• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี 38 บทที่ 2

     

    บทที่ 2

    นางผู้ถูกตามหา

     

    ที่นี่คือส่วนลึกสุดของเขาปอเหร่อ ไม่ว่าจะเป็นยอดเขา ลานหน้าผา หรือโลกเบื้องล่างล้วนห่างจากที่นี่สิบกว่าลี้เท่าๆ กัน

    เสียงจากภายนอกส่งเข้ามาไม่ถึงที่นี่ เสียงจากธารน้ำใต้ดินส่งขึ้นมาไม่ถึงที่นี่ ที่นี่ไม่มีเสียงใดๆ เงียบสนิทไม่ต่างจากสุสาน

    เจ้าคณะมองลูกธนูที่ปักอกอยู่ รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดอย่างชัดเจน นึกถึงว่านานมากแล้วที่ตนมิได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนี้ มันช่างสดใหม่และมีชีวิตชีวา ใบหน้าชราภาพฉายแววเย้ยหยันตนเอง

    มันฝึกพุทธมาแสนนานกระทั่งฝึกถึงขั้นสูงสุด ทั้งร่างคืออมตวัชระ เดิมทีคิดว่าหลังจากจอมปราชญ์ขึ้นสวรรค์ก็ไม่มีใครคุกคามมันได้อีก คิดไม่ถึงว่าเมื่อหลายปีก่อนและหลายปีให้หลัง รวมเป็นสองครั้งที่มันถูกศิษย์สถานศึกษาร่วมมือกันทำให้มันพ่ายแพ้อย่างหมดรูป

    “เจ้าคิดว่าแบบนี้ขังอาตมาได้หรือ”

    “ท่านจะไม่ได้กินอาหาร ไม่ได้ยินเสียงใดๆ มองไม่เห็นแสงสว่าง ท่านจะชราและอ่อนแอ บางทีอาจอดตาย หรืออาจสิ้นหวังจนเป็นบ้า หรืออาจมีชีวิตรอดถึงขั้นหลุดพ้นจากลูกธนูสองดอกนี้แล้วเดินออกมาจากถ้ำอันมืดมนได้อย่างภาคภูมิใจ…แต่เวลานั้นแดนพุทธที่ท่านเคยปกป้องคงถูกกระบี่เหล็กของข้าทำลายสิ้นแล้ว”

    คำพูดของจวินโม่ไม่ใช่การคุกคามหรือข่มขู่ การคุกคามข่มขู่แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่วิธีการต่อสู้ของมัน มันเพียงกำลังบอกความจริง

    และเพราะนี่คือความจริง บอกกล่าวอย่างเรียบนิ่งเช่นนี้จึงน่ากลัวนัก…ไม่ดื่มไม่กิน ไร้เสียงไร้แสง เงียบเหงาโดดเดี่ยว ตัดขาดจากโลกภายนอก…จะทรมานขนาดไหน นอกจากเหลียนเซิงแล้วไม่มีใครเคยประสบพบเจอมาก่อน แม้แต่เหลียนเซิงก็ยังทรมานจนแทบเป็นบ้า แล้วเจ้าคณะฝ่ายเทศนาเล่า สุดท้ายแล้วจะมีจุดจบเช่นไร

    เจ้าคณะประนมมืออย่างยากลำบากเต็มที แล้วเอ่ยกับจวินโม่อย่างเมตตา

    “ปฐมพุทธะทรงเมตตา”

    เดิมทีมันควรเมตตาสงสารชะตากรรมอันน่าอนาถของตนมากกว่าที่หลังจากนี้จะต้องเจ็บปวดทนทุกข์อยู่ในนรกนี้ไปอีกหลายปีหรืออาจหลายสิบปี แต่มันกลับสงสารอีกฝ่าย สงสารการตัดสินใจของสถานศึกษา

    ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น หากต้องเผชิญหน้ากับสายตาที่ยังคงสงบนิ่งเมตตาของเจ้าคณะในเวลานี้อาจใคร่ครวญ หรืออาจถึงขั้นรู้สึกละอายใจ แต่จวินโม่ไม่

    “พุทธะของท่านเมตตา แล้วสถานศึกษาไม่เมตตาหรือ โอ้อวดได้น่าขยะแขยงจริงๆ”

    จวินโม่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

    “นานเท่าไรแล้วที่แดนพุทธแห่งนี้เปลี่ยนคนเป็นๆ มากมายให้กลายเป็นโครงกระดูกเดินได้ ใช้งานบรรดาผู้มีจิตวิญญาณเยี่ยงทาส ยอดเขาที่กองขึ้นจากกระดูกมนุษย์ หลังคาทองคำที่ทาขึ้นจากโลหิตของผู้คน แดนสุขาวดีอันสวยงามเช่นนั้นหรือ ไม่ใช่เลย ที่นี่คือนรก มีแต่ต้องทำลายสิ่งเหล่านี้ รวมถึงสังหารท่านและลาหัวโล้นที่นี่ให้หมดต่างหากจึงเป็นความเมตตาที่แท้จริง”

    กล่าวจบมันไม่พูดอะไรอีก หันกายเดินออกไปนอกถ้ำแล้วสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เหล็กแหวกอากาศขึ้นฟันศิลามากมายบนหน้าผาร่วงลงมาปิดตายอุโมงค์แห่งนี้ ไม่ว่าลมและฝน แสงและอากาศ ล้วนไม่อาจเข้าไป

     

    หนิงเชวียรออยู่บนกำแพงเมืองมาสามวันสามคืน คนบนโลกก็รอมาสามวันสามคืนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคนขายเนื้อในเมืองเล็กๆ หรือเหิงมู่ลี่เหรินที่เขตชิงเหอ พวกมันต่างนิ่งเงียบมาสามวันสามคืน รอว่าธนูของหนิงเชวียจะยิงไปที่ใด

    ก่อนหน้านี้มันอาจไม่ยิงธนูเหล็ก สิ่งที่เรียกว่าสุดยอดอาวุธสังหาร เวลาที่ไม่ใช้จะมีอำนาจข่มขู่คุกคามมากที่สุด แต่เมื่อมีการใช้ก็เท่ากับทำลายสมดุล หนิงเชวียจึงไม่กล้ากระทำการอย่างบุ่มบ่าม

    ยามนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป เจ้าอารามลงจากเขาเถาซานแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย ปีศาจสุราไม่จับตามองสถานศึกษาอีก โลกแห่งการฝึกฌานเสียสมดุลแล้ว และที่สำคัญกว่านั้นคือทั้งโลกรู้สึกได้ถึงความร้อนใจของหนิงเชวีย ดังนั้นวันนี้มันจึงต้องยิง

    นอกฉางอันปรากฏอุโมงค์สองสาย เป็นเมฆที่รวมตัวจนหนาแน่นเพราะธนูเหล็ก

    เมฆสองสายนี้ยืดยาวไปทางตะวันตกหลายสิบลี้แล้วหายไป เท่านี้ก็เพียงพอให้รู้แล้วว่าเป้าหมายคือที่ใด

    บนฟ้าปรากฏเมฆที่เป็นเส้นตรงสองสาย เหมือนท้องฟ้าในปีนั้นที่ปรากฏสายรุ้งจากผืนดิน ทั้งคู่ล้วนเป็นภาพอัศจรรย์ที่หาชมได้ยาก

    ราษฎรมากมายในฉางอันพาคนแก่คนเฒ่าลูกเด็กเล็กแดงมาชมดูและวิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน คาดเดากันว่าเซียนเซิงสิบสามยิงยอดฝีมือคนไหนของฝ่ายศัตรู การถกเถียงในโรงน้ำชาดุเดือดกว่าที่ไหนๆ บางคนเดาว่าเป็นฉานอวี๋ของราชสำนักจินจั้ง บางคนบอกว่าคือทาสที่ชื่ออาต่าซึ่งเป็นของขวัญที่เฮ่าเทียนประทานให้โลกมนุษย์…

    ทันทีที่สงครามเริ่มต้น แคว้นต้าถังเป็นศัตรูกับทั้งโลก ที่ชายแดนทุกเวลาทุกนาทีล้วนมีคนตาย ยากนักที่ราษฎรจะไม่รู้สึกกดดันและหดหู่ใจ วันนี้เมฆสองสายที่เกิดจากธนูปลุกเร้าขวัญกำลังใจของผู้คนได้สำเร็จ ถึงขั้นทำให้รู้สึกยินดีปรีดา

    หนิงเชวียก็มองเมฆสองสายบนฟ้าอยู่เช่นกัน แสงอาทิตย์ส่องต้องใบหน้ามันทำให้มันดูขาวขึ้น ในแววตาฉายแววยินดีอย่างอดไม่ได้ ธนูเหล็กสองดอกทำให้มันสูญเสียพลังไปมาก และทำให้มันประสบผลสำเร็จอย่างมากด้วยเช่นกัน

    โลกแห่งการฝึกฌานมีอาวุธบางอย่างที่อยู่ในระดับตำนาน เช่นกระดานหมากของปฐมพุทธะและกระดิ่งอวี๋หลัน เช่นอาวุธวิเศษที่มีบันทึกอยู่ในคัมภีร์นิกายเต๋า และเช่นคัมภีร์สวรรค์ที่ช่วงนี้เริ่มสำแดงฤทธานุภาพอันน่ากลัวในโลกมนุษย์ แน่นอนว่าไม่อาจลืมเมืองฉางอันแห่งนี้ที่จอมปราชญ์เป็นผู้สร้าง แต่อาวุธเหล่านี้ส่วนใหญ่เฮ่าเทียนเป็นผู้ประทาน หรือไม่ก็เป็นสิ่งตกทอดจากบุคคลระดับจอมปราชญ์และปฐมพุทธะ

    ส่วนอาวุธที่ผู้ฝึกฌานสร้างแต่สามารถแสดงอานุภาพได้ทัดเทียมระดับตำนานมีน้อยนัก บัดนี้ที่มีให้เห็น นอกจากถาดเหอซานที่ปราชญ์เมธีรุ่นก่อนของสถานศึกษาและปรมาจารย์ของสวนโม่ฉือช่วยกันสร้างแล้ว ก็มีเพียงปฐมธนูสิบสามดอกเท่านั้น

    จนถึงวันนี้ธนูเหล็กของหนิงเชวียโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว ผู้ฝึกฌานทั้งหมดต่างรู้ว่ามันคืออาวุธสังหารที่น่ากลัวสุดขีด แต่ผู้ที่เข้าใจหลักการของมันอย่างแท้จริง และเข้าใจว่าเหตุใดมันจึงมีอานุภาพร้ายกาจปานนั้น มีเพียงบรรดาคนที่ภูเขาด้านหลังสถานศึกษา

    ความแข็งแกร่งของปฐมธนูสิบสามดอกเกิดจากจินตนาการเพ้อฝันของหนิงเชวียในเบื้องต้น ประกอบเข้ากับประสบการณ์และความสามารถที่ประหลาดพิสดารของศิษย์สถานศึกษา มันแข็งแกร่งตรงที่มันคือธนูยันต์

    ผู้คนต่างคิดว่าปฐมธนูสิบสามดอกคือธนู แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่

    ธนูยันต์ไม่ใช่ธนู แต่คือยันต์

    หรืออาจควรมองปฐมธนูสิบสามดอกว่าเป็นยันต์ที่เขียนขึ้นด้วยธนู

    ทุกครั้งที่ธนูเหล็กยิงไปในโลก นั่นเท่ากับหนิงเชวียเขียนยันต์ขึ้นในโลก

    วินาทีที่ธนูเหล็กออกจากสาย ลายยันต์บนก้านธนูถูกขีดจนหมด ก็ยังไม่ได้หมายความว่ายันต์นั้นถูกเขียนอย่างสมบูรณ์ นั่นเป็นเพียงขีดแรกของยันต์เท่านั้น เมื่อธนูเหล็กปรากฏเบื้องหน้าเป้าหมายแล้วขีดสุดท้ายจึงจะถูกเขียน ถึงตอนนั้นค่อยพูดได้ว่าหนิงเชวียเขียนยันต์เสร็จสมบูรณ์

    ยันต์คือรูปร่างที่สมบูรณ์ หากขาดขีดใดขีดหนึ่งไปก็ไม่นับว่าสมบูรณ์ ขั้นตอนการยิงธนูของหนิงเชวียจึงเป็นขั้นตอนที่สมบูรณ์ ตั้งแต่ธนูเหล็กออกจากสายจนยิงถูกเป้าหมาย ขั้นตอนนี้ไม่มีทางถูกขัดจังหวะ เหตุนี้ธนูเหล็กเมื่อยิงออกไปจึงแข็งแกร่งอย่างมิอาจหยุดยั้ง

    ยันต์ขนาดใหญ่ที่ธนูเหล็กเขียนออกมาย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ย่อมไม่ต้องคำนึงถึงระยะห่างและกาลเวลา เหตุนี้ความยอดเยี่ยมของมันจึงเหนือล้ำยิ่งกว่าด่านไร้ระยะ ขณะเดียวกันเพราะยันต์เชื่อมโยงต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนถึงปลายสุด หนิงเชวียจึงไม่จำเป็นต้องมอง แต่จำเป็นต้องรู้ว่าขีดสุดท้ายต้องเขียนที่ใด เท่านี้มันก็ทำให้ธนูเหล็กยิงไปถึงที่นั่นได้แล้ว

    ในห้วงความนึกคิดขณะที่มันเขียนยันต์ ฉางอันกับทุ่งร้างตะวันตกที่ห่างไกลเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน สุดท้ายแล้วเมื่อลูกธนูยิงไปถึงลานหน้าผา ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเจ้าคณะฝ่ายเทศนา ยันต์จึงเขียนเสร็จ ระยะทางไม่อาจตัดยันต์นี้ให้ขาดและไม่อาจหยุดยั้งธนูเหล็ก หลังผนวกกับพลังของฉางอัน กายพุทธะที่เป็นอมตวัชระก็ไม่คณนามือ

    เริ่มแรกที่สถานศึกษาค้นคว้าปฐมธนูสิบสามดอกออกมาได้ ไม่มีใครเข้าใจหลักการของมันโดยสมบูรณ์ จวินโม่ไม่เข้าใจ หนิงเชวียก็ไม่เข้าใจ จนกระทั่งเนิ่นนานหลังจากนั้น ในเทศกาลบูชาแสงสว่างมันยิงชุยเหล่าไท่เหยียจากที่ไกลนับพันลี้ จึงพอเข้าใจ

    วันนี้ยิงธนูสองดอกไปยังทุ่งร้างสุดขอบโลกตะวันตกจากบนกำแพงเมืองฉางอัน มันก็เข้าใจเพิ่มเติมว่ายันต์ขนาดมหึมาแบบนี้ต้องเขียนอย่างไร และรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญต่อตัวมันอย่างใหญ่หลวงอย่างที่ไม่ด้อยไปกว่าการยิงเจ้าคณะฝ่ายเทศนา เพราะนี่เป็นความปรารถนาก่อนตายที่ซือฟูเหยียนเซ่อมีต่อมัน และเป็นเรื่องที่ชะตาของมันกำหนดมาให้ทำ

    แน่นอนว่าเป็นดังที่หลงชิ่งคาดการณ์ ปฐมธนูสิบสามดอกจำเป็นต้องมีผู้ช่วย มันและจวินโม่อยู่ห่างกันเป็นหมื่นลี้ ก่อนที่ธนูเหล็กจะปรากฏกาย ในขั้นตอนของการเขียนยันต์มันไม่อาจส่งข้อมูลใดๆ ไป มีแต่ต้องรอโดยหวังว่าศิษย์พี่รองจะคำนวณได้ว่ามันต้องการอะไร หวังว่าจะได้เห็นเจ้าคณะฝ่ายเทศนาในห้วงแห่งความนึกคิด

    จวินโม่สู้รบอยู่ที่โลกเบื้องล่างมาหลายปี แต่เคยบุกขึ้นเขาไปประมือกับเจ้าคณะฝ่ายเทศนาเพียงแค่ครั้งเดียว ความปรารถนาของหนิงเชวียดูเหมือนเพ้อฝันเลื่อนลอยในตอนแรก แต่มันกลับดึงดันจะทำเช่นนี้ เฝ้ารอถึงสามวันสามคืน

    ซึ่งความเป็นจริงประจักษ์แล้วว่าหนิงเชวียคิดถูก ระหว่างมันและจวินโม่ศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่มีการติดต่อใดๆ แต่มีความรู้ใจ รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร

    ไม่ต่างจากธนูยันต์ที่ไม่มีใครตัดให้ขาดได้

    หนิงเชวียไม่รู้สถานการณ์ในยามนี้ของวัดเสวียนคง ไม่รู้ว่าเจ้าคณะฝ่ายเทศนาถูกธนูยิงจนบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ แต่มันสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ายันต์สองรูปนั้นเขียนเสร็จสมบูรณ์ เช่นนั้นศิษย์พี่รองต้องจัดการเรื่องที่เหลือได้เรียบร้อยแน่

    เรื่องน่าเสียดายเพียงหนึ่งเดียวคือธนูเหล็กสองดอกทำให้มันสูญเสียพลังไปมาก การส่งพลังของฉางอันไปยังทิศตะวันตกที่ห่างไกลแม้ด้วยด่านฌานของมันในตอนนี้ก็ยังต้องรับความเสียหายอย่างหนัก เวลานี้ค่ายกลสยบเทวะกำลังเติมพลังจิตให้มันอย่างต่อเนื่อง แต่ในเวลาอันสั้นไม่อาจยิงธนูที่มีอานุภาพร้ายแรงเหมือนอย่างเมื่อครู่ได้ ไม่เช่นนั้นมันคงยิงจนหมดกระบอกจนกว่าเจ้าคณะฝ่ายเทศนาจะมรณภาพอย่างบริบูรณ์จึงรามือเป็นแน่ ไม่มีใครเข้าใจแจ่มแจ้งกว่ามันว่าการช่วยศิษย์พี่รองทำลายแดนพุทธในเร็ววันเป็นเรื่องสำคัญขนาดไหน

    จวินโม่หน่วงเหนี่ยวนิกายพุทธทั้งนิกาย รวมถึงราชสำนักโย่วจั้งและแคว้นเยวี่ยหลุนไว้ในทุ่งร้างตะวันตก ดูเหมือนเป็นการรับภาระหนักเพื่อสถานศึกษาและแคว้นต้าถัง แต่หนิงเชวียหวังให้มันกลับมาฉางอันมากกว่า กระบี่เหล็กเล่มนั้นควรเปล่งประกายบนเวทีที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น กระบี่เหล็กของมันควรสังหารยอดฝีมือที่แข็งแกร่งทรงพลังกว่านั้น อย่างเช่นคนที่กำลังเดินทางไปเขาเถาซาน

    หนิงเชวียละสายตามาจากกลุ่มเมฆสองสายบนฟ้าแล้วหันไปมองทางตะวันออก ในขณะที่ทุกคนคิดว่ามันเก็บธนูแล้ว มันกลับเอาลูกธนูขึ้นพาดสายอีกครั้ง จากนั้นยิงไปทางตะวันออกอย่างฉับพลัน!

    ราษฎรชาวฉางอันจำนวนมากกำลังชมความคึกคักอยู่ด้านล่าง เพราะกำแพงเมืองสูงลิบจึงมองไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้นด้านบน แต่พอจะเห็นการเคลื่อนไหวของหนิงเชวียได้รำไร

    เห็นมันน้าวสายอีกรอบอย่างกะทันหัน ด้านล่างกำแพงเมืองพลันเกิดเสียงฮือฮา ชาวบ้านมากมายแน่นขนัดราวกับคลื่นน้ำกรูกันไปทางนั้นเพราะอยากเห็นชัดๆ

    ผู้คนต่างพากันเงียบกริบเมื่อเห็นลูกธนูที่ออกจากสายพร้อมเสียงฟุบหายไปในสายลมเหมันต์ที่หนาวเย็น

    โอ้!

    คนนับหมื่นประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน นี่เป็นเสียงอุทานเพราะตกตะลึงและดีใจที่ได้เห็นภาพนี้ด้วยตาตนเอง ยิ่งเป็นการเพิ่มกำลังใจให้เซียนเซิงแห่งสถานศึกษา

    บนฟ้าปรากฏกลุ่มเมฆเส้นตรงอีกครั้ง ราวกับว่าลูกธนูเมื่อครู่ตัดพลังปฐมแห่งฟ้าดินหรืออาจถึงขั้นตัดฟ้าดินให้เกิดเส้นทาง แต่ที่จริงแล้วลูกธนูสร้างเส้นทางของตัวมันเอง เส้นทางที่ไม่ได้อยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ซึ่งก็คือเส้นทางเชื่อมโยงขีดของยันต์

    ธนูยันต์คือยันต์ที่เขียนด้วยธนู ปลายขีดสุดท้ายของยันต์ชุดนี้อยู่ที่เมืองเฉิงจิง!

     

    เมืองเฉิงจิงแห่งแคว้นเยี่ยนหิมะกำลังตก เมฆสีเทาหม่นโปรยเกล็ดหิมะขาวสะอาดลงมาไม่หยุด และส่วนลึกของชั้นเมฆพอจะเห็นได้ว่ามีสายฟ้าสีน้ำเงินอ่อนแลบอยู่เป็นระยะๆ สายฟ้าบางส่วนถึงกับทะลุออกนอกชั้นเมฆลงมาพร้อมเกล็ดหิมะสู่ผืนดินที่แห้งเย็น

    สายฟ้าแลบแปลบยามเหมันต์เป็นอะไรที่ประหลาดพิกล…

    หิมะในฤดูนี้พบเห็นได้เป็นประจำ ส่วนสายฟ้าแลบกลับยากนักจะพบเห็น ภาพนี้ช่างแปลกประหลาด ราวกับว่าแฝงไว้ด้วยอันตรายใหญ่หลวง หรือบางทีอาจมีพลังบางอย่างเคลื่อนที่ไปมาอยู่ในนั้น

    หลงชิ่งปัดเศษหิมะบนไหล่ออก มองไปทางส่วนลึกของเมฆนอกเมือง สายตาทะลุผ่านเกล็ดหิมะที่โปรยปรายไปยังที่สูงและห่างไกล สีหน้าเคร่งขรึม

    มันเห็นแขนเสื้อสีน้ำเงินที่สะบัดพลิ้วได้รำไร แต่ที่นั่นหิมะแน่นหนา สายฟ้าแลบถี่ยิบ มันจึงไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นคือความจริงหรือตาฝาดไปเอง

    จู่ๆ ท่ามกลางหิมะตกหนักก็มีเงาจางๆ พุ่งออกมา สายฟ้าหลายสายเสียดสีเงาร่างนั้นแล้วผ่าลงมา ภาพนี้ดูน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงจริงๆ

    หลงชิ่งแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เห็นในตอนนี้คือความจริง เพราะเงาร่างนั้นพุ่งมาถึงบนกำแพงเมืองเฉิงจิง มันถึงกับได้กลิ่นไหม้จางๆ

    เสื้อบุนวมของศิษย์พี่ใหญ่ถูกสายฟ้าในชั้นเมฆเผาไหม้ หากเมื่อครู่มันตอบสนองช้ากว่านี้ไปนิดเดียวอาจลาโลกไปแล้วก็เป็นได้ แม้รอดมาได้สภาพมันก็สะบักสะบอมเต็มที ปุยฝ้ายตรงรอยขาดของเสื้อบุนวมและเลือดที่ไหลออกมาผสมอยู่ด้วยกันจนดูเละเทะ

    หลงชิ่งพลันสีหน้าเคร่งขรึม เกล็ดหิมะกระจายไปโดยรอบ มือขวาคว้าเข้าไปในหิมะ ดอกท้อสีดำสนิทพลันปรากฏออกมาป้องกันอยู่เบื้องหน้า

    ในเมืองหลวงของแคว้นซ่งเซียนเซิงใหญ่ไม่ได้ลงมือกับมัน เพราะปีศาจสุราก็อยู่ที่นั่นด้วย ทั้งเพราะในมือมันมีคัมภีร์สวรรค์ เวลานี้แม้คัมภีร์สวรรค์ยังอยู่ในอกเสื้อ แต่มันแน่ใจว่าหลี่มั่นมั่นต้องลงมือกับตนแน่นอน…ไม่ว่าใครก็ล้วนคิดได้ว่าเซียนเซิงใหญ่เสี่ยงอันตรายฝืนใช้ด่านไร้ระยะมาปรากฏตัวที่เมืองเฉิงจิงเพื่อต้องการทำสิ่งใด

    จริงดังที่หลงชิ่งคาดการณ์ ศิษย์พี่ใหญ่พุ่งมายังกำแพงเมือง กระบองที่ดูเหมือนธรรมดาในมือฟาดมาที่ศีรษะมัน!

    หลงชิ่งไม่รอช้า มือขวายกดอกท้อสีดำขึ้นต้านรับ ส่วนมือซ้ายจับคัมภีร์สวรรค์เล่มทรายไว้แล้ว พร้อมสู้สุดกำลัง

    กระบองที่ดูธรรมดาแท้จริงแล้วมีความเป็นมาไม่ธรรมดา มันคือกระบองที่จอมปราชญ์ทำขึ้นหลังจากก่อตั้งสถานศึกษา ใช้สำหรับตีลูกศิษย์ที่ดื้อรั้นไม่ฟังคำสั่งสอน หลังจอมปราชญ์ขึ้นสวรรค์ กระบองนี้ย่อมส่งต่อให้ศิษย์พี่ใหญ่

    กระบองนี้เคยตีจนเจ้าอารามต้องหนีไปเกาะหนานไห่อยู่หลายสิบปี ไม่กล้ากลับขึ้นแผ่นดินใหญ่ และเคยสังหารจักรพรรดิแคว้นเยวี่ยหลุนที่หน้าเทือกเขาชงหลิ่ง เป็นการทำตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของกระบองนี้ อาจารย์ตีลูกศิษย์เป็นเรื่องที่สมควร ลูกศิษย์จึงไม่ควรหลบ ในเมื่อไม่ควรหลบ เช่นนั้นปกติแล้วจึงหลบไม่ได้

    หลงชิ่งรู้ว่าตนหลบกระบองนี้ไม่พ้นจึงได้แต่ใช้ดอกท้อแก่นฐานชีวิตต้านรับ ยามนี้ในร่างมันมีพลังจิตและดวงวิญญาณของผู้ฝึกฌานนิกายเต๋านับพันคน หากพิจารณาเฉพาะจำนวนมันไร้เทียมทานในโลก แต่เผชิญหน้ากับกระบองของเซียนเซิงใหญ่มันไม่กล้าดูแคลน จึงแสดงด่านฌานทั้งหมดโดยไม่ลังเล

    กระบองตีถูกดอกท้อ

    ดอกท้อย่อมร่วงโรย ศิษย์อาจารย์ของสถานศึกษาชอบทำลายดอกท้อของนิกายเต๋า จอมปราชญ์ตัดดอกท้อทั้งภูเขาจนเกลี้ยง หลังจากนั้นจึงมีเหตุการณ์มากมายตามมา

    ใบหน้าหลงชิ่งพลันซีดเผือด รอยแผลเป็นพลันชัดเจนขึ้นด้วยสาเหตุนี้ น่าเกลียดอัปลักษณ์ไม่เหมือนยามปกติที่ไม่สะดุดตาผู้คนแล้ว สองแขนมันสั่นไม่หยุด สองขาจมลงในกำแพงเมืองอย่างยากจะดึงขึ้นมา

    ดอกท้อสีดำสลายไป กรวดหินมากมายนำพาพลังปฐมแห่งฟ้าดินแผ่กระจายออกไปรอบทิศ อิฐหินที่กระเด็นขึ้นมาบนกำแพงเมืองล้วนสลายกลายเป็นฝุ่นธุลี

    ศิษย์พี่ใหญ่ไม่หยุดพัก หายเข้าไปในเมฆหิมะอีกครั้ง พุ่งทะลุสายฟ้าที่น่ากลัวเข้าไปไล่ตามแขนเสื้อสีเขียว

    สีหน้าหลงชิ่งยังนับว่าเรียบนิ่ง แต่แววตากลับหวาดหวั่น มันรู้แล้วว่าแขนเสื้อสีเขียวที่เห็นในตอนแรกนอกไปจากแขนเสื้อสีน้ำเงินก็เป็นของจริง เซียนเซิงใหญ่กำลังไล่ตามเจ้าอาราม เพียงแต่เห็นตนอยู่บนกำแพงเมือง จึงอยากลงมาตีสักหนึ่งกระบอง

    ตีธรรมดาหนึ่งกระบองก็ทำให้มันต้องแสดงพลังฌานทั้งหมดแล้ว หากเซียนเซิงใหญ่ตีอย่างตั้งใจจริงๆ มันจะต้านรับไหวหรือไม่

    หลงชิ่งครุ่นคิดปัญหานี้โดยไม่รู้เลยว่าปัญหาที่ร้ายแรงกว่ารอตนอยู่ มันไม่ทันได้สังเกตว่าลมหิมะหน้ากำแพงเมืองเหมือนหยุดไปชั่วขณะ

    มีธนูยิงมาจากฉางอัน

    ธนูดอกหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลงชิ่ง

    สีหน้าหลงชิ่งที่เดิมทีซีดเผือดเวลานี้กลับกลายเป็นแดงขึ้นมา ราวกับว่าเลือดที่ไหลอยู่ในเส้นเลือดสูบฉีดเร็วขึ้นจากเดิมหลายเท่าอย่างฉับพลัน

    เลือดของมันเริ่มเผาไหม้ในพริบตานี้ ความรู้สึกนึกคิดที่ยังเหลืออยู่ของพวกผู้อาวุโสนิกายเต๋าช่วยให้มันมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ทันในเวลาอันสั้น

    เบื้องหน้าหน้าอกมันมีดอกท้อสีดำบานออกมาหนึ่งดอก เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ดอกท้อดอกนี้เล็กกว่ามากนัก งดงามสดใสคล้ายอัญมณีล้ำค่า กลีบดอกสั่นระริกราวกับว่าจะสลายไปในสายลม เห็นแล้วทั้งน่าสงสารและน่าทะนุถนอม

    ดอกท้อสีดำดอกเล็กที่ดูเหมือนอ่อนแอดอกนี้ที่จริงแล้วน่ากลัวนัก ในกลีบดอกมีกระแสปราณแห่งการดับสูญรวมถึงพลังจิตมากมายหลายหลากไหลเวียนอยู่อย่างไม่สิ้นสุด

    ธนูเหล็กยิงถูกดอกท้อที่สั่นไหว

    หน้าอกของหลงชิ่งมีช่องว่างที่เคยถูกหนิงเชวียใช้ปฐมธนูสิบสามดอกยิง ดอกท้อสีดำดอกเล็กบานออกมาจากช่องว่างนั้น

    ดอกท้อดอกนี้ไม่ใช่ดอกท้อแก่นฐานชีวิตของมัน แต่เป็นชีวิตที่สองของมัน

    ครั้งนี้หลงชิ่งไม่ได้เตรียมจะมาให้หนิงเชวียยิงธนูทะลุร่างของตนอีก

    ชั่วขณะที่ดอกท้อต้านธนูเหล็กอยู่ สองมือมันไม่รู้ยกขึ้นมาที่เบื้องหน้าตั้งแต่เมื่อใด จับก้านธนูไว้แน่น

    ในลูกธนูมีพลังที่ยากจะจินตนาการได้ถ่ายเทออกมา แม้สิบนิ้วของหลงชิ่งผนึกพลังปฐมแห่งฟ้าดินจากสายลมไว้มากมายก็ยังไม่อาจกำราบมัน

    สองมือมันเกิดแผลฉีกขาดในทันใด โลหิตเริ่มไหลหลั่ง

    ขณะที่เลือดหยดแรกกำลังจะหยดจากก้านธนูก็มีมืออีกคู่จับบนก้านธนู เป็นมือขาวซีดที่ไม่เหมือนมือของมนุษย์

    นั่นยังคงเป็นมือของหลงชิ่ง

    ด้านหลังหลงชิ่งปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่งอยู่รำไร ดูมัวซัวท่ามกลางสายลม ราวกับว่าจะถูกพัดให้หายไปได้ทุกเมื่อ

    มือคู่ที่สองยังคงต้านธนูเหล็กไม่อยู่

    หลงชิ่งกู่ร้อง ด้านหลังพลันปรากฏเงาร่างขึ้นมากมาย เงาร่างเหล่านั้นเลือนรางยิ่งนัก มองเห็นรายละเอียดได้ไม่ชัดเจนภายใต้แสงอาทิตย์ แน่ใจได้เพียงว่าน่าจะเป็นคนที่ล้วนทำตามเจตนาของมัน

    ท่ามกลางเสียงกู่ร้อง เงาร่างเหล่านั้นร่วมกันยื่นมือออกมายังลูกธนู ดูไม่ผิดแผกกับผีนรกที่ควานหาอาหารอย่างทุรนทุราย และเหมือนวิญญาณบาปที่แสวงหาความหลุดพ้น

    มือนับร้อยคู่จับบนธนูเหล็ก มือบางมือเต็มไปด้วยแผลเน่าเปื่อย มือบางมือผอมเหมือนท่อนฟืน แต่มือส่วนใหญ่เหลือเพียงกระดูก สีของกระดูกก็ซีดเต็มที ไม่ใช่สีขาวแล้วแต่เป็นสีเทาขุ่นมัว

    ธนูเหล็กในที่สุดก็ถูกมือนับร้อยคู่จับไว้ ทว่าพลังของค่ายกลสยบเทวะที่ธนูนำพามายังแล่นผ่านมือเหล่านั้นไปที่ร่างหลงชิ่ง มันชิงดวงวิญญาณของผู้คนมา นำมือของคนตายเหล่านั้นมาใช้ มันย่อมต้องรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ส่งมาทางมือเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะหรือความเป็นศัตรูก็ตาม

    พลังของธนูเหล็กสั่งสมไว้ดั่งมหาธารา หยุดชะงักในตอนสุดท้าย แล้วปล่อยตูมออกมาทั้งหมดในชั่วพริบตา

    หลงชิ่งถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็วบนกำแพงเมือง สองเท้าไถไปกับพื้นจนก้อนอิฐแตกกระเด็นขึ้นมามากมาย ทำให้เกิดร่องลึกสองร่องยาวเป็นทาง

    กำแพงเมืองด้านนี้ยาวเจ็ดลี้

    มันถอยหลังอย่างต่อเนื่องก็ทิ้งร่องลึกยาวเจ็ดลี้

    สุดท้ายแล้วมันไม่อาจยืนได้มั่น จึงกระแทกเชิงเทินของกำแพงเมืองแล้วร่วงลงมาอย่างหนักหน่วงพร้อมเศษอิฐเศษหินกลาดเกลื่อน

    ฟิ้ว!

    พลังส่วนที่เหลือนำพาลูกธนูพุ่งไปไกล ไม่รู้ไปยังที่ใด

    กองกำลังทหารม้าพิทักษ์นิกายที่อยู่ใกล้กำแพงเมืองได้ยินเสียงผิดปกติจึงควบม้ามาดู พวกมันต้องเสียเวลาไปพอสมควรจึงดึงหลงชิ่งออกมาจากซากปรักหักพังได้

    สีเลือดบนใบหน้าหลงชิ่งจางไปแต่แรกแล้ว เวลานี้ซีดขาวราวคนตาย มันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับต้องยกมือปิดปากไออย่างทรมาน

    ในยามปกติมันเป็นเหมือนเทพสวรรค์ในสายตาของทหารม้าเหล่านั้น มันไม่เคยมีสภาพเช่นนี้มาก่อน เบื้องล่างกำแพงเมืองจึงเข้าสู่ภาวะเงียบสนิท

    ผ่านไปสักพักหลงชิ่งจึงค่อยรู้สึกผ่อนคลาย มองท้องฟ้าทางที่ลูกธนูหายไปอย่างใคร่ครวญ แววตามันเข้มแข็งไร้ความหวาดหวั่น

    หิมะทั่วฟ้าพลันหยุดตกราวกับว่าเฮ่าเทียนกำลังสำแดงปาฏิหาริย์ และในชั่วขณะสุดท้ายที่หิมะหยุดนั้นเอง สายฟ้าแลบในชั้นเมฆก็ถี่ยิบอย่างสุดขีด ทำให้ผู้คนบนผืนดินหวาดหวั่นใจ

    มีเพียงหลงชิ่งที่มองเห็นเสื้อบุนวมที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นอีกครั้งบนเมฆ จากนั้นก็เห็นว่าในที่ไกลออกไปมีชุดเขียวลอยล่องสะท้อนแสงอาทิตย์ สวยงามดั่งเทพเซียนเหาะเหิน

    เงาร่างสองสายหายไปอย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งถัดมาปีศาจสุราปรากฏตัวในที่นั้น มันมองทิศทางที่สองคนนั้นหายไปก่อนหันมามองหลงชิ่ง สายตาค่อนข้างซับซ้อนราวกับต้องการทำอะไรบางอย่าง

    หลงชิ่งสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ค้อมกายคารวะปีศาจสุรา

    ปีศาจสุรานิ่งเงียบอยู่ครู่ สุดท้ายก็หายไปโดยไม่ทำอะไร

    เวลานี้หลงชิ่งจึงค่อยผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่ สีหน้าขาวซีดลงอีกครั้ง

    ปรากฏการณ์อัศจรรย์ทางทิศเหนือของแคว้นเยี่ยนวันนี้คือการไล่ตามกันของยอดฝีมือด่านไร้ระยะสามคน เจ้าอาราม ศิษย์พี่ใหญ่ และปีศาจสุรา โดยเฉพาะสองคนแรกอยู่ใกล้กันมากจนก่อให้เกิดความปั่นป่วนในชั้นพลังปฐมแห่งฟ้าดิน สายฟ้าแลบและลมหิมะล้วนเกิดขึ้นจากสาเหตุนี้ พิจารณาจากตรงนี้จะเห็นว่าพวกมันใกล้เคียงกับเทพจริงๆ เหตุการณ์นี้คิดว่าภายหลังต้องถูกนำมาเล่าเป็นนิทานหรือจัดการแสดงร้องรำในโลกมนุษย์เป็นประจำอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนกลายเป็นเทวตำนานมากน้อยเท่าใด และทำให้ชาวบ้านราษฎรมากน้อยแค่ไหนแตกตื่น

    หลงชิ่งรู้ว่าการไล่ตามกันครั้งนี้คงไม่สิ้นสุดนอกเสียจากว่าใครคนใดคนหนึ่งในสามคนนี้หานางพบแล้ว รวมถึงการปั่นป่วนของพลังปฐมแห่งฟ้าดินด้วย สำหรับคนทั้งสามเรื่องนี้คือเรื่องสำคัญที่สุด คือปัญหาชี้ชะตา ต่อให้โลกนี้ต้องกลายเป็นทะเลเพลิงพวกมันก็ไม่สนใจ เหตุนี้ปีศาจสุราแม้สุดท้ายแล้วคิดสังหารมันแต่ก็ไม่ได้ลงมือ

    เผชิญหน้ากับจิตสังหารของปีศาจสุรา หลงชิ่งกลับสงบนิ่ง เพราะมีแต่ทำเช่นนี้จึงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ มันไม่คิดว่าตนจะสามารถชนะผู้เป็นตำนานในโลกแห่งการฝึกฌาน แต่ความสงบนิ่งของมันก็มาจากความมั่นใจด้วย เพราะมันรู้ว่าในการต่อสู้ด้วยด่านไร้ระยะอันสะท้านโลกครั้งนี้ อาจารย์ของมันต้องชนะแน่นอน

    ปีศาจสุราออกตัวช้า ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อทุกข์สุขในโลกมนุษย์ได้อย่างเจ้าอารามและปีศาจสุรา แค่เพียงมีใจผูกพันกับโลกมนุษย์ย่อมไม่อาจตัดขาดจากโลกิยะได้อย่างแท้จริง

     

    การต่อสู้ด้วยด่านไร้ระยะที่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เป็นไปตามที่หลงชิ่งคาดการณ์ ศิษย์พี่ใหญ่เสียเปรียบตั้งแต่ต้น และอาจเพราะสาเหตุนี้ก็เป็นได้มันจึงเผยร่องรอยที่เมืองเฉิงจิงโดยฟาดหลงชิ่งหนึ่งกระบอง มันอยากลองดูว่าจะทำให้เจ้าอารามหยุดชะงักได้บ้างหรือไม่ ทั้งเป็นการอาศัยโอกาสช่วยบรรดาศิษย์น้องกำจัดปัญหาไปด้วย

    น่าเสียดายที่หลงชิ่งในยามนี้เข้มแข็งกล้าแกร่งดุจเดียวกับที่มันสัมผัสได้ที่เมืองหลินคังและเมืองหลวงของแคว้นซ่ง หากไม่ตั้งใจจริงก็ยากจะสังหารมัน…การพยายามสังหารหลงชิ่งครั้งนี้ไม่ใช่แผนที่เตรียมการไว้ ทั้งหมดเป็นการตัดสินใจเฉพาะหน้า ธนูของหนิงเชวียเองก็เป็นการฉวยโอกาสยิงเมื่อสัมผัสได้ถึงสัญญาณทางตะวันออก

    ตอนนั้นพละกำลังของมันใช้ไปกับธนูสองดอกก่อนหน้านี้อย่างเต็มที่แล้ว ย่อมไม่อาจแสดงประสิทธิภาพโดยสมบูรณ์ แต่มันก็ยังยิงเพราะอยากทดสอบดูสักหน่อยว่าหลงชิ่งในยามนี้แข็งแกร่งถึงขั้นไหนแล้ว มันไม่อยากพลาดโอกาสเช่นนี้

    โลกนี้คนที่เข้าใจหนิงเชวียมากที่สุดแน่นอนว่าคือหลงชิ่ง แม้ว่าแต่ไหนแต่ไรหนิงเชวียไม่เคยยึดถืออีกฝ่ายว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่ก็เข้าใจในตัวหลงชิ่งไม่น้อยจากคำบอกเล่าของเยี่ยหงอวี๋และเฉิงลี่เสวี่ย มันรู้เรื่องราวหลายเรื่องที่หลงชิ่งต้องประสบพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นวิชาเนตรสีเทาหรือการทรยศนิกายเต๋า และอาจรวมถึงการดูดกลืนดวงวิญญาณและพลังฌานของยอดฝีมือมากมายในคุกมืดด้วย เหตุนี้มันจึงอยากทดสอบพลังฝีมือของอีกฝ่ายสักหน่อย

    ธนูเหล็กไม่อาจสังหารหลงชิ่ง หนิงเชวียออกจะเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ดังคำที่จวินโม่กล่าวกับเจ้าคณะฝ่ายเทศนาบนลานหน้าผา นอกจากคนไม่กี่คนนั้นแล้วสถานศึกษาไม่เคยคิดว่ามีคนที่ฆ่าไม่ตาย

    วันนี้ไม่ฆ่า ก็ฆ่าพรุ่งนี้แล้วกัน

    “ลำบากศิษย์พี่ทั้งสองแล้ว”

    หนิงเชวียคารวะไปทางตะวันตก จากนั้นก็คารวะไปทางตะวันออก

    มันเก็บธนูเข้ากล่อง จัดเก็บสัมภาระรวมถึงอาวุธและเสื้อผ้าแล้วเดินไปริมกำแพงเมือง มันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนที่ได้เห็นพระอัครมเหสีกระโดดลงไปจากที่นี่ นางในตอนนั้นตัดสินใจแน่วแน่และมีความสุขยิ่งนัก

    ใช่แล้ว เรื่องบางเรื่องต้องมีความแน่วแน่จึงจะพบความสุขได้

    หนิงเชวียคิดเช่นนี้แล้วก็หันกายคารวะต่อเมืองฉางอัน

    จากนั้นจึงกระโดดออกนอกเมือง

    ครู่ต่อมาหน้ากำแพงเมืองปรากฏเสียงกระแทกทึบ

    กรวดหินกระจัดกระจาย ฝุ่นควันฟุ้งตลบ

    พอฝุ่นควันหายตลบ ผืนดินหน้าเมืองก็ปรากฏให้เห็นหลุมขนาดใหญ่

    เงาร่างของหนิงเชวียหายไปแล้ว

     

    เหมันต์คราวนี้เป็นเหมันต์ที่หนาวเย็นที่สุดในรอบพันปี ลมหิมะพัดแรงไปทั่วโลก แม้แต่ท่าเรือของแคว้นเยวี่ยยังถูกแช่แข็ง เหมันต์นี้เองที่อาศรมเทพปราบปรามกวาดล้างนิกายใหม่ เยี่ยซูผู้เคยเป็นศิษย์สัญจรนิกายเต๋าถูกเผาด้วยอัคคีจนตายในเมืองหลวงของแคว้นซ่ง และต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาเยี่ยหงอวี๋แปรพักตร์ออกจากนิกายเต๋า

    เจ้าคณะฝ่ายเทศนาแห่งวัดเสวียนคงถูกขังในเขาปอเหร่อ ไม่รู้วันใดจึงออกมาได้ จวินโม่โบกสะบัดกระบี่เหล็กนำพาทาสนับหมื่นทำสงครามของตนที่โลกเบื้องล่างต่อไปจนเข้าใกล้แสงสว่างเข้าไปทุกที ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม แต่ขณะเดียวกันทหารม้าราชสำนักโย่วจั้งและกำลังเสริมจากวัดไป๋ถ่าก็ใกล้เข้ามาแล้ว

    อวี๋เหลียนและถังนำชาวฮวงกวาดล้างทุ่งร้างตะวันออกเป็นรอบสุดท้าย ส่วนหนิงเชวียที่เดิมควรอยู่รักษาเมืองฉางอันจู่ๆ ก็ออกมา ไม่รู้ไปยังที่ใด

    เจ้าอารามเฉินโหม่วหายไปไร้ร่องรอย ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสถานศึกษาหายไปไร้ร่องรอย ปีศาจสุราหายไปไร้ร่องรอย สามยอดฝีมือด่านไร้ระยะหายตัวไปในเวลาเดียวกัน ไม่มีใครพบร่องรอยของพวกมัน และไม่มีใครรู้ว่าพวกมันไปที่ใด

    แม้พฤติกรรมของยอดฝีมือเหล่านี้ทำให้คนทั้งโลกต่างรู้สึกเป็นกังวล แต่คนบนโลกถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ในโลก สงครามถึงอย่างไรก็ต้องดำเนินต่อไป ในที่สุดเหมันต์ที่หนาวเหน็บก็ผ่านพ้น ฤดูกาลเข้าสู่ต้นวสันต์ของปีที่สอง แคว้นต้าถังที่ถูกทั้งโลกโอบล้อมโจมตีเข้าเผชิญกับไฟสงครามอย่างนิ่งเงียบหากแต่เข้มแข็ง

    การศึกกับแคว้นเยี่ยนอยู่ในภาวะประจันหน้า ยามนี้แคว้นต้าถังขาดแคลนม้าศึก จำนวนทหารม้าน้อยกว่าปีที่แล้วมากจึงยากจะเสี่ยงอันตรายเข้าโจมตีอย่างสุดกำลัง การบุกลงใต้ของชาวฮวงก็พบกับอุปสรรคใหญ่ ราชสำนักจั่วจั้งที่เดิมทีเสื่อมโทรมลงแล้ว แต่หลังได้รับกองกำลังสนับสนุนจากอาศรมเทพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารม้าอาศรมเทพสองพันกว่านายที่หลงชิ่งนำมา ก็ถึงขั้นต่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมืองเฮ่อหลันในส่วนลึกของเทือกเขาเทียนชี่ไม่ได้เปิดออกเลย อวี๋เหลียนที่ร่องรอยไม่แน่นอนไม่ได้ปรากฏตัวที่ราชสำนักจินจั้ง บางทีอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ก็เป็นได้

    เรื่องที่ปลอบประโลมใจทุกคนในแคว้นต้าถังคือปัญหาที่นิกายเต๋าต้องเผชิญดูเหมือนมีมากกว่าฝ่ายตน…ต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาเยี่ยหงอวี๋ยังไม่ตาย นางอยู่แคว้นต้าเหอรับสานุศิษย์ผู้ศรัทธาอยู่ไม่ขาด เรื่องนี้ทำให้นิกายเต๋าปั่นป่วน ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของแคว้นต้าเหอ เยี่ยหงอวี๋เริ่มโอบอุ้มนิกายใหม่ ประนามเจ้านิกายสยงชูโม่รวมถึงเสินกวนและผู้ดูแลในอาศรมเทพว่าเป็นพวกไร้ยางอาย แอบอ้างตนว่าเป็นผู้กล่าวถ้อยคำแทนเฮ่าเทียน และเป็นคนบาปที่ทรยศ

    ในเวลาอันสั้นนิกายใหม่ที่เคยถูกปราบปรามก็เข้าสู่ช่วงของการแผ่ขยายอย่างรวดเร็วเพราะมีแคว้นต้าถังและแคว้นต้าเหอสนับสนุน ทั้งมีหน่วยพิพากษาคอยประสานงานอย่างลับๆ จึงเห็นร่องรอยของนิกายใหม่อยู่ทั่วตามแคว้นต่างๆ

    สานุศิษย์ของเยี่ยซูรวมถึงเฉิงจื่อชิงนำพาบรรดาศิษย์ศาลากระบี่สัญจรไปเผยแผ่มรรคอย่างต่อเนื่อง เปลวไฟที่เคยด้อยแสงจึงค่อยๆ สว่างรุ่งเรืองขึ้นมา สานุศิษย์นิกายเต๋าจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มนับถือผู้หยั่งรู้ที่ชื่อเยี่ยซู ส่วนเยี่ยซูจะเต็มใจให้เป็นเช่นนี้หรือไม่ ไม่มีผู้ใดสนใจแล้ว

    อาศรมเทพบันดาลโทสะออกโองการต่อเนื่องหลายโองการ คิดทำลายบารมีของเยี่ยหงอวี๋ให้หมดสิ้น ทว่าการสืบทอดตำแหน่งต้าเสินกวนหน่วยพิพากษามีกฎเกณฑ์ เจ้านิกายจึงไม่อาจสอดมือ เหตุนี้จึงทำได้เพียงใส่ร้ายความประพฤติและศรัทธาของนางไม่เลิก

    เรื่องที่ต้องทำต่อจากนั้นแน่นอนว่าคือการกำจัด แต่เยี่ยหงอวี๋เตรียมการล่วงหน้าไว้มากมาย ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีต่อนางต่างซ่อนตัวไปนานแล้ว การกวาดล้างอย่างเหี้ยมโหดจึงไร้ความหมาย ถึงตอนนี้ทุกคนรวมถึงเจ้านิกายต่างรู้แล้วว่าการบีบคั้นให้เยี่ยหงอวี๋ทรยศนิกายเป็นการกระทำที่เบาปัญญาจริงๆ

    นิกายเต๋าแตกแยก อาศรมเทพเจอลมมรสุม ดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้น ถึงขั้นหวาดกลัวต่อการดำรงอยู่ของนิกายใหม่

    ทุกหนแห่งมีแต่คนตาย สองข้างทางเต็มไปด้วยศพของสานุศิษย์นิกายใหม่ที่ถูกตรึงบนเสาไม้ท่ามกลางเสียงอีกาและกลิ่นคาวเลือด นี่กลายเป็นหัวข้อหลักของโลกมนุษย์ในปีนี้

    ทว่าศรัทธาเป็นเหมือนหญ้าป่า ยิ่งตัดยิ่งลุกลาม เมื่อถึงปีหน้ายามลมวสันต์โชยพัดมันจะยิ่งแพร่พันธุ์ขึ้นมาหนาแน่นกว่าเดิม เบื้องหลังกลิ่นคาวเลือดแฝงอันตรายอย่างไรไว้บ้างนิกายเต๋ารู้อยู่ชัด หากต้องการขจัดปัญหาเรื่องนิกายใหม่ก็ต้องลงมือที่ต้นตอ นั่นคือสังหารเยี่ยหงอวี๋และทำลายแคว้นต้าถังกับแคว้นต้าเหอ

    ทหารม้าอาศรมเทพหลายพันนายรวมถึงทหารหนานจิ้นจำนวนมากกว่านั้นมองแคว้นต้าเหอที่อยู่อีกฝั่งของมหานทีอันเชี่ยวกราก ผู้นำของคนเหล่านี้คือเจ้าหนานไห่ ส่วนนักพรตวัยกลางคนไม่รู้ไปที่ใดแล้ว หลายคนเดาว่ามันกลับไปอารามจือโส่ว

    สงครามเริ่มแล้ว แต่ยังไม่เข้าสู่ช่วงเวลาตัดสิน คนจำนวนมากกำลังรอผลแพ้ชนะระหว่างราชสำนักจินจั้งกับกองกำลังปราบแดนเหนือของต้าถัง และรอพวกสุดยอดฝีมือกลับสู่โลกิยะ

    ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดที่อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก รวมถึงการรอคอยอย่างนิ่งเงียบและช่วยอะไรไม่ได้ ไม่มีใครสังเกตเห็นร้านขายเนื้อเปิดใหม่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของหนานจิ้น เมืองเล็กๆ แห่งนั้นอยู่ทางทิศเหนือของแคว้น

    ความสำคัญของผลแพ้ชนะระหว่างแคว้นต้าถังและราชสำนักจินจั้งคงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง ส่วนพวกที่ไม่อยู่ในโลกิยะน่ะหรือ การหายไปของพวกมันเกิดจากการที่พวกมันพบความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง เจ้าอารามแน่ใจความจริงของเรื่องนี้ยิ่งกว่าผู้ใด พวกมันต้องการหาคนผู้หนึ่งให้เจอ

    หลังจากพบคนผู้นั้นแล้วจะทำอย่างไรต่อไป บางคนต้องการสังหารนาง บางคนอยากช่วยนาง ส่วนบางคนยังไม่ได้คิด แต่ละคนมีเจตนาต่างกันไป แต่ในเมื่อพวกมันยังไม่ได้กลับมาเข้าร่วมสงครามในโลกิยะก็แสดงว่าจนถึงบัดนี้พวกมันยังหานางไม่เจอ ใช่แล้ว แม้ว่าพวกมันเป็นยอดฝีมือด่านไร้ระยะ แต่คิดจะหานางให้เจอก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

     

    ทางเหนือสุดมีภูเขาหิมะซึ่งห่างจากแดนจงหยวนไกลลิบลับ หรืออาจกล่าวว่าห่างจากแดนโลกิยะไกลลิบลับ หรือกล่าวให้ถูกกว่านั้นคือที่นั่นห่างจากแดนโลกิยะไกลที่สุด ไม่ว่าจะเดินทางจากที่ไหนมุ่งไปทางเหนือ สุดท้ายแล้วต้องไปพบกับภูเขาหิมะลูกนี้ซึ่งอยู่ริมทะเลเร่อไห่ที่กลายเป็นน้ำแข็งไปนานแล้ว

    ที่นี่คือสถานที่ที่หนาวเย็นที่สุดในโลก ลมหายใจกลายเป็นไอเย็น หยดน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ต่อให้เป็นเหล็กกล้าที่แข็งแรงทนทานก็ทนรับการแข็งตัวในสถานที่ที่เย็นจัดเช่นนี้เป็นเวลานานไม่ไหว ดังนั้นวัสดุหลักที่ใช้สำหรับสิ่งปลูกสร้างริมทะเลเร่อไห่จึงเป็นไม้และหนังสัตว์

    ที่นี่เคยเป็นถิ่นฐานของชาวฮวง หลังชาวฮวงทั้งเผ่าอพยพลงใต้ ที่พักที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ จำนวนมากที่ถูกทิ้งไว้ก็กลายเป็นบ้านแสนสุขของสัตว์เขตหนาว เช่นจิ้งจอกหิมะและกระรอกดิน

    ด้านล่างภูเขาหิมะไม่มีคำว่าต้นฤดูวสันต์ ลมหิมะพัดหวีดหวิวไม่ต่างจากช่วงก่อนหน้านี้ เมฆหนาปกคลุมท้องฟ้ายามราตรี ทำให้ไม่เห็นดวงดาว และย่อมไม่เห็นดวงจันทร์เช่นกัน ทุกหนแห่งมืดมนอนธการ แม้แต่ภูเขาหิมะก็เป็นสีดำ

    ในบ้านหลังหนึ่งที่ชาวฮวงทิ้งไว้จู่ๆ ก็มีแสงตะเกียงไฟสว่างขึ้น สะดุดตาเป็นอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ดำมืด เรื่องน่าแปลกก็คือกระรอกดินสิบกว่าตัวนั่งกัดแทะผลไม้กลิ่นเหม็นอยู่บริเวณโคนต้นสน แต่ไม่กล้าเข้าใกล้ที่นั่น ราวกับว่าที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตที่พวกมันหวาดกลัวอาศัยอยู่

    แสงไฟส่องลอดหน้าต่างออกมาทำให้ทางเดินเล็กๆ หน้าบ้านสว่าง ครู่ต่อมามีเสียงฝีเท้า สตรีผู้หนึ่งถือถังน้ำหนักอึ้งเดินมา

    สตรีผู้นั้นเท้าสะเอวเดินช้าๆ ดูค่อนข้างเงอะงะ ระหว่างเดินทำน้ำกระฉอกออกมาจำนวนมาก เพราะหนาวจัดน้ำที่กระฉอกตรงขอบถังจึงแข็งตัวมีรูปร่างเหมือนเม็ดทราย น่าแปลกที่น้ำในถังไม่กลายเป็นน้ำแข็งไปด้วย แม้แต่ผิวหน้าก็ไม่มีกระทั่งน้ำแข็งชั้นบางๆ ถึงขั้นมีไอร้อนลอยฟุ้งขึ้นมาทำให้แสงไฟจากตะเกียงสลัวลง

    น่าตกตะลึงที่สตรีผู้นั้นสวมเสื้อผ้าบางเบา บนชุดเขียวที่ค่อนข้างเก่า ดอกไม้ที่เย็บปักอย่างงามวิจิตรบางลงไปมาก แต่นางกลับเดินเหมือนไม่รู้สึกถึงความหนาวเลย

    หลังเดินเข้าบ้านนางวางถังน้ำไว้ที่มุมหนึ่ง จากนั้นเดินไปที่โต๊ะริมหน้าต่าง แล้วมองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างเหม่อลอย

    นางค่อนข้างมีน้ำมีนวล กล่าวให้ถูกคืออ้วนหน่อยๆ การเคลื่อนไหวค่อนข้างเงอะงะ ที่น่าสนใจคือเอวนางออกจะใหญ่เกินไป

    แสงไฟส่องกระทบใบหน้านาง ดูแล้วนางยังอายุน้อยเหมือนช่วงที่ผ่านมา และเหมือนหมื่นปีที่ผ่านมา สีหน้านางยังคงเฉยชา แม้ว่ามองภูเขาหิมะก็ยังให้ความรู้สึกว่านางกำลังมองลงมาจากที่สูง

    แน่นอนว่านางคือซังซัง

    หรืออาจพูดว่าเฮ่าเทียน

     

     

    (ติดตามต่อได้ในเล่ม ‘สยบฟ้า พิชิตปฐพี 38’ วางขาย 25 สิงหาคม 2020)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    Facebook