เปลี่ยนแนวทางของตัวเองเพียงเพราะคำพูดนั้นหรอก

    ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่หมักเนื้อทิ้งเอาไว้และพากันจ้องมองเข็มนาฬิกาอย่างใจจดใจจ่อ ทันทีที่ครบห้านาทีก็เริ่มขยับตัวพร้อมกัน มินจุนเขี่ยพริกไทยออกไปจากเนื้อแล้วโรยเกลือลงไป จากนั้นก็ทากระทะด้วยน้ำมันจากมันของเนื้อที่ตัดออกไปในตอนแรก เสียงฉู่ฉ่าที่ฟังรื่นหูดังขึ้น แล้วอลันก็เดินเข้ามาถามว่า

    “เคยทำทีโบนมาก่อนมั้ย”

    “ไม่ครับ ไม่เคยเลย”

    “ถ้ารู้ว่าส่วนไหนของกระทะที่สัมผัสกับไฟมากที่สุดก็จะช่วยได้เยอะ”

    แม้อลันจะไม่แนะนำ มินจุนก็คิดที่จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่มินจุนก็ได้แต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร เพราะเขาไม่มีนิสัยแย่ๆ ที่จะตอกกลับคนที่แนะนำด้วยความหวังดี

    กุญแจสำคัญคือการควบคุมไฟที่สัมผัสกับกระทะตามที่อลันบอก มินจุนเอียงกระทะขึ้นด้านหนึ่ง แล้ววางเนื้อสันในตรงฝั่งที่ไฟแรง ไม่ควรย่างนานเกินไปเพราะอาจจะทำให้เนื้อสันในโอเวอร์คุกกว่าเนื้อสันนอกก็ได้

    เชฟแต่ละคนมีวิธีย่างสเต๊กที่แตกต่างกัน บางคนบอกว่าไม่ควรกลับด้านไปมาเกินสองครั้ง บางคนบอกว่าต้องกลับด้านทุกๆ หนึ่งนาทีหรือสามสิบวินาที ซึ่งมินจุนกลับด้านทุกๆ หนึ่งนาที การย่างแบบนี้จะทำให้น้ำในเนื้อมารวมกันอยู่ตรงกลางและจะกระจายตัวแผ่ออกไปจนทั่วชิ้นเนื้อในระหว่างพักเนื้อ ไม่ใช่ว่าวิธีไหนถูกต้องกว่ากัน ควรมองว่ามันเป็นความแตกต่างของเทคนิคแต่ละคนมากกว่า

    มินจุนคอยดูเวลาและค่อยๆ กลับด้านเนื้อ เขาไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษอย่างอาร์โรเซ่ เพราะน้ำมันที่ราดลงไปบนเนื้ออาจจะเป็นตัวแปรที่ทำให้ระดับความสุกของเนื้อเปลี่ยนไปก็ได้ เขายังไม่เก่งถึงขนาดที่จะรู้ได้ว่าน้ำมันที่ราดลงไปจะส่งผลกระทบยังไงกับเนื้อบ้าง

    คะแนนโดยประเมินคือหก ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้น เพราะแค่ย่างเฉยๆ ไม่ใส่ซอสอะไรจะให้ได้คะแนนสูงกว่านี้ก็เป็นเรื่องยาก สิ่งที่ต้องการคือความสุกระดับมีเดียม เขากลับเนื้อไปมาแค่สามครั้ง จากนั้นก็นำเนื้อไปวางลงบนกระดาษซับอาหารแล้วทิ้งไว้หนึ่งนาทีเพื่อให้น้ำในเนื้อกระจายทั่วทั้งชิ้น ไม่รู้ว่าทั้งเนื้อสันในและสันนอกจะสุกในระดับมีเดียมหรือเปล่า แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่ารสชาติต้องดีแน่นอน

    พอเสียงออดดังขึ้น ผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบสองคนก็ยกมือ มินจุนมองดูที่จานของตัวเอง คะแนนของทีโบนสเต๊กหลังจากที่พักเนื้อเสร็จแล้วก็คือหกคะแนน ถือเป็นคะแนนที่ทำได้ตามสูตรอาหาร

    กรรมการเรียกออกไปด้านหน้าทีละคน จากนั้นก็หั่นด้านที่เป็นเนื้อสันนอก ตามด้วยด้านที่เป็นเนื้อสันใน เพื่อดูว่าระดับความสุกเท่ากันหรือไม่ ถ้าสุกไม่เท่ากันก็จะไม่ตักเข้าปากเลย เช่นในกรณีของปีเตอร์

    “ผมถามคุณแล้วใช่มั้ยว่าคุณจะทำได้รึเปล่า แล้วดูผลที่ออกมาสิ”

    อลันให้ปีเตอร์ดูเนื้อที่ถูกหั่นออก ด้านหนึ่งสุกระดับมีเดียม อีกด้านสุกระดับมีเดียมแรร์ที่ยังเห็นเลือดแดงๆ อยู่ข้างใน เอมิลี่ถึงกับถอนหายใจ

    “แม้ว่านี่จะไม่ใช่การแข่งขันคัดเลือกผู้ตกรอบ แต่มันแย่เกินไป คุณไม่รู้เหรอคะว่าไม่ควรลองเสี่ยงกับการทำอาหาร”

    “ขอโทษครับ”

    ปีเตอร์ตอบพร้อมทำหน้าเจื่อน แค่คอมเมนต์แย่ๆ ก็ทำให้เขาอึดอัดมากพออยู่แล้ว ดูเหมือนกรรมการเองก็ลำบากใจที่จะพูดอะไรมากไปกว่านั้นต่อหน้าปีเตอร์ พวกเขาจึงส่งปีเตอร์กลับเข้าไปแล้วเรียกผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปออกมา นั่นคือแอนเดอร์สัน โจเซฟหั่นสเต๊กแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี

    “ทั้งสองด้านเป็นมีเดียมเวลดัน ไม่ไหม้เลย สุกแบบพอดี คุณคงชำนาญสินะแอนเดอร์สัน ที่ผ่านมาดูเหมือนคุณจะไม่ได้แสดงฝีมือเต็มที่สักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้คุณกลับมาอยู่จุดเดิมของคุณแล้วนะ”

    “ขอบคุณครับ”

    แอนเดอร์สันตอบออกไปโดยไม่ยิ้ม มันยังไม่ถึงเวลาจะดีใจ เพราะเขายังไม่ได้อันดับหนึ่ง หลังได้ชิมกรรมการก็ประเมินว่าสเต๊กของแอนเดอร์สันรสชาติดีและฉ่ำ แทบไม่พูดถึงเรื่องที่เขาย่างออกมาเป็นแบบมีเดียมเวลดันเลย มินจุนเข้าใจการประเมินนั้นเป็นอย่างดี เพราะสายตาของเขากำลังจ้องมองตัวเลขเจ็ดที่อยู่บนจานของแอนเดอร์สัน การได้คะแนนระดับนั้นจากการย่างโดยปรุงแค่เกลือกับพริกไทยก็หมายความว่าถ้ามีซอสดีๆ เพิ่มเข้ามาสักนิด จานนั้นคงได้ถึงแปดคะแนนแน่นอน

    ต่อไปก็เป็นตามินจุน เขาเดินถือจานออกไปด้วยสีหน้าราบเรียบ เอมิลี่ใช้มีดหั่นลงไปที่เนื้อก่อนจะพยักหน้า

    “มีเดียม ทั้งสองด้านสุกเท่ากัน แม้จะมีความต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อย แต่…ถ้าแค่ประมาณนี้แม้จะเป็นแขกที่เรื่องมากก็น่าจะรับได้อยู่ เห็นคุณบอกว่าไม่มีประสบการณ์ในการทำทีโบนเหรอคะ”

    “ครับ”

    “งั้นก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วล่ะค่ะ รสสัมผัสตอนเคี้ยวก็…อืม ก็ถือว่าโอเค ความฉ่ำของเนื้อก็ทำได้ดีนะคะ ทำได้ดีเลย”

    ถ้าสิ่งที่พูดกับแอนเดอร์สันเมื่อกี้คือคำชม สิ่งที่พูดกับเขาอยู่ในตอนนี้ก็ถือเป็นคำชมเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะแอบหวังอยู่ลึกๆ มินจุนจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ช่วยไม่ได้ การทำอาหารขึ้นอยู่กับความแตกต่างของค่าประสบการณ์ด้วย

    ผู้เข้าแข่งขันที่จะฟังคำตัดสินเป็นคนสุดท้ายก็คือคาย่า เธอถือจานเดินออกไป โจเซฟมองจานของเธอด้วยสีหน้าตื่นเต้น

    “คุณเป็นคนเดียวที่ใช้ตะแกรงย่างกับไฟโดยตรง คาย่า คุณมั่นใจกับการตัดสินใจของคุณมั้ย”

    “สิ่งที่ฉันถนัดที่สุดก็คือการใช้ไฟนี่แหละค่ะ ถ้าไม่ได้มาทำอาหาร ฉันอาจจะไปเป็นนักวางเพลิงแล้วก็ได้”

    “ผมจะลองเชื่อคุณนะครับ”

    โจเซฟหั่นเนื้อออกอย่างนุ่มนวล แล้วก็เป็นอย่างที่คาย่าพูดไว้ ระดับมีเดียม เนื้อด้านในเป็นสีชมพูสุกอย่างพอดีเห็นเป็นริ้วชัดเจน ทั้งเนื้อสันในและเนื้อสันนอกสุกเท่ากัน โจเซฟค่อยๆ ตักเนื้อใส่ปาก ระหว่างที่เคี้ยวคำแรกแววตาของเขาดูสดใสมาก แต่พอกินคำที่สองและคำที่สามสีหน้าก็เริ่มแปลกไป กรรมการคนอื่นก็เหมือนกัน คาย่าจึงมองด้วยสายตาที่เป็นกังวล

    “ระดับความสุกทำได้ดี แต่เหมือนคุณจะพลาดอะไรไปอย่างนะคาย่า ตอนย่างคุณย่างทุกด้านก่อนแล้วค่อยทำให้เนื้อด้านในสุกรึเปล่า”

    ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นจะทำให้คาย่าฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง เธอทำท่าราวกับจะร้อง ‘อ๊ะ’ออกมา เธอมัวแต่ให้ความสนใจกับระดับความสุกที่เท่ากันของเนื้อสันในและเนื้อสันนอก แต่กลับลืมให้ความสนใจกับความฉ่ำของเนื้อ ไม่ได้ทำให้เนื้อด้านนอกสุกก่อน มินจุนมองเธอนิ่งๆ สเต๊กของเธอได้ห้าคะแนนซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้น แม้เธอจะย่างเนื้อได้ดีจนทำให้ได้กลิ่นไหม้ของไฟอ่อนๆ ออกมาด้วย แต่กลับลืมสนใจเรื่องความฉ่ำของเนื้อ ก็เท่ากับว่าลืมสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดไป

    คาย่าเองก็ทำพลาดได้เหมือนกันสินะ

    นอกจากภาพการปะทะกับสมาชิกในทีมด้วยความใจร้อนแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพนี้ของคาย่า แล้วโจเซฟก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “ดูเหมือนคุณจะรู้แล้วว่าตัวเองพลาดตรงไหน ดีมากครับคาย่า เชฟที่รู้ถึงความผิดพลาดของตัวเองจะเป็นเชฟที่ก้าวหน้าแน่นอน เชิญกลับที่ได้ครับ”

    “ค่ะ”

    คาย่าเดินกลับอย่างหมดเรี่ยวแรง ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าใครจะได้อันดับหนึ่ง คนที่สามารถย่างให้ทั้งสองด้านสุกเท่ากันมีอยู่หลายคน แต่มีเพียงคนเดียวที่ทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์จนได้รับการชื่นชม แอนเดอร์สันนั่นเอง

    สายตาของมินจุนมองไปที่แอนเดอร์สัน แม้ว่าก่อนหน้านี้แอนเดอร์สันจะแสดงฝีมือออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่พอเวลาไปผ่านก็ยิ่งได้เห็นว่าฝีมือของเขาไม่ธรรมดาเลย ถึงสุดท้ายจะพ่ายแพ้ให้กับคาย่าจนได้อันดับที่สอง แต่ก็หมายความว่าถ้าไม่มีคาย่า แอนเดอร์สันก็คงจะสามารถชนะได้ที่หนึ่ง

    “หลังจากปรึกษากันแล้วเราก็ได้จานที่ดีที่สุด แอนเดอร์สัน ยินดีด้วยครับ! คุณได้รับการยกเว้นจากการแข่งขันคัดผู้ตกรอบ เชิญขึ้นไปที่ชั้นสองได้เลยครับ!”

    “ขอบคุณครับ”

    แอนเดอร์สันตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเดินขึ้นไปโดยมีผู้เข้าแข่งขันคนอื่นพากันมองตามอย่างอิจฉา อลันพูดว่า

    “ถ้าอย่างนั้นจะขอประกาศการแข่งขันต่อไปเลยนะครับ มันอาจจะเป็นการแข่งขันที่หลายคนไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่”

    อลันพูดพลางมองมาที่มินจุน คิ้วของมินจุนจึงขมวดกันเล็กน้อย เขารู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเลย แล้วอลันก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงใจเย็น

    “มันคือการทำของหวานครับ”

    ของหวาน แม้จะได้หัวข้อที่ตัวเองไม่ถนัด แต่สีหน้าของมินจุนก็ไม่แสดงออกถึงความกังวล เพราะมันเป็นอะไรที่เขาต้องก้าวผ่านไปให้ได้สักวันหนึ่ง แน่นอนว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะเป็นกังวลมาก แต่ตอนนี้ไม่เลย ความมั่นใจของเขาไม่ได้มาจากการที่เลเวลการทำของหวานขยับขึ้นเป็นเลเวลห้าเมื่อไม่นานมานี้ แต่เพราะคำว่าของหวานไม่จำเป็นต้องเป็นขนมอบเท่านั้น

    ทำอันนั้นดีมั้ยนะ

    มินจุนหรี่ตา สิ่งที่เขากำลังนึกถึงคือของหวานที่เขาเคยกินที่โรสไอส์แลนด์ นอกจากเพสตรี้ช็อกโกแลตแล้วทุกอย่างก็ได้แปดคะแนนทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าเขารู้สูตรการทำทั้งหมดอีกด้วย แน่นอนว่าการรู้สูตรกับการทำมันออกมาเป็นคนละเรื่องกัน แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าจะสามารถทำตามรสชาตินั้นได้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เมนูที่เขานึกถึงก็คือซึดาจิเคิร์ดกับแอปเปิ้ลเขียวเยลลี่ ตกแต่งด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ

    หลังกลับจากร้านนั้นเขาก็ลองทำทุกเมนู ยกเว้นเมนูที่ใช้เทคนิคโมเลกูลาร์*โดยเมนูที่เขาทำออกมาได้ใกล้เคียงมากที่สุดก็คือเมนูนี้ เมื่อวานเขาก็เพิ่งทำและได้เจ็ดคะแนน ถ้าจะมีตัวแปรอื่นก็คงเป็นเวลา เขาจ้องมองปากของโจเซฟด้วยสายตากังวลเล็กน้อย แต่แล้วคนที่พูดขึ้นมากลับเป็นเอมิลี่ ไม่ใช่โจเซฟ

    “พวกคุณทุกคนจะมีสองตัวเลือก ตัวเลือกแรกคือหนึ่งชั่วโมง ตัวเลือกที่สองคือสองชั่วโมง ไม่ใช่ว่าเลือกเวลาให้นานไว้ก่อนแล้วเลือกเมนูที่ทำเสร็จได้ภายในหนึ่งชั่วโมงนะคะ ถ้าทำแบบนั้นก็คงไม่ต้องบอกว่าคะแนนจะออกมาเท่าไหร่ ขอให้พวกคุณทำของหวานให้คุ้มค่าตามเวลาที่เลือกไว้ และ…”

    เอมิลี่หยุดไปชั่วขณะ ก่อนจะทำหน้าตาจริงจังแล้วพูดต่อว่า

    “รอบนี้จะมีคนออกสองคน จากคนที่เลือกหนึ่งชั่วโมงหนึ่งคน และจากสองชั่วโมงอีกหนึ่งคน ซึ่งจะไม่มีการให้โอกาสใดๆ แก่ทั้งสองคนนั้นอีก ดังนั้นขอให้รอบคอบกับการเลือกเวลานะคะ ฉันจะให้เวลาพวกคุณคิดสิบนาที คนที่เลือกเวลาหนึ่งชั่วโมงขอให้มายืนทางขวามือของฉัน ส่วนคนที่เลือกสองชั่วโมงขอให้มายืนทางซ้ายมือนะคะ”

    มินจุนต้องเลือกสองชั่วโมงอย่างช่วยไม่ได้ การจะทำเยลลี่ให้ออกมาดีต้องใช้เวลาประมาณนั้น แต่ที่นึกไม่ถึงก็คือมาร์โค่ผู้ชำนาญในการทำของหวาน เขาคิดว่ามาร์โค่จะเลือกเวลาสองชั่วโมง แต่มาร์โค่กลับเลือกเวลาหนึ่งชั่วโมง นอกจากนั้นก็มีคาย่า โคลอี้ ฮิวโก้ แล้วก็ปีเตอร์ที่เลือกหนึ่งชั่วโมง รวมทั้งหมดห้าคน

    ส่วนคนที่เลือกสองชั่วโมงมีทั้งหมดหกคน มินจุน โจแอน อีวานน่า และอีกสามคน มินจุนเหลือบมอง คนที่ดึงดูดสายตาของเขาที่สุดก็คือผู้หญิงผิวสีที่ชื่อซาช่า อายุน่าจะมากกว่าเขาประมาณห้าปี ซาช่ามีนิสัยเป็นมิตรและอ่อนโยนมากผิดกับรูปร่างที่ผอมแห้งของเธอ ปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่เขาสนใจสักเท่าไหร่ แค่นานๆ ทีจะเอาอาหารมาให้ชิมแล้วถามคะแนนจากเขา แต่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป

     

    [ซาช่า เคน]

    เลเวลการทำอาหาร : 6

    เลเวลการทำของหวาน : 7

    เลเวลการชิม : 6

    เลเวลการตกแต่งจาน : 5

     

    เดิมทีคนที่มีเลเวลการทำของหวานระดับเจ็ดมีแค่สองคนก็คือมาร์โค่และแอนเดอร์สัน เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนก็ยังคงเป็นแบบนั้น แม้มินจุนจะไม่ได้คอยนั่งเช็กเลเวลของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็รู้การเปลี่ยนแปลงของซาช่าเอาเมื่อสองวันก่อนจากเค้กแครอตที่เธอนำมาให้เขาชิมเพื่อถามคะแนน มันไม่ธรรมดาเลยเพราะได้ถึงแปดคะแนน เขาตกใจกับคะแนนนั้นมากจึงลองดูเลเวลของเธอ ปรากฏว่าเลเวลของเธอเพิ่มสูงขึ้นแล้ว

    ในระหว่างแข่งขันยังสามารถพัฒนาได้ ไม่สิ เราเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่…

    เขาไม่สามารถยินดีกับเธอได้อย่างสบายใจนัก จะมีใครในโลกนี้บ้างที่สามารถยินดีกับคู่แข่งได้อย่างบริสุทธิ์ใจ เขามองหน้าต่างสถานะอย่างเสียดาย เลเวลของเขาดูไม่มีวี่แววจะเพิ่มขึ้นเลย พูดให้ชัดก็คือหลังจากมาที่อเมริกา เลเวลก็เพิ่มขึ้นอย่างละหนึ่งระดับ ยกเว้นก็แต่เลเวลการทำอาหาร มีเพียงแค่เลเวลส่วนนี้เท่านั้นที่ไม่เพิ่มขึ้นเลย แม้จะรู้ว่ามันเป็นเลเวลที่สำคัญที่สุด คงไม่มีทางที่จะเพิ่มขึ้นได้ง่ายๆ แต่ความโลภของคนเราก็ไม่มีวันสิ้นสุดอยู่แล้ว

    ถ้าเลเวลเพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำอาหารจะเพิ่มขึ้นรึเปล่า หรือต้องเป็นความสามารถในการทำอาหารเพิ่มขึ้น เลเวลจึงจะเพิ่มขึ้น แบบไหนกันแน่นะ

    มันเป็นความสงสัยที่เขามีมาตลอด แต่ไม่มีใครมาช่วยตอบได้ ตอนที่เลเวลการทำอาหารเพิ่มเป็นระดับหก น่าตลกที่มันไม่ใช่ตอนที่เขาทำอาหาร แต่เป็นตอนกินอาหารของเจนภรรยาของลูคัส ดูเหมือนว่ามุมมองที่มีต่ออาหารกว้างขึ้นจึงทำให้เลเวลเพิ่ม ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนนั้นพอได้ตักอาหารแบบอเมริกันแท้ๆ เข้าปากก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนทันทีว่าอาหารอเมริกันคือแบบไหน คงจะเป็นเพราะประสาทรับรู้รสของเขาเพิ่มมากขึ้น

    อาหารที่ร้านมิชลินสามดาวก็น่าจะเป็นเครื่องวัดได้เป็นอย่างดี

    สิ่งที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เลเวลการทำอาหาร แต่เป็นเลเวลการชิม น่าเสียดายแต่ก็ช่วยไม่ได้ เลเวลเจ็ดคือเลเวลเดียวกันกับคาย่า แอนเดอร์สัน และโคลอี้ การขึ้นไปอยู่เลเวลนั้นง่ายๆ ก็คงเป็นเรื่องที่น่าละอาย ตอนนั้นเองที่อลันเริ่มพูด

    “ดูเหมือนพวกคุณจะเลือกกันเสร็จแล้ว จำไว้ให้ดีนะครับว่าหัวข้อคือของหวาน ขอให้ทำของหวานในแบบที่แม้จะอิ่มจนกินต่อไม่ไหวแล้ว แต่ก็ต้องกิน แม้จะอิ่มจนแทบจะอาเจียนออกมา แต่ก็ต้องกิน คนที่เลือกทำของหวานโดยใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงจะเริ่มทำทีหลังนะครับ ระหว่างนั้นก็ขอให้อยู่เงียบๆ เอาล่ะครับ เริ่มกันได้เลย!ไปหยิบวัตถุดิบได้ครับ!”

    มินจุนก้าวเท้าทันที เขาไม่คิดจะหยิบวัตถุดิบมาทั้งหมดทีเดียว เอาเวลาไปเริ่มทำแอปเปิ้ลเขียวเยลลี่ดีกว่า ในระหว่างที่ต้มทิ้งเอาไว้ก็มีเวลาว่างอีกเยอะ เขาจึงคิดว่าค่อยไปหยิบวัตถุดิบที่เหลือเอาตอนนั้นก็ได้

    เบื้องต้นเขาหยิบน้ำตาล แอปเปิ้ลเขียว คาราเมลและเพกติน ตอนมาอเมริกาใหม่ๆ เขาทำเยลลี่กับเจสซี่แล้วไม่มีเจลาตินหรือเพกตินเลย จึงต้องใช้ส่วนผสมของเพกตินที่อยู่ในเปลือกแอปเปิ้ลแทน ถ้ามีผงเพกตินอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น โดยปกติมีวัตถุดิบอยู่สองชนิดที่ใช้ในการทำเยลลี่ นั่นคือเจลาตินกับเพกติน หลายคนใช้ผงวุ้น แต่รสสัมผัสตอนเคี้ยวจะคล้ายบุกมากกว่าเยลลี่ ความแตกต่างของเจลาตินกับเพกตินก็ไม่มีอะไรมาก เจลาตินทำจากการแปรรูปคอลลาเจนจากสัตว์ ส่วนเพกตินเป็นการสกัดออกมาจากเปลือกผลไม้พวกส้มหรือแอปเปิ้ล รสชาติแตกต่างพอๆ กับที่มาของมัน เยลลี่ที่ทำจากคอลลาเจนจะแข็งตัวได้ดีกว่าแต่มีแนวโน้มที่รสชาติของส่วนผสมจะดร็อป ส่วนเยลลี่ที่ทำจากเพกตินนั้นเมื่อเทียบกันแล้วจะแข็งตัวได้น้อยกว่า ทว่าให้รสชาติที่ดีกว่า

    เขาไม่ได้นึกเรื่องข้อดีข้อเสียระหว่างเจลาตินกับเพกตินเลย เพราะเยลลี่ที่กินในโรสไอส์แลนด์นั้นใช้เพกติน ในเมื่อตรงหน้าเขามีรอยเท้าที่เห็นชัดๆ อยู่แล้ว เขาก็แค่เดินตามรอยเท้านั้นไปก็พอ

    มินจุนหั่นแอปเปิ้ลเขียวเป็นรูปทรงลิ่มแล้วใส่ลงไปในน้ำเดือดพร้อมน้ำตาลและคาราเมล จากนั้นเขาก็ไปที่ตู้เก็บวัตถุดิบอีกครั้งเพื่อหยิบวัตถุดิบที่ยังไม่ได้หยิบมาในตอนแรก นั่นคือส้มซึดาจิ สาลี่จีน ดอกแนสเตอร์เตียม เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง ไข่ไก่ และเนย พอกลับมาที่เคาน์เตอร์ก็เช็กหม้ออีกครั้งซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่กรรมการเดินมาพอดี

    “คุณจะทำอะไรเหรอครับ”

    “ผมคิดว่าจะลองทำเมนูที่เคยกินที่โรสไอส์แลนด์ครับ เยลลี่วางบนซึดาจิเคิร์ด และใส่วัตถุดิบอื่นๆ ลงไปอีก”

    “ผมรู้ว่าคุณประทับใจหลายอย่างที่นั่น แต่เมนูนี้ต้องอาศัยความกลมกลืน อัตราส่วนของวัตถุดิบที่จะใช้ทำซอสก็สำคัญ เอ่อ…”

    อยู่ๆ อลันก็ชะงักไป ดวงตาของเขากำลังสั่นไหวเล็กน้อย แล้วเขาก็ถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ

    “ผมขอถามอะไรสักอย่างนะมินจุน คุณไม่ได้แค่รู้ส่วนผสมและวัตถุดิบเท่านั้น แต่ยังสามารถวิเคราะห์อัตราส่วนของวัตถุดิบได้ด้วยงั้นเหรอ”

    “มีข้อมูลอยู่บนจานมากกว่าที่ใครจะคิดนะครับ”

    มินจุนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คำพูดนั้นทำให้ทุกคนที่ได้ยินรวมถึงโจเซฟอ้าปากค้าง ไม่เพียงแค่รู้วัตถุดิบ แต่สามารถรู้ไปถึงอัตราส่วน มันเป็นความสามารถที่ยากจะเชื่อ นี่ถ้าพวกเขารู้ว่ามินจุนสามารถอ่านสูตรการทำได้ด้วย พวกเขาอาจจะโกรธมากกว่าตกใจก็ได้

    “ไม่ว่าคุณจะไปที่ร้านอาหารไหน ผมว่าหัวหน้าเชฟที่นั่นคงจะต้องคอยระวังคุณแน่ๆ”

    “ทำไมล่ะครับ”

    “เพราะคุณอาจเป็นสายลับตัวร้ายแห่งธุรกิจการทำอาหารน่ะสิ”

    คำพูดนั้นทำให้มินจุนยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรกลับไป อลันไม่สามารถละสายตาจากมินจุนได้จึงทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปดูผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ส่วนเอมิลี่ก็แอบพูดทิ้งท้ายว่า

    “ฉันมีเหตุผลที่ต้องสนิทกับคุณเพิ่มขึ้นมาอีกข้อแล้วสินะคะ”

    “เชฟกับนักชิมอาหารสนิทกันไว้ก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่ครับ”

    “ทิ้งระยะห่างอีกแล้วนะคะ ข้อเสนอตอนนั้นฉันไม่คิดจะบีบคั้นอะไร เพราะฉะนั้นไม่ต้องระวังตัวขนาดนี้ก็ได้ค่ะ”

    เอมิลี่พูดจบก็ยิ้มแล้วเดินจากไป ไม่ว่ากรรมการจะอยู่หรือไม่ สิ่งที่มินจุนต้องทำก็ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือคอยคนไม่ให้แอปเปิ้ลไหม้และต้องเตรียมทำซึดาจิเคิร์ด

    เริ่มจากการล้างส้มซึดาจิโดยนำเบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำเล็กน้อยแล้วถูกับส้มซึดาจิให้เกิดฟอง จากนั้นก็ใช้เกลือแบบหยาบมาทำแบบเดียวกันอีกครั้ง ค่อยใส่ลงไปในน้ำต้มเดือดประมาณสิบวินาทีก็เป็นอันเสร็จ การที่เขาเลือกใช้ส้มซึดาจิทั้งผลแทนที่จะใช้แต่น้ำของมันก็เพราะว่าเขาต้องการผิวส้มด้วย

    เขาหั่นส่วนสีเขียวของเปลือกให้บางแล้วสับให้ละเอียด จากนั้นก็ตอกไข่ใส่ชาม ส้มซึดาจิหนึ่งลูกต่อไข่ไก่หนึ่งฟอง ใส่เกลือลงไปในไข่หนึ่งหยิบมือ ใส่น้ำตาลลงไปในปริมาณที่เท่ากับไข่ไก่ แล้วตามด้วยน้ำส้มซึดาจิ ส่วนประกอบที่อยู่ในส้มซึดาจิจะช่วยทำให้ไข่ไก่จับตัวกันเป็นครีม

    ทำถึงตรงนั้นเขาก็กลับไปเช็กที่หม้ออีกครั้ง แอปเปิ้ลนิ่มลงมากแล้ว พอใช้กระบวยกดลงไปเนื้อก็แตกออกกำลังดี ระหว่างนั้นเขาหันไปต้มน้ำสำหรับทำโพช*ซึดาจิเคิร์ด แล้วจึงกลับมาบดแอปเปิ้ลให้แตกออกจากกัน เขาใช้ผ้าขาวบางวางลงบนหม้ออีกใบแล้วเทน้ำแอปเปิ้ลลงไป กลิ่นของน้ำตาลกับแอปเปิ้ลแรงจนแสบจมูก ส่วนความร้อนของไอน้ำที่พุ่งออกมาก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเท่าไหร่นัก

    เขาผูกปลายผ้าขาวบางอย่างระมัดระวังแล้วรอให้น้ำแอปเปิ้ลหยดลงช้าๆ ถ้าบิดไปมากากก็จะหลุดลงไป แม้ว่าช่องบนผ้าขาวบางจะถี่ แต่เพื่อให้ได้รสสัมผัสตอนเคี้ยวที่ดีก็ต้องรอให้น้ำแอปเปิ้ลค่อยๆ หยดลงไปจนหมดเอง จากนั้นก็ใส่ผงเพกตินลงไปเคี่ยว นำไปใส่ตู้เย็นเพื่อให้แข็งตัวก็เป็นอันเสร็จ

    ในระหว่างที่เคี่ยวน้ำแอปเปิ้ลผสมเพกตินก็หันกลับไปทำเคิร์ดอีกครั้ง เขานำชามสแตนเลสใส่ลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือด ใส่ไข่ไก่ผสมน้ำส้มซึดาจิที่เตรียมเอาไว้ตามลงไป ถ้าอุณหภูมิสูงเกินไปอาจทำให้ไข่ไก่สุกได้ ดังนั้นการโพชแบบนี้จึงเป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุด

    มินจุนใช้กระบวยคนประมาณสิบนาทีเพื่อไม่ให้เคิร์ดไหม้ ระหว่างนั้นก็หันไปเอาช้อนตักเยลลี่แอปเปิ้ลดู พบว่าตรงขอบเกาะตัวเป็นเยลลี่แล้ว มินจุนจึงวางกระบวยลง เทเยลลี่ลงบนพิมพ์แล้วนำไปใส่ตู้เย็น

    พอกลับมาที่เคาน์เตอร์อีกครั้งเขาก็ใช้นิ้วแตะเคิร์ดที่ติดอยู่บนกระบวยจึงรู้ว่าเคิร์ดแข็งตัว หมายความว่าใช้ได้แล้ว เขาจึงนำชามออกจากหม้อแล้วใส่ผิวส้มซึดาจิกับเนยลงไปค่อยๆ ผสมให้เข้ากัน เนื่องจากยังร้อนอยู่จึงทำให้เนยละลายได้ง่าย ส่วนผิวส้มซึดาจินั้นแม้จะไม่ละลายแต่ก็ถูกสับละเอียดอย่างดี จึงกลายเป็นซึดาจิเคิร์ดที่ผิวเนียนเรียบ เขาลองชิมรสชาติของเคิร์ดสีเขียวด้วยความตื่นเต้น

    “ดีมาก!”

    เขาร้องอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว เปรี้ยวหวานสองพยางค์ที่สามารถอธิบายทุกอย่างได้ชัดเจน รสเปรี้ยวของส้มซึดาจิห่อหุ้มรสหวานของน้ำตาลเอาไว้ และเมื่อเจอกับแอปเปิ้ลเขียวเยลลี่ กลิ่นของคาราเมลที่ละลายอยู่ข้างในรวมไปถึงกลิ่นของแอปเปิ้ลก็มั่นใจได้เลยว่ามันจะเป็นการเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบ ความจริงแล้วไม่ต้องชิมก็พอจะเดาผลออก

     

    [ซึดาจิเคิร์ด]

    ความสดใหม่ : 94%

    แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)

    คุณภาพ : สูง

    คะแนน : 7/10

     

    ได้เจ็ดคะแนนก็ถือว่าแทบจะเป็นคะแนนสูงสุดเลยก็ว่าได้ เพราะตัวเขาในตอนนี้คงยากที่จะทำเคิร์ดให้ออกมาดีกว่านี้ มินจุนมองนาฬิกาด้วยสีหน้ามั่นใจ ห้าสิบนาที ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งหนึ่งชั่วโมงสิบนาที สิ่งที่เขาจะทำในตอนนี้ก็คือพักหนึ่งชั่วโมง ของหวานที่เขาทำใช้เวลาประกอบร่างกับแต่งจานให้เสร็จเพียงแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น

    เมื่อเห็นมินจุนยืนอยู่เฉยๆ กรรมการก็พากันเดินเข้ามาหา

    “มินจุน ทำไมถึงยืนเฉยๆ ล่ะคะ”

    “เพราะว่าต้องรอประมาณห้าสิบนาทีครับ”

    น้ำเสียงของเขามั่นใจมาก เอมิลี่จึงถามด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย

    “หมายความว่าไม่มีอะไรให้ทำในระหว่างห้าสิบนาทีนี้เหรอคะ”

    “ครับ เอ้อ แต่มันไม่ใช่เมนูที่ควรจะต้องเลือกใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงนะครับ เพราะต้องใช้เวลาสักพักเพื่อให้เยลลี่แข็งตัว”

    “เรื่องนั้นฉันเข้าใจดีค่ะ แต่คุณตั้งใจจะอยู่เฉยๆ ห้าสิบนาทีโดยไม่ทำอะไรเลยจริงๆ เหรอ”

    “ดูเหมือนไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวนะครับ”

    มินจุนหันไปมองรอบๆ แล้วพูดออกมา ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาพูด ซาช่าก็กำลังว่างอยู่ในระหว่างพักแป้งที่ผสมไว้ อลันจึงถอนหายใจออกมา

    “ดูท่าจะไม่ค่อยมีฉากสนุกๆ เสียแล้ว”

    “ไม่รู้สิครับ มาร์ตินอาจจะได้เห็นสุนทรียศาสตร์แห่งการรอคอยก็ได้นะครับ”

    เอมิลี่ยักไหล่ ส่วนโจเซฟก็ก้มมองซึดาจิเคิร์ดของมินจุนแล้วหยิบช้อนคันเล็กขึ้นมา

    “ขอชิมรสชาติของซึดาจิเคิร์ดหน่อยได้มั้ย”

    “ได้สิครับ”

    ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลี่ยงการประเมิน ซึดาจิเคิร์ดครั้งนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างดีที่สุดเท่าที่เขาเคยทำ แม้ว่าก่อนหน้านี้ก็เคยทำได้เจ็ดคะแนนเหมือนกัน แต่เคิร์ดของครั้งนี้แตกต่างออกไป ตั้งแต่ความสวยงามของรูปร่าง การโพชก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี โจเซฟตักเคิร์ดเข้าปากหนึ่งคำแล้วหลับตาลงเพื่อรับรู้รสชาติ จากนั้นก็ยิ้มบางๆ ออกมา

    “ผมจะคอยดูนะครับ”

    อลันกับเอมิลี่หยิบช้อนขึ้นมาพร้อมทำหน้าตาอยากชิม มินจุนจึงตักเคิร์ดมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขาโดยไม่พูดอะไร พอได้ชิมพวกเขาก็ทำหน้าไม่ต่างจากโจเซฟ

    “ผมจำได้ว่าเดฟหมกมุ่นอยู่กับส้มซึดาจิตั้งหลายเดือนเพื่อให้ได้อัตราส่วนนี้มา คุณได้ขโมยช่วงเวลาหลายเดือนของเขาไปแล้ว”

    “เพราะอาหารเป็นของทุกคนครับ”

    มินจุนพูดพร้อมกับยิ้มออกมา อลันจึงมองหน้ามินจุนด้วยแววตาที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ดูเหมือนเขาจะอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด แล้วเดินจากไป มินจุนหันไปมองรอบๆ สถานการณ์ของคนที่เลือกเวลาสองชั่วโมงนั้นแตกต่างกันไป โจแอนกำลังยุ่งอยู่กับการทำครีมช็อกโกแลตที่จะนำไปวางบนชีสเค้ก ส่วนซาช่าก็กำลังพักแป้งที่ผสมไว้

    คนที่ว่างที่สุดคือมินจุน เขาไม่มีอะไรจะทำจริงๆ ก่อนที่เยลลี่จะแข็งตัวเขาต้องคั่วเม็ดมะม่วงหิมพานต์และหั่นขึ้นฉ่ายฝรั่ง แต่ยิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี

    เวลาเดินไปอย่างช้าๆ พอหันไปมองอีกทีก็เห็นว่าคนที่เลือกเวลาหนึ่งชั่วโมงต่างเริ่มลงมือทำกันแล้ว ซาช่าเองก็เอาแป้งเข้าเตาอบและกำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว มินจุนเริ่มขยับตัวขณะที่เวลาเหลือประมาณสิบนาที เขาคั่วเม็ดมะม่วงหิมพานต์บนกระทะที่ไม่มีน้ำมันอย่างรวดเร็ว หั่นขึ้นฉ่ายฝรั่ง แล้วนำลูกสาลี่ที่ปอกเปลือกไว้มาหั่นบางๆ นำไปแช่ในน้ำที่ผสมน้ำตาล ไม่จำเป็นต้องแช่นานเพราะตอนที่ความหวานของลูกสาลี่กับความหวานของน้ำตาลกำลังเริ่มเข้ากันนั้นเป็นตอนที่จะเข้ากับวัตถุดิบอื่นๆ ได้ดีที่สุด

    เวลาเหลือไม่ถึงห้านาทีแล้ว แต่มินจุนก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เหลือแค่ทำให้เสร็จอีกนิดเดียวเท่านั้น เขาเดินไปที่ตู้เย็น หยิบเยลลี่ออกมา เยลลี่มีสีเหลืองใสเนื้อเด้งดึ๋งราวกับพุดดิ้ง อันนี้ก็ได้เจ็ดคะแนนเหมือนกัน แอบตักตรงส่วนขอบมาลองชิมก็พบว่ารสสัมผัสตอนเคี้ยวเหนียวหนึบและนุ่มกำลังดีติดไปตามลิ้นและฟันในระดับที่ไม่ทำให้เมื่อยกราม รอยยิ้มจึงปรากฏที่มุมปากของเขา นี่อาจจะเป็นของหวานจานที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำมาเลยก็ได้

    การทำเมนูนี้ ถ้าไม่อยากถูกตัดคะแนน ขั้นตอนการโพชกับขั้นตอนการแช่เย็นนั้นต้องทำออกมาให้ดีอย่างไร้ที่ติ แม้จานที่ทำในวันนี้จะมีข้อจำกัดด้านเวลา แต่เขาก็ทำมันอย่างมีสมาธิมากกว่าครั้งไหนๆ จึงไม่มีข้อผิดพลาด ไม่แน่ว่า…

    อาจจะทำออกมาได้รสชาติเดียวกับที่กินที่นั่นเลยก็ได้

    แววตาของมินจุนเต็มไปด้วยความปรารถนาที่แรงกล้า เขายังไม่ลืมความประทับใจเมื่อครั้งที่ทำริซ็อตโต้ออกมาได้แปดคะแนน การทำอาหารที่ได้มาตรฐานสูงออกมานั้นเป็นเรื่องที่มีความสุขพอๆ กับการที่ลูกค้ากินอาหารที่ตัวเองทำอย่างอร่อย

    มินจุนเทซึดาจิเคิร์ดลงไปบนจานกลมก้นลึก ปาดตรงกลางออกให้เว้าเป็นรูปวงกลม จากนั้นก็นำเยลลี่ที่ตัดแต่งเป็นทรงกลมวางลงไปบนรอยเว้านั้น แล้วนำขึ้นฉ่ายฝรั่งหั่นครึ่งมาวางขดกันเหมือนงู ตามด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่คั่วไว้ บดให้แตกก่อนจะโรยหน้า สุดท้ายก็นำสาลี่แช่น้ำผสมน้ำตาลมาวางลงด้านบนสุดพร้อมดอกแนสเตอร์เตียม แล้วในตอนนั้นเอง…

     

    [คุณสามารถทำตามสูตรออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ]

     

    [แอปเปิ้ลเขียวเยลลี่ทานคู่กับซึดาจิเคิร์ด]

    ความสดใหม่ : 97%

    แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)

    คุณภาพ : สูง

    คะแนน : 8/10

     

    “สำเร็จแล้ว…!”

    มินจุนเผลอตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ ตอนที่ชิมซึดาจิเคิร์ดนั้นเขารู้สึกได้ว่ามันต้องออกมาดี แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ถึงแปดคะแนนแบบนี้ ก่อนหน้าที่เขาฝึกทำคนเดียวยังยากที่จะได้เกินเจ็ดคะแนน

    เขาถอนหายใจพร้อมเงยหน้ามองนาฬิกา ใกล้จะหมดเวลาแล้ว…สาม สอง หนึ่ง แล้วโจเซฟก็ตะโกนขึ้น

    “หมดเวลาครับ!กรุณาวางมือด้วย!”

    ไม่มีใครที่ทำไม่เสร็จทันเวลา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะพอใจกับผลงานที่ได้ มินจุนเหลือบมองปีเตอร์ บนจานของเขามีแอปเปิ้ลที่ถูกอบในเตาและแอปเปิ้ลพูเรอยู่ ภายนอกดูน่าอร่อยมาก แต่ความจริงจะเป็นยังไงก็ไม่สามารถรู้ได้ โจเซฟพูดว่า

    “ทุกคนพอใจกับผลงานที่ได้มั้ยครับ”

    “ครับ/ค่ะ เชฟ”

    “พวกเราเฝ้าดูการทำของหวานของพวกคุณและได้เลือกสามจานที่น่าสนใจที่สุดออกมา ชื่อที่จะเรียกต่อไปนี้คือหนึ่งในสามคนที่ดูน่าเป็นห่วง น่าคาดหวัง และน่าสงสัยในเวลาเดียวกัน มินจุน!เชิญออกมาด้านหน้าด้วยครับ”

    ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะสีหน้าของกรรมการตอนที่ได้รู้ว่ามินจุนรู้อัตราส่วนของวัตถุดิบนั้นยังเป็นที่จดจำ มินจุนเดินถือจานออกไปด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้ววางลงบนโต๊ะสำหรับหนึ่งคนที่เล็กถึงขนาดที่ว่าวางจานเพียงใบเดียวก็เต็มแล้ว โจเซฟเดินออกมาก่อน

    “มินจุน ช่วยอธิบายจานนี้ของคุณหน่อยครับ”

    “เป็นการนำแอปเปิ้ลเขียวเยลลี่มารวมกับซึดาจิเคิร์ด เพื่อเพิ่มสัมผัสที่กรุบกรอบขณะเคี้ยวจึงนำเม็ดมะม่วงหิมพานต์มาคั่วแล้วบดใส่ลงไป ใช้ลูกสาลี่ที่แช่ในน้ำผสมน้ำตาลมาเติมความเปรี้ยวกับความหวาน และใช้ดอกแนสเตอร์เตียมเพื่อทำให้กลิ่นน่าดึงดูดครับ”

    “คุณบอกว่าเป็นการทำตามของหวานที่ได้ไปกินมาจากโรสไอส์แลนด์ อ๊ะ ไม่ต้องทำตาแบบนั้นครับ เพราะการลอกเลียนตามต้นฉบับเป็นพื้นฐานของการทำอาหาร ตอนที่คาย่าเลียนแบบริซ็อตโต้ของอลัน ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จำได้ใช่มั้ยครับ”

    “ครับ จำได้”

    “ถ้าคุณทำรสชาติออกมาได้เหมือนกับที่คุณเคยกิน เพียงเท่านี้จานนี้ก็มีคุณค่าแล้วครับ มั่นใจมั้ย”

    มินจุนยิ้มแทนคำตอบพร้อมเลื่อนจานไปตรงหน้าโจเซฟ โจเซฟจ้องตาของมินจุนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบมีดและส้อมขึ้นมาหั่นเยลลี่ จากนั้นก็จิ้มลงไปที่ซึดาจิเคิร์ดเล็กน้อย แตะลงไปให้ติดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ใช้ปลายส้อมตักสาลี่ขึ้นมา แล้วทุกอย่างก็เข้าปาก

    โจเซฟค่อยๆ เคี้ยว เมนูนี้มีสิ่งที่เขากังวลอยู่ หลายครั้งที่ทำเยลลี่พลาดไปนิดเดียวก็จะออกมาเหนียวเหมือนยางและไม่อร่อย หรืออาจมีแนวโน้มที่จะไม่เข้ากับวัตถุดิบอื่นๆ

    อย่างแรกที่เขารับรู้ได้ผ่านปลายลิ้นก็คือรสที่สดชื่นของซึดาจิเคิร์ด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ติดอยู่กับเคิร์ดแทรกไปตามฟัน เมื่อเคี้ยวโดนก็จะมีน้ำมันที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวจากพืชตระกูลถั่วทำให้เกิดความลงตัว ปกติแล้วสาลี่จะไม่ค่อยเปรี้ยว ยิ่งเมื่อถูกนำไปแช่ในน้ำตาลก็ทำให้ความเปรี้ยวหายไปจนหมด จึงไม่รบกวนรสชาติของซึดาจิเคิร์ดเลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้นความกลมกลืนของคาราเมลและแอปเปิ้ลที่รู้สึกได้จากเยลลี่ก็ทำให้รับรู้ถึงพรสวรรค์ของมินจุนอย่างชัดเจน และสุดท้ายรู้สึกถึงรสเผ็ดของดอกแนสเตอร์เตียมที่ปลายลิ้น

    โจเซฟถึงกับร้องอุทานออกมา

    “นี่มัน! เหมือนกับเยลลี่ของเดฟเลย เคิร์ดก็เหมือน คุณทำ…รสชาติออกมาได้เหมือนมากจนน่าขนลุกเลยครับ”

    “ขอบคุณครับ”

    “ถ้าใส่วัตถุดิบมากเกินไปแค่นิดเดียว สมดุลทั้งหมดนี้ก็คงพังหมด และอาจจะจบลงด้วยการกลายเป็นเพียงก้อนน้ำตาลหวานๆ เท่านั้น มินจุน พรสวรรค์ของคุณทำให้ผมตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจจะต้องเรียกว่าความสามารถมากกว่าพรสวรรค์ เพราะแม้จะรู้รสชาติกับสูตร แต่การที่ทำขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบขนาดนี้มันเป็นความสามารถของคุณล้วนๆ จานนี้เป็นของหวานที่ดีมาก ขอบคุณครับ”

    พอพูดจบโจเซฟก็ถอยหลังไป คราวนี้อลันเดินออกมา เขาพยายามจะกินอย่างสง่างามเหมือนเคย แต่ครั้งนี้เขาดูรีบร้อนกว่าทุกครั้ง เขาไม่พูดอะไรมาก รีบตักเยลลี่ใส่ปาก แล้วหัวเราะแห้งๆ ออกมา

    “ผมสงสัยว่าถ้าเดฟได้ดูรายการตอนนี้จะรู้สึกยังไง ดังนั้นผมขอพูดอะไรกับเดฟหน่อยก็แล้วกัน”

    อลันมองไปที่กล้อง

    “จานนี้ไม่ด้อยไปกว่าจานของคุณเลย เดฟ”

     

    “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ มินจุน”

    ตอนสัมภาษณ์ มาร์ตินจับมือของมินจุนแน่นพร้อมมองด้วยดวงตาที่เป็นประกาย มินจุนจึงยิ้มอย่างเคอะเขินพร้อมกับดึงมือออก

    “คุณมาจากไหนกันแน่ เกาหลี?โกหกใช่มั้ยล่ะ จริงๆ แล้วเป็นเทพลงมาจากสวรรค์ใช่มั้ย”

    “สัมภาษณ์ต่อเถอะครับ”

    “ครับๆ ขอโทษด้วย ผมตื่นเต้นไปหน่อย แล้วเป็นยังไงบ้าง คุณคือหนึ่งในสิบคนที่รอดมาได้”

    มินจุนยิ้มเจื่อนๆ กับคำถามของมาร์ตินก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ที่ทั้งไม่ร่าเริงและไม่หดหู่

    “ถ้าบอกว่าไม่ดีใจก็คงจะโกหกครับ แต่จะให้ดีใจมากก็ยังไงอยู่ เพราะมีสองคนต้องออกไป”

    “ปีเตอร์กับเรซลี่…การที่ทั้งสองคนมาได้ถึงตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่มีความหมายมากแล้ว”

    “ไม่รู้สิครับ อาจจะมีความหมายสำหรับเรซลี่ แต่สำหรับปีเตอร์ผมคิดว่าไม่”

    เรซลี่ที่เลือกเวลาสองชั่วโมงและปีเตอร์ที่เลือกเวลาหนึ่งชั่วโมงต้องตกรอบไป จานที่ปีเตอร์ทำมีแต่ความหวานแสบคอ ขาดความเปรี้ยวมาตัด นั่นเป็นเพราะแช่แอปเปิ้ลในน้ำตาลนานเกินไปและอบนานเกินไปด้วย มินจุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียดาย

    “สุดท้ายปีเตอร์ก็ต้องจากไปโดยที่ไม่เคยได้กางปีกเลยสักครั้ง”

    “คุณคิดว่ามันโหดร้าย?”

    “ไม่รู้สิ ส่วนหนึ่งก็คิดว่าใครทำแบบไหนก็ได้รับผลแบบนั้น ทั้งการที่ไม่ได้แสดงความสามารถออกมาให้เห็น และการไม่ควบคุมคำพูดของตัวเอง ทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของปีเตอร์ แต่ก็แค่เสียดายน่ะครับ”

    “การแข่งขันก็เป็นแบบนี้ คนที่จะหัวเราะในตอนสุดท้ายได้ก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แล้วคุณคิดว่าคุณจะเป็นคนคนนั้นมั้ยครับ”

    “ผมคิดว่าผมยังต้องพัฒนาต่อไปอีก สภาพในตอนนี้ชนะก็เหมือนไม่ได้ชนะ ผมคิดว่าต้องพัฒนาตัวเองให้มากที่สุดในเวลาที่เหลืออยู่ครับ”

    คำพูดนั้นทำให้มาร์ตินมองมินจุนนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร หลังจากที่ลังเลสักพักมาร์ตินก็พูดออกมา

    “ฟังแล้วก็อย่าอารมณ์เสียไปนะครับ พูดตามตรง ผมอยากให้คุณอยู่ต่อไปนานๆ แต่ไม่หวังให้คุณชนะ”

    เป็นคำพูดที่ค่อนข้างแรงในฐานะผู้กำกับรายการ สีหน้าของมินจุนจึงเปลี่ยนไป ครั้งหนึ่งมาร์ตินเคยพูดว่าอยากให้เขาชนะ นั่นอาจจะเป็นการพูดตามมารยาท แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงพูดออกมาแบบนี้ในตอนนี้ แล้วมาร์ตินก็พูดต่อว่า

    “ผมไม่ได้ไม่ชอบหรือคิดว่าคุณไม่มีความสามารถพอหรอกนะ แต่ถ้าคุณชนะการแข่ง อีกประมาณหนึ่งปีต่อจากนี้คุณก็จะต้องไปออกอีเวนต์ต่างๆ มากมาย มันจะยุ่งมากๆ”

    “คุณกำลังจะบอกอะไรกันแน่ครับ”

    “มีรายการที่กำลังเตรียมถ่ายทำต่อจากแกรนด์เชฟ ธีมก็คือการท่องโลกเพื่อชิมอาหาร ผมเคยคิดจะเชิญเอมิลี่มาทำ เธอปฏิเสธ แต่เมื่อเดือนก่อนเธอบอกกับผมว่าถ้าหากทำตามเงื่อนไขข้อหนึ่งได้ เธอจะมาทำรายการนี้ และเงื่อนไขนั้นก็คือให้เชิญคุณมาร่วมรายการ”

    มินจุนถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ตอนนั้นเอมิลี่ก็มาคุยกับเขา แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดยื่นเงื่อนไขแบบนี้

    “ผมคิดว่าคุณเป็นเชฟที่มีคาแร็กเตอร์ดีมาก นี่ไม่เกี่ยวกับการที่เอมิลี่มาเสนอเงื่อนไข ผมมั่นใจว่าคนดูจะต้องชอบการท่องโลกชิมอาหารของคนที่มีประสาทในการรับรสที่แม่นยำแน่ๆ”

    “คุณกำลังจะเสนอว่าถ้าผมตกรอบก็ให้ผมไปออกรายการต่อไปของคุณ ถูกต้องมั้ยครับ”

    “ผมไม่ต้องการฟังคำตอบในตอนนี้ คุณลองกลับไปทบทวนและคิดให้ดีก่อน”

    มาร์ตินยิ้ม

    “แต่ถ้าคุณชนะการแข่งขัน คุณก็คงไม่สามารถทำแบบนั้นได้”

     

     

    2

    ความร่วมมือที่เหนือความคาดหมาย

     

    ‘แกรนด์เชฟซีซั่นสาม ใครคือตัวเอกอันดับหนึ่งของผู้ชม’

     

    ถ้าถามถึงรายการโทรทัศน์ที่ฮอตที่สุดในเวลานี้ก็คงไม่มีใครลังเลที่จะตอบว่าแกรนด์เชฟ รายการที่ยอดวิวโดยเฉลี่ยเกินห้าล้านวิว บางครั้งก็ขึ้นไปถึงเจ็ดล้าน เป็นอันดับหนึ่งของรายการที่ฉายในช่วงเวลาเดียวกัน และยังทำสถิติสูงกว่าซีซั่นก่อนอีกด้วย

    สาเหตุของการที่ทำยอดวิวได้สูงแบบนี้อยู่ที่ไหนน่ะหรือ การแข่งขันดีกว่าซีซั่นก่อน? ไม่ใช่เลย จริงอยู่ว่าการแข่งขันฟู้ดทรักซึ่งเป็นตอนที่ถูกฉายไปเมื่อคืนเป็นภารกิจที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ยอดวิวก็ดีมาตลอดตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว มันจึงไม่น่าจะใช่สาเหตุ คนส่วนใหญ่บอกว่าเสาเหตุที่ซีซั่นสามเป็นที่สนใจเมื่อเทียบกับซีซั่นก่อนๆ เป็นเพราะผู้เข้าแข่งขัน ถ้าพูดให้ชัดก็คือเป็นเพราะมีผู้เข้าแข่งขันที่พิเศษหลายคน ถึงขนาดที่บรรดาผู้จัดรายการต่างๆ ยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแกรนด์เชฟซีซั่นสามได้รับพรครั้งใหญ่

    คนแรกคือแอนเดอร์สัน ลุสโซ ตอนแรกเขาดูเป็นชายหนุ่มที่เปี่ยมความมั่นใจและความเพียบพร้อม ล่าสุดได้มีการเปิดเผยว่าเขาเป็นลูกชายของฟาบิโอ ลุสโซ กับเอมิลเลีย ลุสโซ คู่สามีภรรยาที่เป็นเจ้าของ ‘กลุตโต’ ร้านอาหารมิชลินสามดาว หลายคนสงสัยถึงความสามารถของแอนเดอร์สัน เขาดูมีประสบการณ์เกินกว่าจะเป็นเพียงมือสมัครเล่น ในขณะเดียวกันก็มีความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับอาหาร เวลายืนตรงเคาน์เตอร์ทำอาหารเขาดูมั่นใจและมีเสน่ห์มาก ดังนั้นข่าวเกี่ยวกับครอบครัวของเขาจึงสร้างทั้งความตกใจและความตระหนักในขณะเดียวกัน

    คาย่า โลตัส เธอคนนี้เป็นผู้เข้าแข่งขันที่ตรงกันข้ามกับแอนเดอร์สัน ลุสโซ เธอมีระดับการศึกษาแค่ชั้นประถมศึกษา เป็นซินเดอเรลล่าผู้มีชีวิตยากจนและน่าสงสาร ต้องช่วยแม่ทำงานในตลาด เธอเป็นผู้เข้าแข่งขันที่ได้รับความสนใจมากกว่าใครๆ ในรายการแกรนด์เชฟ แต่ชีวิตที่น่าสงสารไม่ได้เป็นตัวทำให้เธอเป็นที่สนใจ กลับเป็นบุคลิกนิสัยของเธอต่างหาก เด็กสาวผู้นี้พูดจากระด้างและหยาบคายกว่าผู้เข้าแข่งขันคนไหนๆ ที่เคยมาออกรายการ จึงถูกคนวิจารณ์มากมาย แต่แม้เธอจะเป็นแบบนั้น เธอก็มีแฟนคลับที่เหนียวแน่น ซึ่งหนึ่งในสาเหตุนั้นอาจเป็นเพราะความสวยของเธอ ทว่าสาเหตุหลักๆ น่าจะเป็นเพราะพรสวรรค์

    เด็กสาววัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แต่สามารถทำอาหารที่ต้องใช้เทคนิคละเอียดซับซ้อนได้ โดยเฉพาะอาหารที่ใช้ไฟ เธอทำได้อย่างยอดเยี่ยม แฟนคลับของเธอถึงขนาดตั้งฉายาให้ว่า‘เชฟแห่งไฟ’

    คาแร็กเตอร์ที่คาย่ามีไม่ใช่แค่เพียงเด็กสาวอัจฉริยะที่มาจากสภาพแวดล้อมเลวร้ายเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับมินจุนอีกด้วย มันเหมือนเป็นละครที่ทำให้ผู้ชมพากันใจเต้นตึกตักตามไปด้วย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกิดจากการตั้งใจตัดต่อของทีมงาน หรือเกิดจากความบังเอิญกันแน่ ผู้ชมต่างให้ความสนใจกับเรื่องราวความรักของทั้งสองมาก ดูเหมือนว่าความหวังของผู้ชมก็ไม่ได้เป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ซะทีเดียว เพราะคาย่าที่มีนิสัยหยาบกระด้างและชอบปะทะกับคนอื่นอยู่บ่อยๆ แต่มินจุนเหมือนเป็นคนเดียวที่ทำให้ความกระด้างของเธออ่อนลงได้ชั่วคราว พลังงานแปลกๆ ระหว่างทั้งคู่ทำให้ผู้ชมพากันสนับสนุน แต่ไม่นานมานี้การสนับสนุนก็เปลี่ยนไป

    ถ้าพูดใช้ชัดเจนหน่อยคงต้องบอกว่าตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม วันนั้นรายการแกรนด์เชฟมียอดวิวสูงถึงเจ็ดล้านวิว ประสาทรับรสที่แม่นยำของมินจุนที่ถูกซ่อนเอาไว้ได้ถูกเปิดเผยออกมาจนผู้ชมเซอร์ไพรส์มาก กระแสตอบรับที่ผู้ชมมีต่อมินจุนนั้นแทบไม่ต้องอธิบายเลย ยอดวิวของคลิปที่มินจุนสามารถทายชื่อวัตถุดิบทั้งยี่สิบชนิดได้ถูกต้องนั้นเกินสามสิบล้านวิวแล้ว

    เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างมินจุนกับคาย่าเหมือนเป็นแค่ความสัมพันธ์ระหว่างอัจฉริยะกับตัวประกอบ แต่พอความอัจฉริยะของมินจุนถูกเปิดเผย มุมมองของผู้ชมที่มีต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เปลี่ยนไป พวกเขาจดจ่อและคาดหวังในความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างอัจฉริยะกับอัจฉริยะมากยิ่งกว่าเดิม

    แล้วความคาดหวังนั้นก็ส่งผลออกมาเป็นเรตติ้งของรายการอย่างที่เห็น แม้ไม่ใช่ทุกคนที่เข้ามาดูเพราะชื่นชอบเรื่องเกี่ยวกับการทำอาหาร แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าของรายการเปลี่ยนไป ตราบใดที่ยังคงมีผู้เข้าแข่งขันสามคนนี้อยู่ เรตติ้งของรายการก็จะพุ่งขึ้นเรื่อยๆ และบัลลังก์รายการอันดับหนึ่งก็จะไม่มีทางสั่นคลอน

    แต่ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาเหมือนกันว่าถ้าความนิยมของแกรนด์เชฟขึ้นอยู่กับผู้แข่งขันเพียงไม่กี่คน แล้วในตอนนี้ที่มีผู้เข้าแข่งขันทยอยตกรอบไป จำนวนผู้ชมจะลดลงหรือเพิ่มขึ้นกันล่ะ

    แอนเจลล่า อีฟ

    2010.05.12

     

    “ตกรอบงั้นเหรอ”

    มินจุนกำลังนอนดูมือถือด้วยสีหน้าแปลกๆ ไม่ใช่เพราะเนื้อหาในข่าว แต่เพราะเขานึกถึงภาพตอนที่ปีเตอร์ตกรอบไป ตลอดจนภาพด้านหลังของผู้เข้าแข่งขันหลายคนที่ต้องออกไปจากบ้านแกรนด์เชฟ เขาเหมือนมองเห็นภาพของตัวเองซ้อนขึ้นมาบนภาพเหล่านั้น

    ทั้งหมดนี้เป็นเพราะมาร์ติน มินจุนถอนหายใจอยู่ข้างใน หลังจากที่มาร์ตินยื่นข้อเสนอแปลกๆ เขาก็นึกถึงแต่เรื่องการท่องโลกชิมอาหารแม้จะพยายามไม่นึกถึงแล้วก็ตาม มันเหมือนกับมีหลักประกันบางอย่างเกิดขึ้น หลักประกันที่ถึงแม้จะตกรอบก็ไม่เป็นไร ในสถานการณ์ที่ต่อสู้อย่างยากลำบากแต่กลับมีเตียงนุ่มๆ รองรับอยู่ ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นเรื่องที่น่าดีใจหรือไม่

    มัวแต่คิดหมกมุ่นก็เกิดหิวขึ้นมา มินจุนจึงเดินไปที่ครัว หลังจากที่ปีเตอร์ตกรอบไปจากการแข่งขันล่าสุดก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววเรื่องการแข่งขันครั้งต่อไปเลย เขารู้ว่าภารกิจต่อไปคืออะไร แม้จะจำลำดับไม่ได้ชัดเจน แต่ก็จำการแข่งขันที่น่าประทับใจได้แม่นยำ ส่วนใหญ่เป็นการแข่งขันที่คาย่าแสดงความสามารถออกมาให้เห็น เขาเคยแยกดูเฉพาะคัตซีนของคาย่าด้วยซ้ำ แต่ก็แปลกที่เขาจำตอนเธอทำริซ็อตโต้ไม่ได้ อาจเป็นเพราะคาย่าเลือกทำอาหารอื่น หรืออาจเป็นเพราะมันเคยเป็นการแข่งขันทำอย่างอื่นก็ได้ แต่ว่าการแข่งขันที่กำลังจะมีขึ้นเป็นการแข่งขันที่น่าดึงดูดและใหญ่โตเกินกว่าจะถูกเปลี่ยนเพียงเพราะมีเขาเข้ามาเป็นตัวแปรใหม่ เขาจึงคิดว่าทางทีมงานคงจะไม่มีปรับเปลี่ยนแน่นอน

    “เพิ่งตื่นเหรอ”

    “ตื่นนานแล้วล่ะ”

    ในครัวมีแอนเดอร์สันเพียงคนเดียว ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้นเพราะตอนนี้ยังไม่เจ็ดโมงเช้าเลย คนที่น่าจะตื่นและมาอยู่ที่ครัวในเวลานี้อย่างมากก็มีแค่คาย่าหรือโคลอี้เท่านั้น เพราะโคลอี้ติดนิสัยต้องออกกำลังกายตอนเช้า ส่วนคาย่าก็ติดนิสัยที่ต้องตื่นไปตลาดตั้งแต่เช้ามืด แต่ไม่รู้ว่าช่วงนี้พวกเธอต้องการจะเอาคืนชีวิตประจำวันแบบนั้นหรือยังไง ถึงได้ตั้งใจตื่นสายกันอยู่บ่อยๆ

    “ทำอะไรอยู่”

    “ย็อคคี*มันฝรั่งกราแตง**”

    “แต่เช้าแบบนี้เนี่ยนะ”

    แอนเดอร์สันยักไหล่โดยไม่ตอบอะไร บางครั้งคนเราก็อยากกินอะไรหนักๆ เป็นมื้อเช้าสินะ พอมินจุนไม่ถามอะไรต่อ แอนเดอร์สันก็ส่งสายตาไปที่ตู้เก็บวัตถุดิบ

    “มีผักมาใหม่ตอนเช้ามืดน่ะ นายลองทำอะไรดูสิ”

    “โอ้ จริงเหรอ”

    เป็นอย่างที่แอนเดอร์สันบอกจริงๆ ผักมากมายที่อยู่ในตู้มีความสดใหม่มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์

    อยากกินอาหารประเภทเส้นจัง

    แต่ไม่อยากกินพวกพาสต้า ไม่ว่าจะเป็นแบบผัดน้ำมันหรือซอสอะไรก็ตามแต่ เพราะมันไม่เหมาะจะกินตอนเช้าแบบนี้ มินจุนคิดจะทำเป็นพาสต้าสไตล์จัมปง แต่ก็คิดอีกว่าถ้าจะทำพาสต้าแบบน้ำ สู้ทำเมนูเส้นอย่างอื่นไปเลยน่าจะดีกว่า แล้วตอนนั้นเองเขาก็มองไปเห็นเส้นอูด้งแห้งกับเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้า สายตาของเขาจับจ้องอยู่ระหว่างเส้นทั้งสองชนิดนั้น ถ้าเป็นสไตล์ของเส้น เขาชอบอูด้ง แต่ถ้าเป็นสไตล์ของน้ำซุป เขาชอบก๋วยเตี๋ยว

    สุดท้ายเขาก็เลือกเส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นก๋วยเตี๋ยวจะช่วยให้รู้สึกถึงรสชาติสดใหม่ของผักได้ดีกว่าเส้นอูด้ง ส่วนอูด้งไม่ว่าจะทำเมนูไหน พระเอกหลักก็จะอยู่ที่ตัวเส้น ในทางกลับกันเส้นก๋วยเตี๋ยวจะทำให้เพลิดเพลินไปกับทั้งเส้นและผักได้พอๆ กัน ซึ่งผักหลักๆ ที่จะใส่มีหัวหอม ถั่วงอก ผักชี และผักชีฝรั่ง ล้วนเป็นผักที่เขาชอบทั้งหมด เขาไม่ได้รังเกียจผักชี กลับชอบที่มันมีกลิ่นเฉพาะตัวด้วยซ้ำ

    วัตถุดิบที่จะใช้ค่อนข้างเยอะกว่าการทำก๋วยเตี๋ยวธรรมดา มีเนื้อวัวส่วนอก น้ำสต็อกเนื้อ ถั่วงอก ต้นหอม พริกชี้ฟ้าเขียว ผักชี หัวไช้เท้า ขิง หัวหอม และน้ำมะนาว ส่วนเครื่องปรุงรสก็มีน้ำปลา ซอสพริกศรีราชา และซอสฮอยซิน***เหตุผลที่คนไม่ค่อยทำก๋วยเตี๋ยวกินกันในบ้านคงเป็นเพราะใช้วัตถุดิบเยอะ อย่างน้ำปลาถ้าไม่ใช่คนที่ชอบเป็นพิเศษก็คงจะไม่ซื้อมาเก็บไว้

    หลังนำเส้นแช่น้ำ มินจุนก็หยิบถุงน้ำสต็อกสำเร็จรูปออกมา ที่จริงควรนำกระดูกมาต้มเพื่อเคี่ยวให้ได้น้ำซุปที่เข้มข้น แต่นี่เป็นแค่การทำกินเองในมื้อเช้า จะให้ลงทุนทำขนาดนั้นก็ยังไงอยู่ เขาเทน้ำสต็อกลงในหม้อ ใส่ขิงกับหัวหอมลงไปต้มพร้อมกัน จากนั้นก็ล้างเลือดออกจากเนื้อวัวให้สะอาดแล้วนำไปใส่ลงในน้ำซุป

    เขาไม่ทำหัวหอมดองเพราะคิดว่าไม่เข้ากับวัตถุดิบอื่น อีกทั้งรสชาติจะรุนแรงเกินไปจนกลบรสทั้งหมด ให้ความรู้สึกเหมือนกินบะหมี่ซอสถั่วดำกับหัวไช้เท้าดองที่เค็มมากกว่าปกติถึงสิบเท่า

    ขณะที่มินจุนใส่น้ำปลา เกลือ และพริกไทยลงไปในน้ำซุปและกำลังจะตักเนื้อวัวขึ้นมานั้นเอง โคลอี้ก็เดินเข้ามาในครัว เธออยู่ในชุดออกกำลังกาย มัดผมที่ยาวประบ่าเอาไว้ด้านหลัง แก้มแดงก่ำ หายใจหอบแต่ไม่มีเหงื่อ อากาศคงหนาวเกินกว่าที่เหงื่อจะออก

    “ออกกำลังกายเสร็จแล้วเหรอ”

    “อือใช่ ตอนที่ออกไปจ๊อกกิ้งที่สวนด้านหน้าเห็นคนแปลกๆ กำลังปีนอยู่บนรั้วและถ่ายรูปด้วยล่ะ”

    “นักข่าวอีกแล้วเหรอ”

    ช่วงนี้มีนักข่าวหลายคนพยายามที่จะเข้ามาในบ้านแกรนด์เชฟ แต่ก็ถูกไล่ออกไป เหมือนพวกปาปารัซซี่มากมายคอยเกาะติดคนดัง สถานที่ถ่ายทำรายการแกรนด์เชฟนั้นเป็นที่รู้จักกันอยู่แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มาทำข่าว โคลอี้ส่ายหัวอย่างเบื่อหน่าย

    “ไม่รู้สิ เหมือนจะถูกยามจับตัวได้และลบรูปจนหมด ฉันรู้สึกไม่ดี ก็เลยกลับเข้ามาก่อน ว่าแต่นายกำลังทำอะไรอยู่เหรอ กลิ่นหอมจัง”

    “ก๋วยเตี๋ยวน่ะ”

    “อ๋อ ก๋วยเตี๋ยวน้ำ”

    “ฉันชอบก๋วยเตี๋ยวน้ำมากกว่าก๋วยเตี๋ยวแห้ง เธอจะกินด้วยมั้ย ใกล้เสร็จแล้วล่ะ ฉันทำเยอะอยู่ น่าจะกินได้สามสี่คนเลย”

    “ถ้างั้นฉันขอฝากท้องสักชามนะ”

    โคลอี้หัวเราะพลางเอามือประกบกัน ระหว่างนั้นมินจุนก็เหลือบไปมองตรงทางเดิน ใกล้ถึงเวลาที่คาย่าจะมาแล้ว แต่ก็ไม่เห็นมาสักที หรือว่ายังอยู่ในช่วงขี้เกียจก็เลยนอนตื่นสายนะ ขณะที่กำลังคิดแบบนั้น คาย่าก็เดินเข้ามาในครัวในสภาพที่มัดผมเอาไว้ด้านหลังอย่างลวกๆ ใส่เสื้อคอย้วยกับกางเกงยับยู่ยี่ โคลอี้มองผมที่ยุ่งเหยิงของคาย่าด้วยแววตาเป็นประกาย โคลอี้ชอบทรงผมยุ่งๆ มาก ถึงขนาดที่พอสระผมเสร็จแล้วก็ยังตั้งใจทำให้ผมตัวเองดูยุ่งๆ มินจุนเห็นสภาพคาย่าแล้วก็หัวเราะออกมา

    “คาย่า เธอตกลงกับฉันว่าจะทำอาหารเช้าให้ทุกวันไม่ใช่เหรอไง”

    “ก็ไม่ได้บอกว่าจะทำให้ตอนกี่โมงนี่นา นี่เพิ่งแปดโมงเองนะ”

    พอคาย่าทำหน้ามุ่ย มินจุนก็ขำออกมาอีก เธอคงอยากนอนให้เต็มที่เพื่อทดแทนการนอนที่ไม่เพียงพอ ระหว่างนั้นแอนเดอร์สันที่เพิ่งทำย็อคคีมันฝรั่งกราแตงเสร็จก็หันมามอง

    “มีใครอยากกินกราแตงบ้าง”

    “ฉันขอผ่าน ไม่อยากกินชีส กลัวท้องเสียน่ะ”

    พอมินจุนตอบแบบนั้น มุมปากของแอนเดอร์สันก็คว่ำลงราวกับผิดหวัง มินจุนจึงยักไหล่พร้อมพูดว่า

    “ช่วยไม่ได้ พออายุมากขึ้นก็ย่อยชีสได้ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน”

    “นายเพิ่งจะยี่สิบเอ็ดเองนะ”

    “ถึงงั้นมันก็ไม่ใช่ช่วงอายุที่กำลังโต แต่เป็นช่วงอายุที่เริ่มเข้าสู่ความแก่แล้ว ต่างจากตอนช่วงอายุสิบกว่าแบบชัดเจนเลยนะ แล้วอีกอย่างร่างกายฉันก็ไม่ค่อยถูกกับชีสสักเท่าไหร่”

    แอนเดอร์สันหรี่ตาลงแล้วตักชีสกับย็อคคีที่ตัวเองทำเข้าปาก ย็อคคีกับครีมซอสที่กลมกล่อมให้สัมผัสนุ่มหนึบหนับ แล้วโคลอี้ก็ยกมือขึ้นอย่างทนไม่ไหว

    “แอนเดอร์สัน ฉันขอกินหน่อยสิ”

    “ได้”

    ระหว่างนั้นก๋วยเตี๋ยวก็ใกล้เสร็จแล้ว มินจุนเทน้ำซุปลงไปในเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วใส่ถั่วงอก หัวหอม พริกชี้ฟ้าเขียว และผักชี จากนั้นก็นำน้ำมะนาว ซอสฮอยซิน ซอสพริกศรีราชาใส่ถ้วยแยกเอาไว้ เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย

    กลิ่นที่หอมและการชิมอยู่เรื่อยๆ ในระหว่างที่ทำกระตุ้นความหิว แต่หลังจากทำเสร็จแล้วกลิ่นก็ยิ่งหอมเข้มข้นกว่าเดิม ทำให้รู้สึกหิวมากขึ้นไปอีก ถ้าได้กินในตอนนี้เลยก็คงจะกินได้อย่างเอร็ดอร่อยกว่าครั้งไหนๆ

    แล้วทั้งสี่คนรวมถึงมินจุนก็นั่งที่โต๊ะอาหาร ภายในเวลาสั้นๆ คาย่าก็ทำไข่ม้วนสไตล์ญี่ปุ่นเสร็จ เธอนำไข่ม้วนมาวางบนโต๊ะแล้วกระแอมเบาๆ

    “อ่ะ ไข่ม้วน”

    “อืม”

    คาย่าจ้องมินจุนเขม็งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เธอเองก็หิวแล้วเหมือนกัน จึงช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าก๋วยเตี๋ยวที่วางอยู่ตรงหน้านั้นน่าดึงดูดใจมาก ส่วนแอนเดอร์สันไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยว แค่กินย็อคคีมันฝรั่งกราแตงที่ตัวเองทำก็อิ่มมากพออยู่แล้ว แม้โคลอี้จะช่วยแบ่งไปกิน แต่ปริมาณก็ยังเยอะอยู่ดี แอนเดอร์สันจึงเหลือบไปมองคาย่า

    “เธอล่ะ ไม่กินกราแตงเหรอ”

    “ไม่”

    “โอเค”

    คาย่าตอบห้วนๆ แอนเดอร์สันจึงหันหน้าหนีไป แม้บรรยากาศจะดูแปลกๆ แต่มินจุนก็ไม่ได้สนใจ ความกระอักกระอ่วนระหว่างคาย่ากับแอนเดอร์สันมีมาตั้งแต่การทะเลาะกันในการแข่งขันแบบทีมแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้สึกแปลกอะไรในตอนนี้อีก

    มินจุนค่อยๆ ตักก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก น้ำซุปร้อนแต่เส้นก๋วยเตี๋ยวถูกแช่ในน้ำเย็นไว้จึงไม่จำเป็นต้องเป่า กลิ่นเนื้อจากน้ำซุปกับกลิ่นเฉพาะของผักชีมารวมเข้าด้วยกันจนหอมเตะจมูก เก้าในสิบของคนเกาหลีไม่ชอบผักชี แต่โชคดีที่มินจุนคือหนึ่งคนที่เหลือ ว่ากันว่าอะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี แต่กลิ่นแบบผักชีนั้นยิ่งแรงก็ยิ่งทำให้รู้สึกดี ไม่ได้ติดแค่ที่จมูก แต่ติดไปถึงเพดานปาก

    เวลาที่เคี้ยวถั่วงอกกรอบๆ กับเส้นก๋วยเตี๋ยวนุ่มๆ พร้อมกันมันช่างมีความสุขเหลือเกิน คะแนนที่ได้คือเจ็ดคะแนน ช่วงนี้เขาทำอาหารหกคะแนนออกมายังยากกว่าเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหนแค่ทำตามขั้นตอนโดยปรับแต่งนิดหน่อยก็ได้เจ็ดคะแนนอย่างไม่ยากเย็น

    เลเวลการทำอาหารของเราอาจจะเข้าใกล้ระดับเจ็ดเข้าไปทุกที

    พอกินไปด้วยและคิดแบบนั้นไปด้วยก็รู้สึกว่าก๋วยเตี๋ยวยิ่งอร่อยกว่าเดิม เห็นรอยยิ้มของมินจุน คาย่าก็พูดว่า

    “อร่อยดี”

    “ฉันก็คิดงั้น”

    “ขอบคุณนะ”

    มินจุนยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณคาย่ากับโคลอี้ จากนั้นก็ตักน้ำซุปเข้าปากก่อนพูดว่า

    “ไม่รู้ว่าจะได้แข่งอีกทีเมื่อไหร่”

    “อยู่ๆ อาจจะโผล่พรวดมาเซอร์ไพรส์ก็ได้”

    “ขอแค่ไม่ใช่แบบฟู้ดทรักก็แล้วกัน มันสนุกนะ แต่เหนื่อยมากด้วย”

    “เห็นด้วยเลย”

    แล้วตอนนั้นเองคาย่าก็จ้องหน้ามินจุนเขม็ง

    “พนันกันมั้ย”

    “พนันอะไร”

    “ว่าจะเป็นการแข่งขันแบบไหน ใครทายถูกชนะ รางวัลคือ…ถ้าฉันชนะก็ยกเลิกเรื่องอาหารเช้า ถ้านายชนะ ฉันจะทำอาหารกลางวันให้กินด้วย นายว่าไง”

    “เธอรู้ใช่มั้ยว่ากำลังเดินตามรอยเท้าของนักพนันที่หมดตัวน่ะ”

    “หนวกหูน่า จะเล่นหรือไม่เล่น ทำไม ไม่มั่นใจ?”

    เห็นได้ชัดว่าเธอตั้งใจยั่วเขาด้วยการยิ้มแบบมั่นใจ เขาจึงยิ้มอยู่ในใจแล้วพูดว่า

    “แล้วเธอคิดว่าจะแข่งแบบไหนล่ะ”

    “ตอนนี้เหลือสิบคน แบ่งเป็นสองทีมก็ได้ทีมละห้าคนพอดี ก็น่าจะเป็นการแข่งแบบทีมนั่นแหละ อ้อฉันพูดก่อนแล้ว นายต้องเลือกตอบอย่างอื่น”

    “อือ เอางั้นก็ได้ งั้นฉันเลือกเป็นการแข่งขันแบบเดี่ยวก็แล้วกัน”

    “จริงอ่ะ”

    คาย่ามองมินจุนด้วยแววตาที่สงสัย เธอคงจะรู้สึกแปลกที่มินจุนยอมอย่างง่ายดายแบบนั้น มินจุนยิ้มบางๆ โดยไม่พูดอะไร ถ้าจำไม่ผิด ตอนที่เหลือสิบคนไม่ได้เป็นการแข่งขันแบบทีม หรือพูดให้ชัดเจนก็คือเป็นการแข่งขันแบบทีมที่มีสมาชิกสิบคน และเขาก็จำฉากที่มีจานสิบใบวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกันได้ ถ้าเขาไม่ได้จำผิดล่ะก็ การแข่งขันครั้งนี้คงจะเป็น…

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook