• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน วิหคชาดพิฆาตกล ภาค 1 พายุเพลิงผลาญ บทที่ 1-3

     

    บทที่ 1

    ศาสตร์ลึกลับ

     

    รัชศกเจี้ยนเหวินปีที่สี่เดือนหก

    แสงยามเย็นคืบคลานปกคลุมไปทั่วทุกทิศ ดวงอาทิตย์สีเลือดคล้อยตกลงตรงปลายสุดของเมืองหนานจิง ย้อมกำแพงเมืองที่เดิมเป็นสีเขียวอมน้ำตาลจนกลายเป็นสีแดงฉาน

    ทัพใหญ่ของเยียนอ๋องจูตี้ข้ามแม่น้ำฉางเจียงมุ่งตรงเข้าประชิดกำแพงเมือง ประตูจินชวน เสินเช่อ ติ้งไหว และประตูเมืองอื่นๆ มีทหารในชุดเกราะเหล็กนับสิบหมื่นนายตั้งแถวอยู่อย่างพร้อมเพรียง นี่เป็นศึกครั้งสุดท้ายของศึกจิ้งน่าน* บุญคุณความแค้นระหว่างจูตี้กับจูอวิ่นเหวินจะยุติลงตรงนี้

    ตอนนี้จูอวิ่นเหวินปิดประตูเมืองไม่ยอมออกมา เหมือนสัตว์จนตรอกไร้หนทางหนี

    แต่จูตี้ตระหนักดีว่าคิดจะตีเมืองให้แตกนั้นง่าย จะฆ่าคนบีบให้ลงจากบัลลังก์นั้นยาก ภายใต้สายตาของธารกำนัล หากเขาออกคำสั่งโจมตีเมืองและสังหารจูอวิ่นเหวินด้วยตัวเองย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้สังหารญาติพี่น้องของตัวเอง นี่หาใช่สิ่งที่เขาต้องการ แต่ถ้าไม่สังหารและจูอวิ่นเหวินไม่ยอมสละบัลลังก์ ทั้งยังมีผู้สนับสนุนมากมาย สถานการณ์นี้ตนย่อมจัดการได้ยาก

    จูตี้สีหน้าเคร่งขรึมขณะถามเต้าเหยี่ยนที่อยู่ด้านข้าง “ท่านกุนซือ เหตุการณ์ครั้งนี้ควรจัดการอย่างไรดี”

    เต้าเหยี่ยนก้มศีรษะตอบ “เยียนอ๋องอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าน้อยมีแผนการ หนึ่งชั่วยามให้หลัง เยียนอ๋องโปรดดูแสงไฟในเมืองแล้วลงมือ”

     

    ภายในวังหลวง คนชุดดำเจ็ดคนเคลื่อนไหวอย่างว่องไวปานสายลมไปในราตรี มุ่งหน้าไปตำหนักเฟิ่งเทียนโดยที่ทหารรักษาพระองค์หลายพันนายภายในวังไม่ทันตระหนักแม้แต่น้อย

    ส่วนภายในตำหนักเฟิ่งเทียน จูอวิ่นหวินกำลังกลัดกลุ้ม จะถอยหรือจะรุก จะต้านทานสุดชีวิตหรือจะยอมสละบัลลังก์แล้วหลบหนีไป เขาเป็นคนโลเลมาโดยตลอด ยามนี้ยิ่งยากจะตัดสินใจ ข้างกายจูอวิ่นเหวินยังเหลือคนอยู่อีกยี่สิบกว่าคน ทั้งหมดล้วนเป็นคนสนิทของเขา ในจำนวนนี้มีหกคนที่พิเศษที่สุด ได้แก่ พระอาจารย์หยางอิ้งเหนิง ผู้ตรวจการวังหลวงเยี่ยซีเสียน ผู้บัญชาการกองกำลังจินอู๋เยวี่ยซง ราชบุตรเขยเหมยอินในปฐมจักรพรรดิหมิงไท่จู่* อาลักษณ์แห่งสำนักราชบัณฑิตเฉิงจี้ และขันทีประจำพระองค์หวังเยวี่ย

    คนทั้งหกนี้แม้อายุและตำแหน่งหน้าที่จะสูงต่ำแตกต่างกันไป แต่ในยามคับขันกลับมีชื่อเรียกเดียวกัน นั่นก็คือนักรบพลีชีพกลุ่มสุดท้ายของจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน… ‘หกนักรบเทียนจาง (ห้วงดารา)’

    หกนักรบเทียนจางเป็นหน่วยลับสุดยอด ปกปิดฐานะนักรบพลีชีพมาชั่วชีวิตก็เพื่ออารักขาคุ้มครองจูอวิ่นเหวิน คนทั้งหกคนมีความเชี่ยวชาญต่างกันไป หยางอิ้งเหนิงวางแผนคิดกลยุทธ์ เยี่ยซีเสียนเก่งการแปลงโฉมอำพราง เยวี่ยซงวิชายุทธ์เลิศล้ำ เหมยอินรู้ศาสตร์แห่งกลไก เฉิงจี้พยากรณ์เรื่องต่างๆ จากดวงดาวได้ หวังเยวี่ยเชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับ ทั้งหกคนล้วนเป็นยอดฝีมือผู้มีความสามารถในศาสตร์ลึกลับ กระนั้นศาสตร์ลึกลับก็มิอาจนำมาใช้ปกครองบ้านเมือง จึงทำได้เพียงนำวิชาความรู้เหล่านั้นมารักษาชีวิตอย่างแยบยลในช่วงกลียุคเท่านั้น ดังนั้นหากไม่ถึงช่วงเวลาคับขันจะไม่เปิดเผยออกมาง่ายๆ เด็ดขาด

    ยามนี้คนทั้งหกมารวมตัวกัน เห็นชัดว่าถึงช่วงเวลาวิกฤตที่สุดแล้ว

    จะบุกหาทางรอดโดยให้โลหิตไหลนองเต็มพื้น หรือจะเด็ดหัวของจูตี้จากสถานที่ที่ห่างออกไปหลายร้อยจั้งล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจูอวิ่นเหวิน ทว่าจูอวิ่นเหวินเห็นแก่สายสัมพันธ์อาหลาน จึงมิอาจหักใจกระทำรุนแรง หยางอิ้งเหนิงที่ติดตามจูอวิ่นเหวินมาโดยตลอดเข้าใจเขาดีที่สุด ยามนี้ต่อให้สังหารจูตี้ไปจะมีประโยชน์อันใด บุตรชายสามคนของจูตี้ จูเกาชื่อ จูเกาซวี่ จูเกาซุ่ยล้วนมิใช่คนดี ศึกครั้งนี้พวกเขาพ่ายแพ้ราบคาบแล้ว

    หยางอิ้งเหนิงเอ่ยเตือนเสียงเบา “ฝ่าบาท หนทางข้างหน้าสิ้นหวังแล้ว มิสู้พวกเรารีบหนีไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

    เยี่ยซีเสียนเห็นด้วย “ฝ่าบาท ทองคำพันชั่งถลุงหมดไปยังหาใหม่ได้ ขอเพียงรักษาชีวิตไว้วันหน้าย่อมหวนกลับมาได้เสมอ!”

    คนอื่นๆ ต่างคุกเข่าตะโกนเสียงดัง “พวกข้ายินดีติดตามฝ่าบาท ไม่ยอมจำนนแม้ต้องตาย!”

    ภายใต้การโน้มน้าวของทุกคน ในที่สุดจูอวิ่นเหวินตัดสินใจไปจากวังหลวงที่ตนใช้ชีวิตอยู่มายี่สิบกว่าปี เวลานี้เอง เสียงหัวเราะเย็นชาดังมาจากนอกตำหนักใหญ่กะทันหัน “ฝ่าบาทโลเลเช่นนี้ แม้แต่ชีวิตของตัวเองยังตัดสินใจไม่ได้ แล้วจะกำหนดชะตาชีวิตของผู้คนทั่วหล้าได้อย่างไร มิสู้รีบสละบัลลังก์เสียเถอะ!”

    เงาดำเจ็ดสายปรากฏตัวที่หน้าตำหนัก ด้านหลังพวกเขาเป็นเส้นทางโลหิตที่ปูด้วยศพ ทหารรักษาพระองค์หลายร้อยนายสิ้นชีพภายใต้ดาบกระบี่ของพวกเขา ในบรรดาเจ็ดคนนี้ คนที่อยู่ตรงกลางสวมหมวกทรงสูง หกคนด้านข้างถือดาบ กระบี่ ขวาน หอก มีดสั้น และธนู

    “พวกเจ้าเป็นใคร คิดจะทำอันใด!”

    คนชุดดำที่สวมหมวกสูงย่ำเท้ากลางอากาศตรงเข้ามา เหมือนยมทูตเฮยอู๋ฉาง* ที่ก้าวออกมาจากขุมนรก ก่อนพูดเสียงดัง “พวกข้าย่อมต้องมาส่งฝ่าบาทเป็นครั้งสุดท้าย!”

    นักรบแต่ละคนหรี่ตาสังเกตดูจึงพบว่าใต้ฝ่าเท้าของคนชุดดำเหล่านี้มีเส้นด้ายสีดำเล็กบางอยู่เส้นหนึ่ง เส้นด้ายนี้ทอดยาวอยู่ข้างนอกไม่สิ้นสุด เหมือนโอบล้อมตำหนักเฟิ่งเทียนทั้งหมดไว้อย่างแน่นหนา หากมองลงมาจากด้านบนจะพบว่าเส้นด้ายนี้ล้อมตำหนักใหญ่ไว้และสร้างค่ายกลหยินหยางขึ้นมา ชัดเจนว่าคนพวกนี้เตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี ต้องการให้ทุกคนในตำหนักตายอยู่ที่นี่!

    จูตี้ห่วงชื่อเสียงหน้าตาจึงไม่กล้าสังหารจูอวิ่นเหวินอย่างเปิดเผย การลอบสังหารจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด สองฝ่ายเผชิญหน้ากัน จูอวิ่นเหวินเสียชีวิตในวังหลวงท่ามกลางความโกลาหล นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ยิ่งกว่านั้นคือเป็นลิขิตสวรรค์ เช่นนั้นย่อมโทษจูตี้ไม่ได้แล้ว

    คนชุดดำทั้งเจ็ดล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่เต้าเหยี่ยนคัดเลือกมา วันหน้ายามอยู่ในราชสำนักพวกเขาจะมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญ เพียงแต่ยามนี้ทั้งหมดล้วนเป็นนักฆ่าไร้นาม! เป็นมือสังหารชั้นยอดที่ฆ่าคนได้ตาไม่กะพริบ!

    หกนักรบของจูอวิ่นเหวินก็มียอดฝีมืออย่างเยวี่ยซงและเหมยอิน ทว่าน่าเสียดายที่เหมยอินบาดเจ็บ เหลือเพียงเยวี่ยซงต้านรับสุดกำลังเพียงผู้เดียว เยวี่ยซงเป็นลูกศิษย์สำนักดัง วิชาที่ฝึกฝนมาคือหัตถ์ผ่าทองคำ ฝ่ามือทั้งสองคมกริบดุจใบมีด ผ่าทองหั่นหยกได้ อาวุธแทบทุกชนิดล้วนหักครึ่งหากปะทะกับฝ่ามือของเขา

    เหล่านักฆ่าโอบล้อมเข้ามา เยวี่ยซงเคลื่อนไหวฝ่ามือสองข้าง หนึ่งก้าวหนึ่งสังหาร ทุกที่ที่ไปถึงไม่ว่าดาบยาวหรือมีดสั้นล้วนถูกจู่โจมจนหัก นักฆ่าที่ถือคันธนูน้าวสายทันที ลูกธนูประดับขนนกดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาเหมือนดาวตกพร้อมเสียงแหลมบาดหู เยวี่ยซงกำลังจะผ่าลูกธนูคมกริบนี้ ทว่าคิดไม่ถึง ลูกธนูพลันระเบิดออกกลางอากาศ กลายเป็นลูกธนูเก้าดอกพุ่งเข้ามาจากทิศทางต่างๆ นี่เป็นกระบวนท่าไม้ตายของนักฆ่าผู้นี้ ‘หงส์ร่อนเก้าชั้นฟ้า’!

    กระบวนท่าที่เกิดจากการพลิกแพลงนี้จู่โจมว่องไว ทิศทาง ความเร็ว และอานุภาพของลูกธนูทั้งเก้าล้วนแตกต่างกัน ต่อให้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งก็ยากที่จะป้องกันไม่ให้ลูกธนูแทงทะลุหัวใจ แต่เยวี่ยซงผู้นี้ร้ายกาจโดยแท้ เขาสะบัดฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ร่างหมุนขึ้นกะทันหันเหมือนลูกข่าง หัวธนูทั้งเก้าถูกตัดร่วงลงมาอย่างแม่นยำทีละอัน

    เหมยอินกำลังจะชมว่าทักษะของเยวี่ยซงช่างไร้เทียมทาน นักฆ่าชุดดำอีกคนกลับปราดเข้ามาเสียก่อน อาวุธที่คนผู้นี้ใช้คือกระบี่เล็กเรียวที่ทั้งยาวและบางเจ็ดเล่ม มีชื่อว่า ‘เจ็ดยอดกระบี่’ หัวท้ายของกระบี่เจ็ดเล่มนี้ผ่านการหลอมด้วยเพลิงอัสนีทำให้มีแรงดึงดูดกันและกัน พอกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งออกไป หัวท้ายของกระบี่ก็เชื่อมโยงต่อเนื่องเหมือนแส้ยาวคดเคี้ยว ขณะเดียวกันก็คล้ายกระสวยดาวตก พุ่งไปถึงที่ใดล้วนทำให้เลือดเนื้อสาดกระจาย ทะลุทะลวงได้โดยไร้อุปสรรค!

    เยวี่ยซงเห็นกระบี่นี้แล้วสีหน้าพลันเปลี่ยนไปอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะหัตถ์ผ่าทองคำของเขาเป็นการใช้ความแข็งแกร่งปะทะความแข็งแกร่ง แต่เจ็ดยอดกระบี่นี้อ่อนนุ่มดุจแส้เป็นคู่ปรับของเขาพอดี เขาส่งหัตถ์ผ่าทองคำออกไปหลายครั้ง ประกระบี่ยาวได้หลายครั้งแต่กลับผ่าไม่ขาดเสียที กลับเป็นกระบี่อ่อนที่อาศัยแรงเขาโจมตีกลับมา ทิ่มแทงเยวี่ยซงจนบาดแผลเต็มตัว เขาตระหนักดีว่าตัวเองมิอาจทำให้ศัตรูล่าถอยจึงได้แต่ตะโกนเสียงดัง “รีบคุ้มกันฝ่าบาทหนีไป!”

    ขณะที่คนอื่นๆ กำลังจะพาจูอวิ่นเหวินหลบหนี คนชุดดำหมวกแหลมที่เป็นหัวหน้าพลันโฉบเข้ามาเหมือนเหยี่ยวตัวใหญ่ พูดด้วยน้ำเสียงอันตราย “ฝ่าบาทคิดจะไปที่ใดหรือ”

    ทุกคนร้องอย่างตื่นตระหนก “บังอาจนักเจ้าโจรกบฏ! เจ้าคิดจะทำอันใด?!”

    หัวหน้าคนชุดดำตอบ “ย่อมต้องเชิญฝ่าบาทให้หลับใหลอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร์!” เขายกแขนขึ้น ผงสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ผงนี้คล้ายหมอกควัน พอสัมผัสกับเสาไม้หนาน* สีทองระยับที่แกะสลักเป็นรูปมังกรแล้ว เสาก็ไหม้กลายเป็นสีดำทันที เห็นชัดว่าผงยานี้มีอานุภาพเผาไหม้กัดกร่อนรุนแรงมาก คนชุดดำยื่นมือออกไปอีกครั้ง ผงสีดำพุ่งทะลุตำหนักใหญ่และม้วนตัวขึ้นสู่ด้านบน ทุกคนตื่นตระหนกถอยหลบไปสามฉื่อ* คนชุดดำตะโกนดังลั่น “เผา!”

    สะเก็ดไฟเป็นจุดๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางกลุ่มควันสีดำ หลังจากนั้นกลุ่มควันได้แปรเปลี่ยนเป็นลูกเพลิง ตำหนักใหญ่ไฟลุกพรึ่บ เปลวไฟพุ่งสู่ท้องฟ้าเหมือนมังกรเพลิง! ยิ่งใหญ่และน่ากลัว!

    หัวหน้าคนชุดดำหัวเราะฮ่าๆ “ฝ่าบาททรงเห็นว่าหนทางข้างหน้าสิ้นหวังแล้วจึงเลือกที่จะเผาตัวเองฆ่าตัวตาย นี่เป็นจุดจบของประวัติศาสตร์ที่ข้าเตรียมไว้ให้ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าทุกท่านคิดเห็นอย่างไร”

    คนชุดดำพวกนี้ไม่เพียงจะสังหารจูอวิ่นเหวิน แต่ยังจะบิดเบือนประวัติศาสตร์เสียด้วย ความคิดต่ำช้าน่าประณาม บังอาจถึงเพียงนี้! เดิมทีหัวหน้าคนชุดดำคิดว่าพวกจูอวิ่นเหวินถูกดูหมิ่นแล้วจะโกรธแค้น ทว่านักกลยุทธ์หยางอิ้งเหนิงด้านข้างจูอวิ่นเหวินกลับยิ้มเย็นเอ่ยว่า “พวกข้าเดาได้แต่แรกแล้วว่าเยียนอ๋องต้องลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้ การโจมตีด้วยไฟเป็นวิธีที่ดีที่สุดและโหดเหี้ยมที่สุดจริงๆ แต่ฝ่าบาททรงเป็นมังกรที่แท้จริง ไหนเลยจะกลัวไฟเล่า เพลิงนี้เป็นการช่วยพวกข้าอีกแรงด้วยซ้ำ”

    หัวคิ้วของหัวหน้าคนชุดดำขยับเล็กน้อย เริ่มตระหนักถึงกลิ่นอายไม่ปลอดภัย

    เป็นดังที่คิด เฉิงจี้ที่อยู่ด้านหน้าสะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้างทันใด ฝ่ามือทั้งสองพลันปรากฏภาพปากว้า* ขนาดใหญ่ ปากว้าหมุนวน รอบด้านเหมือนมีเสียงเคลื่อนไหวของกลไกดังเลือนราง จากนั้นก้อนอิฐ เสาไม้หนาน โคมสำริด และโต๊ะเริ่มบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูป

    หัวหน้าคนชุดดำตื่นตระหนก กำลังจะนำมือสังหารรุดเข้าไปจับกุม ขันทีหวังเยวี่ยพลันตะโกนเสียงดัง “คุ้มกันฝ่าบาทให้ดี!”

    คนผู้นี้สูดหายใจเข้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายบวมขยายอย่างรวดเร็ว เสื้อตัวหลวมกว้างปริขาด หนังหน้าท้องถูกขยายจนโปร่งแสงเหมือนกระดาษบางๆ เปล่งประกายเล็กน้อย

    นี่เป็นวิชาลับของหวังเยวี่ย วิชาดึงปราณ

    ดึงปราณเข้าสู่ร่างกาย ถ่ายทอดปราณเข้าไปในทุกหลอดเลือดและทุกช่องว่างระหว่างกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายตัวเองขยายจนถึงขีดสุด เดิมทีวิชาลับนี้ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งปราศจากความรู้สึกเจ็บปวดได้ เพียงแต่การเร่งเร้าพลังเช่นนี้เห็นชัดว่าเป็นการพลีชีพเพื่อคุณธรรม

    “ระวัง ถอยเร็ว!”

    ร่างนั้นระเบิดเสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วตำหนักเฟิ่งเทียน พลังนี้แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นสั่นสะเทือนรุนแรง บีบให้คนชุดดำทั้งเจ็ดถอยหลังไปสองจั้งกว่า

    เฉิงจี้อาศัยคลื่นสั่นสะเทือนนี้ตวัดแขนเสื้อ จูอวิ่นเหวิน หยางอิ้งเหนิง เยี่ยซีเสียน เยวี่ยซง และคนอีกยี่สิบกว่าคนอันตรธานหายไป ตำหนักเฟิ่งเทียนและเปลวเพลิงเหมือนถูกเขาเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว รอบด้านว่างเปล่าไม่เหลือสิ่งใดเลย!

    เหมือนภาพวาดแผ่นหนึ่งที่ถูกเขาม้วนเก็บไปอย่างง่ายดาย

    เฉิงจี้เหมือนใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี นั่งนิ่งอยู่บนซากปรักหักพัง หลุบคิ้วหลุบตา ใบหน้าซีดเผือด

    ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึงตาค้าง พวกเขาเห็นกับตาว่าจูอวิ่นเหวินและคนอื่นๆ อันตรธานหายไป ตำหนักใหญ่หรูหรางดงามบัดนี้เหลือเพียงลานโล่งท่ามกลางราตรี หรือว่าอาลักษณ์ตำแหน่งเล็กๆ ที่ไม่โดดเด่นผู้นี้จะมีความสามารถประหลาดจริงๆ สามารถปั่นป่วนท้องฟ้าเคลื่อนย้ายปฐพีได้?! แล้วพวกจูอวิ่นเหวินหนีไปที่ใด

    ไม่ว่าอย่างไรพวกคนชุดดำหมวกแหลมก็ไม่เชื่อว่าโลกจะมีวิชาที่ร้ายกาจเช่นนี้ ตัวเขาเองก็เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับหยินหยาง ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ทำนายลักษณ์ ศาสตร์หมอดูทำนายดวง วิชาสาปแช่ง วิชาพญาพิษ* วิชายันต์ วิชาเร้นลี้ วิชาฝันมาร วิชาหลอมโอสถ ศาสตร์ภูมิลักษณ์ วิชาหมื่นผันแปร ศาสตร์แห่งหลู่ปัน* เขาล้วนพอมีความรู้อยู่บ้าง แต่วิชาที่ฝืนลิขิตสวรรค์เช่นนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขา อุบายของหยางอิ้งเหนิง การอำพรางของเยี่ยซีเสียน วิชากลไกของเหมยอิน วิชาเต๋าของเฉิงจี้ และการจงใจปลิดชีวิตตัวเองของหวังเยวี่ย คนเหล่านี้ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทว่าเรื่องนี้น่าสงสัยเกินไปแล้ว ในชั่วเวลาสั้นๆ หัวหน้าคนชุดดำยังดูไม่ออกว่าพิรุธอยู่ที่ใด ได้แต่คว้าตัวเฉิงจี้และตวาดถามเสียงเย็น “พวกเขาหายไปที่ใด?!”

    เฉิงจี้ปรายตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่งก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ “เฉิงจี้ติดตามฝ่าบาทไปแล้ว ข้าแม้เป็นข้า แต่หาใช่ข้าอีกต่อไป แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร ต่อให้เจ้าปิดหน้าหุ้มตัว จงใจปิดบัง ข้าก็จดจำดวงตาคู่นี้ของเจ้าได้ ดวงตาของเสือหิวเป็นของเต้าเหยี่ยนปีศาจเฒ่าเฝ้ากุฏิ* เท่านั้น เจ้าบอกว่าตัวเองเจนจัดทั้งพุทธและเต๋า รู้สรรพวิชามิใช่หรือ มิสู้เจ้ามาไขปริศนานี้ของข้าเถอะ!”

    พูดจบเขาก็หลับตาทั้งสองข้างลง ไม่พูดอันใดอีก เหมือนคนที่ตายไปแล้ว

    ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่เฉิงจี้ถูกลือว่าไปบวชเป็นนักพรต แต่อันที่จริงเขาถูกกักขังไว้อย่างลับๆ ไม่ว่าจะถูกทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมเพียงใดก็ไม่ปริปากพูดอันใดสักคำ ส่วนคู่ต่อสู้ของเขาเต้าเหยี่ยน ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดก็มิอาจไขปริศนาอันลึกลับซับซ้อนนี้ได้ จักรพรรดิเจี้ยนเหวินหลบหนีไปได้อย่างไร หลบหนีไปที่ใด กลายเป็นปริศนาในประวัติศาสตร์ที่มิอาจคลี่คลายได้ตลอดกาล

    คนชุดดำที่สวมหมวกแหลมถอดผ้าคลุมหน้า เผยให้เห็นนัยน์ตาเช่นเสือหิวที่เห็นแล้วชวนหนาวเยือก เป็นเต้าเหยี่ยนกุนซือของจูตี้นั่นเอง เขาประกาศว่าตัวเองเรียนรู้ศาสตร์นับร้อย ความสามารถในการวางกลอุบายและไขกลอุบายเทียบชั้นได้กับหลิวป๋อเวิน* เฉิงจี้ตัวเล็กๆ ผู้นี้มีความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้วยังจะท้าทายเขา นี่มิใช่ตั๊กแตนชูขาขวางรถ* หรอกรึ เต้าเหยี่ยนโมโหคิดจะสำรวจดูบริเวณใกล้เคียงให้ทั่ว แต่ยามนี้เปลวเพลิงรุนแรงขึ้นทุกที วังหลวงถูกเปลวไฟร้อนแรงโอบล้อม ยังจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร หลังตรวจดูอย่างเร่งร้อนแล้วไม่พบเบาะแสใดๆ เต้าเหยี่ยนได้แต่ออกคำสั่งให้ทุกคนออกจากเมืองอย่างจนใจ

    เพลิงไหม้ครั้งนี้เผาอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนกว่าจะมอดดับ จูตี้รีบพาเต้าเหยี่ยนเข้าวังไปตรวจค้น โดยเฉพาะบริเวณตำหนักเฟิ่งเทียนที่จูอวิ่นเหวินหายตัวไปดื้อๆ ยิ่งต้องตรวจดูให้ถี่ถ้วน แต่บริเวณนี้นอกจากรากฐานเดิมที่หลงเหลืออยู่บนพื้นดินแล้วก็ไม่มีอันใดอื่นอีกเลย จูตี้ไม่เชื่อ สั่งให้คนขุดดินลึกลงไปสามฉื่อ แต่ก็ไม่พบเส้นทางลับใดๆ จูอวิ่นเหวินหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้ายอดฝีมือทั้งหลายเช่นนี้

    จูตี้คิดอันใดไม่ออกชั่วขณะ เขาถามเต้าเหยี่ยน “เรื่องนี้ควรจัดการอย่างไรดี”

    เต้าเหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม ปริศนาครั้งนี้ยากจะเข้าใจได้ แต่ไม่นานจู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา เต้าเหยี่ยนหาได้ตอบคำถามของจูตี้ตรงๆ แต่ขยี้ดินบนพื้น วาดภาพห้าธาตุง่ายๆ ขึ้นมาก่อนพูดอย่างเนิบช้า “เยียนอ๋องสังเกตหรือไม่ ตั้งแต่องค์ปฐมจักรพรรดิหมิงไท่จู่สวรรคตจวบจนบัดนี้ฟ้าดินวิปริตนับครั้งไม่ถ้วน หยินหยางและห้าธาตุผสมปนเป หายนะเกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้น เท่าที่ข้าจำได้รัชศกหงอู่ปีที่สามสิบสองฤดูใบไม้ผลิเมืองหลวงเกิดแผ่นดินไหว พื้นที่ตอนเหนือของแม่น้ำฉางเจียงเกิดภัยพิบัติจากตั๊กแตน ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเกินพัน เสียหายใหญ่หลวง รัชศกหงอู่ปีที่สามสิบสามเดือนสี่ จูอวิ่นเหวินมอบราชโองการและขวานให้หลี่จิ่งหลง ตอนข้ามแม่น้ำเกิดเหตุการณ์มังกรวารีอาละวาด เรือแตกและมีคนจมน้ำตายมากมาย เดือนหก น้ำท่วมเมืองจินหวา มีคนตายอีกพันกว่าคน เข้าฤดูใบไม้ร่วง ประตูเฉิงเทียนเกิดเพลิงไหม้โดยไร้สาเหตุ เปลวไฟแผดเผาจนเหลือแต่เถ้าธุลี ตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา ฉางโจว ลี่หยาง เมืองหลวงเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้ง ค่ายของกองกำลังจิ่นอีและคลังอาวุธเกิดเพลิงไหม้อย่างต่อเนื่อง ยังมีภัยพิบัติจากแมลง อุทกภัย และกบฏของคนชั่วช้าไม่หยุดหย่อน จวบจนวันนี้ แม้แต่วังหลวงยังถูกเผาจนวอดวาย พระราชนัดดาผู้สืบสันตติวงศ์ของพระองค์เองก็สิ้นพระชนม์ท่ามกลางกองเพลิง…นี่มิใช่หายนะจากห้าธาตุหรอกหรือ”

    จูตี้ถาม “ความหมายของท่านกุนซือคือ…”

    เต้าเหยี่ยนตอบ “มิสู้ผลักเรือตามน้ำ! แต่โบราณมาการนำทัพออกรบย่อมต้องมีเหตุผล กำจัดคนชั่วข้างกายจักรพรรดิ ปราบกบฏแผ่นดินเป็นการรักษาความสงบให้บ้านเมือง บัดนี้ผู้สืบสันตติวงศ์ในองค์ปฐมจักรพรรดิสวรรคตแล้ว มิใช่ต้องแต่งตั้งกษัตริย์ขึ้นใหม่และป่าวประกาศไปทั่วหล้าหรือ” เขามองวังหลวงตรงหน้าที่กลายเป็นเถ้าธุลีและเอ่ยว่า “ตั้งแต่องค์ปฐมจักรพรรดิสวรรคต ตำแหน่งจักรพรรดิว่างลงหลายปี ห้าธาตุทั่วหล้าย่อมยากที่จะสงบ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหาใช่เรื่องแปลก ในตำรา ‘ประวัติศาสตร์ฮั่น’ ที่ข้าศึกษามีการกล่าวถึงห้าธาตุที่ก่อให้เกิดหายนะ ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงก็ย่อมต้องมีเช่นกัน บัดนี้สถานการณ์ของใต้หล้าถูกกำหนดแน่นอนแล้ว มิสู้เลือกวันประกาศต่อใต้หล้าว่าไท่ซุนจูอวิ่นเหวินประสบหายนะจากห้าธาตุ ถูกเผาจนสิ้นชีพอยู่ในวังหลวง บ้านเมืองมิอาจขาดผู้นำแม้แต่วันเดียว เยียนอ๋องเก่งกาจสามารถ เป็นที่เคารพเลื่อมใสของปวงประชา เมื่อครองราชย์แล้วย่อมห่วงใยไพร่ฟ้าประชาชน ปัดเป่าหายนะจากห้าธาตุ! คืนความสงบสุขให้บ้านเมือง!”

    จูตี้พลันกระจ่างแจ้ง ความหมายของเต้าเหยี่ยนคือให้เขาไม่ยอมรับฐานะจักรพรรดิของจูอวิ่นเหวิน จากนั้นทำให้การตายของจูอวิ่นเหวินมาจากการไร้ความสามารถในการปกครองบ้านเมือง ใต้หล้าจึงเกิดหายนะจากห้าธาตุขึ้นพร้อมกันจนสิ้นชีพอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง ส่วนเขาจูตี้ด้วยห่วงใยใต้หล้าจึงต้องขึ้นสู่บัลลังก์ปกครองบ้านเมืองอย่างจนใจ เพื่อบรรเทาหายนะจากห้าธาตุที่เกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่ง คืนความสงบสุขแก่แผ่นดิน

    จูตี้รับฟังข้อเสนอของเต้าเหยี่ยน ตัดสินใจสองเรื่องที่สำคัญ เรื่องหนึ่งคือส่งคนไปค้นหาเบาะแสของจูอวิ่นเหวินอย่างลับๆ ประกาศจับกุมพรรคพวกที่เหลือของจูอวิ่นเหวินอย่างเปิดเผย ขณะเดียวกันก็สั่งการให้ขุนนางประวัติศาสตร์ลบบันทึกในช่วงรัชศกเจี้ยนเหวินออกไป ไม่ยอมรับตำแหน่งจักรพรรดิของจูอวิ่นเหวิน อีกเรื่องหนึ่งคือเพิ่มกำลังพลและหน้าที่ความรับผิดชอบของกองกำลังจินอู๋ที่เดิมทีรับผิดชอบเพียงลาดตระเวนประตูเมืองและช่วยดับเพลิง ทำให้กองกำลังจินอู๋กลายเป็นกองกำลังพิเศษที่รับมือกับหายนะจากห้าธาตุได้ คอยสกัดกั้นหายนะจากห้าธาตุที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน รับภาระหน้าที่สำคัญในการปกป้องเมืองหนานจิงอย่างแท้จริง

    ขจัดภัยภายใน รักษาความสงบภายนอกเป็นแนวทางการปกครองบ้านเมืองในยุคเริ่มแรกที่เต้าเหยี่ยนชี้แนะจูตี้ แต่สำหรับเต้าเหยี่ยนแล้วอำนาจไม่เคยเป็นเป้าหมายที่เขาไขว่คว้า สิ่งที่ติดอยู่ในใจเขาคือจะไขปริศนาการหายตัวไปอย่างลึกลับของจักรพรรดิเจี้ยนเหวินอย่างไรต่างหาก เขาต้องรีบหาบุคคลที่คลี่คลายปริศนานี้ได้ภายในช่วงเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่!

     

    บทที่ 2

    หนอนตะกละ

     

    ตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อนของรัชศกหย่งเล่อปีที่หก ตรอกซั่นเหอเมืองหนานจิง คฤหาสน์สกุลเหวย

    ราตรีมืดทึบ ด้านบนห้องโถงแขวนภาพกวนอินที่ขาวซีดแล้ว บนโต๊ะมีเทียนไขสีขาวคู่หนึ่ง เปลวไฟส่ายไหวไปมา สาดส่องรอบด้านจนพร่าเลือนยากจะแยกแยะ

    บุรุษวัยกลางคนท่าทางเหมือนบัณฑิตจากชนบทถูกมัดอยู่บนม้านั่งยาวด้วยท่าประหลาด ดูเหมือนจะเจ็บปวดและทรมานมาก

    นักพรตในชุดดำคนหนึ่งเดินวนเวียนรอบม้านั่งยาว ปากพึมพำบางอย่าง

    นักพรตผู้นี้ชื่อว่าฉินหมิง คิ้วเข้มตาโต หนวดเคราดกหนา แต่พิศดูให้ละเอียดกลับพบบางอย่างที่ดูผิดปกติอย่างบอกไม่ถูกอยู่หลายส่วน

    เขาชำเลืองมองคนบนม้านั่งแวบหนึ่งก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่านเหวย เจ้าเป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว”

    นายท่านรองสกุลเหวยตอบ “ครึ่งปีแล้ว ท่านดูสิ ข้าผ่ายผอมไปทั้งตัว มีเพียงท้องที่โตขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อครู่นี้จู่ๆ ก็ป่องขึ้นอีกมาก ข้าถูกผีหิวโซสิงร่างหรือไม่”

    ท้องของคนผู้นั้นใหญ่เหมือนลูกหนังลูกหนึ่งจริงๆ กดแล้วแข็ง ออกจะแปลกประหลาด

    ฉินหมิงส่ายหน้า “ในร่างของเจ้าไม่ได้มีผีหิวโซอันใดหรอก แต่มีหนอนชนิดหนึ่งต่างหาก”

    “หนอน?”

    “ถูกต้อง!” ฉินหมิงอธิบาย “นี่เป็นหนอนพยาธิชนิดหนึ่งที่พบเห็นน้อยยิ่ง ไม่ทราบว่าเจ้าเคยเห็นเพรียงปูหรือไม่”

    “เพรียงปู? เพรียงปูคือสิ่งใด”

    “ ‘บันทึกเป่ยฮู่’ สมัยราชวงศ์ถังกล่าวไว้ว่าเพรียงปูรูปร่างเหมือนเมล็ดอวี๋* ฝังกลางท้องปู เป็นตายไม่แยกจากกัน หมายความว่าเพรียงปูนี้อาศัยอยู่ตรงส่วนท้องของปู ดูเหมือนไข่ปูที่ปรากฏอยู่ด้านนอก แต่แท้จริงแล้วข้างในจะเป็นเหมือนราเรื้อนที่มีหนวดซอกซอนไปนับไม่ถ้วน หนวดนี้จะชอนไชไปถึงก้ามปูและอวัยวะภายใน จนกระทั่งถึงสมอง คอยดูดเลือดเนื้อไปไม่หยุด ทำให้ปูค่อยๆ เหี่ยวแห้งกลายเป็นศพ จวบจนตายก็ยังคงอยู่ด้วยกัน สิ่งที่อยู่ในร่างกายเจ้านั้นคล้ายเพรียงปูอยู่หลายส่วน แต่มันมีชื่อว่าหนอนตะกละ!”

    นายท่านรองสกุลเหวยขนลุกไปทั้งตัว พูดอย่างตื่นตระหนก “ท่านนักพรตอย่าขู่ข้าสิ!”

    ฉินหมิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หึๆ ข้าไม่ได้ขู่เจ้า หนอนตะกละนี้ลักษณะเหมือนปลิง สีออกม่วงแดง ทั่วร่างเต็มไปด้วยปากและหนวด ชอบฝากตัวอยู่ในท้องของคนรวยเป็นที่สุด ว่ากันว่าที่เทาเที่ย* มีแต่เข้าไม่มีออกได้เพราะในร่างกายมีหนอนตะกละอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้ที่ทุจริตคดโกงจะเกิดหนอนตะกละขึ้นในร่างกาย ได้รับความทุกข์ทรมานเหมือนเทาเที่ยไปชั่วชีวิต ขออภัยที่ข้าต้องเอ่ยไม่อ้อมค้อม ปกติเจ้าติดสุราอยู่ใช่หรือไม่”

    นายท่านรองสกุลเหวยเงียบ บ้านคนรวยมีหรือจะไม่กินดีอยู่สบาย ตัวเองหาเงินได้ไม่กินไม่ดื่มแล้วจะมีความสุขได้อย่างไรเล่า เพียงแต่เรื่องหนอนตะกละที่นักพรตผู้นี้กล่าวมาออกจะเกินจริง ทำให้เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

    ฉินหมิงพูด “เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะใช้วิชาลับทำให้เจ้าเห็นหนอนตะกละที่อยู่ในร่างกายด้วยตาตัวเอง เจ้าจะได้เข้าใจ”

    เขาพูดแล้วใช้นิ้วจุ่มเหล้าขาวลูบบนหน้าท้อง แขน และน่องของนายท่านรองสกุลเหวยเบาๆ พลางพึมพำเสียงเบาว่า “หนอนตะกละ หนอนตะกละ เจอเหล้าแล้วจงปรากฏกายออกมา”

    เป็นเช่นที่ฉินหมิงพูด รอยแดงรอยแล้วรอยเล่าปรากฏบนผิวหนัง ร่องรอยเหล่านี้เหมือนรากไม้ยาวหนาแน่นที่แผ่ขยายออกมา ดูแล้วเหมือนเส้นลมปราณและเส้นเลือดทั้งหมดผุดขึ้นมาราวกับใยบวบอย่างไรอย่างนั้น น่าสยดสยองจนทำให้หนังศีรษะเย็นวาบ!

    นายท่านรองสกุลเหวยร้องอุทานออกมาและรู้สึกคันคะเยอไปทั้งตัว ความคันนี้กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ของร่างกาย แม้กระทั่งปลายนิ้วและหนังศีรษะของตัวเองก็ยังเหมือนมีหนวดสัมผัสของหนอนเป็นพันเป็นหมื่นเคลื่อนไหวอยู่ข้างใต้คอยดูดเลือดเนื้อและพลังชีวิตไม่หยุด จนสุดท้ายเขาจะแห้งเหี่ยวตายกลายเป็น ‘ท่อนไม้’ ท่อนหนึ่ง ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานเหมือนตายทั้งเป็นเลยทีเดียว!

    “อ๊า!”

    “ตอนนี้เชื่อหรือยัง”

    นายท่านรองสกุลเหวยพยักหน้าหงึกๆ ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาไม่อาจไม่เชื่อ

    ฉินหมิงพูด “ในเมื่อเชื่อแล้ว เช่นนั้นข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง หนอนตะกละนี้หากแค่ดูดเลือดเนื้อจากคนก็แล้วไปเถอะ แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือหนอนชนิดนี้จะควบคุมสัมผัสทั้งหกของเจ้าด้วย มันจะใช้หนวดสัมผัสชอนไชเข้าไปในสมอง บงการให้เจ้าเคลื่อนไหว หาอาหาร และฟักไข่แทนมันเหมือนหุ่นกระบอกตัวหนึ่ง ไม่ต่างกับศพที่เดินได้ เจ้ายังจำคดีผีดิบที่เกิดขึ้นในชิงโจวเมื่อสองปีก่อนได้หรือไม่ นั่นคือคนติดเชื้อโรคหนอนตะกละ สุดท้ายเหลือเพียงร่างที่ถูกหนอนพยาธิเหล่านี้บงการ เที่ยวหาอาหารไปทั่ว ใช้ชีวิตอย่างเลอะเลือนไร้จุดสิ้นสุด ผีดิบเมื่อไม่เหลือความเป็นมนุษย์แล้วย่อมทำร้ายคน ด้วยความจนใจราชสำนักจึงส่งกองกำลังจินอู๋ออกไปปราบปรามโดยการใช้ไฟโจมตี เผาเก้าหมู่บ้านที่ติดเชื้อหนอนพิษชนิดนี้ทั้งหมดโดยไม่สนใจเด็กและคนชรา สุดท้ายแม้แต่เถ้ากระดูกยังหาไม่เจอด้วยซ้ำ เกรงว่าเจ้าคงไม่อยากเดินซ้ำรอยคนเหล่านี้หรอกกระมัง”

    นายท่านรองสกุลเหวยหน้าซีดเผือด จมูกมีแต่ลมหายใจออกไม่มีลมหายใจเข้า ด้วยกลัวว่าหากตัวเองสูดหายใจเข้ามากขึ้นหนึ่งเฮือกก็จะทำให้หนอนตะกละเหล่านี้ยาวขึ้นอีกส่วน ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเขาจึงเอ่ยคำพูดออกมา “ท่านนักพรตต้องมีวิธีดีๆ ในการเอาหนอนออกมาจากร่างกายข้าแน่นอน ใช่หรือไม่”

    ฉินหมิงหัวเราะ เริ่มพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ข้าฝึกฝนวิชาลิ่วเหริน* ตั้งแต่เล็ก การเอาหนอนออกมานั้นพอจะมั่นใจในตนเองอยู่หลายส่วน แต่อาชีพของพวกเราไม่ง่ายเลยจริงๆ การมองทะลุลิขิตสวรรค์ ขจัดหายนะให้ผู้อื่นล้วนเป็นการบั่นอายุของตัวเอง เจ้าคิดว่าเรื่องเงิน…”

    นายท่านรองสกุลเหวยโพล่งออกมา “สามตำลึง ข้าจะจ่ายให้ท่านไม่ขาดไปแม้แต่อีแปะเดียว!”

    ฉินหมิงกลอกตา นั่งลงบนม้านั่ง “ชีวิตเจ้ามีค่าแค่สามตำลึงอย่างนั้นหรือ…”

    นายท่านรองสกุลเหวยรู้สึกเหมือนเส้นชีพจรสีแดงบนร่างกายลุกลามออกไปมากกว่าเดิม หนวดสัมผัสจะยื่นมาถึงลำคออยู่แล้ว ขึ้นไปอีกนิดจะถึงสมองแล้ว หากหนอนตะกละเข้าสมองย่อมหมดทางเยียวยา เขาร้อนใจเหมือนมีไฟลนก้น “ห้าตำลึง! ห้าตำลึงยังไม่พออีกรึ?! โอย ช่วยชีวิตข้าด้วยเถอะ! ข้าสัญญาว่านับแต่นี้ไปจะบูชาพระพุทธองค์อย่างจริงใจ ไม่ใช่สิ ข้าจะนับถือเต๋าด้วยความศรัทธา กินเจเท่านั้น ไม่ตะกละอีกแล้ว!”

    ฉินหมิงลอบหัวเราะ แต่เขายังคงจีบนิ้วทำเป็นพึมพำกับตัวเอง “อืม…ยังเหลือเวลาอีกครึ่งก้านธูป หนอนนี้ก็จะเข้าสู่สมองเจ้าอย่างแท้จริง ถึงเวลานั้นเจ้าย่อมกลายเป็นผีดิบที่เป็นภัยโดยสมบูรณ์ เฮ้อ…ถึงเวลาข้าคงได้แต่ใช้อาคมทำพิธีกำจัดเจ้าแทนสวรรค์ เจ้าว่าข้าจะใช้ยันต์เพลิงเผาดี หรือใช้ยันต์สะกดศพพันธนาการเจ้าเอาไว้ดี” เขาพูดพลางหมุนฝ่ามือ เปลวไฟเจิดจ้ากลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา

    “สิบตำลึง! สิบตำลึง!” นายท่านรองสกุลเหวยตะเบ็งเสียงจนคอแทบแตก “ท่านนักพรต รีบเอาหนอนออกไปจากตัวข้าเถอะ! หากยังไม่เอาออกไปจะไม่ทันการณ์แล้ว! หากข้าตายไปท่านจะไม่ได้เงินแม้แต่อีแปะเดียว!”

    ฉินหมิงลุกขึ้นปัดมือพลางเอ่ยว่า “ตกลง! แล้วเงินล่ะ”

    “นี่มันเวลาใดแล้วท่านยังคิดถึงแต่เงิน!” นายท่านรองสกุลเหวยปากสั่นไปหมด เขาตะโกนเสียงดังบอกคนนอกประตู “เหล่าหวัง รีบหยิบเงินสิบตำลึงออกมาจากกล่องสีเขียวที่ข้าวางอยู่ในหีบสีแดงตรงซอกผนังฝั่งซ้ายของขาเตียงซ้ายมา เร็วเข้า!”

    ข้ารับใช้คนหนึ่งที่ยืนหลบอยู่ตรงประตูรับคำและรีบวิ่งออกไป ผ่านไปพักหนึ่งจึงย้อนกลับมาแล้วโยนถุงเงินใบหนึ่งไว้บนโต๊ะ ยังไม่ทันเห็นเงาคนในห้องชัดเจนก็ถอยกลับไปอยู่ที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว ราวกับหากอยู่นานกว่านี้อีกนิดจะติดเชื้อโรคหนอนตะกละอย่างไรอย่างนั้น

    ฉินหมิงเห็นเงินแล้ว ในที่สุดก็ยกกระโถนทองแดงที่มีฝาปิดใบหนึ่งออกมา

    “นี่คือเหยื่อห้ารส ข้าใช้วัตถุดิบล้ำค่าห้าชนิดปรุงออกมา เคี่ยวอยู่สามวันสามคืนเต็มเชียวนะ แพงจนน่าปวดใจ! หนอนตะกละชอบกินของคาวเป็นที่สุด มันได้กลิ่นนี้แล้วจะไต่ออกมาเอง ขั้นตอนนี้อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย หากอยากกำจัดหนอนตะกละให้สิ้นซาก ประเดี๋ยวเจ้าต้องอดทนหน่อย” เขาพูดพลางวางกระโถนทองแดงตรงหน้านายท่านรองสกุลเหวย “สูดหายใจเข้าลึกๆ สัมผัสเชื้อแก่นแห่งฟ้าดินนี้เถอะ”

    เมื่อเปิดฝาออก กลิ่นเหม็นรุนแรงพลันปะทะจมูก!

    นายท่านรองสกุลเหวยสูดดมไปแค่เฮือกเดียวก็รู้สึกเหมือนร่างกายถูกอบอยู่ในถังฉี่ เหม็นจนวิงเวียน ตัวสั่นเทิ้มไปหมด เขาหลับตาทั้งสองข้างแน่นเอ่ยด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว “อื้อ…ไฉนจึงเหม็นขนาดนี้ เหม็นยิ่งกว่าหลุมส้วมเสียอีก! ไม่ไหวแล้ว หนอนในตัวข้ากำลังกระตุก! ข้ารู้สึกเหมือนกำลังจะอาเจียน!”

    ฉินหมิงพูด “รู้สึกอยากอาเจียนนั้นถูกต้องแล้ว มา! ออกแรงสูดเข้าไป ให้หนอนในร่างกายได้กลิ่นนี้!” เขาตบหลังนายท่านรองสกุลเหวยแรงๆ พลางเอ่ยว่า “ไร้สกปรกไร้แปดเปื้อน รัศมีผ่องแผ้วประจักษ์ชัด! จงออกมา!”

    ในที่สุดนายท่านรองสกุลเหวยก็ทนไม่ไหว อาเจียนออกมาคำใหญ่ ภายในกระโถนทองแดงไม่น่ามองยิ่งกว่าเดิม เพียงแต่ในกองอาเจียนนั้นมีวัตถุกำลังขยับไหวอยู่จริงๆ! มันมีสีแดงเข้ม ลักษณะเหมือนปลิงตัวอ้วน ทั่วร่างเต็มไปด้วยปาก ซ้ำยังมีเส้นใยสีแดงน่าขยะแขยงนับไม่ถ้วนแผ่ไปทั่ว น่าขยะแขยงยิ่งนัก

    เป็นหนอนตะกละในตำนานจริงๆ ด้วย! นายท่านรองสกุลเหวยเห็นหนอนตะกละแล้วร่างกายพลันสั่นสะท้านเย็นเฉียบและวิงเวียนไปทั้งตัว น่าสยดสยองเกินไปแล้ว! เขากลัวว่าร่างกายตัวเองจะยังหลงเหลือไข่หนอนอยู่จึงดิ้นจนหลุดจากเชือก ใช้นิ้วมือล้วงเข้าไปในลำคอจนอาเจียนออกมาเต็มพื้น สองตาพร่าลายก็ยังไม่ยอมหยุด ปากร้องโวยวายว่า “น่าโมโหนัก น่าโมโหนัก! น่าขยะแขยงนัก น่าขยะแขยงนัก!” จากนั้นเกาะผนังห้องล้วงคอไปอาเจียนไปด้วย สุดท้ายอาเจียนจนหมดสติล้มลงบนพื้นดังตึง

    ภายในห้องกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว ซ้ำยังเลอะเทอะไม่ชวนมอง ฉินหมิงหลุดหัวเราะออกมา “เจ้าอาเจียนรุนแรงเหมือนสตรีแพ้ท้องอย่างไรอย่างนั้น ร่างกายสะอาดแล้วก็จริงแต่ก็อาเจียนจนอ่อนเพลียเช่นนี้ควรพักผ่อนมากๆ เงินนี้ข้าจะรับไว้ ถือโอกาสเอาของสกปรกไปเททิ้งแทนเจ้าด้วยจะได้ไม่เป็นภัยต่อผู้อื่นอีก!”

    นายท่านรองสกุลเหวยหมดสติไปแล้วย่อมตอบอันใดไม่ได้แม้แต่คำเดียว มีเพียงคนในครอบครัวและข้ารับใช้ที่ยืนปิดปากปิดจมูกอยู่หน้าประตูร้องตะโกนว่า “ท่านนักพรตรีบนำไปเททิ้งเถอะ! อย่าเก็บไว้ให้เป็นภัยเลย! ไปเททิ้งไกลๆ หน่อยนะ! ดีที่สุดคือเอาไปเทหน้าบ้านเศรษฐีหลี่!”

    ฉินหมิงรับคำ ถือกระโถนทองแดงเดินออกจากห้องนอน ผู้คนสองข้างทางต่างหลบไปไกล ไม่มีใครกล้ามาส่งเขา

    นอกประตูลมกลางคืนพัดผ่านแนวไผ่แผ่วเบา เสียงลมสอดรับกับเสียงน้ำในลำธาร เทียบกับความสกปรกในห้องแล้วบรรยากาศแตกต่างราวฟ้ากับดินโดยแท้

    ฉินหมิงโยนกระโถนทองแดงใบนี้ลงไปในบ่อน้ำ จากนั้นดึงหนวดปลอมเคราปลอมออก เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์คมคาย ที่แท้คนผู้นี้อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ด เมื่อครู่เขาแค่ใช้วิชาแปลงโฉมง่ายๆ เท่านั้น ฉินหมิงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าไปทั้งตัว ประเมินน้ำหนักของถุงใส่เงินอย่างกระหยิ่มใจพลางยิ้มพูด “ฮ่าๆ! พวกลาโง่ทั้งหลาย ข้าแค่ใช้อุบายเล็กน้อยก็หาเงินได้สิบตำลึงแล้ว คราวนี้เอาไปเล่นการพนันได้อีกสองตา! อย่างข้าน่ะเรียกว่าปล้นคนรวยช่วยเหลือคนจน มีคุณธรรมอย่างประเมินมิได้!”

    เขากำลังกระหยิ่มใจ ไม่ได้สนใจสถานการณ์รอบด้านโดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นไม่ไกลออกไปมีคนกระแอมกระไอขึ้นเบาๆ

    “พี่ชาย ช้าก่อน!”

    “ใครน่ะ?!”

    บัณฑิตในชุดขาวผู้หนึ่งก้าวออกมาจากกอไผ่ตรงมุมกำแพง เสื้อผ้าของเขาสะอาดสะอ้านเหมือนผ้าฝ้ายที่เพิ่งออกมาจากโรงทอใหม่ๆ ใบหน้าก็ขาวสะอาดเหมือนเสื้อผ้า คิ้วตาหมดจดคมคาย ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ยังไม่ทันเข้ามาใกล้กลิ่นหอมระลอกหนึ่งก็ลอยเข้ามาก่อนแล้ว เห็นชัดว่าคนผู้นี้แม้จะแต่งกายเรียบง่ายทว่ากลับพิถีพิถันมาก เสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนผ่านการอบด้วยดอกกุ้ยแห้ง

    ฉินหมิงรีบเก็บเงิน หรี่ตาพูดอย่างระวัง “ซิ่วไฉ* น้อย เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าหรือ”

    บัณฑิตผู้นั้นไม่มีท่าทีประหม่าและก้าวเข้าไปประสานมือเอ่ยอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยไป๋ฉีจากอำเภอโจวเซี่ยน เขาตงซาน ยังไม่มีสิทธิ์เข้าสอบเซียงซื่อ นับว่าเป็นเพียงถงเซิงเท่านั้น เมื่อครู่ข้าเห็นพี่ชายใช้วิธีการอัศจรรย์ช่วยเหลือคน รู้สึกฉงนสงสัยโดยแท้”

    ฉินหมิงพูดอย่างรำคาญ “มีอันใดน่าฉงนสงสัย ช่วยชีวิตคนได้กุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ซิ่วไฉน้อย เจ้ารีบหลีกไปซะ อย่าขวางทางข้า”

    บัณฑิตนามไป๋ฉีผู้นี้ไม่หลบ ซ้ำกลับส่ายหน้าและยิ้มพูด “หามิได้ๆ เจดีย์เจ็ดชั้นเป็นคำพูดในพุทธศาสนา ส่วนรัศมีผ่องแผ้วประจักษ์ชัดก็เป็นการบรรยายเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกอันเป็นธรรมชาติในพระสูตรเหลิงเหยียนจิง* ที่ว่า ‘โลกทั้งสิบทิศมีรัศมีผ่องแผ้วประจักษ์ชัด ไร้ซึ่งฝุ่นผงประหนึ่งทุกสิ่งล้วนไร้ความสกปรก ราวกับเป็นแดนฟ้าที่ชื่อว่า ‘ซั่นเจี้ยนเทียน’*’ พี่ชายไม่แบ่งพุทธไม่แบ่งเต๋า เกรงว่า…คงมิใช่นักพรตเต๋าที่แท้จริงกระมัง”

    ฉินหมิงยิ้มเย็นเอ่ย “เจ้าเป็นพวกคร่ำครึโดยแท้ ใต้หล้านี้มีกฎข้อใดระบุไว้ว่านักพรตเต๋าอ่านคัมภีร์พุทธไม่ได้ สามวิสุทธิเทพ* นั่งบนดอกบัว แล้วพระโพธิสัตว์กวนอินมิใช่นั่งบนดอกบัวหรือ เป็นปัญญาชนอย่าได้ยึดติดถึงเพียงนี้เลย หลีกไปๆ อย่าขวางทางข้า”

    เขาพูดพลางทำท่าจะผลักบัณฑิตผู้นี้ออกและจากไป

    คิดไม่ถึงว่าไป๋ฉีจะพูดเสียงดัง “ผู้น้อยคิดว่าในกระโถนทองแดงที่พี่ชายทิ้งไปเมื่อครู่นี้ไม่ได้มีหนอนตะกละอยู่ ใช่หรือไม่”

    ฉินหมิงสีหน้าเปลี่ยนไป เขาเริ่มขึ้นเสียง “สหายที่รักในการเล่าเรียนตำราเอ๋ย ลมพัดผายส่งเดชได้แต่วาจามิอาจกล่าวส่งเดชได้ ดวงตาข้างใดของเจ้าที่เห็นว่าไม่มีหนอนตะกละ”

    ไป๋ฉียิ้มตอบ คำเรียกพลันเปลี่ยนไป “เจ้าขึ้นเสียงกะทันหันเห็นชัดว่าประหม่า นี่เป็นการยืนยันการคาดเดาของข้าได้อีกขั้น ตอนแรกเจ้าให้เขากินขนมเปี๊ยะ บอกว่าเป็นการปลอบประโลมหนอนตะกละในท้อง อันที่จริงแอบใส่ลูกแป้งลงไปในขนมเปี๊ยะ พอแป้งกับลูกแป้งเข้าไปอยู่ในกระเพาะย่อมเกิดการหมักบ่ม จากนั้นฤทธิ์สุราและลมในท้องทำให้เกิดการบวมขยาย เขาจึงคิดว่าในท้องของตัวเองมีตัวประหลาดอยู่จริงๆ

    หลังจากนั้นเจ้าก็ใช้นิ้วชี้ข้างขวาป้ายละอองพิษจากขนหนอนบุ้ง ผสมเหล้าให้กลายเป็นของเหลวที่มีพิษ ของเหลวนี้จะซึมเข้าไปใต้ผิวหนังเขาทำให้เกิดผื่นแดงทั่วทั้งตัว ดูเหมือนเส้นเลือดสีแดงที่แผ่ลามไปทั่ว ทั้งคันทั้งชา ซ้ำของเหลวนี้ยังทำให้หนังท้องเกิดการกระตุกได้อีกด้วย ทำให้รู้สึกเหมือนมีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่ในร่างกาย แน่นอน ขั้นตอนสุดท้ายจึงจะเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เจ้าซ่อนเครื่องมือที่เตรียมไว้ก่อนล่วงหน้าในกระโถนทองแดง เป็นหุ่นไม้ที่ซุกซ่อนอยู่ในตับหมูติดโรคก้อนหนึ่ง จงใจใช้กลิ่นอุจจาระปกปิดเพื่อให้อีกฝ่ายอาเจียนออกมาโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันก็ไม่กล้ามองสิ่งที่อยู่ในกระโถน รอให้คนผู้นั้นอาเจียนออกมา จากนั้นเจ้าแค่เตะกระโถนเบาๆ ให้หุ่นไม้ในตับดีดตัวขึ้น แค่นี้ทุกอย่างก็สำเร็จเรียบร้อย ขั้นตอนทั้งหมดเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ”

    ไป๋ฉีกะพริบตา ประกายในดวงตาระยับวับวาวเหมือนกำลังรอคำยืนยันจากฉินหมิง

    สีหน้าของฉินหมิงย่ำแย่มาก เขาเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าบัณฑิตน่ารังเกียจ สายตาไม่เลวนี่ เห็นทีเจ้าจะเป็นผู้เปลื้องผ้า”

    นับแต่โบราณมามีนักเล่นกล นักลวงตา นักสะกดจิตที่หากินด้วยการสร้างภาพมายา ขณะเดียวกันก็มีผู้ที่ชอบคลี่คลายกลลวงเหล่านี้ คนเหล่านี้มีวิชาความรู้ ยึดการไขกลลวงและภาพมายาของคนอื่นเป็นอาชีพของตนโดยเฉพาะ พวกเขาจะทำเหมือนเปลื้องเสื้อผ้า ถอดกลลวงอันซับซ้อนของนักเล่นกลออกทีละชั้นและเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัลจึงได้ชื่อว่าผู้เปลื้องผ้า

    อาชีพผู้เปลื้องผ้ามีใหญ่มีเล็ก ที่ยิ่งใหญ่สามารถแก้ไขสถานการณ์ช่วยโลกได้ ที่เล็กหน่อยก็คอยสร้างความบันเทิงในตลาด หลายคนคิดว่าการเปลื้องผ้าง่ายกว่าการวางกลเยอะมาก อันที่จริงนั้นไม่เสมอไป เป็นต้นว่าในอดีตจักรพรรดิเจี้ยนเหวินจูอวิ่นเหวินอาศัยความช่วยเหลือของหกนักรบเทียนจางหลบหนีการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ได้อย่างน่าตื่นตะลึง จวบจนบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดไขปริศนานี้ได้ แม้แต่เหยาก่วงเซี่ยวเต้าเหยี่ยนผู้มีความสามารถลึกล้ำยากจะคาดเดาขบคิดอยู่หลายปีก็ยังไม่มีเบาะแสใดๆ เห็นได้ว่าวิชาลับขั้นสูงนั้นทำลายยากยิ่ง

    ไป๋ฉีลอบสังเกตฉินหมิงและออกมาเปิดโปงวิธีการ เห็นชัดว่ามีจุดประสงค์บางอย่าง ฉินหมิงคิดในใจว่าหากบัณฑิตอ่อนแอไม่ทนลมผู้นี้เป็นผู้เปลื้องผ้าจริง ตนจะต้องซ้อมเขาให้หนัก ไม่เกรงใจแน่นอน!

    เหนือความคาดหมาย ไป๋ฉีกลับไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นผู้เปลื้องผ้า ซ้ำยังผงกศีรษะตอบว่า “ความจริงไม่ว่าจะเป็นกลลวง หุ่นเชิด หรือการสะกดจิตล้วนมาจากศาสตร์แห่งเต๋า ล้วนเป็นการบิดเบือนห้าธาตุ ทำให้หยินไม่เป็นหยิน หยางไม่เป็นหยาง ไฟไม่เหมือนไฟ น้ำไม่เหมือนน้ำ อยู่นอกเหนือความตระหนักรู้ที่มีต่อความเป็นจริง ส่วนวิชาของผู้เปลื้องผ้าเป็นการคล้อยตามห้าธาตุ ทำให้หยินหยางจริงเท็จกลับคืนสู่ที่เดิม ทุกสิ่งกลับสู่ความเป็นระเบียบ สองสิ่งนี้เดิมทีมีต้นกำเนิดเดียวกัน เพียงแต่โลกเรามักมีอคติต่อการเปลื้องผ้า มักรู้สึกว่านั่นเป็นการทำลายแผนการของผู้อื่น ไร้ซึ่งคุณธรรม แต่กลับไม่รู้ว่าวิชาเปลื้องผ้าก็มีสำนักและมีระเบียบกฎเกณฑ์ หากไม่เพราะอีกฝ่ายใช้กลลวงทำเรื่องชั่วช้าสามานย์ พวกข้าย่อมไม่มีทางเปิดโปงกลลวงของอีกฝ่ายส่งเดชแน่นอน”

    คำพูดของอีกฝ่ายมีเหตุมีผล อีกทั้งไป๋ฉีไม่ได้เปิดโปงกลลวงของฉินหมิงต่อหน้านายท่านรองสกุลเหวย โทสะของฉินหมิงจึงบรรเทาลงไปเล็กน้อย

    ไป๋ฉีเห็นดังนั้นจึงยิ้มน้อยๆ และหยิบถุงใส่เงินสีน้ำเงินใบหนึ่งออกมา พูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจทีเดียว “ไม่ขอปิดบัง อันที่จริงวันนี้ข้ามาเพราะมีเรื่องจะขอร้อง”

    “ขอร้องอันใด”

    “ข้าอยากร่วมมือกับเจ้า”

    “ร่วมมือ?” ฉินหมิงประหลาดใจกว่าเดิม “หรือเจ้าคิดจะเอาอย่างข้า วางกลลวงตบตาผู้อื่น”

    ไป๋ฉีปฏิเสธ “หามิได้ ข้าเป็นผู้ทำลายกลลวง หาได้มีใจคิดวางกลลวง ข้าเพียงต้องการให้เจ้าช่วยทำสิ่งหนึ่ง สนใจหรือไม่”

    “อ้อ…เรื่องอันใดล่ะ”

    “เข้าร่วมการคัดเลือกองครักษ์จินอู๋ด้วยกัน ขอเพียงเจ้ากับข้าร่วมแรงกันผ่านการสอบทั้งสามรอบไปได้ เงินนี้ย่อมเป็นของเจ้า คิดเห็นอย่างไร”

    “เข้าร่วมการคัดเลือกองครักษ์จินอู๋?!” ฉินหมิงคิดในใจ แต่ไรมาทหารรักษาพระองค์ของต้าหมิงล้วนสืบทอดตำแหน่งโดยสายเลือด บัณฑิตผู้นี้กับตนเป็นสามัญชนทั่วไป ไม่มีฐานะและไม่มีภูมิหลัง จะผ่านการคัดเลือกได้อย่างไร ช่างเป็นความคิดเพ้อฝันโดยแท้

    ไป๋ฉีคาดเดาความคิดของฉินหมิงได้แต่แรกแล้วจึงยิ้มพูด “เจ้าไม่รู้อันใดเสียแล้ว ในบรรดาสิบสองกองกำลังแห่งกองพลทหารรักษาพระองค์แห่งราชวงศ์หมิงล้วนสืบทอดด้วยสายเลือด แต่มีเพียงกองกำลังจินอู๋ที่ฝ่าบาทตรัสว่าไม่ดูชาติกำเนิด จะคัดเลือกแต่ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่น นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีในอดีต โอกาสดีเช่นนี้มิควรปล่อยให้หลุดลอยไป ตอนนี้หายนะห้าธาตุกำลังลุกลามไปทั่ว ราชสำนักกำลังต้องการเจ้ากับข้าไปทำตามปณิธานอันยิ่งใหญ่ ยศตำแหน่งที่ได้นี้ใช้เอื้อประโยชน์ให้คนรุ่นหลังสืบต่อไปได้ เจ้าไม่อยากลองดูจริงๆ หรือ”

    ในที่สุดฉินหมิงก็ตระหนักว่าคนผู้นี้เตรียมตัวมาก่อนอย่างดี เขาเริ่มพิจารณาบัณฑิตอ่อนแอตรงหน้าใหม่อีกครั้ง คนผู้นี้นอกจากรูปโฉมคมคายหมดจดแล้ว ลักษณะยังค่อนข้างโดดเด่น โดยเฉพาะนัยน์ตาระยับที่ฉายแววไหวพริบคู่นั้น เพียงแต่ร่างกายของบัณฑิตคนนี้อ่อนแอเกินไป การสอบคัดเลือกองครักษ์จินอู๋ต้องกำหนดคุณสมบัติทางร่างกายไว้สูงอยู่แล้ว เกรงว่า…

    เห็นชัดว่าไป๋ฉีมองเห็นความกังวลของฉินหมิง “นี่เป็นเหตุผลที่ข้ามาหาเจ้า แข็งแรงกับอ่อนแอส่งเสริมกันและกัน แม้ต้องรบร้อยครั้งก็ปลอดภัย”

    มองใกล้มีก้อนเงินวาววับ มองไกลมีตำแหน่งองครักษ์จินอู๋ ฉินหมิงเริ่มสนใจข้อเสนอนี้แล้ว เขาย้อนถาม “ได้ เช่นนั้นเจ้าบอกมา เหตุใดจึงเลือกข้า”

    ไป๋ฉีรู้ดีว่าคนผู้นี้รับปากแล้วจึงยิ้มตอบ “เจ้าเป็นคนรอบคอบระแวดระวังทีเดียว เจ้ารู้ดีว่ากลลวงใดหากไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นพิรุธ ย่อมต้องวางแผนล่วงหน้านานมาก เช่นเดียวกัน ข้ามาหาเจ้าก็เพราะสังเกตเจ้ามาระยะหนึ่งแล้ว เหตุผลนี้ยังต้องให้พูดอีกหรือ”

    ไป๋ฉีรู้ดีว่าการสมัครเป็นองครักษ์จินอู๋อาศัยแค่ตัวเขาเองต้องไม่สำเร็จแน่ เขาต้องการผู้ช่วยที่ไว้ใจได้อีกคน คนผู้นี้ไม่เพียงจะช่วยให้เขาผ่านการทดสอบร่างกายไปได้เท่านั้น วันข้างหน้ายังจะเป็นบุคคลที่เขาไว้วางใจที่สุด

    เขาไขกลลวงได้ ดังนั้นเขาจึงต้องการคนที่สร้างกลลวงได้!

    ฉินหมิงถามคำถามข้อสุดท้าย “แล้วข้าต้องช่วยเจ้าอย่างไร ได้ยินว่าการสอบสามรอบเข้มงวดมาก คนทั่วไปยากที่จะผ่านได้”

    ความกังวลของเขาใช่จะไร้เหตุผล คุณสมบัติด้านร่างกายของไป๋ฉีเป็นเหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลหนึ่งคือการสอบทั้งสามรอบล้วนมีความยาก โดยเฉพาะการทดสอบร่างกายในรอบแรก นอกจากต้องแบกของหนักเดินทางไกลแล้ว ยังมีด่านกลลวงห้าธาตุอยู่ระหว่างทาง เป็นรอบที่มีการคัดคนออกมากที่สุดในแต่ละปี

    สองปีก่อน กองกำลังจินอู๋สร้างบ้านไว้ระหว่างทางหนึ่งหลังแล้วจุดไฟเผาบ้านหลังนั้นตอนที่ทุกคนผ่าน ดูว่าจะมีคนเข้าไปช่วยดับไฟหรือไม่ หลายคนแบกของหนักก็ลำบากมากพออยู่แล้ว เนื่องจากต้องทำเวลาจึงไม่สนใจที่จะดับไฟ สุดท้ายถูกคัดออกทั้งหมด นี่เป็นการทดสอบว่าผู้เข้าสอบมีใจช่วยเหลือประชาชนหรือไม่ หากไม่มีความคิดที่จะเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่นย่อมมิอาจเป็นองครักษ์จินอู๋ได้

    ปีที่แล้ว บนยอดเขาซีซาน พวกเขาสร้างถ้ำหมอกควันขึ้นมา ภายในถ้ำมีโพรงต่อกันเหมือนเขาวงกต ประกอบกับองครักษ์จินอู๋ยังเผาต้นไม้ใบหญ้ารมควันภายในถ้ำไว้ ยิ่งทำให้แยกแยะทิศทางไม่ง่าย ผู้เข้าทดสอบที่เข้าไปข้างในมีถึงเก้าส่วนที่ถูกขังอยู่ในถ้ำหาทางออกไม่ได้ พวกที่ขาดน้ำและหมดสติไปมีหลายร้อยคน นี่เป็นการทดสอบความสุขุมเยือกเย็นและความสามารถในการแยกแยะยามอยู่ในสถานการณ์ลำบาก กองกำลังจินอู๋ต้องเผชิญหน้ากับอุทกภัยและอัคคีภัยบ่อยครั้ง หากไม่มีความสุขุมชนิดที่ ‘อันตรายอยู่ตรงหน้า ข้ายังไม่หวั่นไหว’ แล้ว จะช่วยเหลือผู้อื่นและช่วยเหลือตัวเองได้อย่างไร ดังนั้นการทดสอบจึงมีมากมายหลายหลาก การทดสอบชนิดต่างๆ วัดความสามารถและนิสัยใจคอแตกต่างกันไป หากไม่เข้าไปอยู่ในสนามย่อมมิอาจรู้ได้เลยว่าจะเจอโจทย์เช่นไร อาศัยตัวเองคนเดียวย่อมยากที่จะสำเร็จแน่นอน

    ไป๋ฉีสะบัดข้อมือ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาเหมือนเล่นกล “พี่ชายเขียนประวัติลงในนี้ก่อน ประเดี๋ยวข้าจะชี้แจงการสอบครั้งนี้ให้ฟังอย่างละเอียด”


    บทที่ 3

    นักลวงตา

     

    วังหลวงยามราตรี

    แม้จวนย่างเข้ายามจื่อ* แล้ว แต่นอกตำหนักเหวินหวากลับมีทหารรักษาพระองค์ยืนเรียงราย สถานการณ์ตึงเครียด

    กองกำลังอวี่หลิน กองกำลังจินอู๋ กองกำลังจิ่นอี กองกำลังฉีโส่ว และกองกำลังอื่นๆ เกือบพันคนล้อมตำหนักเหวินหวาไว้อย่างแน่นหนา ในมือของทหารองครักษ์ทุกนายถือคบไฟเจิดจ้า ข้างเอวยังห้อยดาบซิ่วชุน* กระบี่คมดำ ทวนวงเดือน และอาวุธนานาชนิด สถานการณ์เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้พบเห็นได้ไม่มากจริงๆ

    ทหารก่อกบฏ?

    ซักซ้อมกำลังพล?

    อารักขาจักรพรรดิ?

    ล้วนมิใช่ทั้งนั้น!

    หน้าตำหนักเหวินหวามีนักพรตรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ในลาน เส้นผมเขาเป็นสีขาวเงิน ใบหน้าอิ่มเอิบมีเลือดฝาด สวมชุดคลุมนักพรตสีแดงขอบทอง แสงจันทร์สุกสว่างส่องลงบนอาภรณ์หรูหราของเขา ขับเน้นให้ดูล่องลอยเสมือนมีกลิ่นอายเซียน

    นักพรตผู้นี้คือน้องชายของเทียนซือ* แห่งนิกายเจิ้งอี จางอวี่ชูผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ…จางอวี่ชิงนั่นเอง

    อีกทั้งเขายังเป็นว่าที่เจ้านิกายเจิ้งอี เทียนซือรุ่นที่สี่สิบสี่ในวันข้างหน้า

    คนผู้นี้มีวิชาลึกล้ำ จัดเป็นผู้สูงส่งอันดับสี่แห่งศาสนาเต๋าในปัจจุบัน เป็นรองเพียงจางอวี่ชูเจ้านิกายเจิ้งอี หลิวยวนหรันเจ้าสำนักฉางชุน และเจี่ยงเต้าหรูเจ้าสำนักชิงเฉิงเท่านั้น อิทธิพลของศาสนาเต๋าในสมัยราชวงศ์หมิงแม้จะไม่รุ่งโรจน์เท่าในสมัยถังและซ่ง แต่ด้วยการสนับสนุนของปฐมจักรพรรดิจูหยวนจางและจูตี้ สมัยต้นราชวงศ์หมิงนิกายเจิ้งอีและสำนักอื่นๆ เริ่มมีแนวโน้มฟื้นฟูลัทธิของตน สำนักเหล่านี้ต่างฝึกฝนวิชาลับของตัวเอง มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง จางอวี่ชูเชี่ยวชาญศาสตร์แห่งห้าธาตุ หลิวยวนหรันเจนจัดการปรุงโอสถ เจี่ยงเต้าหรูถนัดเพลงกระบี่ ส่วนจางอวี่ชิงเชี่ยวชาญยันต์และค่ายกลเป็นที่สุด ลือกันว่าวิชาที่ร้ายกาจที่สุดของเขาคือประกาศิตเหล็กกาฬ ใช้ชาดผสมโลหิตเขียนคำว่า ‘ปราบมารขจัดปีศาจ’ ลงบนยันต์เหล็กกาฬแล้วซัดออกไปใช้กำราบภูตผีปีศาจ ทำให้พวกมันมิอาจขยับเขยื้อนและถูกเขาสังหารทิ้ง ว่ากันว่ามีคนเคยเห็นกับตาว่าจางอวี่ชิงโยนยันต์เหล็กกาฬลงไปในแม่น้ำเฉียนถังที่เกิดคลื่นปั่นป่วน คลื่นลูกใหญ่สงบลงในชั่วพริบตา ไม่ม้วนตัวขึ้นมาอีก น่าอัศจรรย์ทีเดียว

    ยามนี้จางอวี่ชิงหลับตาทั้งสองข้างลง เก็บพลังไว้ในร่างกาย ริมฝีปากเอ่ยคำพูดออกมา “ค่ายกลเพลิงกาฬเก้าชั้นฟ้าตั้งเสร็จหรือยัง”

    เด็กรับใช้ชุดดำสองคนก้าวขึ้นไปค้อมกายตอบทันที “เรียนอาจารย์ ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”

    กระถางสามขาใบใหญ่สีดำลายมังกรพยัคฆ์จำนวนเก้าใบถูกตั้งวางอย่างเป็นระเบียบตามตำแหน่งของเก้าวัง* บนกระถางติดยันต์สีเหลืองเต็มไปหมด ใต้กระถางยังใช้ผงสีดำปนแดงวาดยันต์ขนาดใหญ่ไว้ด้วย ลักษณะเหมือนค่ายกลวงล้อเพลิง

    จางอวี่ชิงลืมตาขึ้นเล็กน้อย เหมือนกำลังตรวจดูว่าคนเฝ้าประตูจัดการเรียบร้อยหรือไม่ แต่ก็เหมือนกำลังสำรวจสภาพแวดล้อมรอบด้านด้วย ราตรีหนักอึ้ง บนท้องฟ้ามีเพียงดวงจันทร์แขวนอยู่ แสงจันทร์สาดส่องไปทั่ววังหลวง แสงสีเงินวาววับสุกสกาวจนดูราวกับวังจันทราที่อยู่บนดวงจันทร์

    คืนที่ดวงจันทร์แขวนตัวสูงและไร้ลมเช่นนี้เป็นช่วงเวลาที่ภูตผีปีศาจออกอาละวาด

    จางอวี่ชิงใช้นิ้วมือสองนิ้วคีบกระดาษเหลืองซีดขึ้นมาหนึ่งแผ่น ก่อนคลี่ยิ้มเย็นชาพลางเอ่ยว่า “นักลวงตาแห่งซีซานหลิ่วฉางอวี้ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก กล้าท้าทายอำนาจฝ่ายธรรมะของข้าอย่างเปิดเผย!”

    กระดาษสีเหลืองในมือเป็นจดหมายบอกว่าจะมาเอาของ

    บนนั้นเขียนว่า

     

    ‘นักลวงตาแห่งซีซานหลิ่วฉางอวี้ เห็นว่าในวังมีหยกหรูอี้* หยกเก้ามังกร สีสันงดงาม ล้ำค่าหายาก ใจบังเกิดความชื่นชอบ คืนนี้ยามจื่อข้าจะขี่นกกระเรียนกระดาษมาเอาของสิ่งนี้ หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงหวง!’

     

    หยกหรูอี้เก้ามังกรชิ้นนี้แกะสลักโดยช่างฝีมือชื่อดัง ทั้งยังเป็นหยกเนื้อดีที่แคว้นเหมี่ยนเตี้ยน* นำมาถวายเป็นเครื่องบรรณาการ สีสันของหยก ความประณีตในการแกะสลัก แม้แต่จูตี้ที่เห็นของล้ำค่ามาจนชินแล้วยังรักชอบหลงใหล วางไว้บนโต๊ะในห้องทรงพระอักษรทุกวัน ลูบคลำจับเล่น มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ แต่นักลวงตาตัวเล็กๆ ผู้นี้กลับประกาศจะเอาของรักของหวงของจักรพรรดิไปอย่างเปิดเผย บังอาจเกินไปแล้วจริงๆ!

    กระนั้นที่น่าโมโหที่สุดคือนี่หาใช่ครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่สามของเดือนนี้แล้ว!

    หากจะกล่าวถึงหลิ่วฉางอวี้ผู้นี้ นับว่าเป็นผู้มีความสามารถจริงๆ สองครั้งก่อนในวังหลวงก็เต็มไปด้วยทหารรักษาพระองค์ซ่อนตัวอยู่รอบด้าน แต่คนผู้นี้ยังคงกระทำการสำเร็จเหมือนเดิม เขาอยากหยิบฉวยสิ่งใดก็เอาไปได้ ทั้งที่อยู่ในวังหลวงที่การเฝ้าระวังเข้มงวดกวดขัน แต่กลับเหมือนอยู่ในสถานที่ที่ปลอดคน ถึงขั้นได้ยินมาว่าเขาจะเปลี่ยนสมบัติเป็นกระดาษชิ้นเล็กๆ และใช้นกกระเรียนกระดาษคาบเอาไป เรื่องประหลาดที่บังอาจและน่าเหลือเชื่อเช่นนี้จะไม่ให้จูตี้รู้สึกเสียหน้าและเดือดดาลเป็นทวีคูณได้อย่างไร!

    เรื่องเดิมไม่เกิดซ้ำสามครั้ง คืนนี้พวกเขาจะต้องจับกุมคนผู้นี้ให้ได้ และลงโทษอย่างหนักเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!

    ยามโพล้เพล้กำลังจะมาถึง จูตี้ออกคำสั่งให้ทหารรักษาพระองค์แปดกองกำลังเฝ้าประตูเมืองทั้งแปด นอกจากนี้ยังโยกย้ายสี่กองกำลังเข้ามาในวังหลวงเพื่อเฝ้าตำหนักเหวินหวาไว้ แต่เขายังไม่วางใจจึงเชิญยอดฝีมือจากนิกายเจิ้งอีมา เดิมทีคนที่จูตี้เชิญมาคือจางอวี่ชู น่าเสียดายที่จางอวี่ชูบอกว่าตนอายุมากแล้ว ไม่ได้ตั้งค่ายกลมานานหลายปี เกรงว่าความสามารถจะไม่เพียงพอ จึงตั้งใจส่งจางอวี่ชิงผู้เป็นน้องชายมาช่วย

    ทหารนับพันยืนอย่างเป็นระเบียบ เก้ากระถางศักดิ์สิทธิ์เรียงราย รอเพียงหลิ่วฉางอวี้มาถึงและประมือกัน!

    ตกกลางคืน รอบด้านเงียบสงัดไร้เสียง

    ทุกคนต่างกลั้นหายใจไม่กล้าแม้จะขยับ ทันใดนั้นพลันเกิดเสียงดังพึ่บพั่บเหนือประตูตวนเหมิน

    ทุกคนเงยหน้ามอง เห็นนกประหลาดขนาดเท่านกกระจิบฝูงหนึ่งบินเข้ามาจากนอกประตู นกประหลาดเหล่านั้นกระพือปีกส่งเสียงดังหนวกหู

    จางอวี่ชิงเบิกตาทั้งสองข้าง คำรามเสียงเย็นชา “นักลวงตามาแล้ว!”

    คนตาแหลมบางคนเห็นว่านกพวกนี้ไม่ปกติ รีบร้องเสียงดังว่า “นี่ไม่ใช่นกกระจิบ แต่เป็นนกกระเรียนที่พับจากกระดาษ!”

    “เป็นนักลวงตาหลิ่วฉางอวี้จริงๆ ด้วย!”

    นกกระเรียนกระดาษบินว่อนเต็มท้องฟ้าจนดูเหมือนหิมะสีขาว บนนกกระเรียนกระดาษทุกตัวล้วนมีนักพรตกระดาษขนาดเล็กนั่งอยู่ ท่ามกลางเสียงพึ่บพั่บยังมีเสียงหัวเราะฮ่าๆ ปะปนมาด้วย สถานการณ์แปลกประหลาดยิ่งนัก

    ทหารรักษาพระองค์ทั้งหลายหมายจะเข้าไปจับ

    จางอวี่ชิงโบกมือเอ่ยว่า “วิชาลวงตาแค่นี้ต้องใช้พวกเจ้าด้วยรึ! ข้าจะจัดการเดี๋ยวนี้!”

    จางอวี่ชิงเป็นคนเถรตรงแข็งกร้าวและรักในชื่อเสียงหน้าตามากทีเดียว เขาเห็นจูตี้ยืนมองอยู่ข้างหลังแล้วจะไม่แสดงความสามารถให้สุดฝีมือได้อย่างไร เขาเคลื่อนไหวนิ้วมืออย่างรวดเร็วพร้อมตวาดเสียงดัง “สามพันอิ๋งฮั่ว* แปดหมื่นหั่วยาง* ให้ข้าหยิบยืมไฟเทพ แผดเผาแปดทิศ! จงเป็นดั่งประกาศิต ณ บัดนี้!”

    กำลังภายในของเขาพาให้รอบด้านสั่นสะเทือน กระถางสำริดสีดำเก้าใบที่ตั้งอยู่ตรงตำแหน่งทั้งเก้าสั่นไหว ส่งเสียงแหลมบาดหูออกมาทันใด น้ำมันสีเหลืองประหลาดในกระถางเริ่มเดือดปุดๆ ไอน้ำมันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง

    จูตี้ตื่นเต้น “เทียนซือช่างเก่งกล้าสามารถ!”

    จักรพรรดิเอ่ยปากเช่นนี้ จางอวี่ชิงกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม เขาสะบัดชุดคลุมนักพรตของตัวเองแรงๆ จนลมกระพือ ชุดนักพรตพลิ้วไหวเหมือนหงส์หลากสีกระพือปีก

    “ทำลาย!”

    จางอวี่ชิงตะโกนเสียงดัง สะเก็ดไฟเก้าสายลอยเข้าไปในไอน้ำมันและระเบิดออก เปลวไฟลามไปทั่วท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว เดิมทีบนฟ้าเหนือลานมีแต่ไอน้ำมันคลุ้งทว่าบัดนี้กลับเต็มไปด้วยไฟแผดเผา นกกระเรียนและนักพรตกระดาษทั้งหมดถูกเผาในทะเลเพลิง

    เสียงโห่ร้องยินดีดังไปทั่ว!

    เพลิงกาฬร้ายกาจถึงเพียงนี้ นักลวงตาจะรอดได้อย่างไร ต้องถูกเผาตายอยู่ในทะเลเพลิงแล้วเป็นแน่!

    ใบหน้าเคร่งขรึมของจางอวี่ชิงปรากฏรอยยิ้มกระหยิ่มใจในที่สุด ค่ายกลเพลิงกาฬเก้าชั้นฟ้านี้เป็นหนึ่งในวิชาเต๋าที่เขาภูมิใจมากที่สุด ค่ายกลนี้เขาเตรียมพร้อมมานานมากเพื่อทำลายศัตรูให้ได้ในกระบวนท่าเดียว จุดประสงค์ก็เพื่อให้การรับตำแหน่งเจ้านิกายเจิ้งอีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเป็นไปอย่างราบรื่น ตลอดจนเป็นผู้นำศาสนาเต๋าทั่วหล้าได้เหมือนพี่ชายของเขาจางอวี่ชู การต่อสู้ครั้งนี้จึงยากที่จะหลบเลี่ยง มิอาจออมแรงแม้แต่น้อย

    บัดนี้ค่ายกลเพลิงกาฬแสดงอานุภาพออกมาเป็นครั้งแรก จางอวี่ชิงคิดว่าเหตุการณ์สงบลงแล้ว

    จูตี้เบิกบานสำราญใจ ขณะจะเอ่ยชมก็พลันได้ยินประตูใหญ่ข้างหลังส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ไร้คนไร้ลม ประตูเปิดออกด้วยตัวเอง!

    ทุกคนต่างหันไปมองอย่างตกใจ และเห็นนกกระเรียนกระดาษตัวเล็กตัวหนึ่งกระพือปีกอย่างงงงัน ลอยตัวอยู่เหนือประตูตำหนัก บนหลังของนกกระเรียนกระดาษตัวนี้มีคนกระดาษรูปร่างหน้าตาเหมือนหลิ่วฉางอวี้อยู่ ปากของนกกระเรียนกระดาษคาบกระดาษสีเขียวรูปหยกหรูอี้ไว้

    ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด เพียงชั่วพริบตาเดียวนกกระเรียนกระดาษก็บินหนีออกไปแล้ว…

    “แย่แล้ว! เป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ!” มีคนตะโกนเสียงดัง

    “ที่แท้นักลวงตาผู้นี้จงใจใช้นกกระเรียนกระดาษเต็มท้องฟ้าดึงดูดความสนใจของทุกคน จากนั้นแอบแฝงตัวเข้าไปในตำหนัก ขโมยหยกหรูอี้เก้ามังกรไป!”

    ขันทีร้อนใจรีบเข้าไปดูในตำหนัก หยกหรูอี้ที่เดิมทีวางอยู่บนโต๊ะอันตรธานหายไปจริงๆ! เห็นชัดว่าถูกนกกระเรียนกระดาษคาบเอาไป!

    นกกระเรียนกระดาษบินไปยังประตูอู่เหมินอย่างรวดเร็ว คนกระดาษบนหลังนกส่งเสียงหัวเราะหึๆ เหมือนกำลังเยาะเย้ยคนในวังหลวงที่โง่เขลาเหมือนหมู ความจริงก่อนหน้านี้มีคนเตือนจูตี้ให้ซ่อนหยกหรูอี้เอาไว้ก่อน แล้วค่อยเฝ้าตอรอกระต่าย* จูตี้ยังตำหนิอีกฝ่ายว่าแค่นักลวงตาตัวเล็กๆ ไยต้องกลัวด้วย ไยต้องยกยออีกฝ่ายถึงเพียงนี้ เขาจะตั้งหยกหรูอี้ไว้บนโต๊ะอย่างเปิดเผย ดูซิว่าเจ้าโจรผู้นี้จะฝ่าทหารนับพันเข้ามาตามลำพังและหยิบฉวยของไปได้อย่างไร!

    สุดท้ายก็ถูกขโมยไปจริงๆ!

    “รีบตามไป!” จูตี้พูดอย่างเกรี้ยวกราด

    เขาตามไปที่ประตูอู่เหมินเป็นคนแรก หลังจากนั้นทหารรักษาพระองค์ทั้งหมดจึงพุ่งตามไป มีทั้งคนที่คอยอารักขาจักรพรรดิ คนที่ไล่ตามหัวขโมย กระแสผู้คนโถมทะลัก แสงไฟรวมตัวกันจนกลายเป็นลำธารแห่งเปลวเพลิงมุ่งหน้าไปยังประตูอู่เหมิน

    จางอวี่ชิงอับอายจนกลายเป็นโกรธ ตนเปลืองแรงตั้งมากมาย ค่ายกลเพลิงกาฬเก้าชั้นฟ้าแผดเผาอยู่นาน แต่กลับเผาได้เพียงกระดาษไร้ประโยชน์ เขาถูกนักลวงตาตัวเล็กๆ คนหนึ่งปั่นหัว นี่มิใช่ความอัปยศครั้งใหญ่หรอกหรือ ไม่ได้ คืนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยนักลวงตาผู้นี้ไปไม่ได้เด็ดขาด เขาต้องต่อสู้กับอีกฝ่ายให้รู้ผลเป็นตาย เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของสำนักเต๋าไว้!

    แม้ในใจจะโมโห แต่ความคิดสุขุมเยือกเย็นทีเดียว ถึงอย่างไรหลักการดั้งเดิมของอาคมประหลาดเหล่านี้ล้วนใกล้เคียงกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่เหนือกฎแห่งความเป็นจริง จางอวี่ชิงคิดว่านกกระเรียนกระดาษเหล่านี้ต้องมีคนลอบบงการอยู่ลับๆ แน่ ในเมื่อมันเข้ามาจากประตูตวนเหมิน แสดงว่าต้องมีคนเฝ้าอยู่บริเวณประตูตวนเหมิน บัดนี้นกกระเรียนกระดาษบินไปประตูอู่เหมินแล้ว นี่มิใช่แผนล่อเสือออกจากถ้ำอีกครั้งหรือไร ครั้งนี้เขาจะไม่มีทางถูกหลอกอีก! จางอวี่ชิงตวาดเสียงดังพร้อมหยิบกระบี่เล่มหนึ่งขึ้นมา ควานหายันต์ประกาศิตเหล็กกล้า ไม่สนใจว่าตนอายุมากแล้ว ปราดนำไปข้างหน้าและเหาะข้ามกำแพง ใช้ทางลัดรุดไปยังประตูตวนเหมิน!

    วังหลวงวุ่นวายโกลาหล

    ทหารรักษาพระองค์พันนาย ขันทีและนางกำนัลหลายร้อยคนต่างไล่ตามไป ทั้งในและนอกประตูอู่เหมินผู้คนพลุกพล่าน ล้อมวงแน่นหนา ต่างร้องตะโกนหมายจะสร้างความดีความชอบ

    ทว่ามีเพียงคนผู้เดียวที่ยืนนิ่งไม่ขยับ

    สตรีที่สวมชุดวิหคชาดของกองกำลังจินอู๋กำลังยืนอยู่นอกตำหนักเหวินหวาด้วยสีหน้าเย็นชา สตรีผู้นี้ไม่ผัดแป้ง คิ้วยาวชี้เฉียงขึ้นไปถึงจอนผม สองตาเจิดจ้าดุจคบไฟ ประกอบกับเสื้อผ้าสีแดงสดแล้วดูองอาจเยียบเย็นและหยิ่งทะนงอย่างบอกไม่ถูก!

    นางชื่อว่าจิงอีเฟย นิสัยเป็นเช่นชื่อ โผงผางดุดันราวกับบุรุษ* แม้จะเป็นเพียงหัวหมู่ธงใหญ่* ตำแหน่งเล็กๆ ของกองการรักษาเมืองแห่งกองกำลังจินอู๋ แต่หากกล่าวถึงฝีไม้ลายมือ นับว่าจัดอยู่ในสามอันดับแรกของกองกำลังจินอู๋

    ทุกคนต่างไล่ตามนกกระเรียนกระดาษกับจูตี้ไป มีเพียงนางที่ไม่ขยับเขยื้อน เพราะนอกจากวิชายุทธ์ที่ร้ายกาจแล้ว นางยังมีความสามารถที่เหนือกว่าคนอื่น นั่นคือสายตาอันเยี่ยมยอด สองตาของจิงอีเฟยเหมือนดังเหยี่ยว มองเห็นรายละเอียดมากมายที่คนธรรมดาทั่วไปไม่ทันสังเกต

    คืนนี้แม้พระจันทร์จะแขวนตัวสูง แต่แสงไฟยามค่ำคืนยังคงมืดสลัว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งวุ่นวายและผิดปกติ เพลิงกาฬเก้าชั้นฟ้าของจางอวี่ชิง นกกระเรียนกระดาษที่บินว่อนเต็มท้องฟ้าล้วนน่าตื่นตะลึงและแปลกประหลาดเกินไป ทุกคนสนใจแต่การเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ไม่มีใครไปจับจุดและแยกแยะรายละเอียดท่ามกลางความโกลาหล มีเพียงสตรีผู้นี้ที่ไม่เหมือนใคร นางนิสัยเย็นชามาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะวุ่นวายเพียงใดก็ยังคงสุขุมเยือกเย็น

    ความสุขุมนี้เองที่ทำให้นางจับพิรุธสำคัญของอีกฝ่ายได้อย่างหนึ่ง

    นกกระเรียนกระดาษ!

    จิงอีเฟยพบว่าหยกหรูอี้ที่ทำจากกระดาษถูกซ่อนอยู่ในปากนกกระเรียนกระดาษตั้งแต่แรกแล้ว หลิ่วฉางอวี้จงใจวางกลไกไว้ให้หยกหรูอี้กระดาษถูกนกกระเรียนคายออกมาในเวลาที่เหมาะสม ให้ทุกคนคิดว่านกกระเรียนกระดาษเปลี่ยนสมบัติให้เป็นกระดาษและคาบจากไปได้จริงๆ!

    แท้จริงแล้วเป็นเพียงลูกไม้ตบตาเท่านั้นเอง

    หลิ่วฉางอวี้ตั้งใจวางกลไกไว้ในนกกระเรียนกระดาษ นั่นก็หมายความว่านี่เป็นกลลวงใช้หลอกคน ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลิ่วฉางอวี้ทำก็เพื่อให้คนเชื่อว่าเขาบงการให้นกกระเรียนกระดาษคาบหยกหรูอี้หนีไปได้จริงๆ แล้ว ทั้งหมดนี้เพื่ออันใด

    ชัดเจนมาก เพื่อดึงทุกคนออกไปจากบริเวณนี้!

    ดังนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหลังและหยกหรูอี้เก้ามังกรจะต้องยังอยู่ในตำหนักเหวินหวาแน่!

    กลลวงของหลิ่วฉางอวี้สำเร็จก็เพราะนกกระเรียนกระดาษ พ่ายแพ้ก็เพราะนกกระเรียนกระดาษโดยแท้

    เป็นไปได้มากว่าเขาอยู่ในตำหนักมาโดยตลอด ถึงขั้นเป็นไปได้สูงว่าตอนเขาส่งหนังสือท้าทายให้จูตี้ ตัวเขาอยู่ในตำหนักเหวินหวาแล้ว สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ภาษิตโบราณกล่าวไว้ไม่ผิดจริงๆ ไม่มีใครคิดว่านักลวงตาตัวเล็กๆ จะใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ถึงกับซ่อนตัวอยู่ในตำหนักของจักรพรรดิมาโดยตลอด

    เช่นนั้นเขาจะซ่อนตัวอยู่ที่ใดในตำหนักใหญ่ล่ะ

    ตำหนักเหวินหวาถูกใช้เป็นห้องทรงพระอักษรของจูตี้ มีคนเข้าออกทุกวัน ถ้ามีคนซ่อนตัวอยู่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่เห็น คนผู้นี้จะต้องมีวิชาแปลกประหลาดแน่

    จิงอีเฟยซ่อนตัวอยู่นอกตำหนักเหวินหวาเงียบๆ ตอนนี้นางอยู่ในที่ลับ ศัตรูอยู่ในที่แจ้ง แค่ใช้วิธีเฝ้าตอรอกระต่ายก็พอ

    เป็นดังที่คิด ผ่านไปครู่หนึ่งมุมหลังคาตำหนักได้เปิดออก เงาคนสายหนึ่งโผล่หัวออกมา คนผู้นี้วาดลวดลายที่เหมือนกับบนหลังคาไว้บนกระดาษพับ กระดาษชิ้นนี้มีขนาดเพียงสามฉื่อเท่านั้น เขาซ่อนตัวอยู่ตรงหลังคาได้อย่างสมบูรณ์แบบ คิดว่าน่าจะหลบอยู่ตรงนั้นมาหลายวันแล้ว

    ลือกันว่าในบรรดานักลวงตามีคนที่รู้ศาสตร์การพับกระดาษ พวกที่ทักษะล้ำเลิศสามารถพับกระดาษเป็นคน สิ่งของ สิ่งก่อสร้างนับไม่ถ้วนให้เหมือนจริงได้ ทำให้ผู้อื่นยากจะแยกแยะ โดยเฉพาะเพดานหลังคาที่มีสีสันฉูดฉาด สวยงามหรูหรา ยิ่งทำให้สายตาคนสับสนมากขึ้นเนื่องจากลวดลายเยอะเกินไป คนมองจึงยากที่จะเพ่งสมาธิ โดยเฉพาะหากมองจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน ลวดลายซับซ้อนย่อมทำให้มิอาจแยกแยะความแตกต่าง

    สิ่งสำคัญที่สุดคือสถานที่ที่น่าเกรงขามอย่างห้องทรงพระอักษรของจูตี้ ใครจะกล้าสอดส่ายสายตามองส่งเดชเล่า

    นักลวงตาผู้นี้เห็นว่าทุกคนถูกนกกระเรียนกระดาษของตนดึงความสนใจไปแล้วจึงใช้เส้นใยพาตนเองลงบนพื้นช้าๆ เปิดกระดาษตบตาหลายแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะ หยกหรูอี้ยังคงวางอยู่บนโต๊ะดังเดิม เพียงแต่ถูกเขาใช้กลลวงตบตาอำพรางไว้ กลตบตานี้ไม่ซับซ้อน แค่ใช้หลักการการมองเห็นที่ผิดเพี้ยน ตอนนั้นสถานการณ์ชุลมุน ทุกคนมองผ่านๆ อย่างรวดเร็ว เห็นบนโต๊ะว่างเปล่าจึงคิดว่าหยกหรูอี้ถูกขโมยไปแล้ว แต่กลับไม่ทันคิดว่าหลิ่วฉางอวี้กับหยกหรูอี้ยังคงอยู่ในตำหนักเหวินหวาตลอด ไม่ได้หายไปไหนเลย

    ความอัศจรรย์ของการวางกลลวงไม่ได้อยู่ที่ทักษะซับซ้อนเพียงใด หากแต่อยู่ที่ความคาดไม่ถึง

    แผนล่อเสือออกจากถ้ำของหลิ่วฉางอวี้ไม่ซับซ้อน เพียงใช้ทั้งจริงเท็จผสานเข้าด้วยกัน สร้างความสับสนงุนงง เบี่ยงความสนใจและลดความสามารถในการตัดสินวินิจฉัยของคน จุดประสงค์เพื่อให้ทหารรักษาพระองค์ทั้งหลายไล่ตามนกกระดาษไป ดึงคนทั้งหมดไปจากบริเวณนี้

    ที่ว่านักลวงตา แท้จริงแล้วก็แค่นักต้มตุ๋นที่เหนือชั้นที่สุดเท่านั้นเอง หลิ่วฉางอวี้ทำทุกทางเพื่อให้ทุกคนเชื่อว่านกกระเรียนกระดาษของตนเปลี่ยนหยกหรูอี้ให้เป็นกระดาษและคาบจากไปได้ สามารถอันตรธานหายไปต่อหน้ากองกำลังนับพัน แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่อาจหลอกคนผู้หนึ่งได้

    ตอนจิงอีเฟยปรากฏตัวหน้าประตูตำหนักด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หลิ่วฉางอวี้กำลังประคองหยกหรูอี้ไว้อย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เขาเหลือบมองจิงอีเฟยแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้า…ทำลายวิชาของข้าได้หรือ”

    จิงอีเฟยตอบเสียงเย็น “ศาสตร์ลึกลับเป็นแค่ข้ออ้างของนักลวงตาอย่างพวกเจ้าเท่านั้น จะตบตาข้าได้อย่างไร”

    หลิ่วฉางอวี้หัวเราะหึๆ “นับว่าตาเจ้ามีแวว แต่ว่า…”

    เขาเขวี้ยงหยกหรูอี้ในมือออกไปกะทันหัน ตัวเองวิ่งออกไปในทิศทางตรงกันข้ามกับหยก คนกับหยกห่างไกลกันออกไปอย่างรวดเร็ว

    ยามเผชิญหน้ากับสองทางเลือกที่ตัดสินใจลำบาก จิงอีเฟยกลับไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางยกมือขวาขึ้น โซ่สีเขียวในมือพุ่งออกไป โซ่พันและกระตุก หยกหรูอี้ลอยกลับมา หลิ่วฉางอวี้เห็นดังนั้นก็พุ่งตรงไปที่หน้าประตูใหญ่ ขณะที่เขากำลังจะหนีหายไป จิงอีเฟยพลันหัวเราะเสียงเย็น นางใช้มือข้างหนึ่งจับที่อาวุธเอวและขว้างออกไป!

    ลำแสงสีเขียวพุ่งออกไปเหมือนเริงระบำ ประกายแสงเจือไอสังหารดุดัน ฟันลงบนต้นขาของหลิ่วฉางอวี้ โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่ว เป็นขวานสีเขียวอ่อนด้ามหนึ่ง

    ขวานหยกมีขนาดเล็กกะทัดรัดยาวเพียงหนึ่งฉื่อเท่านั้น มันทำจากแก่นของหยกเขาเหิงซานที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า นี่คืออาวุธเฉพาะตัวของจิงอีเฟย…ขวานชีเสวียน (เจ็ดน้ำวน)!

    ตัวขวานมีลายน้ำวน เยียบเย็นประหนึ่งน้ำแข็งเหมือนเช่นตัวนาง

    หลิ่วฉางอวี้บาดเจ็บหนักที่ต้นขา ใจรู้ว่ามิอาจหลบหนีได้แล้ว ได้แต่หัวเราะเสียงดังยอมรับชะตากรรม “ช่างเป็นสตรีที่ห้าวหาญ แต่ข้ากลับไม่รู้ชื่อแซ่ของเจ้า ข้าหลิ่วฉางอวี้วันนี้ต่อให้พ่ายแพ้ก็ต้องตายอย่างกระจ่างแจ้ง!”

    จิงอีเฟยสายตาเย็นชา “เจ้าแค่จำไว้ว่าข้าคือจิงอีเฟยจากจินหลิงก็พอ”

     

    To be Continued…

     

    * ศึกจิ้งน่านเป็นสงครามแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างเยียนอ๋องผู้เป็นอากับจักรพรรรดิเจี้ยนเหวินผู้เป็นหลานในสมัยต้นราชวงศ์หมิง สงครามยืดเยื้อเป็นเวลาสามปีและสิ้นสุดลงเมื่อเยียนอ๋องยึดเมืองหนานจิงได้ ก่อนจะตั้งตัวเป็นจักรพรรดิหย่งเล่อ

    * จักรพรรดิหมิงไท่จู่ จูหยวนจาง เป็นปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง ขณะครองราชย์ทรงพระนามว่าหงอู่ และใช้เป็นชื่อรัชศก พระสมัญญานามหลังสวรรคตได้แก่ หมิงไท่จู่ เป็นพระบิดาของจูตี้ และเป็นพระอัยกาของจูอวิ่นเหวิน ในที่นี้เหมยอินได้แต่งงานกับองค์หญิงหนิงกั๋วพระธิดาในจักรพรรดิหงอู่ จึงมีฐานะเป็นราชบุตรเขย ซึ่งโดยทั่วไปจะได้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพนำขบวนเสด็จของจักรพรรดิ และเมื่อจูอวิ่นเหวินขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิเจี้ยนเหวินก็ถวายความจงรักภักดีด้วยชีวิต

    * เฮยอู๋ฉาง คือยมทูตดำ มักปรากฏตัวพร้อมไป๋อู๋ฉางหรือยมทูตขาว มีหน้าที่เก็บวิญญาณของผู้ที่หมดอายุขัย เรียกรวมกันว่าเฮยไป๋อู๋ฉาง คำว่า ‘เฮย’ มาจากคำว่า ‘เฮยเทียน’ แปลว่ากลางคืน ‘ไป๋’ มาจากคำว่า ‘ไป๋เทียน’ แปลว่ากลางวัน ‘อู๋ฉาง’ แปลว่าไม่ยั่งยืนแน่นอน รวมกันจึงมีความหมายว่า ‘ชีวิตไม่แน่นอน ทุกคนพร้อมตายได้ทุกเวลาทั้งกลางวันกลางคืน’

    * ต้นหนาน หรือเจินหนาน หมายถึงต้น Phoebe Zhennan เป็นไม้ในวงศ์เดียวกับต้นการบูร

    * ฉื่อ (เชียะ) คือหน่วยวัดความยาวของจีน โดย 1 ฉื่อเท่ากับ 10 ชุ่น 1 ชุ่นเทียบระยะประมาณ 1 นิ้ว

    * ปากว้า หรือแผนภูมิแปดลักษณ์ คือแปดลักษณะของการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติ เป็นศาสตร์ที่ต่อยอดมาจากทวิลักษณ์หยินหยางและห้าธาตุอีกทีหนึ่ง อยู่ในเนื้อหาคัมภีร์อี้จิง โดยกำหนดปรากฏการณ์หรือสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติแทนด้วยสัญลักษณ์ในแผนภูมิซึ่งอาจทำเป็นยันต์หรือกระจกแปดทิศ ใช้ทำนายเหตุการณ์และเป็นเครื่องรางป้องกันสิ่งชั่วร้าย

    * พญาพิษ หรือหนอนกู่ เป็นสัตว์พิษตามความเชื่อของจีนที่ถูกเพาะเลี้ยงมาด้วยวิธีการพิเศษ บ้างว่าเป็นการเอาสัตว์มีพิษหลายชนิดมาขังรวมกันให้สัตว์เหล่านั้นกินกันเองจนเหลือตัวสุดท้ายที่รอด การใช้พญาพิษมักเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์

    * หลู่ปัน คือปรมาจารย์ด้านงานไม้และการช่างของจีน

    * ปีศาจเฒ่าเฝ้ากุฏิ เป็นคำล้อเลียนฉายานามของเหยาก่วงเซี่ยว เต้าเหยี่ยน ซึ่งได้แก่ ตู๋อันเหล่าเหริน แปลตรงตัวว่าผู้เฒ่ากุฏิเดียวดาย

    * หลิวป๋อเวิน ชื่อจริงคือหลิวจี เป็นนักยุทธศาสตร์ทหาร ปรัชญาเมธี รัฐบุรุษ และกวีชาวจีน เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของจูหยวนจาง ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง

    * ตั๊กแตนชูขาขวางรถ เป็นสำนวน หมายถึงไม่รู้จักประเมินกำลังของตนเอง มีกำลังอยู่เพียงน้อยนิด แต่คิดหวังทำสิ่งที่เกินกำลังอย่างไม่เจียมตัว

    * เมล็ดอวี๋ คือเมล็ดต้นเอล์ม ภายนอกมีลักษณะเป็นกลีบดอกประกบห่อหุ้มเนื้อเมล็ดทรงรีด้านใน

    * เทาเที่ย แปลว่าเขมือบกลืน เป็นหนึ่งในสี่อสูรร้าย และเป็นหนึ่งในลูกมังกรทั้งเก้าตามตำนานเทพโบราณของจีน ลำตัวคล้ายหมาป่า นิสัยตะกละตะกลามและดุร้าย

    * ลิ่วเหริน เป็นศาสตร์การทำนายดวงชะตาของจีนโบราณแขนงหนึ่ง มักเรียกรวมกับวิชาไท่อี่และวิชาตุ้นจย่าว่า ‘ศาสตร์สามแขนง’

    * การสอบขุนนางในสมัยโบราณ หรือเคอจวี่ แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ สอบเลื่อนทีละระดับขั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อ ได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับ จะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามขั้น ซึ่งบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนเรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา นอกจากนี้ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าสอบในระดับถงซื่อและผู้ที่เคยสอบระดับถงซื่อแต่ยังไม่ผ่านเรียกว่า ‘ถงเซิง’

    * เหลิงเหยียนจิง หรือศูรางคมสูตร เป็นพระสูตรสำคัญของสุตตันตปิฎกมหายาน

    ซั่นเจี้ยนเทียน หรือสุทัสสีสุทธาวาสภูมิ เป็นหนึ่งในรูปพรหม 16 ชั้น พรหมที่อยู่ในชั้นนี้จะเห็นสิ่งต่างๆ อย่างประจักษ์ชัดแจ้ง เพราะบริบูรณ์ด้วยปสาทจักษุ ทิพยจักษุ ธัมมจักษุ และปัญญาจักษุอันบริสุทธิ์

    สามวิสุทธิเทพ (ซานชิง) หมายถึงสามปฐมเทพสูงสุดตามหลักความเชื่อของศาสนาเต๋า สถิตในดินแดนสูงสุดเหนือจากเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า ได้แก่ หยวนสื่อเทียนจุนแห่งแดนอวี้ชิง (หยกวิสุทธิ์) หลิงเป่าเทียนจุนแห่งแดนซั่งชิง (เหนือวิสุทธิ์) และเต้าเต๋อเทียนจุนหรือไท่ซั่งเหล่าจวินแห่งแดนไท่ชิง (บรมวิสุทธิ์)

    * ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 00.59 น.

    * ดาบซิ่วชุน แปลตรงตัวว่าปักวสันต์ เป็นดาบประจำตัวของกองกำลังจิ่นอี (องครักษ์เสื้อแพร) ในสมัยราชวงศ์หมิงโดยเฉพาะ ตัวดาบแคบยาวและโค้งเล็กน้อย น้ำหนักเบาปราดเปรียว

    * เทียนซือ แปลตรงตัวว่าเทพาจารย์ หรือคุรุเทพ หมายถึงปรมาจารย์ผู้ล่วงรู้หลักแห่งธรรมชาติ เดิมใช้เรียกผู้สืบทอดคำสอนจากผู้ก่อตั้งนิกายเต๋าจางเจ้าหลิงโดยตรงและได้รับเลือกให้เป็นผู้นำนิกาย ต่อมาภายหลังใช้เป็นคำเรียกยกย่องนักพรตเต๋า

    * เก้าวัง (จิ่วกง) เป็นตำแหน่งของแปดลักษณ์ตามหลักปากว้าที่ใช้ในวิชาดาราศาสตร์ของจีนสมัยโบราณ กำหนดท้องฟ้าเป็นวังสวรรค์ (เทียนกง) แบ่งเป็นเก้าวังคือวังกลางและวังที่ประจำทิศทั้งแปดซึ่งแทนด้วยแปดลักษณ์ สอดคล้องสัมพันธ์กับการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า ส่งผลต่อฤกษ์ยามและฤดูกาล

    * หรูอี้ เป็นเครื่องหยกชนิดหนึ่ง รูปทรงเดิมเป็นแท่งแบนโค้งงอ ส่วนหัวมีลักษณะเป็นแป้นกลม สลักลายงดงามตลอดอัน ในสมัยหลังเปลี่ยนรูปทรงเป็นหยกพกติดตัว แต่ยังคงสลักลายเป็นแนวโค้งอย่างรูปทรงเดิมและอาจเพิ่มเติมลวดลายอื่นๆ ประดับ โดยคำว่า ‘หรูอี้’ มีความหมายว่าสมปรารถนา ชาวจีนจึงใช้เป็นสิ่งเสริมสิริมงคลและเป็นเครื่องแสดงฐานะของชนชั้นสูง

    * เหมี่ยนเตี้ยน หมายถึงพม่า

    * อิ๋งฮั่ว แปลว่าพริบพรายจนสับสน เป็นชื่อโบราณของดาวหั่วหรือดาวอังคาร ซึ่งเป็นดาวแห่งธาตุไฟและดาวแห่งเทพสงคราม

    * หั่วยาง เป็นชื่อปรากฏการณ์ดวงดาวที่ชาวจีนเชื่อว่าเป็นลางบอกเหตุภัยพิบัติเกี่ยวกับไฟ

    * เฝ้าตอรอกระต่าย เป็นสำนวน หมายถึงนั่งรอให้โชคลาภหรือโอกาสลอยมาหา มาจากตำนานที่เล่าถึงสมัยจั้นกั๋วมีชาวนาเห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งมาชนตอไม้ตาย เขาจึงไม่ไปทำนา นั่งรอให้กระต่ายวิ่งมาชนตอไม้ตายอีก ในที่นี้หมายถึงรอให้คนร้ายปรากฏตัวเองแล้วค่อยจับกุม

    * อีเฟย มาจากคำว่า ‘อีเฟยชงเทียน’ เป็นสำนวน แปลว่าหนึ่งทะยานถึงฟ้า หมายถึงการแสดงตัวหรือการกระทำที่สร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้คน

    * หัวหมู่ธงใหญ่ (จ่งฉี) ตำแหน่งทางทหารในสมัยราชวงศ์หมิง ควบคุมกำลังพลห้าสิบนาย โดยมีการแบ่งกลุ่มย่อยจำนวนสิบนายให้หัวหมู่ธงเล็ก (เสี่ยวฉี) ดูแลควบคุมอีกทอดหนึ่ง

     

     

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook