ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี 35 บทที่ 2
บทที่ 2 ขวางดาบเดินหน้าไป
หนิงเชวียหัวเราะขึ้น มันเข้าใจความหมายของนางที่กำลังพูดถึงความรักของมัน ที่ดีกว่านั้นคือในคำพูดนี้ก็มีความรักของนางด้วย ด้วยเหตุนี้มันจึงสุขใจ
หลังฆ่าหมูป่าที่ริมลำธารแล้วก็ก่อกองไฟ เนื้อสุกรส่งเสียงซี่ๆ เหนือกองไฟ น้ำมันไหลเยิ้มส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ทั้งคู่กินจนอิ่มหนำ จากนั้นก็พักผ่อน
หนิงเชวียนึกถึงคำพูดที่นางพูดเมื่อตอนกลางวัน
“ต่อไปอย่าเอาสถานศึกษามาเปรียบกับนิกายพุทธอีก เจ้าจะด่าสถานศึกษาอย่างไรก็ได้ แต่ห้ามด่ากระทบกระเทียบแบบนี้”
ซังซังนอนอยู่บนพื้นที่ถูกไฟเผาจนร้อน ถามว่า
“เพราะเหตุใด”
หนิงเชวียเอ่ยว่า
“สถานศึกษามีหรือจะน่ารังเกียจขนาดนั้น”
ซังซังยิ้มน้อยๆ
“อาจารย์เจ้าใส่พลังแห่งโลกมนุษย์ไว้ในร่างข้า จากนั้นเจ้าพาข้าเดินทางในแดนโลกิยะ หมายทำให้ข้ากลายเป็นมนุษย์ ปฐมพุทธะใส่พิษทั้งสามในตัวข้าก็เพราะต้องการทำให้ข้ากลายเป็นมนุษย์เช่นกัน สองอย่างนี้ต่างกันตรงไหน”
หนิงเชวียลับดาบอยู่ริมลำธาร ได้ฟังดังนี้ก็หยุดมือ คิดๆ ดูก่อนเอ่ยว่า
“ต่างกันตรงที่ปฐมพุทธะจะทำให้เจ้ากลายเป็นมนุษย์เพราะต้องการสังหารเจ้า”
“เช่นนั้นสถานศึกษาเล่า หรือว่าเพียงต้องการให้ข้ากลายเป็นมนุษย์? ถ้าไม่มีเจ้า และข้าอยู่ในสภาพอ่อนแอเช่นนี้ คนของสถานศึกษาจะไม่คิดสังหารข้าหรือ”
“คำว่า ‘ถ้า’ ก็อธิบายทุกอย่างแล้ว โลกนี้ไม่มีถ้า ข้าอยู่กับเจ้าตลอด ดังนั้นสถานศึกษาย่อมไม่คิดสังหารเจ้า”
“แม้ว่าข้าจะสังหารเคอเฮ่าหรานน่ะหรือ”
หนิงเชวียนิ่งเงียบไปครู่ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“หากไม่นับกาลเวลาที่ล่วงเลยไปในกระดานหมาก เจ้ามาโลกมนุษย์ได้ยี่สิบปีแล้ว ยี่สิบปีนี้เจ้าคือซังซัง”
ซังซังเข้าใจความหมายของมัน เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนนางเกิดไม่ควรให้นางรับผิดชอบ สถานศึกษาไม่ถือว่าการตายของอาจารย์อาเป็นฝีมือนาง แต่เป็นฝีมือเฮ่าเทียน
ซังซังถามว่า
“ถ้า…สุดท้ายอาจารย์ของพวกเจ้าก็ถูกข้าสังหารล่ะ”
หนิงเชวียรู้สึกหดหู่ใจ
“เจ้าพูดเรื่องที่น่าสนใจกว่านี้ได้ไหม ข้าพูดไปแล้วว่าโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้า เจ้าอย่าน่ารำคาญ อย่าน่าเบื่อแบบนี้จะได้ไหม”
ซังซังยิ้ม
“อย่างนั้นก็พูดเรื่องน่าสนใจ…จากนี้พวกเราจะไปไหนดี”
ในป่าเขาที่ไกลจากตัวเมืองเช่นนี้ยังพบเจอพุทธะ แสดงให้เห็นว่าในโลกกระดานหมากนี้มีอันตรายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง พุทธะที่กลายร่างมาจากเหล่าเวไนยสัตว์กำลังค้นหาพวกมัน
เดินทางอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ต่อไปไม่มีประโยชน์ ต่อให้พวกมันเดินทางไปจนถึงสุดขอบฟ้าทางทิศใต้ก็หาทางออกจากกระดานหมากไม่เจอ
หนิงเชวียถามว่า
“ถ้าขจัดพิษในตัวเจ้าได้ เจ้าจะเปิดกระดานหมากออกไปได้หรือไม่”
“เจ้าเพิ่งพูดไปว่าโลกนี้ไม่มีถ้า”
หนิงเชวียถอนหายใจ
“อย่ากวนสิ”
ซังซังเอ่ยว่า
“ถ้าไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราออกจากเมืองเฉาหยางมาทำอะไร”
“ตามคำสอนของนิกายพุทธ มีเพียงฝึกพุทธเท่านั้นจึงขจัดสามพิษได้”
“นั่นเป็นคำโกหก”
“คัมภีร์พุทธไม่ใช่คำพูดเด็ก ข้าคิดว่าคำพูดนี้มีเหตุผล”
“นอกเสียจากฝึกถึงขั้นพุทธะแท้แล้ว ไม่เช่นนั้นสามพิษก็ยากจะหมดไป”
หนิงเชวียเช็ดน้ำบนตัวดาบสะอาดแล้วก็เดินมาข้างกายนาง มองตานางนิ่งพลางเอ่ยว่า
“ลองสักหน่อยไหม เจ้าลองฝึกตนเองให้กลายเป็นปฐมพุทธะ”
ในความเห็นมัน ถ้านางกลายเป็นพุทธะที่นี่ได้ก็จะขจัดสามพิษในร่างได้ อีกทั้งพวกพุทธะที่กลายร่างมาจากเวไนยสัตว์ก็ไม่อาจเป็นภัยต่อนางด้วย
ซังซังตอบว่า
“ไม่ลอง”
หนิงเชวียขมวดคิ้ว
“เหตุใดจึงไม่ลอง”
ซังซังใช้คำของมันย้อนตอบมัน
“น่ารังเกียจ”
หนิงเชวียจึงเอ่ยอย่างจนปัญญา
“การมีชีวิตอยู่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เจ้าก็ทนๆ สักหน่อยเถอะ”
“ที่นี่คือโลกของปฐมพุทธะ ข้าไม่อาจบรรลุเป็นปฐมพุทธะที่นี่”
หนิงเชวียคิดอยู่เนิ่นนานก่อนเอ่ยว่า
“ถึงอย่างไรก็ต้องลองดู”
เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องลองทำ เพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นี่เป็นคำพูดติดปากของสถานศึกษา ทางเลือกสุดท้ายคือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะเหลือเพียงทางเลือกเดียว
ซังซังถามว่า
“เจ้าอยากลองอะไร”
สายตาหนิงเชวียมองข้ามลำธารไปไกลทางทิศตะวันออก
“ข้าอยากลองว่าจะหาปฐมพุทธะเจอหรือไม่”
ซังซังยิ้มเอ่ยว่า
“จากนั้นล่ะ เจ้าสังหารมันได้หรือ”
“ไม่ได้ แต่ข้าอยากไปเจอมัน”
รุ่งเช้า ทั้งคู่ตื่นขึ้นริมลำธาร กองไฟกลายเป็นกองเถ้าถ่านไปแล้ว แต่ยังเหลือความอุ่นอยู่บ้าง
หนิงเชวียแบกซังซังขึ้นหลังแล้วผูกไว้ กางร่มดำ ปีนขึ้นเขาต่อไป ทะลุผ่านหมอกหนาจนถึงยอดเขา แต่มันไม่ได้ลงใต้ต่อ ทว่าวกไปทางตะวันออก
ซังซังลืมตามองดูทิศทาง ไม่ได้พูดสิ่งใด
ป่าหนาทึบยากต่อการเดินทาง หนิงเชวียใช้ดาบฟันถางเปิดทาง ใช้เวลาสองวันหนึ่งคืนจึงออกจากเทือกเขาจนมาถึงทุ่งหญ้าโล่งกว้าง มันแบกซังซังเดินต่อไป
ทุ่งหญ้าแห่งนี้มีฝนตกมาหลายวันแล้ว เท้าหนิงเชวียย่ำพื้นดินแฉะทิ้งรอยเท้าไว้ชัดเจน เกิดเป็นเส้นทางที่ตรงเหมือนพู่กันมุ่งสู่ทิศตะวันออก
หลังจากเกิดรอยเท้าบนทุ่งหญ้าเกินหนึ่งร้อยก้าวผิวดินพลันยุบลง เส้นทางแห่งรอยเท้ากลายเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่จริง ดินโคลนแยกออก ต้นหญ้าถูกดูดลงไปเหลือเพียงความมืดสนิท
ฟ้าดินสั่นสะเทือน แสงบนท้องฟ้าอันมืดมิดพลันพุ่งลงมายังศีรษะของคนทั้งสอง แต่เพราะร่มดำบังไว้ แสงจึงลงมาไม่ได้
แสงเหล่านั้นคล้ายลอยค้างอยู่กลางท้องนภาอันดำมืด ส่วนปลายด้านหน้าของแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็ระเบิดออกเป็นดอกไม้สีทองจำนวนมากมายโปรยปรายสู่พื้นดิน
หนิงเชวียหยุดเดินแล้วหันไปมองทางตะวันตกเฉียงเหนือ เห็นบนท้องฟ้าที่นั่นปรากฏแสงสว่างโชติช่วง น่าจะเป็นพุทธรัศมีที่สะท้อนขึ้นมาจากพื้นดินซึ่งแสดงให้เห็นถึงจำนวนอันมากมายของพุทธะที่อยู่ที่นั่น
ซังซังมองไปทางนั้นแล้วเอ่ยว่า
“ข้าได้ยินเสียงสวดมนต์ของพวกมัน”
“พวกมันกลัวแล้ว ปฐมพุทธะกลัวแล้ว”
“ปฐมพุทธะนิพพานแล้ว ย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้”
นิพพานคือการซ้อนทับกันของการมีชีวิตและการตาย หรืออาจเข้าใจง่ายๆ ว่าเป็นการนอนหลับ ปฐมพุทธะไม่รู้ว่าพวกมันกำลังเดินทางสู่ทิศตะวันออก แล้วจะกลัวได้อย่างไร
“เช่นนั้นก็เป็นโลกนี้เริ่มกลัวแล้ว”
หนิงเชวียมองไกลไปทางตะวันออก
“ทิศที่พวกเรามุ่งไปถูกต้องแล้ว ปฐมพุทธะอยู่ที่นั่น”
ซังซังเกาหูมันเบาๆ
“เจ้าจะไปหาปฐมพุทธะจริงหรือ”
“จะฝึกพุทธก็ต้องไปพบพุทธะ ข้าจะไปพบมัน”
“ถ้าเจ้าไปพบมัน มันจะตื่น”
หนิงเชวียใช้ด้ามดาบเกาตรงที่คันพลางเอ่ยว่า
“ข้าก็อยากให้มันตื่น”
ซังซังเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึมว่า
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ข้ายังไม่ถูกพิษ ข้าคงไปหามันและปลุกให้มันตื่นแต่แรก จากนั้นก็ฆ่ามัน แต่ตอนนี้ข้าฆ่ามันไม่ได้ เจ้ายิ่งฆ่าไม่ได้”
“เจ้าพูดผิดไปเรื่องหนึ่ง การตื่นเป็นเพียงสภาพอย่างหนึ่ง หากกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือเมื่อพบปฐมพุทธะจึงจะรู้ว่ามันเป็นหรือตาย”
“แล้วอย่างไร”
“ปฐมพุทธะอาจเป็นหรืออาจตายก็ได้…กล่าวอีกอย่างได้ว่าความเป็นความตายของมันอยู่ที่ชั่วพริบตาของพวกเรา มีโอกาสครึ่งต่อครึ่ง”
“เจ้าจะเดิมพันชีวิต”
หนิงเชวียยิ้ม
“เดิมพันชีวิตของปฐมพุทธะ”
“ก็คือเดิมพันชีวิตของพวกเราด้วยเช่นกัน”
“พวกเราจะตายอยู่แล้ว ทำไมไม่ลองเสี่ยงดู ถ้าลองเสี่ยงดู อย่างน้อยพวกเราก็มีโอกาสครึ่งต่อครึ่ง”
“ข้าไม่ชอบเดิมพันชีวิต”
หนิงเชวียถามว่า
“เพราะเหตุใด”
ซังซังตอบว่า
“เพราะเฮ่าเทียนไม่เล่นพนัน”
เฮ่าเทียนรู้ทุกเรื่องและทำได้ทุกอย่าง เฮ่าเทียนคำนวณได้ทุกสรรพสิ่ง ทุกเรื่องราวล้วนอยู่ในกำมือ ดังนั้นนางย่อมไม่เล่นพนัน
หนิงเชวียรู้ว่านี่คือสัญชาตญาณของซังซัง แต่มันเข้าใจลึกซึ้งกว่านั้นว่านางในตอนนี้ไม่ได้รู้ทุกเรื่องและไม่ได้ทำได้ทุกอย่างแล้ว ถ้าไม่ไปเดิมพันชีวิตกับปฐมพุทธะ สุดท้ายพวกมันสองคนมีแต่ตายสถานเดียว
ดีที่ตอนนี้นางอยู่บนหลังมัน มันจะไปที่ไหน นางก็ไม่อาจคัดค้าน
พอเดินข้ามทุ่งหญ้าที่เปียกฝนและทุ่งนารกร้างมาแล้วก็ถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง
หนิงเชวียสังเกตได้ว่าพุทธรัศมีบนท้องฟ้าด้านหลังสว่างขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าพุทธะทั้งหลายในโลกนี้เริ่มรวมตัวกันและใกล้พวกมันเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว มันจึงเร่งฝีเท้า
หลังข้ามเนินเขามาได้สามวันก็ถึงเบื้องหน้าป่าทึบแห่งหนึ่ง เบื้องหน้ามันคือต้นสนสูงเสียดเมฆจำนวนนับไม่ถ้วน หมอกบางในป่าเหมือนควันไฟ ป่านี้ราวกับเป็นดินแดนแห่งหมอกควัน ไกลออกไปเบื้องหน้าพอจะได้ยินเสียงสายน้ำ
หลวงจีนหน้าตาธรรมดารูปหนึ่งเดินออกมาจากหลังต้นสน คหบดีรูปร่างอ้วนท้วนเดินออกมาจากหลังต้นสนอีกต้น คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เดินออกมาจากหลังต้นสน
ทุกชีวิตบนโลกนี้บรรลุพุทธะ พุทธะทั้งหมดล้วนมาที่นี่ แน่นขนัดจนนับไม่ถ้วน มีพุทธะจำนวนมากไล่ตามมาจากเมืองเฉาหยาง บนร่างพวกมันยังมีบาดแผลที่เกิดจากธนูและดาบของหนิงเชวีย ของเหลวสีทองไหลซึมออกมาไม่หยุด เมื่อถูกลมก็กลายเป็นพุทธรัศมี
พุทธรัศมีสว่างเจิดจ้าขับไล่หมอกบางในป่าไปจนหมดในชั่วพริบตา บรรดาพุทธะต่างประนมมือแสดงความเคารพต่อหนิงเชวียและซังซัง จากนั้นก็เริ่มสวดมนต์ ในเสียงสวดมนต์แฝงความเมตตากรุณาอย่างมหาศาล
ซังซังหน้าซีดมองบรรดาพุทธะในป่าพร้อมเอ่ยอย่างชิงชัง
“หนวกหู”
พุทธรัศมีสีทองปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ ในป่านิ่งสงบมีเพียงเสียงสวดมนต์ บรรดาพุทธะมีสีหน้าสง่าน่าเกรงขาม แววตาเมตตากรุณา ทว่าในสายตาหนิงเชวียภาพนี้กลับดำมืด
มันไม่พูดจา ง้างสายธนูยิงธนูแห่งความว่างเปล่าออกไป
เลือดสีทองสาดกระเซ็นเปรอะต้นสน พุทธะรูปหนึ่งนั่งขัดสมาธิลงแล้วตายอยู่ด้านข้าง บนหน้าอกเกิดบาดแผลลึก บาดแผลมีรูปร่างโค้งงอ ของเหลวสีทองไหลออกมาจากบาดแผลกลายเป็นพุทธรัศมี
พุทธรัศมีในป่าสว่างมากยิ่งขึ้น ซังซังทรมานมากยิ่งขึ้น
หนิงเชวียสีหน้าเคร่งขรึม ระหว่างการหนีตายพุทธะพวกนี้ต่อสู้ต้านทานน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งไม่ใช้ของวิเศษแล้ว ถึงขนาดรู้สึกเหมือนรอให้มันมาสังหาร
มันสังหารพุทธะหนึ่งรูป พุทธรัศมีของโลกนี้จะสว่างขึ้นหนึ่งส่วน ส่วนซังซังก็ใกล้ความตายเข้าไปอีกก้าว ตอนนี้หนิงเชวียจะไม่สังหารก็ไม่ได้ สังหารก็ไม่ได้ ต่อให้ตั้งใจสังหารก็สังหารได้ไม่หมด
“หลีกไป! พุทธะขวางฆ่าพุทธะ! คนขวาง…เอ่อ…”
หนิงเชวียตวาดพลางมองพุทธะมากมายในป่า เดิมทีมันคิดจะพูดว่าคนขวางฆ่าคน แต่นึกขึ้นได้ว่าโลกนี้ไม่มีคน จึงเอ่ยว่า
“ไม่ว่าใครขวางข้าก็ยังฆ่าพุทธะ!”
ไม่ทันขาดคำมันก็แบกซังซังบุกเข้าไปในป่า
ลมปราณสุดไพศาลปลดปล่อยออกมาเต็มที่ในทันที มันกลายเป็นเงาที่เหมือนประกายสายฟ้าแลบ ถุงใส่ยันต์ถูกบีบแตก กระดาษยันต์หลายสิบแผ่นเปล่งแสงสีต่างๆ ออกมา ดาบเหล็กฟาดฟัน จูเชวี่ยกรีดร้อง เปลวเพลิงที่น่ากลัวสาดกระจายไปรอบทิศ สายธนูดังติงๆ ต้นสนขนาดใหญ่จำนวนมากล้มครืน
ภายในเวลาอันสั้นหนิงเชวียใช้สุดยอดวิชาทั้งหมดของตน มีพุทธะหลายสิบรูปล้มลงจมกองเลือด มันดูร้ายกาจยิ่งนัก
ทว่าไม่ว่ามันจะสังหารอย่างไรเสียงสวดมนต์ในป่าก็ไม่เงียบสักที ใบหน้าของเหล่าพุทธะนอกจากความเมตตาแล้วก็ไม่มีการตอบสนองอย่างอื่น เส้นทางสู่ตะวันออกยังคงถูกขัดขวาง
การตายของพุทธะหลายสิบรูปทำให้ป่าทึบอันมืดมนแห่งนี้เต็มไปด้วยสีทองอันสว่างไสว พุทธรัศมีกลายเป็นความสว่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงขั้นทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความโอบอ้อมอารี
พุทธรัศมีเจิดจ้ามากจนเหมือนวัตถุแข็งๆ เบียดรอยปะซ่อมของร่มดำเข้าไปโดนร่างซังซัง นางซบไหล่มันอย่างไร้เรี่ยวแรง ไอเป็นเลือดไม่หยุด
หนิงเชวียหนาวจับขั้วหัวใจ มือที่จับดาบเริ่มสั่น
“เจ้าตายไม่ได้”
มันมองเลือดที่ไหลลงมาบนร่างพลางเอ่ยด้วยสีหน้าขาวซีด
ซังซังทนต่อไม่ไหวแล้ว จึงพูดที่ข้างหูมันว่า
“ข้าจะเข้าไป”
หนิงเชวียไม่เข้าใจว่าประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร
ครู่ต่อมามันรู้สึกว่าในร่างตนมีคนอีกคนเพิ่มเข้ามา
ซังซังยังอยู่บนหลังมัน
แต่ซังซังเข้ามาในร่างมันแล้ว
ร่มดำคุ้มครองนางไม่ได้แล้ว นางจึงได้แต่หวังว่าหนิงเชวียจะคุ้มครองนางได้
หนิงเชวียก้มหน้านิ่งเงียบไปนาน ลมหายใจเปลี่ยนจากถี่กระชั้นเป็นราบเรียบพร้อมเพรียงกับจังหวะลมหายใจของร่างเทพบนหลังมันมากขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งเป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์
มันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ว่าซังซังต้องสละบางสิ่งบางอย่างไปแล้วอย่างแน่นอน
มันเงยหน้า เก็บร่มดำแล้วเสียบไว้ด้านหลัง จากนั้นมองพุทธะมากมายมหาศาลในป่าแล้วพูดว่า
“มาสู้กันอีกสักตั้ง”
ในป่าพลันมืดครึ้ม แสงสีทองจางๆ ที่เปล่งออกมาจากร่างพุทธะทั้งหลายคล้ายตะเกียงจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อเห็นหนิงเชวียที่ถือดาบยืนอยู่ พุทธะทั้งหลายก็มีการตอบสนองต่างๆ กันไป บ้างเศร้าใจ บ้างโกรธเคือง บ้างหวาดกลัว
พุทธะทั้งหลายรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างที่สำคัญในร่างหนิงเชวีย และพบว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นอาจส่งผลกระทบบางอย่างต่อแดนสุขาวดีของปฐมพุทธะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร
หนิงเชวียเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มันรู้เพียงว่าร่างของซังซังยังอยู่บนหลังมัน แต่นางเข้ามาในร่างมันแล้ว มันรู้สึกว่าตนมีพลังเปี่ยมล้นไม่หวั่นเกรงสิ่งใด
เสียงสวดมนต์ในป่าดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง แสงสีทองสว่างจ้าขึ้น พุทธะมากมายปรากฏกายโดยรอบก่อนล้อมเป็นวงเข้ามาช้าๆ ไม่เหลือช่องว่างให้มันหนี
พุทธะทั้งหลายมีสีหน้าเมตตา มองมันด้วยแววตาเวทนา ทว่าตั้งแต่เมืองเฉาหยางจนถึงบัดนี้ พุทธะทั้งหลายไม่เคยตั้งใจจะพูดจาเกลี้ยกล่อมโน้มน้าว ทั้งไม่เคยสื่อสารกับหนิงเชวียอย่างจริงจัง…เพราะหนิงเชวียปฏิเสธที่จะสื่อสารกับพวกมัน ความขัดแย้งใดๆ ก็ตามถึงสุดท้ายแล้วก็ต้องอาศัยกำลังเข้าคลี่คลายปัญหา
เวลานี้ยังคงเป็นเช่นนี้ มันหายใจลึก แววตาสว่างเจิดจ้า จับดาบมั่นยกขึ้นช้าๆ แล้วฟันสองดาบไปทางป่า
คมดาบยาวหลายร้อยลี้สองเส้นปรากฏขึ้นในป่า!
ลมพายุพัดหวีดหวิว ตะไคร่น้ำบนผิวดินหลุดลอก ต้นหญ้าโน้มต่ำ ก้อนศิลาแตกร้าว สถานที่ที่คมดาบพาดผ่านไม่มีสิ่งใดที่รักษารูปร่างเดิมไว้ได้ ส่วนบรรดาพุทธะที่ยืนอยู่ในเส้นทางของคมดาบถูกบดขยี้เป็นผุยผง กลายเป็นละอองสีทองเต็มไปหมด!
ถ้าพุทธะอยู่บนเมฆแล้วมองลงมายังที่ราบผืนนี้คงจะเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่ยาวหลายร้อยลี้ตัวหนึ่งที่เรียบง่ายและดุดัน
ตัวอักษรอี้!
หนิงเชวียใช้ดาบเขียนยันต์เทวะ! เขียนยันต์เทวะขนาดใหญ่พาดผ่านป่า!
เจตนารมณ์แห่งยันต์อันน่ากลัวตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างเย็นชาและแข็งกร้าว บนเปลือกต้นสนขนาดใหญ่ที่หลายคนโอบก็ไม่รอบปรากฏรอยผ่าที่ชัดเจน ขนาดแม้แต่ลมที่พัดหวีดหวิวมาก็ยังถูกเจตนารมณ์แห่งยันต์ตัดจนกลายเป็นสายลมอ่อนๆ พัดละอองแสงสีทองขึ้นสู่ท้องฟ้า
หนิงเชวียฟันไปสองดาบก็มีพุทธะหลายร้อยรูปตายด้วยยันต์รูปอี้ ทว่าในป่ายังมีพุทธะอีกมากมาย พวกมันเดินเข้าหาหนิงเชวียต่อไปด้วยสีหน้าแน่วแน่
ยันต์รูปอี้มีที่มาจากยันต์รูปเอ้อร์ ส่วนยันต์รูปเอ้อร์ดัดแปลงมาจากยันต์รูปจิ่งของเหยียนเซ่อต้าซือ เมื่อฝึกถึงขั้นสูงสุดแม้แต่ช่องว่างในอากาศก็ตัดได้ นับประสาอะไรกับพุทธะพวกนี้ ถ้าตอนนี้มันหยุดอยู่ท่ามกลางเจตนารมณ์แห่งยันต์ก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าพุทธะพวกนั้นจะเข้ามาได้ แต่มรรคาแห่งยันต์มีข้อจำกัดตรงที่เจตนารมณ์แห่งยันต์ไม่อาจคงอยู่ตลอดไปในธรรมชาติ ไม่ว่ายันต์เทวะจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ต้องสลายไปตามกาลเวลา เมื่อถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร
ทว่าเดิมทีหนิงเชวียก็ไม่ได้คิดจะอาศัยยันต์เทวะที่ทรงอานุภาพนี้เพียงอย่างเดียวมารักษาชีวิตอยู่แล้ว มันพูดกับเหล่าพุทธะว่ามาสู้กันอีกสักตั้ง เช่นนั้นเรื่องที่มันจะทำก็คือเข้าโจมตี
เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งพุ่งจากดินขึ้นสู่ฟ้าแล้วถ่ายทอดลึกเข้าไปในป่า ราวกับว่าฟ้าดินถูกเสียงที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงและป่าเถื่อนเสียงนี้กระตุ้น ป่าที่มืดมนพลันสว่างไสว
พร้อมกับเสียงกรีดร้อง เท้าขวาหนิงเชวียกระทืบพื้นอย่างหนักหน่วง ผิวดินรอบเท้าในอาณาบริเวณหลายจั้งปรากฏรอยแตก มันใช้สองมือขวางดาบวิ่งเข้าไปในป่า!
เจตนารมณ์แห่งยันต์ที่รุนแรงสองสายนั้นเคลื่อนที่ผ่านป่าไปตามสภาวะของการขวางดาบวิ่งไปข้างหน้าของมันอย่างเชื่องช้าแต่ไม่อาจหยุดยั้งสู่ทิศตะวันออก
มรรคาแห่งยันต์มีรากฐานแตกต่างจากการฝึกฌานแนวทางอื่น มรรคาแห่งยันต์ต้องบอกความคิดของตนให้ธรรมชาติฟัง จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายลมหายใจแห่งฟ้าดินมาใช้ การสื่อสารระหว่างจอมยันต์กับธรรมชาติคือการร้องขอ ในความหมายหนึ่งถือว่าจอมยันต์เป็นฝ่ายถูกธรรมชาติกำหนด และเพราะเหตุนี้จึงเคลื่อนย้ายพลังปฐมแห่งฟ้าดินจำนวนมหาศาลขนาดนี้มาใช้ได้
นับแต่โบราณกาลไม่เคยมีจอมยันต์คนไหนที่เคลื่อนย้ายเจตนารมณ์แห่งยันต์ของตนได้ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะมีพลังจิตมากขนาดนั้น และเพราะเป็นไปไม่ได้ที่ฟ้าดินทั้งมวลจะฟังคำสั่งมนุษย์ที่ต้อยต่ำ
แต่วันนี้หนิงเชวียทำได้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การฝึกฌานของมนุษย์
เจตนารมณ์แห่งยันต์ที่รุนแรงสองสายยาวหลายร้อยลี้พุ่งผ่านป่าทั้งผืน การวิ่งขวางดาบของหนิงเชวียกลายเป็นดาบล่องหนขนาดใหญ่สองเล่มอันแหลมคม ใครขวางเบื้องหน้าคมดาบล้วนตัวขาดสองท่อน
เคียวของเทพมรณะกำลังเก็บเกี่ยวทุ่งข้าวสาลี มีหรือที่ต้นข้าวจะหนีรอด
ในป่ามีพุทธะอยู่นับไม่ถ้วน พุทธะมีสูงต่ำอ้วนผอม ที่ที่คมดาบวิ่งผ่านพุทธะบางรูปศีรษะหลุดร่วง บางรูปตัวขาดสองท่อน บางรูปกระหม่อมถูกตัด บางรูปสองขาขาดด้วน และพุทธะมากมายเลือดไหลล้มลง
เลือดสีทองที่ไหลออกมาจากร่างพุทธะพวกนั้นถูกเจตนารมณ์แห่งยันต์ตัดจนกลายเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นกลายเป็นละอองสีทองลอยอยู่ในป่า ป่าที่มืดมนจึงสว่างไปทั้งแถบ
พุทธรัศมีสว่างไสวสุดประมาณ หนิงเชวียหนีตายมาหลายวัน ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เหนื่อยล้าอิดโรย ใบหน้าขาวซีดอยู่แล้ว ยามนี้ถูกพุทธรัศมีส่องยิ่งขาวราวหิมะ
มันหรี่ตา ก้มหน้าวิ่งขวางดาบต่อไป สีหน้าไร้ความหวั่นเกรง
ถ้ามันยังแบกซังซัง ต่อให้กางร่มดำ คิดว่าซังซังคงถูกพุทธรัศมีพวกนี้สังหารตาย แต่เวลานี้มันแบกเพียงร่างซังซัง ส่วนซังซังอยู่ในตัวมัน
ทางตะวันออกของป่าทึบมีเสียงน้ำดังมา มันมุ่งหน้าไปทางนั้น เบื้องหน้าดาบที่ขวางอยู่ ยันต์รูปอี้ขนาดใหญ่โตมโหฬารก็เคลื่อนตามไปด้วย เปลือกไม้และโลหิตพุทธะสีทองมากมายกระจุยกระจายขึ้นกลางอากาศ
พุทธะจำนวนนับไม่ถ้วนล้มระนาว ในป่าไร้เสียงครวญคราง มีเพียงเสียงสวดมนต์ที่เต็มไปด้วยความเมตตาสงสาร เสียงสวดมนต์เหล่านั้นมักหยุดลงอย่างกะทันหัน นั่นหมายความว่าพุทธะรูปนั้นตายใต้คมดาบล่องหนแล้ว
หนิงเชวียก้มหน้าวิ่งไม่หยุด ไม่รู้วิ่งอยู่นานเท่าใด จนกระทั่งรู้สึกว่าสองมือที่ถือดาบเริ่มสั่น ลมหายใจถี่กระชั้น จึงหยุดวิ่ง
เสียงน้ำไหลอย่างสงบและอ่อนโยน แม่น้ำสายใหญ่ปรากฏเบื้องหน้ามัน
มันแบกซังซังวิ่งออกจากป่า
มันหันกลับไปมองก็เห็นในป่าเต็มไปด้วยแสงสีทอง จากนั้นก็มีต้นสนล้มระเนระนาดไล่มาจากทางตะวันตก ผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน ฝุ่นควันฟุ้งตลบ
ต้นสนเหล่านั้นล้วนถูกเจตนารมณ์แห่งยันต์ตัดขาด แต่เจตนารมณ์แห่งยันต์คมมาก ต้นสนจึงไม่ล้มในทันที จนกระทั่งตอนนี้มีบางต้นล้มแล้ว ต้นอื่นจึงล้มตาม
ต้นสนสูงมาก สูงเสียดเมฆ ต้นที่เตี้ยที่สุดก็ยังสูงหลายร้อยจั้ง เมื่อต้นสนล้ม ฝุ่นควันก็ฟุ้งตลบขึ้นฟ้า ภายในนั้นพอจะได้ยินเสียงพญาเหยี่ยวร้องด้วยความตกใจ
รังของพญาเหยี่ยวพวกนี้อยู่บนยอดต้นสน ยามนี้พวกมันได้แต่บินไปที่อื่น
ป่าทึบที่มีอาณาบริเวณหลายร้อยลี้กลายเป็นที่ราบด้วยเหตุนี้ ต้นไม้ใหญ่จำนวนมากซ้อนทับกันจนพื้นดินที่แฉะอยู่เละเทะไปหมด ส่วนบรรดาพุทธะที่อยู่ในป่าย่อมถูกฝังอยู่ในนั้น
พุทธะสามพันสามร้อยสามสิบสามรูปตายอนาถ
(To Be Continued…)