ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี 34 บทที่ 1
บทที่ 1
ใจกลางฝ่ามือแห่งพุทธะ
หนิงเชวียถามว่า
“ถ้าฟันไม่ตายจะทำอย่างไร”
จวินโม่ตอบว่า
“เช่นนั้นก็เป็นข้าที่ตาย”
มันพูดอย่างเป็นธรรมชาติ แต่หนิงเชวียฟังแล้วกลับอกสั่นขวัญแขวน นิ่งเงียบอยู่นานก่อนเอ่ยปากอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ ปฐมพุทธะอาจยังไม่ตายจริงๆ ก็ได้”
จวินโม่ไม่เชื่อจึงตำหนิเสียงเข้มว่า
“เหลวไหล ปฐมพุทธะละสังขารไปนานแล้ว ถ้ามันยังอยู่ในโลกมนุษย์ อาจารย์จะไม่รู้ได้อย่างไร เฮ่าเทียนจะไม่รู้ได้อย่างไร”
หนิงเชวียทอดถอนใจว่า
“นางไม่แน่ใจว่าปฐมพุทธะตายหรือยัง ไม่เช่นนั้นคงไม่มาตรวจสอบที่วัดเสวียนคง”
ได้ยินดังนั้นจวินโม่ก็นิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนเอ่ยว่า
“อย่างนั้นก็หาให้เจอก่อนแล้วกัน”
ทั้งสองคนกลับไปที่กระโจมเล็กริมทะเลสาบ ซังซังหลับอยู่
ที่แท้เฮ่าเทียนก็เหนื่อยแล้ว พอได้ยินเสียงฝีเท้านางจึงลืมตามองหนิงเชวียแล้วเอ่ยว่า
“ข้าไว้ชีวิตมันก็ถือว่าตัดความสัมพันธ์ที่มีต่อโลกมนุษย์ส่วนนี้แล้ว”
จวินโม่เอ่ยว่า
“หน้าหุบเขาชิงสยาข้าเคยพูดว่าชีวิตข้าไม่จำเป็นต้องให้เฮ่าเทียนละเว้น”
หนิงเชวียเอ่ยอย่างหนักแน่นจากใจจริงว่า
“ความสัมพันธ์ที่มีต่อโลกมนุษย์ไม่ใช่เจ้าอยากตัดก็ตัดได้ มีเหตุผลหน่อยได้ไหม”
ซังซังลุกขึ้นนั่ง มองจวินโม่แล้วเอ่ยว่า
“ในเมื่อจะพูดกันถึงเหตุผล เช่นนั้นข้าก็สุดที่จะเข้าใจ การที่ปฐมพุทธะวางกับดักเพื่อสังหารข้าน่าจะเป็นเรื่องที่สถานศึกษาอยากเห็น แต่เหตุใดเจ้าจึงยืนอยู่ข้างข้า”
นางคือเฮ่าเทียน ย่อมรู้ได้จากสีหน้าของจวินโม่ว่าใจมันโน้มเอียงไปทางใด ส่วนการที่นางไม่เอ่ยถึงจุดยืนของหนิงเชวียเพราะนางคุ้นชินกับการติดตามของมันแล้ว
จวินโม่เอ่ยเสียงเรียบว่า
“เพื่อไม่รู้สึกละอายใจ”
ไม่รู้สึกละอายใจในที่นี้หมายถึงไม่รู้สึกละอายใจต่อสหายร่วมสำนัก
ส่วนคำพูดของหนิงเชวียตรงไปตรงมากว่านั้น
“สถานศึกษาไม่อาจเสียคนผู้นี้ไป”
เมื่อหนิงเชวียกับซังซังออกจากทะเลสาบและทุ่งหญ้าหน้าผนังผามาก็เดินไปทั่วที่ราบเบื้องล่างเพื่อค้นหาร่องรอยของปฐมพุทธะ
ตอนย่างปลาที่ริมทะเลสาบบางครั้งมันก็คิดว่าศิษย์พี่รองกำลังทำอะไรอยู่ กำลังถือกระบี่เหล็กฆ่าฟันชนชั้นสูงและหลวงจีนสัประยุทธ์ หรือกำลังถกเหตุผลกับพวกพุทธะบนแดนดินที่ไร้เหตุผล
นับแต่บัดนี้จนอาจเป็นเวลาหลายสิบปีที่ค่อยๆ ผ่านเลยไป จวินโม่คงใช้กระบี่เหล็กรบราฆ่าฟันอย่างไม่หยุดยั้งอยู่ในโลกอันน่าเวทนานี้ แดนพุทธที่เงียบสงบมานานคงต้องเผชิญกับกระแสคลื่นอันน่าหวาดหวั่น และวัดเสวียนคงที่กำลังใช้งานทาสนับล้านก็คงต้องขนพองสยองเกล้าเพราะความหวาดกลัวเป็นแน่แท้
พอนึกถึงภาพเหล่านั้น แม้แต่คนเลือดเย็นอย่างหนิงเชวียก็ยังรู้สึกเร่าร้อนฮึกเหิม เสียดายที่ไม่อาจสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับศิษย์พี่เพราะตอนนี้มันมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ และแม้ว่าเสร็จเรื่องของปฐมพุทธะและเฮ่าเทียนแล้วมันก็ยังต้องกลับฉางอันไปทำเรื่องที่สำคัญใหญ่หลวงของโลกมนุษย์ให้เสร็จด้วย
การเดินทางค้นหาปฐมพุทธะดำเนินต่อไป หนิงเชวียกับซังซังเดินไปทั่วที่ราบอันกว้างใหญ่ก้นหลุมยุบ แต่ก็ไม่พบเงื่อนงำอะไร ทั้งคู่นิ่งเงียบลงเรื่อยๆ
การไม่รู้ทำให้คนเราไม่สบายใจ และสำหรับผู้ที่เดิมทีเป็นผู้รู้ทุกเรื่องก็ยิ่งไม่สบายใจมากกว่าคนทั่วไป
หลังจากเหยียบย่ำไปทั่วที่ราบก็วนกลับมาขึ้นยอดเขาอีกครั้ง ซังซังเดินกลับไปกลับมาท่ามกลางวัดจำนวนนับไม่ถ้วนในป่าเขา ครุ่นคิดอยู่เบื้องหน้าพระพุทธรูปที่งามสง่า และยืนเหม่อลอยมองฟ้าที่ริมผา
ที่หอวินัยของยอดเขาตะวันตก พวกมันยืนใต้ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า ฟังเสียงไม้ฟาดบนตัวหลวงจีนอย่างหนักหน่วง
ที่ยอดเขาตะวันออก พวกมันยืนในเงาของศิลาริมผา มองหลวงจีนสัประยุทธ์กระทืบพื้นไม่หยุด
ในมหาวิหารที่ยอดเขา พวกมันเห็นชีเนี่ยนกำลังทำสมาธิ ในกระท่อมหลังมหาวิหาร เห็นหลวงจีนชราซูบผอมรูปหนึ่งกำลังต้มข้าวต้ม จากนั้นเห็นระฆังโบราณใบหนึ่ง
วัดเสวียนคงบนยอดเขาดูร่มรื่นเงียบสงบต่างจากโลกเบื้องล่างโดยสิ้นเชิง เห็นภาพนี้แล้วหนิงเชวียก็ไม่เข้าใจ นิกายพุทธประกาศตนว่าเมตตากรุณา พวกมันฝึกฌานอย่างสงบบนยอดเขา ปุถุชนคนธรรมดาเบื้องล่างได้รับความทุกข์ เมื่อนั่งอยู่บนเขาแล้วนึกถึงเบื้องล่าง ใจจะสงบได้อย่างไร จะทำสมาธิได้อย่างไร
ในวิหารแห่งหนึ่งส่วนล่างของยอดเขา หนิงเชวียพบคนรู้จักซึ่งก็คือหวงหยางต้าซือที่ออกจากฉางอันกลับมาวัดเสวียนคงเพื่อศึกษาวิถีพุทธอีกครั้ง ตอนนี้ซังซังอยู่ที่อื่น หวงหยางจึงเห็นแต่มัน
หวงหยางต้าซือค่อนข้างตกใจ หนิงเชวียเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาให้ฟังคร่าวๆ อีกฝ่ายถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องราวมากมายขึ้นในโลก จึงเอ่ยว่า
“เจ้าควรไปจากที่นี่โดยเร็ว”
หนิงเชวียขมวดคิ้วถามว่า
“วัดเสวียนคงเกิดเรื่องหรือ”
หวงหยางต้าซือส่ายหน้า
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร ดังนั้นคงจะเกิดเรื่อง”
หวงหยางต้าซือคือพระอนุชาของจักรพรรดิองค์ก่อนของต้าถัง มีฐานะสูงส่งในโลกิยะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มันเป็นที่ต้อนรับที่วัดเสวียนคง ทว่าหลายวันมานี้แม้ทางวัดยังให้ความเคารพเหมือนเดิม แต่ไม่มีหลวงจีนสักรูปมาเยี่ยมเยียน เหมือนทางวัดจงใจกีดกันมัน เรื่องนี้ทำให้มันรู้สึกหวาดระแวง
พอเห็นหนิงเชวีย หวงหยางต้าซือจึงรู้ถึงต้นเหตุของเรื่อง
ในทุ่งร้าง ซังซังเหยียบเจ้าคณะฝ่ายเทศนาจมธรณี แต่เจ้าคณะยังไม่ตาย การที่วัดเสวียนคงรู้ข่าวการมาของนางและหนิงเชวียจึงไม่เหนือความคาดหมาย
หนิงเชวียไม่ได้กังวลใจ นี่เรียกว่าเฮ่าเทียนอยู่เคียงข้าง ใครก็ไม่อาจต้าน
หวงหยางต้าซือรู้ว่ามันคิดอย่างไร แต่ไม่ค่อยเห็นด้วย จึงถอดสร้อยประคำที่ข้อมือแล้วยัดใส่มือมัน เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า
“แม้ปฐมพุทธะทรงเมตตา แต่ก็มียามที่พิโรธ”
เมื่อได้ยินคำว่าปฐมพุทธะทรงเมตตาในวัดเสวียนคง หนิงเชวียก็รู้สึกหงุดหงิดด้วยจิตใต้สำนึก จึงเดินไปที่บันไดหินหน้าวิหารแล้วชี้ไปยังโลกเบื้องล่างที่ถูกเมฆหมอกบดบัง ถามว่า
“ที่นั่นมีความเมตตาหรือ”
หวงหยางต้าซือรู้ว่ามันเดินอยู่ในโลกเบื้องล่างนานแล้วจึงเอ่ยว่า
“นานมาแล้วที่ปฐมพุทธะใช้ปณิธานอันแรงกล้าบุกเบิกแดนพุทธ สร้างวัดมากมายบนยอดเขา ทั้งรวบรวมคนบาปหนาจำนวนมากมายเหลือคณานับมาทำนาและเลี้ยงสัตว์ที่นี่เพื่ออุปถัมภ์เหล่าหลวงจีนและได้รับการอบรมจากพุทธธรรม หวังว่าจะล้างบาปให้พวกมันได้”
หนิงเชวียเอ่ยว่า
“ล้วนเป็นคำโป้ปด ไม่ต้องพูดถึงว่าคนธรรมดาที่ถูกปฐมพุทธะจับมามีบาปหนาจริงหรือไม่ ต่อให้มีจริงก็มีกฎหมายในการลงโทษพวกมันอยู่แล้ว ปฐมพุทธะเป็นแค่ผู้ฝึกฌานคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรมากำหนดบาปความผิดของผู้อื่น อีกอย่างหนึ่งต่อให้คนพวกนั้นมีบาปกรรมหนักหนาจริงๆ ถึงขั้นเลวทรามมาสิบชั่วอายุคน แต่ชนรุ่นหลังของพวกมันก็มีบาปด้วยอย่างนั้นหรือ ทำไมต้องให้พวกมันอาศัยอยู่ในสถานที่อัปรีย์ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันเช่นนี้ไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า”
หวงหยางต้าซือนับถือปฐมพุทธะ ย่อมไม่อาจเห็นด้วยกับการวิพากษ์วิจารณ์ของมัน แต่ก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่อาจโต้แย้งได้ จึงนิ่งเงียบไปนานก่อนเอ่ยว่า
“ชีวิตนี้ทุกข์ระทม ชีวิตหน้าอาจสุขสำราญ”
หนิงเชวียอยู่บนบันไดหินหันไปมองพระพุทธรูปในวิหารพลางเอ่ยว่า
“ต่อให้ชีวิตหน้ามีสุขแค่ไหน แต่จะทดแทนความทุกข์ยากไม่รู้กี่ชั่วอายุคนได้อย่างไร ปฐมพุทธะที่พวกท่านบูชาช่างเลวทรามต่ำช้าจริงๆ”
“อาจจะเป็นเรื่องผิด แต่กฎที่ปฐมพุทธะตั้ง ผู้ใดกล้าฝ่าฝืน”
“จุดประสงค์ของการฝึกวิถีพุทธคือใจสงบ บรรดาหลวงจีนนั่งอยู่บนยอดเขารับการปรนนิบัติจากพวกทาส หรือพวกท่านใจสงบได้จริงๆ? เข้าถึงฌานสมาธิได้จริงๆ?”
“หลวงจีนส่วนใหญ่ในวัดทั้งชีวิตไม่เคยลงจากยอดเขา”
“แต่พวกมันไม่ใช่คนโง่ และรู้ดีว่าโลกเบื้องล่างเป็นเช่นไร อีกทั้งวัดเสวียนคงก็ต้องเข้าสู่โลกิยะ เวลาที่พวกหลวงจีนสัประยุทธ์ไปแดนโลกิยะ หรือเวลาที่ยอดฝีมือเช่นท่านและชีเนี่ยนจะออกจากหลุมยุบก็ต้องผ่านที่ราบเบื้องล่าง พวกท่านไม่เห็นคนน่าสงสารพวกนั้นอยู่ในสายตาได้อย่างไร”
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล วัดเสวียนคงมีการสืบทอดมาไม่รู้เป็นเวลานานเท่าไร ย่อมมีพระเถระที่ทรงคุณธรรมและมีเมตตาอย่างแท้จริง ต่อให้ต้องขัดแย้งกับพระวินัยของปฐมพุทธะพวกมันก็อยากเปลี่ยนแปลง ทว่าพวกมันล้วนทำไม่สำเร็จ เรื่องที่ทำให้พระเถระเหล่านั้นทำอะไรไม่ถูกก็คือตอนที่พวกมันตั้งใจทำการกบฏ บรรดาทาสเหล่านั้นกลับไม่อยากทำตาม ราวกับว่าความทุกข์ยากคือที่พึ่งในชีวิตของพวกมันไปแล้ว”
“ศรัทธาคือสิ่งเสพติดอย่างหนึ่ง หากต้องการงดเว้นแรกสุดต้องยอมยากลำบาก จะล้มเลิกง่ายๆ เพราะเจอความลำบากแค่ช่วงเวลาหนึ่งแบบนี้ได้อย่างไร”
“แต่ถ้าแดนพุทธพังทลายจะทำอย่างไร”
“สถานที่อัปรีย์เช่นนี้พังก็พังไป ไฉนต้องสนใจ”
หวงหยางต้าซือส่ายหน้าอย่างจนปัญญาพลางคิดในใจว่าเจ้าเป็นคนนอก คิดเช่นนี้ย่อมไม่ผิด ทว่าหลวงจีนในวัดเป็นศิษย์ของปฐมพุทธะ จะให้นิ่งเฉยมองแดนพุทธพังพินาศไปต่อหน้าต่อตาคงทำไม่ได้
หนิงเชวียเอ่ยต่อไปว่า
“ถ้าพระเถระพวกนี้มีเมตตาจริงจะทนอยู่ได้อย่างไร”
“แม้ไม่อาจทนก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่จากไป”
“ดังนั้นสมัยก่อนท่านจึงออกจากวัดเสวียนคงแล้วกลับฉางอัน?”
“ถูกแล้ว หลวงจีนที่ออกจากวัดเสวียนคงเช่นข้ายังมีอีกมาก ฉีซานต้าซือสมัยยังหนุ่มอ่านคัมภีร์พุทธจนแตกฉาน รู้แจ้งในพุทธธรรมอย่างถี่ถ้วน เจ้าคณะแห่งวัดเสวียนคงในเวลานั้นจึงเห็นว่าเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง ทว่าต้าซือทนเห็นคนธรรมดาเบื้องล่างต้องรับความทุกข์เข็ญมิได้ จึงออกจากสำนักไปวัดลั่นเคอ”
หนิงเชวียมองพระพุทธรูปทองคำในวิหาร นึกถึงฉีซานต้าซือที่ทำงานหนักมาเป็นเวลานานจนเจ็บป่วยในถ้ำที่เขาหว่าซาน มันนิ่งเงียบอยู่นานก่อนเอ่ยว่า
“ใจที่ไม่อาจทนเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ต่างหากที่เป็นใจแห่งพุทธะ”
หนิงเชวียกลับไปที่ลานกว้างริมผาแล้วแหวกต้นชิงเถิงเข้าไปยังใต้ต้นไม้หน้าที่พำนักเดิมของเหลียนเซิง
มันไม่รู้ว่านี่คือต้นอะไร จำได้เพียงหลายวันก่อนที่มาต้นไม้ทั้งต้นออกดอกสีขาวมาเพียงดอกเดียวซึ่งถูกลมพัดไปที่ไหล่มัน และตอนนี้เหน็บอยู่ที่จอนผมซังซัง
ผ่านไปเพียงไม่กี่วันต้นไม้นี้ก็ออกดอกสีขาวเล็กๆ มาเต็มต้น เบ่งบานท่ามกลางใบไม้เขียวที่ไม่หนาแน่น กลิ่นหอมสดชื่นที่ขจรขจายออกมาคลุกเคล้ากับสายลมแล้วพัดพาไปไกล
ซังซังเดินมาข้างกายมัน เหมือนอย่างที่นางพูดไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่ว่าหนิงเชวียจะอยู่ที่ไหนนางก็หามันเจอได้อย่างง่ายดายไม่มีทางคลาดกันอย่างเด็ดขาด
สายลมเย็นพัดมาบริเวณหน้าผาทำให้ใบไม้เขียวและดอกไม้ขาวสั่นไหว ใบไม้เขียวหนาขึ้นและดอกไม้ขาวเฉาลงอย่างทันตาเห็น เป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ใจ
มีเพียงดอกไม้ขาวที่ทัดหูซังซังอยู่เท่านั้นที่ยังสวยสดงดงามอยู่ดังเดิม
แม้ใบไม้เขียวหนาขึ้นดอกไม้ขาวเฉาลงก็ไม่ได้หมายความว่าต้องหดหู่ใจ อาจถึงคราวเก็บเกี่ยวก็เป็นได้ เพราะมีเพียงในยามที่ดอกไม้ร่วงโรยเท่านั้นต้นไม้จึงออกผล เพียงไม่นานลูกหลีก็ออกผลมาเต็มต้น หนิงเชวียจึงรู้ว่าที่แท้ต้นไม้ริมผาคือต้นหลี มันเด็ดลูกหลีมาดูก็เห็นว่าลูกหลีชนิดนี้เล็กกว่าลูกหลีทั่วไปมากนัก สีเขียวที่เปลือกอ่อนจางเสมือนสีหยก ดูแล้วน่าจะมีรสชาติหวานฉ่ำ
หนิงเชวียเคยเห็นลูกหลีชนิดนี้ ซังซังก็เคยเห็น เมื่อหลายปีก่อนในถ้ำหลังพระพุทธรูปศิลาที่เขาหว่าซาน ฉีซานต้าซือนำผลหนึ่งมาให้ซังซังกิน ซังซังแบ่งให้หนิงเชวียครึ่งหนึ่ง
ลูกหลีชนิดนี้มีรสชาติอร่อยจริงๆ
หนิงเชวียมองลูกหลีในมือแล้วลังเลเล็กน้อย ถึงขั้นหวาดระแวง เพราะครั้งที่แล้วที่มันกับซังซังกินลูกหลีชนิดนี้ก็เข้าสู่ห้วงภวังค์แห่งความฝัน และถูกดูดเข้าไปในกระดานหมากของปฐมพุทธะ
ถ้าหมดสติในเวลาอื่นคงไม่มีปัญหา ทว่าตอนนี้มันกับซังซังอยู่ที่วัดเสวียนคง
หนิงเชวียสงสัยว่าเหตุใดหลวงจีนในวัดถึงได้สงบนิ่งนัก ต่อให้พวกมันหาซังซังและตนไม่เจอก็น่าจะร้อนรนกังวลใจกันบ้าง ทว่าวัดวาอารามมากมายบนยอดเขายังคงเป็นปกติ พวกที่สวดมนต์ก็สวดมนต์ พวกที่นั่งกรรมฐานก็นั่งกรรมฐาน หอวินัยยังคงลงโทษบรรดาหลวงจีนที่ทำผิด ส่วนหลวงจีนสัประยุทธ์ก็กระทืบพื้นไม่หยุด
ยามเช้าตีระฆังยามเย็นตีกลองอย่างจิตใจแจ่มใส วัดเสวียนคงในยามนี้สงบนิ่งเกินไปแล้ว
พวกหลวงจีนในวัดกำลังรออะไรกันแน่ รอเหตุปัจจัยที่นิกายพุทธมักเอ่ยถึง? รอเสี้ยววินาทีแห่งการเกิดเหตุปัจจัย? แล้วเสี้ยววินาทีนั้นอยู่ที่ใด หรือว่าอยู่ที่ต้นหลีต้นนี้?
หนิงเชวียมองลูกหลีในมือแล้วขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นยอดเขาก็มีเสียงระฆังดังกังวานอย่างสุดขีด
แบบนี้ยังสงบใจได้ไหม
หนิงเชวียไม่รู้สึกอย่างนั้น เมื่อเสียงระฆังดังเข้าโสตประสาท หัวใจมันพลันหดตัวคล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นบีบโดยแรงจนกำลังจะแหลกกระจุย!
เสียงระฆังเสียงนี้ไม่อาจทำให้ใจสงบ มีแต่ทำให้ใจหวาดหวั่น!
หนิงเชวียหน้าซีดเผือดในพริบตา เจ็บปวดจนแทบบีบลูกหลีในมือแหลก
จากนั้นมันก็กระอักเลือดพรวดออกมา!
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่มือของซังซังทะลุผ่านสายลมเย็นบริเวณหน้าผามาจับมือมันแน่น
ความเป็นเทพที่แข็งแกร่งและบริสุทธิ์ถ่ายเทจากมือนางเข้าปกคลุมทั้งกายใจของหนิงเชวียทันที ทำให้หัวใจที่ปริแตกของมันฟื้นฟูสู่สภาพเดิมด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการ
พอหนิงเชวียพ้นจากสถานการณ์สิ้นหวังก็มองไปยังจุดที่เสียงระฆังดังมา ปกเสื้อเต็มไปด้วยคราบเลือด ใบหน้าก็มีเลือดติด ความหวาดกลัวในดวงตายังคงหลงเหลือยากลบเลือน
เสียงระฆังกังวานดังมาจากมหาวิหาร มาจากระฆังโบราณที่มันกับซังซังเคยเห็น ทว่ามันไหนเลยจะคาดคิดว่าเสียงระฆังจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ ด้วยการฝึกลมปราณสุดไพศาลมายาวนานทำให้ร่างกายมันแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ดาบหรือธนูธรรมดาไม่ระคายผิวหนังมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหัวใจที่อยู่ภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลมปราณสุดไพศาลห่อหุ้มเป็นชั้นๆ ทว่าเสียงระฆังเพียงครั้งเดียวของวัดเสวียนคงกลับกระแทกหัวใจมันจนแตก ทำให้มันเกือบตาย!
เมื่อรับรู้ถึงความอบอุ่นในมือ หนิงเชวียก็รับรู้ถึงภาวะที่เรียกว่าซังซังอยู่ในกำมือ โลกนี้ก็คือของข้าอีกครั้ง ต่อให้เสียงระฆังนี้จะน่ากลัวแค่ไหน ต่อให้วัดเสวียนคงจะแข็งแกร่งเพียงใด ขอเพียงข้าจับมือซังซังไว้แน่น เช่นนั้นต่อให้เจ้าสับข้าเป็นชิ้นๆ ข้าก็ไม่ตาย นี่คือข้อสรุปที่หนิงเชวียได้รับหลังผ่านความทุกข์ทรมานแห่งเลือดและน้ำตาในวิหารเทพแสงสว่างและศาลามืด มันมั่นใจเต็มเปี่ยม เมื่อจับมือซังซังแล้วมันก็ไม่กลัวอีกต่อไป ทั้งฟังเสียงระฆังนั่นได้อย่างจริงจังด้วย
เสียงระฆังดังกังวานไม่หยุดอยู่ระหว่างผนังผาและในวัดจำนวนนับไม่ถ้วน ฟังดูห่างไกล
จากนั้นก็เริ่มมีเสียงสวดมนต์ปนเข้ามาในเสียงระฆัง
เหล่าหลวงจีนในวัดจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังสวดมนต์ เสียงสวดฮึมฮัมจับใจความไม่ได้เลยว่าพวกมันกำลังสวดคัมภีร์เล่มไหน
วัดวาอารามในโลกล้วนเริ่มวันใหม่ด้วยเสียงระฆัง เรียกว่าระฆังยามเช้า
เมื่อระฆังยามเช้าดังแล้วบรรดาหลวงจีนตื่นขึ้นมาสวดมนต์อย่างศรัทธา เรียกว่าการทำวัตรเช้า
วัดเสวียนคงตื่นแล้ว แดนพุทธแท้จริงที่ปฐมพุทธะสร้างไว้ในโลกมนุษย์ก็เริ่มเผยโฉมหน้าแท้จริงของมันเช่นกัน
พุทธรัศมีปรากฏขึ้นบนลานกว้างริมผา ปกคลุมซังซังไว้ภายใน
หนิงเชวียเห็นภาพนี้แล้วร่างกายพลันหนาวเหน็บ หัวใจคล้ายหยุดเต้น
เพราะมันระลึกได้ถึงภาพภาพหนึ่งในวิหารหลังวัดลั่นเคอเมื่อหลายปีก่อน
ฤดูสารทเมื่อหลายปีก่อนเคยมีแสงแห่งพุทธะทะลุวิหารลงมายังร่างซังซัง แสงแห่งพุทธะสายนั้นทั้งเมตตาและโหดเหี้ยมอำมหิต ภายใต้แสงแห่งพุทธะซังซังหน้าซีดเผือด ร่างอันบอบบางดูเล็กลงกว่าเดิม นางหลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆ มองหนิงเชวียที่อยู่นอกแสงแห่งพุทธะ นับแต่นั้นนางก็กลายเป็นบุตรีของหมิงหวังที่ต้องรับความทุกข์ทรมานและความหวาดกลัวอย่างไม่จบไม่สิ้น จากนั้นก็ถูกคนทั้งโลกตามล่าไปด้วยกันกับหนิงเชวีย
สำหรับหนิงเชวียและซังซังมิต้องสงสัยเลยว่าแสงแห่งพุทธะในครั้งนั้นคือจุดพลิกผันที่สำคัญครั้งหนึ่งของชีวิต เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นความจริงแล้วเริ่มต้นจากแสงแห่งพุทธะนั่น
อย่างนี้แล้วหนิงเชวียจะจำไม่ได้ได้อย่างไร
ยามนี้เห็นพุทธรัศมีบนลานกว้าง เห็นซังซังในพุทธรัศมี มันคล้ายย้อนกลับไปในอดีต อารมณ์หดหู่และความทุกข์ทรมานล้วนประดังเข้ามาในห้วงสมอง
“อย่า!”
มันตะโกนอย่างเจ็บปวดใจ
พุทธรัศมีปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน เชื่อมต่อลานกว้างริมผากับท้องฟ้าเข้าด้วยกัน แม้แต่ซังซังก็แยกไม่ออกว่าลำแสงนี้ลงมาจากบนฟ้าหรือโผล่ขึ้นมาจากเบื้องล่าง
กล่าวให้ถูกกว่านั้นได้ว่าพุทธรัศมีเชื่อมต่อลานกว้างริมผากับชั้นเมฆเข้าด้วยกัน
ส่วนบนของยอดเขาไม่รู้มีเมฆจำนวนมากลอยมาตั้งแต่เมื่อใดจนปกคลุมท้องฟ้าสีครามโดยสมบูรณ์
ซังซังสองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองลึกเข้าไปในพุทธรัศมีด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เดิมทีหน้านางก็ขาวอยู่แล้ว ยามนี้ถูกแสงสว่างส่องฉายยิ่งขาวราวหิมะ
ในเมื่อเอาสองมือไพล่หลังก็แน่นอนว่านางไม่ได้จับมือหนิงเชวียแล้ว
เพราะต่อให้เป็นนาง เมื่อเผชิญหน้ากับพุทธรัศมีสายนี้ก็ไม่อาจแยกสมาธิมากจนเกินไป
ทว่าต่อมานางก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างเจ็บปวดใจของหนิงเชวียที่ดังมาจากด้านหลัง แม้แต่พุทธรัศมีก็ไม่อาจทำให้นางขมวดคิ้ว แต่เสียงของหนิงเชวียกลับทำให้คิ้วนางขมวดได้
นางหันไปถามว่า
“อย่าอะไร”
หนิงเชวียได้รับผลจากพุทธรัศมีด้วย กำลังกระอักเลือดอย่างทรมาน และเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของซังซังสีหน้าจึงซีดเผือด ไหนเลยจะคิดว่าเรื่องราวจะกลับกลายไปไม่เหมือนอย่างที่ตนคิดไว้เลยแม้แต่นิดเดียว
มันมองซังซังในพุทธรัศมี ไม่รู้ควรพูดอะไรดี
ซังซังไม่อ่อนแอหรือน่าสงสารเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว นางไม่ร้องไห้ ไม่กระอักเลือด ไม่หวาดกลัว และไม่ตะโกนเรียกชื่อมัน ร่างนางสูงใหญ่ปานนั้น แม้แต่พุทธรัศมีหมื่นจั้งก็ไม่อาจบดบังรัศมีของนางแม้แต่น้อย
มันจึงค่อยคิดได้ว่าซังซังโตแล้ว
ตอนนี้นางคือเฮ่าเทียนที่ทำได้ทุกอย่างและรู้ทุกเรื่อง ไม่ใช่สาวใช้ตัวน้อยที่ไม่อาจอยู่ห่างจากมันอีกต่อไป นางไม่จำเป็นต้องให้มันปกป้องแล้ว ตรงกันข้ามนางเป็นฝ่ายที่เริ่มปกป้องมัน
“ไม่มีอะไร”
หนิงเชวียเอ่ยยิ้มๆ จากนั้นก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงกระอักเลือดอีกรอบ
ซังซังเริ่มหงุดหงิด คิดในใจว่ามนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญจริงๆ เดี๋ยวก็ตกใจ เดี๋ยวก็ยิ้ม นางคำนวณไม่ถูกเลยว่าสมองของมันคิดอะไรอยู่กันแน่
แต่พอเห็นเลือดที่ไหลออกจากมุมปากของหนิงเชวีย นางก็คิดว่าตนเข้าใจความหมายของมันแล้ว
ด้วยด่านฌานของหนิงเชวีย หากไม่มีนางจับมือมันย่อมเจ็บปวดทรมานภายใต้อานุภาพของพุทธรัศมี มันบอกว่า ‘อย่า’ คืออย่าให้ตนปล่อยมือมัน ส่วนที่บอกว่า ‘ไม่มีอะไร’ นั่นก็เป็นความหยิ่งทะนงที่ไร้สาระของสัตว์เพศผู้
“ข้าไม่ว่าง”
ซังซังบอกมัน
“เจ้ากางร่มเองไม่ได้หรือไร”
เมื่อก่อนเป็นนางที่กระอักเลือด ตอนนี้ถึงตามันที่กระอักเลือด…หนิงเชวียกำลังจมอยู่กับความเสียใจที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนี้ พอได้ยินประโยคนี้จึงได้สติ รีบหยิบร่มดำออกมากาง
นับแต่ฤดูสารทปีนั้นที่วัดลั่นเคอ ในช่วงหลายปีมานี้ร่มดำก็ถูกทรมาทรกรรมจนแทบไม่เหลือชิ้นดี แม้หนิงเชวียใช้ผ้าเก่าที่นำกลับมาจากใต้ต้นไม้หยกต้นนั้นมาซ่อมแซมแล้ว แต่หน้าตาที่ได้ออกมาก็ยังอัปลักษณ์เยี่ยงเสื้อผ้าของขอทานที่มีรอยปะมากมายอยู่ดี และเพราะมีเศษดินที่นานแล้วไม่ได้ล้างติดอยู่ด้วย ร่มนี้จึงไม่งดงามเหมือนดอกบัวดำบานสะพรั่งอย่างสมัยก่อน
แต่หนิงเชวียมีหรือจะสนใจ พอพบว่าร่มดำต้านทานพุทธรัศมีได้จริงๆ ก็ดีใจสุดขีด จากนั้นจึงมองตามสายตาของซังซังไปยังส่วนลึกของพุทธรัศมี หมายดูให้แน่ชัดว่าศัตรูอยู่ที่ใด
มันรู้สึกดีมาก ซังซังก็รู้สึกดีมาก ในที่สุดวัดเสวียนคงก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง นางนอกจากไม่กลัวแล้วยังเฝ้ารอด้วย ขอเพียงมีการเปลี่ยนแปลงก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะเงื่อนงำของปฐมพุทธะอาจปรากฏให้เห็นก็เป็นได้
ทว่าการเปลี่ยนแปลงในเวลาต่อมาออกจะเหนือความคาดหมายของทั้งคู่
เสียงสวดมนต์ที่ดังกังวานบริเวณหน้าผาเริ่มพร้อมเพรียงขึ้น เสียงระฆังที่ดังกังวานมาจากที่ห่างไกลไม่ได้ดังกลบเสียงสวดมนต์ แต่เหมือนลมจากเครื่องสูบลมที่ช่วยให้เสียงสวดมนต์ดังยิ่งขึ้น
เมื่อเสียงระฆังและเสียงสวดมนต์เกิดการเปลี่ยนแปลง พุทธรัศมีที่ลานกว้างริมผาก็เปลี่ยนตาม สีของแสงใสยิ่งขึ้น พุทธานุภาพที่แฝงอยู่ก็น่ากลัวมากขึ้น
ซังซังยังคงยืนสองมือไพล่หลังอยู่ในพุทธรัศมีด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ส่วนมือที่จับด้ามร่มของหนิงเชวียนั้นสั่นระริกจนจับด้ามร่มได้ลำบากขึ้นเรื่อยๆ มันรีบยัดลูกหลีเข้าไปในแขนเสื้อแล้วจับด้ามร่มด้วยสองมือจึงค่อยแข็งขืนยืนหยัดอยู่ได้
บนยอดเขา หลังมหาวิหารแห่งวัดเสวียนคง
ข้างระฆังโบราณไม่มีหลวงจีน แต่ระฆังแกว่งเองท่ามกลางสายลม
เสียงระฆังดังไปทั่วยอดเขามหึมา ดังไปทั่วที่ราบเบื้องล่าง และดังไปจนถึงผนังผาที่ห่างไกล จากนั้นก็สะท้อนกลับไปกลับมาไม่หยุด ฟังนานๆ อาจเข้าสู่ห้วงภวังค์ได้
บนบันไดหินหน้ามหาวิหาร หลวงจีนหลายสิบรูปนั่งขัดสมาธิ ประนมมือ หลับตา สงบใจพลางสวดมนต์ไม่หยุดตามท่วงทำนองของเสียงระฆังราวกับกำลังร้องเพลง
ชีเนี่ยนนั่งอยู่หน้าสุด ถ้อยคำในคัมภีร์ที่ยอดฝีมือนิกายพุทธผู้พากเพียรฝึกฌานผนึกโอษฐ์ผู้นี้สวดในวันนี้มากกว่าถ้อยคำที่มันพูดในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่รู้กี่เท่า อานุภาพในเสียงสวดก็สุดที่จะประมาณได้
หลวงจีนหลายสิบรูปที่เหลือล้วนชราภาพ คิ้วขาวยาวราวกับจะห้อยลงมาถึงเอว สองมือที่ประนมอยู่เหี่ยวย่นเสียยิ่งกว่าเปลือกของต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดบนยอดเขา เห็นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นบุคคลผู้มีอาวุโสระดับสูงในวัดเสวียนคง
ในมหาวิหารก็มีคนกำลังสวดมนต์ ชีเหมยต้าซือผู้เคยถูกศิษย์พี่ใหญ่ใช้กระบวยฟาดจนบาดเจ็บสาหัสที่เทือกเขาชงหลิ่งคุกเข่าสวดมนต์อย่างศรัทธาอยู่หน้าพระพุทธรูป ศีรษะด้านหลังของมันผิดรูปไปอย่างมาก เสียงสวดที่ออกจากปากค่อนข้างคลุมเครือ ทว่าเมื่อออกไปนอกวิหารกลับชัดเจนยิ่งนัก
ในวิหารใหญ่จำนวนมากมายทั้งที่ยอดเขาตะวันออกและยอดเขาตะวันตก หลวงจีนจีวรแดงจำนวนหลายร้อยนั่งขัดสมาธิอยู่บนลานกว้างริมผา สองมือประนม สีหน้าแน่วแน่ สวดมนต์ไม่หยุด
ในวัดหลายสิบหลังที่อยู่กลางหมอกบริเวณไหล่เขา หลวงจีนจีวรเทาหลายพันรูปนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องกรรมฐาน สองมือประนม สีหน้ากังวล สวดมนต์ไม่หยุด
ในวัดหลายร้อยหลังที่มืดมนบริเวณเชิงเขา หลวงจีนจีวรสีต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าพระพุทธรูป สองมือประนม สีหน้างงงัน สวดมนต์ไม่หยุด
บนที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ก้นหลุมยุบ คนธรรมดานับล้านกำลังคุกเข่าหันหน้าไปทางวัดเสวียนคง ไม่ว่าเสื้อผ้าจะขาดรุ่งริ่งหรือสวมใส่เครื่องเงินเครื่องทอง สีหน้าล้วนศรัทธา สวดอธิษฐานไม่หยุด
ตำแหน่งในแดนพุทธต่างกัน เสื้อผ้าที่สวมใส่จึงต่างกัน ท่าทีการแสดงออกก็ต่างกันด้วย ยอดฝีมือนิกายพุทธไม่จำเป็นต้องนั่งหน้าพระพุทธรูป หลวงจีนธรรมดาจำเป็นต้องอาศัยปฐมพุทธะเพื่อเพิ่มความกล้า สุดยอดฝีมือสีหน้าสงบนิ่ง ยอดฝีมือสีหน้าแน่วแน่ ผู้มีฝีมืออ่อนด้อยสีหน้ากังวล ส่วนหลวงจีนที่สีหน้างงงันไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เช่นเดียวกับสานุศิษย์ที่สีหน้าศรัทธาซึ่งอยู่บนที่ราบ พวกมันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าพวกมันมีศรัทธาที่มั่นคง แม้พวกมันไม่เคยศึกษาคัมภีร์ แต่ผลของการอธิษฐานกลับแข็งแกร่งที่สุด
แต่ไม่ว่าจะเป็นคนประเภทไหน พวกมันล้วนกำลังสวดมนต์และอธิษฐาน
เสียงระฆัง เสียงสวดมนต์ และเสียงสวดอธิษฐานดังอยู่ทุกหนแห่งในแดนพุทธ
ชั้นเมฆที่สงบนิ่งค่อยๆ ปรากฏร่องรอยมากมาย ร่องรอยเหล่านั้นคือเงาของพระสูตรที่ส่องไปยังเมฆ
พระสูตรแท้จริงลอยอยู่กลางอากาศ ตัวอักษรน้อยใหญ่จำนวนนับพันหลังเปล่งแสงสีทองจางๆ ออกมาก็ลอยผ่านศีรษะคนเลี้ยงสัตว์ ลอยผ่านวัดวาอาราม ลอยผ่านต้นไม้ แล้วไปรวมตัวเรียงต่อกันบนท้องฟ้า
ที่ราบอันมืดมนถูกตัวอักษรสีทองพวกนี้ส่องจนสว่างโชติช่วง
เหล่าสานุศิษย์ที่คุกเข่ากันอยู่อย่างเนืองแน่นสีหน้าเผยอารมณ์ซาบซึ้งสะเทือนใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ พวกมันศรัทธามากยิ่งขึ้นและเคารพพุทธะมากยิ่งขึ้น เสียงสวดอธิษฐานพร้อมเพรียงและกังวานขึ้นเรื่อยๆ
ริมทะเลสาบแห่งหนึ่งใกล้ผนังผา เมื่อเทียบกับพวกคนเลี้ยงสัตว์ที่คุกเข่า จวินโม่ที่ยืนนิ่งอยู่ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ร่างของมันดูโดดเดี่ยวแต่เข้มแข็ง
พอมันเห็นตัวอักษรสีทองที่ลอยไปทางยอดเขามหึมาแล้วคิ้วก็เลิกขึ้น
ตัวอักษรที่เปล่งแสงสีทองจำนวนนับพันมารวมตัวกันจากทั้งสี่ทิศ แล้วหมุนวนช้าๆ รอบยอดเขามหึมา ทำให้วัดวาอารามและต้นไม้บนยอดเขาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ส่วนพุทธรัศมีบนลานกว้างสว่างมากยิ่งขึ้น
ในพุทธรัศมีหนิงเชวียหน้าซีดเผือด สองมือจับด้ามร่มแน่น ยืนหยัดอยู่ได้อย่างเต็มกลืน
ซังซังกำลังมองส่วนลึกของพุทธรัศมี ใบหน้าขาวขึ้นเรื่อยๆ แต่นางยังคงไม่ลงมือ เพราะนางยังอยากดูให้แน่ชัดก่อนว่าพุทธรัศมีมาจากที่ใดกันแน่ และปฐมพุทธะอยู่ที่ใด
หนิงเชวียมองแผ่นหลังนางอย่างเป็นกังวล แม้มันไม่รู้จักเคล็ดวิชาสวดมนต์ท่ามกลางเสียงระฆังของวัดเสวียนคง และไม่รู้ว่าพวกตัวอักษรที่เปล่งสีทองกลางอากาศหมายความว่าอย่างไร แต่มันเป็นผู้มีพรสวรรค์ในมรรคาแห่งยันต์อันดับหนึ่งของโลก อาศัยเพียงสัญชาตญาณก็สันนิษฐานได้ว่าถ้าตัวอักษรพวกนี้เรียงตัวกันได้สมบูรณ์ก็ถึงเวลาโจมตีที่แท้จริงของนิกายพุทธ ถึงเวลานั้นซังซังต้องรับมือได้ยากแน่ แล้วเหตุใดนางจึงยังไม่ลงมือ
ซังซังเงยหน้ามองลึกเข้าไปในพุทธรัศมีอยู่นานมาก
ก่อนจะมองพื้นที่เหยียบอยู่แล้วเอ่ยว่า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้”
ยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดเสวียนคงแห่งนี้คือยอดเขาที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลก
ทว่ากลับซ่อนอยู่ในหลุมยุบมาตั้งแต่โบราณกาล หากมองจากพื้นผิวโลกจะเห็นเป็นเพียงเนินเขาเล็กๆ ธรรมดาๆ
ความหมายของมันย่อมสอดคล้องกับมรรคาแห่งพุทธ
ยอดเขาแห่งนี้ที่แท้คือคนที่สูงที่สุดในโลกแต่ไม่ต้องการปรากฏตัวให้ใครเห็น
ลานกว้างริมผาแห่งนี้ไม่ใช่ลานกว้างริมผา แต่เป็นฝ่ามือที่แบขึ้นฟ้าของคนผู้นั้น
ต้นหลีริมผาก็ไม่ใช่ต้นหลี แต่เป็นดอกไม้ที่คนผู้นั้นคีบอยู่หว่างนิ้วมือ
คนผู้นั้นคือปฐมพุทธะ
หนิงเชวียกับซังซังยืนอยู่บนลานกว้างริมผา ยืนอยู่ข้างต้นหลี ที่จริงแล้วคือยืนอยู่กลางฝ่ามือของปฐมพุทธะ และยืนอยู่ใต้ดอกไม้ขาวที่ปฐมพุทธะคีบอยู่!
ซังซังเด็ดดอกไม้ขาวตรงจอนผมลงมาแล้วโยนทิ้งไป มองยอดเขาพร้อมเอ่ยเยาะว่า
“ยอดเขานี่เป็นเพียงศพของเจ้า ไม่ใช่เจ้า แค่นี้ก็คิดจะขังข้าไว้ในฝ่ามือของเจ้าหรือ”
ถูกแล้ว ยอดเขาลูกนี้ไม่ใช่ปฐมพุทธะ แต่เป็นสิ่งที่แปลงมาจากซากร่างของปฐมพุทธะหลังละสังขาร
ทว่าถึงอย่างไรก็เป็นซากร่างของปฐมพุทธะผู้ซึ่งสูงที่สุดในโลก
ใครเลยจะหนีออกจากฝ่ามือแห่งปฐมพุทธะได้