ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 4 ตอนที่ 2
2
คำร้องขอของสามสิบหกคน
เมื่อพูดถึงความใฝ่ฝันเรื่องการแต่งงานหรือการอยู่ด้วยกันก็จะมีสิ่งหนึ่งที่มักถูกพูดถึงด้วย นั่นคือการได้ตื่นเช้าท่ามกลางเสียงนกร้องและแสงแดดอุ่นๆ ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา พอหันไปก็เห็นใบหน้าของคนรักที่กำลังหลับใหลอยู่ข้างๆ…คาย่ากำลังใฝ่ฝันถึงภาพเหล่านั้น
ยามเช้าที่หมอกยังไม่จางหาย แสงแดดยังไม่ปรากฏ ไม่มีเสียงนกร้อง มีแต่เพียงความง่วงที่กดทับร่างกายเอาไว้จนหนักอึ้ง ดวงตาที่ยังพร่าเบลอเพราะความง่วงมองเห็นภาพของมินจุนที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ห่างออกไปประมาณสองช่วงแขน
ง่วงจัง
คาย่าไม่รู้ว่าจะหลับตานอนต่อเพราะความง่วงหรือจะมองใบหน้าของมินจุนต่อไปดี ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเปลือกตาก็ปิดลง เธอหลับตาครู่หนึ่งแล้วหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เอื้อมมือคลำไปบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ เพื่อหยิบมือถือมาดู…หกโมงห้าสิบเจ็ดนาที เวลาที่ตั้งปลุกเอาไว้คือเจ็ดโมง ปกติแล้วถึงแม้เสียงนาฬิกาปลุกจะดังแต่เธอก็มักงัวเงียกดปิดและนอนต่อแทบทุกครั้ง เธอไม่รู้ว่าควรดีใจรึเปล่าที่สามารถตื่นก่อนที่นาฬิกาปลุกจะดังแบบนี้ เธอคิดว่าจะนอนอยู่นิ่งๆ จนกว่านาฬิกาปลุกจะดังดีมั้ย แต่สุดท้ายเธอก็กดยกเลิกการปลุกแล้วลุกขึ้นเดินไปที่เตียงของมินจุน จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปจ้องมองใบหน้าที่กำลังหลับใหลอย่างอ่อนล้าของเขา
“หลับสบายเชียว”
เวลานอนหลับแต่ละคนจะดูแตกต่างกันไป บางคนทำหน้าพิลึก แต่สำหรับมินจุนนั้นเวลานอนเขาดูสงบนิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นผ้าห่มที่อยู่บนตัวยังไม่ร่วงหล่นไปไหน เขาเป็นแฟนที่ทุกอย่างเป๊ะอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ แต่นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอรู้สึกชอบเขามากขึ้นก็ได้ เธอยื่นนิ้วไปจิ้มที่แก้มของเขาเบาๆ สัมผัสของผิวที่เด้งดึ๋งทำให้รู้สึกดีจริงๆ แบบนี้จะให้สัมผัสทั้งวันก็คงได้ แต่ไม่มีเวลามากมายขนาดนั้น เธอจูบริมฝีปากของเขาเบาๆ แล้วผละออกจากเตียงเพราะต้องเตรียมตัวไปทำงานเหมือนทุกวัน วันของเธอเริ่มต้นด้วยการเตรียมอาหารเช้า เดิมทีตามสัญญาที่เคยให้ไว้เธอจะต้องเตรียมอาหารกลางวันด้วย แต่ในความเป็นจริงนั่นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ เพราะช่วงกลางวันเธอกับเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน สิ่งที่สามารถทำให้ได้ก็คงจะมีแค่อาหารเช้า ดังนั้นเธอจึงทุ่มเทและใส่ใจกับมันมาก
“อืม กำลังได้ที่เลย”
คาย่ามองดูสิ่งที่อยู่ในหม้ออย่างพอใจ มันคือซุปเต้าเจี้ยวที่ต้มทิ้งไว้หนึ่งวันเพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้น คาย่าเบาไฟแล้วหันไปซาวข้าว เธอไม่ได้ใช้น้ำประปา เพราะน้ำแรกที่ใช้ซาวข้าวจะมีผลทำให้รสชาติของข้าวแตกต่างไป เธอจึงใช้น้ำกรองซาวข้าวทั้งสามครั้งซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบ สิ่งที่เธอชอบที่สุดคือการทำอาหาร และคนที่เธอชอบที่สุดก็คือมินจุน ไม่มีเหตุผลที่จะเกลียดการทำเพื่อคนสำคัญ นอกจากซุปเต้าเจี้ยวและข้าวก็จะมีกับข้าวที่เป็นอาหารแห้ง นอกจากนั้นก็ยังมีอาหารอีกอย่างที่ทำขึ้นมาเอง และไม่ใช่อาหารที่ทำง่ายเลย มันคือซุปข้นกุ้งกับปลากะพงขาวนึ่งกินคู่กับกุ้งทอด มันเป็นโต๊ะอาหารแบบเกาหลีที่มีความเป็นตะวันตกค่อนข้างมาก แต่เธอคิดว่ารสชาติคงไม่ตีกัน
“วุ่นวายแต่เช้าเลยนะ”
มีเสียงดังมาจากทางด้านหลัง ไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร คาย่าจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน ฉันตั้งใจทำอาหารเช้าให้มินจุน ก็เลยคิดว่าจะทำให้นายด้วย แต่นายกลับเขวี้ยงจานข้าวของตัวเองทิ้ง”
“ฉันแค่บอกว่าวุ่นวาย ไม่ได้บอกว่าจะไม่กินสักหน่อย”
“งั้นก็อยู่เงียบๆ อย่าทำให้เสียสมาธิ”
แอนเดอร์สันทำหน้ามุ่ย แต่ตอนนี้คนที่ถือมีดอยู่คือคาย่า เขาจึงถอนหายใจและพูดว่า
“จะเสร็จแล้วนี่ ให้ไปปลุกมินจุนเลยมั้ย”
“ไม่ต้องหรอก ให้เขานอนต่ออีกสักหน่อยแล้วฉันจะไปปลุกเอง ถ้ามาแย่งหน้าที่นี้นายเจอดีแน่”
ไม่มีอะไรจะทำให้รู้สึกดีไปกว่าการได้เห็นภาพตอนที่เขาเพิ่งสะลึมสะลือตื่นนอนอีกแล้ว หลังจากทำอาหารต่อไปได้สักพักคาย่าก็ถอดผ้ากันเปื้อนออก
“นายจัดโต๊ะนะ ฉันจะไปปลุกมินจุน”
จะแปดโมงแล้ว แต่มินจุนยังนอนไม่ตื่น น่าจะเป็นเพราะช่วงนี้เขาคิดค้นสูตรอาหารจนดึกจนดื่นอยู่บ่อยๆ และเขาก็เพิ่งมีบ้านของตัวเองจึงทำให้ผ่อนคลายขึ้น แม้จะรู้สึกผิด แต่ก็ต้องปลุก คาย่าจูบริมฝีปากของเขาและค้างเอาไว้อย่างนั้น จนสุดท้ายเขาก็เริ่มขยับตัว
“ทำอะไรน่ะ”
“กำลังปลุกนายไง”
“เป็นการปลุกที่แปลกดีเนอะ”
มินจุนยิ้มแล้วดึงคาย่าเข้ามากอด คาย่าจึงดิ้นและพูดว่า
“ไม่ได้ ต้องตื่นแล้ว ฉันทำข้าวเช้าไว้ให้แล้ว”
“รู้แล้ว แต่ขอหนึ่งนาที ไม่สิ หนึ่งนาทีสามสิบวินาที”
“จะขอเวลาเพิ่มก็ยังขี้เหนียวอีกเนอะ”
คาย่าระเบิดหัวเราะออกมา แอนเดอร์สันที่มองมาจากในครัวถึงกับเอามือแปะหน้าผาก เขาออกมาจากบ้านเพราะไม่อยากถูกพ่อแม่กวนใจ แต่สองคนนี้กลับเป็นเพื่อนบ้านที่น่าสยองไปอีกแบบ การแสดงความรักของทั้งสองไม่ได้จบแค่ในห้องนอน พอนั่งลงที่โต๊ะอาหารมินจุนก็ยิ้มกว้างและร้องชมออกมา
“ว้าว!ซุปเต้าเจี้ยวกับข้าว สไตล์เกาหลีมากเลยนะเนี่ย”
“มื้อเช้านายน่าจะนึกถึงอาหารเกาหลี เวลาต้องมาอยู่ไกลบ้านถ้าได้เริ่มต้นวันด้วยอะไรที่คุ้นเคยมันก็ดีไม่ใช่เหรอ คนในตลาดที่ฉันเคยอยู่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย ไม่ยอมกลับประเทศตัวเอง แต่กลับร้องหาอาหารของประเทศตัวเอง”
“มีอยู่สองอย่างที่เอาไว้เป็นตัวแบ่งแยกประเทศ นั่นคือคนกับอาหาร”
“เพราะฉะนั้นก็เลยต้องคอยดูแลเรื่องการกินให้ดีๆ แล้วมื้อกลางวันล่ะ ตอนนี้คงได้กินตามปกติ แต่ถ้าร้านเปิดแล้วจะเป็นยังไงนะ”
“ถึงตอนนั้นก็คงจะได้กินตามปกตินั่นแหละ ถ้าเป็นเชฟฝึกหัดก็จะต้องคอยเตรียมวัตถุดิบแม้ในช่วงพัก แต่ฉันเป็นเดมี่เชฟคงไม่ได้ยุ่งวุ่นวายอะไรมากขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง…”
มินจุนหยุดสักครู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า
“อาจารย์เรเชลใส่ใจเรื่องสุขภาพของพนักงานมาก ท่านเคยเจอเรื่องไม่ดีในครัวมาก่อนก็เลยไม่อยากเจออะไรแบบนั้นอีก”
“ดังนั้นนายห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาดเลยนะ เข้าใจมั้ย”
“เธอนั่นแหละ ดูแลตัวเองให้ดีเถอะ ช่วงนี้ดูซูบไปเยอะเลย”
“นี่ ขอร้องล่ะ เวลากินช่วยหุบปากหน่อยได้มั้ย คาย่า ไหนคราวที่แล้วเธอบอกว่าเวลากินข้าวให้มีสมาธิไง”
แอนเดอร์สันพูดอย่างเหนื่อยใจ คาย่าทำตาโตและพูดว่า
“เงียบไปเลยนะ นายนี่ขี้เกียจจริงๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักอย่างแต่กลับพูดมาก อีกอย่างตอนนั้นมันก็เป็นอาหารที่น่าทึ่ง จึงควรให้ความสนใจ แต่มื้อเช้านี้มันไม่ได้ถึงขนาดนั้นสักหน่อย”
“ไม่ถึงขนาดนั้นอะไรกัน ฉันว่ามันอร่อยกว่าอาหารที่นั่นซะอีก”
คำพูดของมินจุนทำให้คาย่ายิ้มกว้าง แต่แอนเดอร์สันกลับส่ายหน้า
“พวกบ้า”
วันนั้นทุกคนที่โรสไอส์แลนด์ยุ่งมาก ไม่ใช่เพียงเพราะมีพนักงานเสิร์ฟและซอมเมอลิเยร์มาเพิ่ม แต่ในครัวและห้องอาหารหลายจุดมีกล้องติดตั้งเอาไว้ และยังมีพวกตากล้องถือกล้องเดินกันไปมา พวกเขามาถ่ายทำรายการพิเศษเกี่ยวกับโรสไอส์แลนด์ร้านสาขาใหญ่ที่สวยงามเสมอในความทรงจำของคนสูงวัยและในความเพ้อฝันของหนุ่มสาว การได้ถ่ายทำภาพเหล่านั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าดึงดูดใจสำหรับสถานีโทรทัศน์อย่างช่วยไม่ได้ มันเป็นการถ่ายทำที่ไม่ได้มีอะไรเสียหายสำหรับโรสไอส์แลนด์ด้วยเหมือนกัน เพราะระยะเวลาในการถ่ายทำถูกกำหนดไว้ถึงแค่วันเปิดร้าน ถ้าไม่ได้รบกวนการทำอาหารก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ทั้งตากล้องและทีมงานมักต้องเจอกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ทุกครั้งที่พวกเดมี่เชฟทำอาหารเสร็จก็จะตรงมาหาทีมงานเพื่อขอให้ลองชิม ตอนแรกพวกเขาก็ดีใจที่ได้กินอาหารหรูแบบฟรีๆ แต่อาหารก็ออกมาไม่หยุดจนโปรดิวเซอร์ที่อยู่ข้างๆ มินจุนถึงกับพูดว่า
“ร้านยังไม่ทันเปิดก็ขยันกันขนาดนี้เลยนะครับ”
“เป็นแบบนี้มาหลายเดือนแล้วครับ จะให้ใช้ลูกค้าเป็นหนูทดลองคงไม่ได้ จึงต้องมีการทดลองทำงานให้เข้าขากันก่อน”
“ถ้างั้นตอนนี้ทีมงานของเราก็เป็นหนูทดลองสินะครับ”
มินจุนหลบตา โปรดิวเซอร์ยิ้มแล้วพูดต่อ
“ผมพอจะได้ยินเรื่องของคุณมาจากมาร์ตินบ้างแล้ว เขาบอกว่าเวลาทำอาหารคุณจะดูเหมือนเป็นคนละคน”
“ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอดหรอกครับ ขืนเป็นอย่างนั้นก็บ้าแล้ว มาร์ตินคงจะไม่ได้บอกว่าผมบ้าใช่มั้ยล่ะ”
โปรดิวเซอร์พยักหน้าอย่างระมัดระวัง
“เอ่อ เขาบอกว่าคุณเป็นคนบ้าที่น่าหลงใหล”
“แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะครับ”
“ก็ต่างกันตรงที่มีความชื่นชมยังไงล่ะ”
“ถึงยังไงมาร์ตินก็ว่าผมบ้าอยู่ดี”
“ก็ถูกแล้วนี่ คนบ้า”
เจเน็ตพูดแทรกขึ้นระหว่างเดินไปหยิบของที่ตู้เย็น โปรดิวเซอร์จึงยักไหล่
“ดูเหมือนทุกคนจะเห็นตรงกันนะครับ”
“ช่วยตัดออกให้ด้วยนะครับ”
มินจุนพูดสั้นๆ แล้วหันไปจดจ่อกับการทำอาหารอีกครั้ง หลังจากที่มองดูมินจุนและพนักงานเสิร์ฟที่กำลังฝึกอยู่ในห้องอาหาร โปรดิวเซอร์ก็รู้สึกว่าทั้งในครัวและห้องอาหารต่างก็กำลังได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบระเบียบ
ได้ยินว่าจะมีการเปลี่ยนเมนูทุกๆ สิบห้าวัน
ขั้นตอนการทำอาหารของมินจุนที่ใส่อากาศเข้าไปในมอสซาเรลล่าชีสให้พองเหมือนลูกโป่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก จนโปรดิวเซอร์คิดว่าถ้าต้องคอยคิดสร้างสรรค์เมนูประเภทนั้นออกมาใหม่ทุกๆ สิบห้าวันคงจะหัวระเบิดกันพอดี
แต่ก็นั่นแหละ เพราะทำได้แบบนั้นไงถึงได้เป็นเรเชล โรสแห่งโรสไอส์แลนด์
เรเชล โรสเลือกแต่คนที่มีความสามารถ เดมี่เชฟทุกคนทำอาหารไม่มีติดขัด ไม่ตื่นตระหนก อาหารแต่ละอย่างที่ทำออกมายอดเยี่ยมมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำอาหารเดิมๆ ซ้ำๆ แต่นั่นแหละเรื่องยาก การทำอาหารแบบเดียวกันซ้ำไปซ้ำมาจะทำให้เกิดการละเลยได้ง่าย สิ่งสำคัญคือต้องรักษาคุณภาพให้เหมือนกันทุกจาน ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าเดมี่เชฟทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีพอแล้ว
ได้ยินว่ามินจุนเรียนการทำอาหารโมเลกูลาร์ได้แค่ไม่กี่เดือนเอง ดูจากการใช้หลอดฉีด ไนโตรเจนเหลว หรือพวกวุ้นแล้วถือว่าดีมาก แม้ตัวเขาเองจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหาร แต่ก็ทำรายการอาหารและพบเจอผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้มามากมายจนนับไม่ถ้วน เขาจึงพอดูออกว่าฝีมือของมินจุนสุดยอดมาก
มาร์ตินเคยบอกว่าในฐานะโปรดิวเซอร์เราอาจต้องสนใจเรื่องประสาทรับรสที่แม่นยำของเขา แต่ในฐานะลูกค้าคนหนึ่งมันทำให้เรามองเรื่องพรสวรรค์ของเขามากกว่า
ถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้วก็คงไม่สามารถแยกสองอย่างนั้นออกจากกันได้ เพราะประสาทรับรสที่แม่นยำก็เป็นส่วนหนึ่งของพรสวรรค์ แล้วบทสนทนาที่เคยคุยกับมาร์ตินก็ผุดเข้ามาในหัว
‘รู้มั้ยว่าอะไรที่แปลกที่สุดในระหว่างถ่ายทำรายการแกรนด์เชฟ มันก็คือตอนแรกสุดมินจุนไม่ใช่คนที่มีความสามารถมากมายอะไรเลยไงล่ะ’
‘แต่เขาก็รอดมาถึงรอบสามคนสุดท้ายนี่นา ด้วยนิสัยของนายแล้วนายไม่มีทางที่จะช่วยดันให้เขาดูโดดเด่นเพียงเพราะมีประสาทรับรสที่แม่นยำหรอก และไม่มีทางที่กรรมการจะยอมถูกนายควบคุมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้างั้นตกลงมันยังไงล่ะ หรือเขาโชคดีมาก?’
‘แข่งกันตั้งไม่รู้กี่รอบ อาศัยแค่ดวงน่ะไม่รอดมาได้ขนาดนี้หรอก มันเป็นเพราะเขาเก่งขึ้นต่างหาก’
‘การทำอาหารมันพัฒนาได้เร็วแบบนั้นเลยเหรอ’
‘ทักษะน่ะคงค่อยๆ พัฒนาขึ้น แต่สัญชาตญาณในการทำอาหารต่างหากที่พัฒนาไปเร็วจนน่ากลัว พูดให้ชัดต้องบอกว่าเขาซึมซับอาหารของทุกคนที่อยู่รอบตัว ความจริงอาหารที่เขาทำในช่วงหลังๆ ส่วนใหญ่เป็นการนำเอาอาหารที่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นเคยทำมาประยุกต์’
‘แล้วสรุปว่ามันคืออะไรกันแน่’
คำถามที่เต็มไปด้วยความอึดอัดใจของโปรดิวเซอร์ทำให้มาร์ตินตอบว่า
‘เขาจะกลายเป็นคนละคนโดยขึ้นอยู่กับว่ามีใครอยู่รอบตัวเขาไงล่ะ ถ้าได้เข้าไปทำงานในครัวที่มีเชฟดีๆ เขาก็จะซึมซับทุกอย่างมาเป็นของตัวเอง เวลาที่เขาเรียนรู้อะไรบางอย่าง สมาธิของเขาจะจดจ่อกว่าคนทั่วไป’
และตอนนี้มินจุนก็อยู่ในครัวของเรเชล ครัวของคนที่ถูกเรียกว่าเป็นเชฟที่มีความสามารถที่สุดในโลก โปรดิวเซอร์พึมพำอยู่ในใจ
มินจุน แสดงให้ผมและทุกคนเห็นถึงการพัฒนาของคุณหน่อยเถอะ
“คุณพาโว”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้โปรดิวเซอร์ที่ชื่อพาโวตื่นจากภวังค์ พอหันไปมองก็เห็นเรเชลยืนอยู่
“ครับ”
“ได้ยินว่าใกล้จะมาถึงแล้วค่ะ”
“อ๋อ ขอบคุณครับ ทีมงาน!ทางนี้!”
พาโวเดินออกไปจากครัวและชี้บอกทีมงาน มินจุนจึงหันไปมองเรเชลอย่างงุนงงแล้วถามว่า
“มีใครมาเหรอครับ”
“เดี๋ยวก็รู้”
เรเชลยิ้มอย่างมีเลศนัย ถ้าเขาถามต่อเธออาจจะยอมบอกก็ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ถามเพราะไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น ถ้าเป็นคนรู้จักของเธอก็คงจะเป็นนักชิมอาหารหรือไม่ก็เชฟ และไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามคงจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก เขาคิดว่ารู้แค่นี้ก็พอแล้ว แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแขกที่มาถึงก็เกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้ เพราะมีทั้งหมดสามสิบหกคน