• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน สองนครสิบห้าวัน ครั้งที่1

    บทนำ

     

    เมืองจินหลิงคืนนี้ไม่เหมือนกับคืนก่อนๆ

    เริ่มจากกิ่งหลิวเล็กบางริมแม่น้ำฉินไหวสั่นโยก ตามมาด้วยกรวดห้าสีบนเขาอวี่ฮวาไถกระทบกันไปมาเกิดเป็นเสียงคร่ำครวญเล็กๆ ขณะเดียวกันบนผิวน้ำดำทะมึนของทะเลสาบโฮ่วหูที่อยู่ทางตอนเหนือของเมืองก็ปรากฏระลอกคลื่นวงแล้ววงเล่าอย่างไร้ที่มากระทบเข้ากับฝั่งกำแพงเมืองและฝั่งตีนเขาชินเทียนที่อยู่ตรงกันข้ามไม่หยุดหย่อน กระทั่งภายในหอเป่ยจี๋บนยอดสุดของเขาชินเทียน โซ่เหล็กที่ล้อมตรึงเครื่องจำลองฟ้าซึ่งหลอมจากสำริดหนาหนักมั่นคงเฉกเช่นดาวเหนือไม่มีวันเปลี่ยนทิศ บัดนี้ทั้งสี่ด้านก็สั่นไหวกระทบกันดังลั่น

    ใต้ดวงจันทร์สลัวราง ทัศนียภาพงดงามทั้งในและนอกเมืองจินหลิงกลายเปลี่ยนเป็นภาพสัญญาณควันลอยละล่องออกมาจากหอสัญญาณหอแล้วหอเล่าต่อเนื่องถึงกัน เป็นลางบอกเหตุชวนประหวั่น ทันใดนั้นเองระฆังใหญ่ในวัดจีหมิง วัดชิงเหลียง วัดต้าเป้าเอิน และตำหนักเฉาเทียนต่างก็ดังขึ้นเองโดยไม่มีคนเคาะ ราวกับถูกมือขนาดยักษ์ที่มองไม่เห็นจับเขย่า เพียงชั่วพริบตาเสียงระฆังถี่กระชั้นสับสนก็ดังก้องไปทั่วทั้งเมือง

    ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองยังคงหลับใหล แผ่นดินจู่ๆ ก็สั่นสะเทือนหนักหน่วงรุนแรง

    พุทธองค์ตรัสว่าแผ่นดินไหวมีหกลักษณะ คลอนโคลง ผุดปะทุ ซ่านกระเจิง ไหวสะเทือน กัมปนาท พังทลาย ยามนี้ลักษณะทั้งหกที่ว่าล้วนเกิดขึ้นพร้อมกัน เขาจงซานสั่นไหวแม่น้ำฉินไหวเชี่ยวกราก ในเมืองราวกับถูกม้าคลั่งนับพันตัวย่ำเกือกเหล็กบุกตะลุยเข้ามา ไม่ว่าจะคฤหาสน์ขุนนางสองฝั่งถนนฉางอันหรือบ้านเรือนราษฎรบนถนนเชาคู่ที่ด่านซีสุ่ย ไม่ว่าสามพระที่นั่งในวังหลวงหรืออู่เรือของกองกิจการแม่น้ำหลงเจียง ไม่ว่าจะป้อมปราการของประตูจวี้เป่าหรือเจดีย์กระเบื้องแก้วในวัดต้าเป้าเอินที่ยังสร้างไม่เสร็จก็ต่างสั่นสะเทือนด้วยแรงมหาศาลนี้

    เมืองงดงามอลังการแห่งต้าหมิงยามนี้ไม่ต่างอันใดกับนักโทษที่หมอบคลานอยู่บนพื้น กำลังก้มหัวรอรับการเฆี่ยนโบยอันทรงพลานุภาพจากสวรรค์ ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น นาฬิกาน้ำทองคำชุบในตำหนักเฟิ่งเทียนก็สั่นสะเทือนจนล้มคว่ำ แกนบอกเวลาของมันหยุดค้างชั่วนิรันดร์อยู่ที่รัชศกหงซีแห่งต้าหมิงปีที่หนึ่ง เดือนห้า วันที่สิบแปด (ฤกษ์วันติงไฮ่)* ยามจื่อ**

     

     

    บทที่ 1

     

    มิ้งๆ…มิ้งๆ…

    จิ้งหรีดเงาเป็นมันตัวหนึ่งขยับไหว ส่งเสียงร้องกระจ่างชัด แค่ดูจากหัวปูดโปนหนวดแดงเขี้ยวดำของมันก็รู้ได้แล้วว่าเป็นขุนศึกองอาจห้าวหาญ ยามนี้มันกำลังไต่ไปตามกราบเรือแคบยาว มองซ้ายมองขวาด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง

    กราบเรือที่เสมือนภูเขานี้ยาวประมาณห้าจั้ง* สำหรับจิ้งหรีดแล้วถือว่าใหญ่โตมหึมาไม่ใช่น้อย ทว่าที่จริงมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกราบขวาฝั่งท้ายเรือโหลวฉวน** ขนาดยักษ์ลำนี้เท่านั้น เรือลำนี้มีความยาวทั้งหมดถึงสามสิบจั้ง ทั้งลำถูกทาไว้ด้วยสีแดงดำสองสี ก้นแคบบนกว้าง เสากระโดงหนาใบเรือใหญ่ คล้ายเรือ ‘เป่าฉวน’ ของขันทีซานเป่าที่ใช้ท่องทะเลตะวันตก***

    หากมันเป็นเรือเป่าฉวนจริง ระหว่างเสากระโดงทั้งสองข้างก็ควรจะมีเพียงดาดฟ้าเรือเรียบๆ ชั้นเดียวเท่านั้น แต่บนเรือลำนี้กลับมีหอสูงสี่ชั้นงดงามห้อมล้อมด้วยรั้วระเบียงแกะสลัก หลังคาทรงเซียซาน**** มุมหลังคางอนเชิด กระเบื้องเกล็ดปลาแต่ละชั้นล้วนส่องประกายระยิบระยับอยู่ใต้แสงตะวัน การออกแบบจัดวางโอ่อ่ากว่าเรือเป่าฉวนหลายเท่านัก ทว่าหากออกทะเลจริงคงไม่แคล้วถูกคลื่นยักษ์สาดซัดพลิกคว่ำในครึ่งวัน

    โชคดีที่เรือลำนี้มิได้ออกทะเล มันเพียงลอยอยู่กลางแม่น้ำฉางเจียง หัวเรือหันไปทางทิศตะวันตก ท้ายเรือหันไปทางทิศตะวันออก เพียงระลอกคลื่นเล็กๆ ในแม่น้ำไหนเลยจะสั่นคลอนวัตถุใหญ่โตเช่นนี้ได้ ดังนั้นเจ้าจิ้งหรีดจึงหมอบร้องก้องระงม ส่งเสียงไปยังแม่น้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาอยู่บนขอบสูงเหนือกราบเรือได้อย่างมั่นคง

    จู่ๆ สวิงเส้นทองเล็กๆ ปากหนึ่งก็ตกลงมาจากฟ้าคลุมตัวมันเอาไว้ภายใน ปากสวิงถูกยกขึ้นน้อยๆ มุมหนึ่ง จิ้งหรีดที่ตกใจมุดหาทางหนีอย่างสุดกำลัง ในที่สุดมันก็กระโดดเข้าไปในกระปุกดินเผาที่เปิดรออยู่

    “ฮ่าๆ สำเร็จแล้ว!”

    จูจันจีรีบปิดฝา ใช้นิ้วปัดๆ รูระบายอากาศรูปลายสลักเหรียญตรงด้านบนพลางยิ้มกริ่มก่อนลุกขึ้นจากพื้น

    จิ้งหรีดตัวนี้ชื่อ ‘ไซ่จื่อหลง’ เป็นขุนพลตัวโปรดที่เขาฝึกฝนเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ใครจะไปนึกว่า ‘ไซ่จื่อหลง’ ตัวอยู่ค่ายเฉา ใจอยู่แคว้นฮั่น หลบหนีออกจากกระปุกไป กว่าจะจับมันกลับเข้าค่ายได้จูจันจีก็อดทนหาทั่วลำเรืออยู่เป็นนาน

    เขาใช้มือซ้ายประคองกระปุก มือขวาสองนิ้วเคาะคราหนึ่ง ปากพึมพำเบาๆ “ถ่ายทอดคำสั่งสามเหล่าทัพ ข้าต้องการตัวจ้าวอวิ๋น มิต้องการศพจื่อหลง*”

    ยังไม่ทันร้องบทละครท่อนหลัง ขันทีเฒ่าในชุดเทียหลี่** ปักลายบนบ่าก็วิ่งโซซัดโซเซเข้ามาพร้อมตะโกนเสียงสั่น “องค์รัชทายาท…องค์รัชทายาท! ได้โปรดอยู่ห่างกราบเรือด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ แม่น้ำคลื่นลมแรง หากไม่ระวังพลาดพลั้งตกน้ำตกท่า แม้กระหม่อมตายสักหมื่นครั้งก็หาพอไม่”

    จูจันจีหัวเราะเสียงดัง “ต้าปั้น*** ดูท่าเจ้าคงไม่รู้อันใดจริงๆ เรือนี้เทียบได้กับเรือรบที่จุได้สองพันเลี่ยว**** เชียวนะ แค่แม่น้ำสายหนึ่งไหนเลยจะทำมันโคลงเคลงได้” พูดจบเขาก็ชูกระปุกขึ้น “เจ้าดู! ไซ่จื่อหลงกลับค่ายแล้ว”

    “ดีๆ จับกลับมาได้ย่อมดียิ่งนัก” ขันทีเฒ่าเดินไปหยุดอยู่ข้างกายเขา รอยยิ้มฉาบเต็มใบหน้า “พวกเรารีบกลับเข้าไปในหอกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ เหล่าคณาจารย์จากตำหนักบูรพาต่างถามหากันหลายครั้งหลายคราแล้ว ต่างเร่งให้องค์รัชทายาทรีบไปเตรียมตัว”

    ครั้นได้ยินเช่นนั้นจูจันจีก็หน้านิ่วคิ้วขมวด “พวกเขาจะรีบไปเพื่ออันใด”

    ขันทีเฒ่าเอ่ยปากเตือน “พวกเราใกล้ถึงเมืองหนานจิงแล้ว ร้อยขุนนางต่างกำลังรอรับเสด็จอยู่ที่ท่าเรือ จำต้องเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ” เห็นสีหน้าขององค์รัชทายาทบึ้งตึงขึ้นทีละน้อยเช่นนั้นขันทีเฒ่าก็รีบปลอบ “ขอองค์รัชทายาททรงอดทนสักเล็กน้อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ถึงเมืองหนานจิงเมื่อใดตอนนั้นคิดจะเล่นเช่นไรย่อมมิใช่ปัญหา”

    จูจันจีมองคลื่นในแม่น้ำที่กระเพื่อมไหว รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไปทีละน้อย “ถึงหนานจิงเมื่อใดเกรงว่าจะยิ่งไม่มีโอกาสเอ้อระเหย ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ชั่วยาม เจ้าปล่อยให้ข้าได้สุขใจเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ”

    น้ำเสียงเขาชวนเวทนาไม่ใช่น้อย แรกๆ ขันทีเฒ่าก็ใจอ่อน ทว่าหลังไตร่ตรองดูอีกคราเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นดังตึง “การเดินทางมาหนานจิงของพวกเราในครั้งนี้เกี่ยวโยงกับแผ่นดินต้าหมิง องค์รัชทายาททรงแบกรับภารกิจใหญ่หลวงจากฝ่าบาท ย่อมมิอาจกระทำการตามอำเภอใจ!”

    จูจันจีส่ายหน้ายิ้มขื่น มิเอ่ยวาจาอันใดอีก เขารู้ดีว่าที่ขันทีเฒ่าพูดมานั้นหามีอันใดผิด ทว่าด้วยเพราะเหตุนี้เขาจึงยิ่งกลัดกลุ้มเป็นเท่าทวี

    ภารกิจใหญ่หลวงนี้ หากจะเล่าก็คงต้องเริ่มเล่าตั้งแต่จักรพรรดิหย่งเล่อซึ่งเป็นพระอัยกาของจูจันจี

    รัชศกหย่งเล่อปีที่สิบเก้า จักรพรรดิหย่งเล่อย้ายนครหลวงจากเมืองจินหลิงมายังเป่ยผิงและเปลี่ยนชื่อเรียกทั้งสองเมืองใหม่ นับแต่นั้นต้าหมิงก็มีนครหลวงสองแห่ง…นครหลวงใหม่เป่ยจิงกับนครหลวงเดิมหนานจิง สามปีต่อมาจักรพรรดิหย่งเล่อสวรรคต ทรงได้รับพระอารามนามว่าไท่จง องค์รัชทายาทจูเกาชื่อขึ้นสืบราชบัลลังก์ ก่อนจะเปลี่ยนรัชศกใหม่เป็น ‘หงซี’ ในปีถัดมา

    จักรพรรดิหงซีปรารถนาจะย้ายนครหลวงกลับหนานจิงมาโดยตลอด ทว่าเรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก จึงไม่เคยมีข้อสรุปแน่ชัด กระทั่งรัชศกหงซีปีที่หนึ่ง เดือนสี่ วันที่สิบ จู่ๆ โอรสสวรรค์ก็มีราชโองการให้องค์รัชทายาทจูจันจีเดินทางลงใต้ไปนครหลวงเดิม ทำหน้าที่เฝ้าเมืองบำรุงขวัญกองทัพและราษฎรแทนพระองค์ ทันทีที่ราชโองการถูกประกาศ เสียงโจษจันเซ็งแซ่ก็ดังไปทั่วราชสำนัก ทุกคนต่างเชื่อว่านี่เป็นสัญญาณชัดแจ้ง ในที่สุดองค์จักรพรรดิก็ตัดสินพระทัยเด็ดขาดที่จะย้ายนครหลวงกลับ องค์รัชทายาทเดินทางลงใต้ครานี้น่าจะเพื่อสำรวจเส้นทางล่วงหน้า ภารกิจนี้หาได้ง่ายดายไม่

    ยามนั้นตอนจักรพรรดิหย่งเล่อย้ายนครหลวงมาที่เป่ยจิง พระองค์ได้ทิ้งเสาหลักแห่งราชสำนักไว้ที่หนานจิงชุดหนึ่ง อันประกอบด้วยหกกรม สำนักตรวจการ กองการฎีกา กองบัญชาการห้าทัพ หน่วยงานราชการอันใดล้วนมีพร้อมสรรพ ระบบรูปแบบไม่มีอันใดต่างจากนครหลวง ยิ่งไปกว่านั้นภาษีทั่วหล้ากว่าครึ่งล้วนได้มาจากแถบเจียงหนาน* มีคหบดีตระกูลใหญ่ในท้องถิ่นพัวพันเกี่ยวข้องเต็มไปหมด สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งยวด แค่ดึงผมเพียงเส้นก็สะเทือนไปทั่วทั้งตัว หากเกิดเหตุวุ่นวายอันใดย่อมส่งผลสะเทือนไปทั่วหล้า

    นี่เป็นการบริหารราชกิจเพียงลำพังครั้งแรกขององค์รัชทายาทอายุยี่สิบเจ็ดปี หากจะพูดให้ฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่ก็แค่การทดสอบคุณสมบัติของรัชทายาทแห่งโอรสสวรรค์เท่านั้น แต่หากจะพูดให้เป็นเรื่องใหญ่ นี่คือเรื่องที่พัวพันถึงความรุ่งเรืองล่มสลายร้อยปีของต้าหมิง ผู้คนทั่วหล้าต่างพากันเฝ้าจับจ้องว่าเขาจะควบคุมสถานการณ์ในนครหลวงเดิมได้หรือไม่ พอคิดถึงจุดนี้ขันทีเฒ่าก็ได้แต่ทำใจแข็ง วางท่าแม้ตายก็ต้องคัดค้าน

    จูจันจีถึงจะรักสนุก ทว่าถึงอย่างไรก็ยังรู้จักแยกแยะหนักเบา เขาคว้ากระปุกจิ้งหรีดขึ้นและพูดเสียงแผ่วเบา “จื่อหลงเอ๋ยจื่อหลง เจ้ามักรังเกียจว่าตนเองถูกคุมขังอยู่ในพื้นที่คับแคบ แล้วข้าเล่ามีอันใดต่างกับเจ้า ช่างเถอะ ไหนๆ เจ้าข้าก็รู้จักกัน จะดีจะชั่วอย่างไรอย่างน้อยก็ควรมีสักฝ่ายได้เป็นอิสระ…”

    รัชทายาทจูจันจีเตรียมเปิดฝาออก ทว่าครั้นมองไปรอบเรือ ทุกหนแห่งล้วนแต่เป็นผิวน้ำเลือนรางใต้ผืนหมอกกว้างใหญ่ ต่อให้ปล่อยจิ้งหรีดตอนนี้ก็ใช่ว่ามันจะมีที่ให้ไป เขาเอ่ยปากอย่างจนปัญญา “เจ้าดู ต่อให้ออกจากกระปุกได้แล้วเช่นไร ด้านนอกก็ยังคงเป็นกรงขนาดใหญ่ ไหนเลยจะมีหนทางหลุดพ้นได้”

    พูดจบได้ไม่ทันไร จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงระเบิดดังลอยมาจากริมฝั่งทางตอนเหนือของแม่น้ำฉางเจียงสามครั้ง

    ตูม! ตูม! ตูม!

    จูจันจีตกใจจนกระปุกจิ้งหรีดเกือบหล่นลงบนดาดฟ้าเรือ เขาหันหน้ามองไปทางต้นเสียงอย่างโมโห เห็นกลุ่มดอกไม้ไฟสีน้ำตาลเหลืองสามกลุ่มระเบิดอยู่กลางอากาศตามลำดับ แตกกระจายไปทั่วทุกสารทิศก่อนจะหายลับไปในชั่วพริบตา ที่อยู่ทางด้านล่างของดอกไม้ไฟคือทุ่งอ้อขาวละลานตาส่ายไหว ไม่อาจมองเห็นผู้จุดดอกไม้ไฟ ไม่แน่ว่าอาจเป็นบ้านชาวบ้านริมน้ำหลังใดหลังหนึ่งกำลังแต่งภรรยาก็เป็นได้

    เสียงดังกล่าวอยู่ห่างจากเรือไกลหลายหลี่* ไม่มีค่าให้ต้องระแวดระวังอันใดเพิ่มเติม จูจันจีกลับมาครุ่นคิดสับสนอีกครา สุดท้ายก็ไม่อาจตัดใจปล่อยจิ้งหรีด ได้แต่ประคองกระปุกอย่างโมโหขณะเดินตามขันทีเฒ่ากลับหอสูง

    พวกเขาทั้งสองไม่รู้ว่าบนเสากระโดงเหนือหัวนั้นมีคนงานเรือผู้หนึ่งที่โพกผ้าไว้บนหัว สวมใส่อาภรณ์สีดำกำลังจ้องมองดอกไม้ไฟทั้งสามอยู่เช่นกัน

    คนผู้นี้ผิวกายดำมะเมื่อม ใบหน้าไม่ต่างอันใดกับคนงานบนเรือทั่วไป ยามนี้มือข้างหนึ่งของเขากำลังโหนราว มืออีกข้างยกขึ้นป้องตา มองดูท้องฟ้าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ครั้นควันจางหายหมดสิ้นเขาก็จับสายระโยงเรือ ปล่อยตัวไหลลงมายังดาดฟ้าเรือด้วยท่วงท่าคล่องแคล่ว

    บนเรือมีคนงานเช่นเขาอยู่ด้วยกันราวๆ ร้อยกว่าคน กระจายกันควบคุมเรือตามจุดต่างๆ บนดาดฟ้าเรือ หากไม่เข้าใกล้หอสูงเกินไป พวกทหารองครักษ์ย่อมไม่สนใจคนพวกนี้ คนงานเรือรายนี้ปะปนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังวุ่น ระแวดระวังหลบเลี่ยงสายตาจับจ้องจากบนหอสูง มุ่งหน้าไปยังดาดฟ้าส่วนหัวเรือใกล้กราบเรือฝั่งขวา

    บนดาดฟ้าเรือมีมือจับเล็กๆ ทำจากโลหะอยู่อันหนึ่ง เขาค้อมตัวจับมันยกขึ้นเบาๆ เผยให้เห็นประตูทรงสี่เหลี่ยมบานหนึ่งที่ใช้ลงไปห้องใต้ท้องเรือและบันไดไม้สองแถวอันหนึ่งที่ยื่นยาวลงไปถึงด้านล่าง เขาใช้สองมือจับราวบันไดค่อยๆ ไต่ลงไปยังท้องเรือ

    เรือลำนี้แม้รูปร่างจะเลียนแบบเรือเป่าฉวน ทว่าความตั้งใจแต่แรกนั้นต้องการสร้างขึ้นเพื่อความสำราญ ดังนั้นท้องเรือจึงใหญ่โตเป็นพิเศษ จากดาดฟ้าเรือถึงส่วนล่างสุดทั้งหมดแบ่งออกเป็นสี่ชั้น ชั้นที่อยู่ใต้ดาดฟ้าเรือชั้นแรกเป็นห้องครัวกับคลังส่วนในที่ใช้เก็บถ้วยโถโอชามต่างๆ ถัดลงไปอีกชั้นเป็นห้องพักไว้ให้พวกลูกเรือนอนหลับพักผ่อนกับช่องหางเสือ ส่วนชั้นที่สามเป็นคลังใหญ่เก็บเสบียงอาหารวัสดุอุปกรณ์ ส่วนชั้นล่างสุดคือหินอับเฉาจำนวนหลายร้อยก้อนที่เอาไว้ใช้ถ่วงเรือ

    ท้องเรือแต่ละชั้นพื้นที่คับแคบแสงสว่างน้อยนิด หลังไต่ลงบันไดไม้มาถึงใต้ท้องเรือ คนงานผู้นั้นก็พบว่ารอบด้านมืดสลัว ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นไม้ผุๆ ระคนอยู่กับกลิ่นราอับชื้นรวมถึงกลิ่นปูนขาวฉุนแสบจมูก รอบๆ ไร้เงาผู้คน หากไม่มีงานซ่อมเรือครั้งใหญ่ ไหนเลยจะมีใครคิดลงมายังสถานที่เลวร้ายเช่นนี้

    ชั้นนี้ถูกแบ่งออกเป็นห้องปิดตายอีกสิบกว่าห้อง ไม่ต่างอันใดกับรังสัตว์ทึมทึบ พอมองเห็นหินอับเฉาขนาดใหญ่จำนวนมากวางนอนอยู่ภายในได้เลาๆ หลังแยกแยะเส้นทางภายในท้องเรืออยู่ครู่หนึ่ง คนงานเรือผู้นั้นก็เดินเข้าไปในห้องที่สามทางขวา ท่ามกลางความมืดมีเสียงกึกกักแปลกๆ ดังลอยมาเป็นระยะๆ ปนอยู่กับเสียงเล็กละเอียดแผ่วเบาคลุมเครือคล้ายเสียงสวดภาวนา

    หลังเวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งก้านธูป* คนงานเรือผู้นั้นก็เดินออกมาจากห้องด้วยฝีเท้าแผ่วเบารวดเร็ว เขารีบปีนกลับขึ้นไปบนดาดฟ้าเรืออีกครั้ง แฝงตัวปะปนอยู่กับคนงานคนอื่นๆ ที่กำลังทำงานกันวุ่น ไม่มีใครสังเกตว่าเขาหายไปชั่วขณะ

    ในตอนนั้นเองคนสังเกตทางลมเห็นลมแม่น้ำพัดมาก็รีบส่งสัญญาณเตือนทันที คนงานเรือต่างเร่งขยับใบเรือรับกระแสลม คนงานคุมหางเสือต่างรับรู้ได้ถึงความเร็วเรือที่เพิ่มมากขึ้น พวกเขาต่างส่งเสียง ‘ฮุยเลฮุย’ เป็นสัญญาณออกมาเป็นจังหวะพร้อมๆ กันพลางลงมือเคลื่อนไหวรวดเร็ว เรือเคลื่อนที่มุ่งหน้าไปเมืองหนานจิงอย่างเร็วรี่

     

    ในเวลานี้เสียงสัญญาณแบบเดียวกันก็ดังขึ้นที่เมืองหนานจิงเช่นกัน

    “ฮุยเลฮุย!”

    แขนสิบกว่าข้างออกแรงจนแข็งเกร็งพร้อมกันเพื่อยกคานไม้ขนาดยักษ์ให้พ้นพื้น ที่อยู่ด้านล่างนั้นคือเศษกระเบื้องข้าวของเครื่องใช้ที่แตกกระจายทั่วพื้น ตรงกลางคือร่างไร้วิญญาณชุ่มโชกไปด้วยเลือดของชายวัยฉกรรจ์ กะโหลกศีรษะกับร่างกายครึ่งหนึ่งยุบหายเข้าไป เลือดและเศษสมองเจิ่งนองอยู่บนพื้นจับตัวเป็นคราบสกปรกชวนประหวั่น

    ผู้คนที่อยู่รายรอบต่างส่งเสียงงึมงำแสดงความเห็นอกเห็นใจ แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อคืนทำลายบ้านเรือนพังเสียหาย คานขนาดยักษ์หลุดออกจากตำแหน่ง ฟาดทับลงบนร่างผู้โชคร้ายที่กำลังนอนฝันหวานอยู่บนตั่งพอดี

    อู๋ปู้ผิงจ้องมองภาพชวนสลดหดหู่ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ไม่พูดจาอันใด

    เรือนหลังนี้ตั้งอยู่ยังเขตอวี้ชื่อหลาง ประตูไท่ผิง ภายในเมืองหนานจิง พื้นที่แถบนี้เป็นที่พักอาศัยซึ่งสร้างขึ้นให้ขุนนางสำนักตรวจการในสมัยจักรพรรดิหงอู่ คนตายที่อยู่ตรงหน้าสวมเสื้อคอกลมสีคราม ผ้าปักลายบนอกพอมองเห็นได้รางๆ ว่าเป็นภาพนกยวนยางม่วงขั้นเจ็ดตัวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นข้าหลวงตรวจการ

    แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำลายบ้านเรือนในเมืองไปหลายหลัง ช่างฝีมือและคนงานจากกรมโยธาต่างงานยุ่งหัวหมุน เขตอิ้งเทียนจำต้องรีบเกณฑ์คนเคลื่อนกำลังพลสามหน่วยร่วมช่วยบรรเทาภัย อู๋ปู้ผิงมีตำแหน่งเป็นหัวหน้ามือปราบ รับผิดชอบงานลาดตระเวนทั้งหมด ป้องกันมิให้มีคนตีชิงตามไฟ** ครั้นได้ยินว่าที่นี่มีข้าหลวงตรวจการสิ้นชีวิตเขาก็รีบเดินทางมาดูทันที

    อู๋ปู้ผิงปีนี้อายุหกสิบสองแล้ว เขาแต่งชุดเครื่องแบบขุนนางตรวจตราคอกลมสีดำ สวมหมวกเหลี่ยมยอดตัด เหน็บบรรทัดเหล็กกับป้ายโลหะประจำตัวไว้ข้างเอวไม่เคยเปลี่ยน ยามเดินเหินแลดูองอาจมาดมั่น เขากำกับดูแลหัวหน้าหมู่งานสามฝ่ายของศาลว่าการอิ้งเทียนเพียงลำพังคนเดียว ทั้งฝ่ายจเรศาล ฝ่ายเกณฑ์กำลังพล และฝ่ายปราบปราม ร่วมคลี่คลายคดีแปลกๆ อยู่เสมอ และถึงจะเป็นชาวเหนือทว่าเขากลับรู้จักเมืองหนานจิงดีทุกซอกทุกมุม เจ้าหน้าที่ในที่ว่าการเรียกเขาว่า ‘หัวหน้าอู๋’ ผู้คนในยุทธภพเรียกเขาว่า ‘สิงโตเหล็ก’ ส่วนพวกชาวบ้านกลับชอบเรียกชื่อเขา…ที่ใดมีเรื่องอยุติธรรม ที่นั่นย่อมมีอู๋ปู้ผิง*

    เขาสอบถามเพื่อนบ้านที่อยู่ซ้ายขวา ที่แท้ผู้ตายชื่อกัวจือหมิ่น เป็นชาวไท่โจวเมืองหยางโจว เป็นข้าหลวงตรวจการแถบก่วงตงเมืองหนานจิง เดินทางมารับตำแหน่งเพียงลำพัง ไม่มีญาติพี่น้องติดตามมาด้วย ข้าหลวงกัวผู้น่าสงสารเพิ่งย้ายมาที่นี่ได้ไม่นานก็ต้องมาพบจุดจบเช่นนี้เสียแล้ว

    เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุ ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเปลืองสมองคลี่คลายคดีอันใด อู๋ปู้ผิงสั่งห้ามมิให้เคลื่อนย้ายศพที่อยู่ในเรือนชั่วคราว และให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดถอยออกไปนอกเรือน ช่วยกันเก็บกวาดซากปรักหักพังต่อ

    อากาศเดือนห้าค่อนข้างร้อนอบอ้าว เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ คนหนึ่งใช้ผ้าขาวผืนยาวเช็ดเหงื่อ กระซิบบ่น “หัวหน้าอู๋ ท่านว่าสวรรค์หนำใจหรือยัง เมืองจินหลิงของพวกเราสั่นกันมากี่รอบแล้วก็ไม่รู้”

    นับแต่จักรพรรดิหย่งเล่อย้ายนครหลวง ผู้คนในหนานจิงก็ลอบไม่พอใจอยู่ลึกๆ และไม่เคยยอมเรียกเมืองของตนว่า ‘หนานจิง’ จะเรียกก็แต่ ‘จินหลิง’ อู๋ปู้ผิงแม้จะได้ยินแต่เขาก็ไม่ตอบอันใด ต่างกับเจ้าหน้าที่คนอื่นรอบๆ ที่เริ่มเอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์

    แผ่นดินไหวเช่นเมื่อคืนไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก นับตั้งแต่ต้นปีเมืองหนานจิงก็ราวกับถูกสาป แผ่นดินไหวเกิดขึ้นถี่ๆ แทบจะสามวันห้าวันเว้นทีหนึ่ง ทำบ้านเรือนในเมืองพังทลายไปเป็นจำนวนมาก เหล่าขุนนางต่างวุ่นวายกันหัวหมุน ผู้คนในเมืองล้วนอกสั่นขวัญแขวน

    บ้างก็บอกว่าสิบสามสิบสี่ครั้ง บ้างก็บอกสิบเจ็ดสิบแปดครั้ง สุดท้ายเจ้าหน้าที่อาวุโสรายหนึ่งก็ส่ายหน้าพูดจาอวดโอ้ “ข้ามีพี่น้องทำงานเป็นเสมียนอยู่ในกรมโยธา ที่นั่นมีการบันทึกไว้ เมื่อเดือนที่แล้วพวกเจ้าทายซิว่ารอบๆ เมืองจินหลิงเกิดแผ่นดินไหวขึ้นกี่ครั้ง ห้าครั้ง! ตอนเดือนสามพวกเจ้าว่ากี่ครั้ง สิบเก้าครั้ง! ส่วนก่อนหน้าโน้นตอนเดือนสองมีอีกห้าครั้ง! รวมกับที่เกิดขึ้นเมื่อคืนครั้งหนึ่ง แค่เริ่มฤดูใบไม้ผลิเมืองจินหลิงก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นสามสิบครั้งแล้ว!”

    สามสิบครั้ง?

    ทุกคนต่างพากันแตกตื่นตกใจไปกับตัวเลขไม่ธรรมดานั้น ความเงียบเข้าปกคลุมกองเศษซากปรักหักพัง ไม่รู้ว่าใครกระซิบพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง “เมืองจินหลิงของพวกเราเคยแผ่นดินไหวเสียที่ไหน หรือว่ามีมังกรพลิกตัวจริงๆ”

    คนที่อยู่รายรอบต่างปิดปากแน่น นี่เป็นปีแรกของการเปลี่ยนรัชศกใหม่ของจักรพรรดิหงซี เดือนหนึ่งเพิ่งผ่านพ้น ทว่าหนานจิงกลับเกิดแผ่นดินไหวขึ้นติดๆ เสียงลือเสียงเล่าอ้างประโยคหนึ่งแพร่สะพัดทั่วท้องถนน บอกว่าเพราะแต่เดิมฝ่าบาทมิใช่โอรสสวรรค์ แต่ปล้นชิงราชบัลลังก์มาเป็นของตน ทำให้มังกรแท้จริงโมโห เมื่อโมโหมันย่อมพลิกกาย เมื่อพลิกกายก็ย่อมเกิดแผ่นดินไหว

    คนที่ปล่อยข่าวลือนี้เป็นผู้ใดไม่มีใครรู้ ทว่าพวกชาวบ้านร้านช่องต่างชอบเหตุอัศจรรย์เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อยู่เป็นทุนเดิม ดังนั้นคำพูดนี้แม้จะไม่มีแขนขาก็ยังแพร่สะพัดออกไปได้ ขนาดเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็ยังกล้าวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างโจ่งแจ้ง

    “เฮอะ ดูท่ามังกรแท้จริงตัวนี้จะไม่ฉลาดสักเท่าไร แทนที่จะไปเขย่าเป่ยจิง ดันมาเล่นงานเมืองจินหลิงของพวกเรา”

    “นครหลวงตั้งอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะเคยเกิดภัยพิบัติมากมายเช่นนี้!”

    “จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ข้าว่าปัญหาไม่ใช่เรื่องของสถานที่ แต่…”

    “เจ้าพวกเวรตะไล พวกเจ้าแต่ละคนล้วนคันคอกันมากนักหรือไร รีบตั้งใจทำงานเดี๋ยวนี้!”

    อู๋ปู้ผิงตวาดเสียงแข็งด้วยเกรงว่าพวกเขาจะพูดจาหนักข้อมากขึ้นเรื่อยๆ บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายต่างพากันปิดปากก้มหน้าก้มตาทำงานอีกคราว

    อู๋ปู้ผิงกวาดตามองไปรอบๆ ขณะตั้งสมาธิครุ่นคิด จู่ๆ เขาก็ได้กลิ่นสุราฉุน เมื่อหันมองไปทางประตูก็เห็นคนผู้หนึ่งกำลังเดินโงนเงนเข้ามาจากด้านนอก คนผู้นี้สูงผอม คิ้วเรียวแหลมจมูกโด่ง ใบหน้าขาวสะอาดสะอ้านราวกับบัณฑิตอ่านตำรา ทว่าฝีเท้ากลับเลื่อนลอยดวงตาเลอะเลือนเป็นที่สุด ไม่เอาการเอางาน

    “ท่านพ่อ ข้ามาแล้ว”

    คนผู้นั้นหาวยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง กลิ่นสุราเหม็นฉุนลอยมาจากคราบสุราที่เปื้อนอยู่บนอกเสื้อ ดูท่าคงดื่มมาหนักไม่ใช่น้อยจนตอนนี้สติยังไม่ฟื้นคืนดี อู๋ปู้ผิงหัวคิ้วกระตุก ตอบอย่างกลัดกลุ้มกลับไปคราหนึ่ง

    “อืม”

    “อวี้ลู่บอกว่าเช้านี้ท่านยังไม่ได้กินอันใด เลยให้ข้าเอาชุยปิ่ง* ที่เพิ่งออกจากเตาหมาดๆ มาให้ท่าน” ชายหนุ่มล้วงเข้าไปในอกเสื้อควานหาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตบหัวตัวเอง “อา…ดูเหมือนข้าจะลืมเอามา”

    “ช่างเถอะ ข้าไม่หิว” อู๋ปู้ผิงตอบ เหล่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่รอบๆ ต่างตั้งอกตั้งใจเก็บเศษกระเบื้อง ทว่าสีหน้าดูแคลนบนใบหน้ากลับยากปิดบัง

    จะว่าไปนี่ก็เป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนาใหญ่ของเมืองหนานจิง หัวหน้ามือปราบอู๋เป็นคนดุ ไม่ว่าพวกนักเลงกระจอกลอยชายในเมืองหรือโจรโฉดแถบหนานจื๋อลี่** ต่างล้วนครั่นคร้ามต่อชื่อเสียงของเขา ทว่าบุรุษเก่งกล้าถึงขั้นใต้เท้าข้าหลวงก็ยังเกรงใจยอมยกน้ำชาให้ผู้นี้กลับโชคร้ายมีบุตรชายไม่เอาไหน

    หัวหน้ามือปราบอู๋เป็นพ่อม่าย มีบุตรชายหนึ่งบุตรสาวหนึ่ง บุตรสาวอู๋อวี้ลู่ปีนี้อายุสิบหก บุตรชายอู๋ติ้งหยวนปีนี้อายุยี่สิบเก้า อู๋ติ้งหยวนผู้นี้เป็นพวกไร้เหตุผล เกียจคร้านเป็นนิสัย ว่ากันว่ายังเป็นโรคลมชัก ประเดี๋ยวก็ป่วยเป็นนั่นนี่ จนถึงยามนี้จึงยังไม่มีครอบครัว คนผู้นี้วันๆ ได้แต่ขอเงินบิดาไปซื้อสุราเที่ยวหอนางโลม ทุกคนต่างแอบพูดถึงเขาว่า ‘ไม้ถ่อปวกเปียก…ตอกไผ่แบบบางนุ่มนิ่ม ท่อนไม้ชะลูดยาวถ่อเรือ ย่อมหาประโยชน์อันใดมิได้ พ่อเสือเกิดลูกสุนัข น่าเวทนาแท้’

    ด้วยเพราะเห็นแก่หน้าของอู๋ปู้ผิง เขตอิ้งเทียนจึงฝากชื่อให้อู๋ติ้งหยวนเข้าทำงานในฝ่ายมือปราบ ทว่าเจ้าตัวไม่เอาไหนนี้กลับกินเบี้ยหวัดเสียเปล่าๆ ไม่เคยปรากฏตัวทำงาน วันนี้หากไม่ใช่เพราะใต้เท้าข้าหลวงมีคำสั่งเฉียบขาดให้ทุกคนออกปฏิบัติการ เชื่อว่ายามนี้เขาคงยังนอนอุตุไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ที่บ้านเป็นแน่

    อู๋ปู้ผิงย่อมรู้ดีว่าบุตรชายของตนนั้นคุณธรรมความประพฤติเป็นเช่นไร เขาทำมือทำไม้บอกให้อีกฝ่ายไปรอรับคำสั่งอยู่ที่ลานด้านใน ที่นั่นนอกจากร่างไร้วิญญาณที่ยังไม่ได้บรรจุลงโลงแล้วก็ไม่มีใครไหนอื่นอีก หัวหน้ามือปราบอู๋คงรู้สึกว่าให้ผู้เป็นบุตรชายแปดเปื้อนความโชคร้ายของคนตาย ยังดีกว่าให้มาอับอายขายขี้หน้าอยู่ต่อหน้าคนเป็น

    อู๋ติ้งหยวนเองก็ไม่ถือ เขาเดินตุปัดตุเป๋เข้าไปข้างใน เพียงไม่นานเสียงอาเจียนโอ้กอ้ากก็ดังลอยมา ตามติดด้วยกลิ่นเหม็นเปรี้ยว เหล่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านนอกต่างมองหน้ากัน ในใจคิดว่าเกิดเจ้าบัดซบนั่นอาเจียนใส่ศพของข้าหลวงตรวจการล่ะก็ มีหวังเรื่องยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่

    เพียงไม่นานจเรศาลคนหนึ่งก็วิ่งจากถนนเข้ามา “หัวหน้าอู๋ ในจวนส่งข่าวมา รัชทายาทเสด็จมาถึงแม่น้ำฉินไหวส่วนนอกแล้ว”

    อู๋ปู้ผิงร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่งแล้วรีบเรียกทุกคนให้มารวมตัวกัน เขาไม่ลืมตะโกนเสียงดังเข้าไปข้างใน “ติ้งหยวน ออกมาขานชื่อทำงาน!”

    หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งอู๋ติ้งหยวนก็เดินตุปัดตุเป๋ออกมาพิงร่างอย่างเกียจคร้านกับเสาหักต้นหนึ่ง ทิ้งระยะห่างจากคนอื่นๆ อยู่พอประมาณ

    อู๋ปู้ผิงหันมองไปรอบๆ ก่อนกล่าวเสียงขรึม “พวกเจ้าตั้งใจฟังให้ดี อีกเดี๋ยวเมื่อเข้าประจำการทุกคนต้องเบิกตาให้กว้างเข้าไว้ ครั้งนี้รัชทายาทเสด็จมาหนานจิง บรรดาใต้เท้าทั้งหลายแห่งกองบัญชาการพิทักษ์เมืองต่างมีคำสั่ง คนที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อขอเพียงยังไม่ตายล้วนต้องไปยืนยามอยู่บนถนน ตลอดทางนับจากด่านตงสุ่ยไปจนถึงพระราชฐานชั้นใน แม้แต่ยุงสักตัวก็ปล่อยให้บินผ่านเข้าไปไม่ได้”

    พอได้ยินว่ายังต้องไปยืนยาม เหล่าเจ้าหน้าที่ก็ต่างพากันร้องโอดครวญ อู๋ปู้ผิงเอ่ยปากหยัน “อยากอู้งานก็ย่อมได้ วันหลังจะเนรเทศสามพันหลี่ ระหว่างทางย่อมค่อยๆ เดิน!”

    เห็นพวกลูกน้องไม่ปริปากอันใดอีก อู๋ปู้ผิงก็คลี่กระดาษปอ เริ่มแบ่งกำลังคนออกปฏิบัติหน้าที่ คนแรกที่เขาเรียกคือบุตรชายของตนเอง “อู๋ติ้งหยวน เจ้าไปเฝ้าอยู่ที่ลานซั่นกู่นอกด่านตงสุ่ย”

    พอได้ยินคำสั่งเช่นนั้นทุกคนต่างพากันส่งเสียงฮือฮาออกมาพร้อมกัน

    ด่านตงสุ่ยตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหนานจิง ท่าประตูน้ำเพียงหนึ่งเดียวของเมืองตั้งอยู่ที่นั่น อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมพ่อค้าวาณิชเหนือใต้ที่คึกคักที่สุด เมื่อเรือพระที่นั่งของรัชทายาทที่แล่นอยู่ในแม่น้ำฉางเจียงเลี้ยวเข้าถึงแม่น้ำฉินไหวส่วนนอกก็จะเข้าเทียบท่าที่ด่านตงสุ่ย ร้อยขุนนางในเมืองหนานจิงล้วนไปรอรับเสด็จอยู่ที่นั่น

    ลานซั่นกู่ (โครงพัด) อยู่ติดกับชายฝั่งตะวันออกของแม่น้ำฉินไหว ระหว่างลานซั่นกู่กับด่านตงสุ่ยมีแม่น้ำกั้นขวาง แม้ชื่อจะฟังดูงามสง่า แต่ความจริงมันเป็นเพียงเนินเตียนโล่งเท่านั้น ที่ได้ชื่อเช่นนี้ก็เพราะละแวกใกล้เคียงมีครอบครัวทำพัดอยู่สองสามหลัง ที่นั่นไม่มีต้นไม้ใบหญ้าบังแดด ไปประจำการอยู่ที่นั่นยามเที่ยงย่อมร้อนอบอ้าวเกินทน กล่าวได้ว่าใครได้งานนี้นั้นโชคร้ายยิ่งยวด

    อู๋ปู้ผิงเลือกส่งบุตรชายไปประจำการในที่เลวร้ายที่สุดก่อน หลังจากนั้นจะจัดการพวกลูกน้องเช่นไรย่อมไม่มีผู้ใดว่ากล่าวได้อีก อู๋ติ้งหยวนยืนสะอึกสุราไม่รู้สึกรู้สาอยู่หลังคนอื่นๆ

    หลังแบ่งงานเป็นที่เรียบร้อย เหล่าเจ้าหน้าที่ก็ทยอยเดินทางไปยังจุดยืนยามของตน เพียงไม่นานทุกคนก็หายลับไปจนสิ้น อู๋ปู้ผิงมองดูบุตรชายของตนด้วยแววตาเมตตาอ่อนโยน

    “ติ้งหยวน ทั้งหมดล้วนเพราะแผ่นดินไหว งานในครั้งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจเลี่ยง เจ้าก็อดทนสักหน่อยแล้วกัน”

    “กลัวแผ่นดินไหวก็ควรไปเซ่นไหว้เทพเฉิงหวง* คนมากมีประโยชน์อันใด ใช่ว่าเตรียมจะไปเป็นทหารกองกำลังยมโลกในงานฝังพระศพองค์รัชทายาทเสียหน่อย” อู๋ติ้งหยวนยักไหล่พูดประชดประชัน ขณะที่อู๋ปู้ผิงทำหน้าตาถมึงทึงเตรียมตวาดด่า อู๋ติ้งหยวนกลับขยับตัวเข้าไปใกล้ผู้เป็นบิดาและกระซิบ “ข้าหลวงกัวผู้นี้มิได้ถูกคานหล่นทับตาย”

    ได้ยินเช่นนั้นอู๋ปู้ผิงก็ตะลึง อู๋ติ้งหยวนพูดต่อ “แผ่นดินไหวเมื่อคืนเกิดขึ้นยามจื่อ ใครไหนเล่าจะสวมอาภรณ์ขุนนางขึ้นไปอยู่บนตั่งเตียง”

    คำเตือนของอีกฝ่ายช่วยให้อู๋ปู้ผิงฉุกคิดขึ้นได้ทันที อาภรณ์สีครามคอกลมมีลายปักอยู่ตรงหน้าอกบนตัวคนตายเป็นเครื่องแบบขุนนางยามออกปฏิบัติภารกิจ ว่ากันตามหลักแล้วเมื่อกลับถึงบ้านสมควรถอดออก และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะสวมมันเข้านอน

    อู๋ติ้งหยวนกล่าวต่อ “เมื่อครู่ข้าดูมาแล้ว หากถูกคานหล่นทับตายทั้งที่ยังมีชีวิตจริง เลือดบนตัวย่อมไหลไม่หยุด บริเวณปากแผลควรเต็มไปด้วยคราบเลือด ทว่ารอบๆ รอยแตกบนกะโหลกศีรษะผู้ตายกลับไม่มีคราบเลือด ดังนั้น…”

    อู๋ปู้ผิงพูดต่อ “…เขาถูกจัดวางไว้บนเตียงหลังจากที่ตายไปแล้ว”

    “หลังจากนี้ท่านจะทำเช่นไรก็แล้วแต่ท่าน ข้าไปเข้าเวรล่ะ” อู๋ติ้งหยวนฉีกยิ้มหันหลังเดินจากไป ทว่าเดินไปได้เพียงสองก้าวจู่ๆ เขาก็หันกลับมา “จากที่นี่ถึงลานซั่นกู่ต้องผ่านหอซิ่งฮวา ที่นั่นระยะนี้มีสุราขาวตั้งโข่วจากอู๋ซีมาอยู่หลายไห”

    ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ อู๋ปู้ผิงก็หยิบเอาตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาจากถุงผ้าบนเอว น่าจะมีอยู่สักสิบก้วน* เห็นจะได้ เขายื่นส่งมันให้บุตรชาย

    อู๋ติ้งหยวนสีหน้าอารมณ์หลากหลาย “พวกเขารับแต่เงินจริงเท่านั้น”

    อู๋ปู้ผิงได้แต่ล้วงเอาเงินสองสามตำลึงเงินออกมา อู๋ติ้งหยวนคว้าไปทั้งหมดอย่างไม่เกรงใจก่อนจะชักเท้าเดินจากไปอย่างช้าๆ อู๋ปู้ผิงตะโกน “เจ้าดื่มให้น้อยๆ หน่อย สุราไม่ดีต่อเลือดลม”

    อู๋ติ้งหยวนไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป เขาทำเพียงยกกำปั้นขวาขึ้นคราหนึ่ง บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องวิตก

    สิงโตเหล็กมองดูแผ่นหลังของอีกฝ่ายหายลับไปตรงหัวมุมถนน เขาส่ายหน้าถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง ไม่รู้ว่าจิตใจร้อนรุ่มเรื่องใด

     

    “ถอนพระกลด!”

    เสียงหนาหนักของบุรุษบนท่าเรือด่านตงสุ่ยดังขึ้น เพียงชั่วพริบตาพระกลดขอบไหมสิบกว่าคันก็ถูกเบี่ยงออกเปิดทางให้แสงตะวันเจิดจ้าสาดส่องอยู่กลางขบวนชุดขุนนางสีแดงม่วงสดใส

    ที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดบนท่าเรือมีอยู่ด้วยกันสองคน คนหนึ่งคือเซียงเฉิงป๋อ** หลี่หลงในชุดแพรสีชาดขอบน้ำเงินคราม สวมหมวกครอบเจ็ดริ้ว เสียงสั่ง ‘ถอนพระกลด’ เมื่อครู่ดังลอยมาจากปากของเขา ส่วนที่ยืนอยู่ข้างๆ คือขันทีซานเป่าผู้โด่งดังซึ่งแต่งกายแบบเดียวกัน เพียงแต่มีเสื้อคลุมสีแดงเพิ่มขึ้นอีกชิ้นเท่านั้น พวกเขาทั้งสองล้วนเป็นขุนนางเก่าแก่ในรัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ ยามนี้คนหนึ่งเป็นผู้บังคับการพิทักษ์เมืองหนานจิง อีกคนหนึ่งเป็นขันทีผู้บังคับการพิทักษ์หนานจิง ยิ่งใหญ่ดังสองขุนเขาตระหง่านอยู่กลางนครหลวงเดิมแห่งนี้

    ส่วนที่อยู่ด้านหลังของพวกเขา ตลอดทั้งสิบกว่าแถวส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นขุนนางใหญ่จากที่ว่าการต่างๆ ทอดตามองไปทุกแห่งหนล้วนแต่เห็นพัดเกียรติยศหางไก่ฟ้าจักจั่นทอง ผ้ารัดเอวหลากสี ในสายตาล้วนอัดแน่นไปด้วยสีเหลืองเขียว ชาดม่วงที่บ่งบอกถึงฐานะสูงส่งชวนตาลาย ที่อยู่ถัดออกไปอีกยังมีธงชัย พัดโบก ฉัตร กระบองเครื่องสูงประกอบเป็นริ้วขบวนยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังมีทหารองครักษ์ ขบวนคีตศิลป์ ขบวนนางรำ รถม้าเกียรติยศ และพลแบกหาม ห้อมล้อมแน่นขนัด ในสามชั้นนอกสามชั้น ท่าเรือด่านตงสุ่ยที่มีขนาดใหญ่ยามนี้กลับแทบไม่มีที่ว่างให้ได้วางเท้า

    ขุนนางคนสำคัญในแวดวงราชการทั่วเมืองหนานจิงกว่าครึ่งยามนี้ล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ บรรดาขุนนางใหญ่ที่ปกติไปไหนมาไหนล้วนต้องมีคนเปิดทางทำความสะอาดถนนให้ ในเวลานี้ต่างยืนเบียดเสียดไหล่ชนไหล่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าอาภรณ์ขุนนางบนตัวจะร้อนหนาสักขนาดไหนก็ไม่ขยับตัวแม้สักนิด ท่ามกลางเสียงดนตรีก้องกังวาน ทุกคนต่างยืนตัวตรงสองมือแนบอยู่ข้างกาย กลั้นลมหายใจตั้งสมาธิแน่วแน่ มองดูใบเรือขยับเข้ามาด้วยปณิธานแรงกล้า

    ภายใต้ใบเรือขนาดยักษ์ เรือพระที่นั่งกำลังแล่นเข้ามาใกล้ท่าเรืออย่างรวดเร็ว

    มองผ่านหน้าต่างบนหอสูงออกไป องค์รัชทายาทสังเกตเห็นคันดินที่ถูกสร้างล้อมเนินที่ถูกปรับให้เรียบตลอดแนวสองฟากฝั่ง บนคันดินมีต้นหยางหลิวยืนเรียงรายเป็นแนว ป่าหลิวชนิดนี้มิได้ยืนต้นเรียงรายเป็นระเบียบเหมือนต้นหลิวริมถนนพวกนั้น ทว่ากลับพุ่มใบดกหนาจนแทบไม่มีช่องว่าง ยาวเหยียดตลอดสองฟากฝั่งไปจนถึงตีนกำแพงเมือง ประหนึ่งพู่สีเขียวสะดุดตาที่ถูกร้อยปักไว้ข้างริมแม่น้ำฉินไหวทั้งสองข้างทาง

    นี่เป็นก็แค่ทัศนียภาพระเกะระกะใกล้ปากแม่น้ำของแม่น้ำฉินไหวส่วนนอกเท่านั้น ว่ากันว่าทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำฉินไหวส่วนในที่อยู่ภายในเมืองนั้นงดงามยิ่งกว่า สิบหลี่หอร้องศาลาร่ายรำ เสียงพายเรือแสงโคมส่องสะท้อนอยู่ตลอดทั้งคืน เทียบกับนครหลวงอันหนาวยะเยือกจืดชืดแล้วที่นี่ไม่ต่างอันใดกับสรวงสวรรค์

    น่าเสียดายที่จูจันจีในเวลานี้ไม่มีอารมณ์ชื่นชมใดๆ ทั้งสิ้น

    เขาเพิ่งได้รู้ เมื่อคืนวานหนานจิงแผ่นดินไหวอีกแล้ว

    แต่ไหนแต่ไรมานครหลวงเดิมแห่งนี้ก็ไม่เคยเกิดแผ่นดินไหว นับแต่พระบิดาขึ้นครองราชย์บัลลังก์ โดยเฉพาะหลังมีราชดำรัสประสงค์จะย้ายนครหลวง ที่นี่กลับเกิดแผ่นดินไหวขึ้นติดๆ กันถึงสามครั้งสามครา เหล่าพระอาจารย์ตำหนักบูรพามักกล่าวยามอยู่ในห้องทรงพระอักษรเสมอว่าฟ้าและมนุษย์ตอบสนองซึ่งกันและกัน นิมิตหมายอันเป็นมงคลกับปรากฏการณ์ธรรมชาติผิดปกติล้วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์ หากว่ากันตามนี้ แผ่นดินไหวผิดปกติต่อเนื่องไม่หยุดก็เท่ากับกำลังตบพระพักตร์ของพระบิดาสามสิบคราชัดๆ

    หนำซ้ำยังเกิดขึ้นในคืนก่อนองค์รัชทายาทจะเสด็จมาถึงหนานจิงอีกต่างหาก นี่มันหมายความเช่นไร หรือว่าสวรรค์คิดว่าพระบิดาของเขาไร้คุณธรรมไม่ควรคู่กับราชบัลลังก์

    เดิมจูจันจีเกลี้ยกล่อมตนเองสำเร็จแล้วว่าเรื่องนี้ก็แค่เหตุบังเอิญเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ทว่ายิ่งเรือใหญ่แล่นลึกเข้ามาในแม่น้ำฉินไหวมากเท่าใด ละแวกคันดินต้นหลิวก็เริ่มมีบ้านเรือนของพวกชาวบ้านปรากฏให้เห็นประปราย หนึ่งในสามล้วนพังลายเศษกระเบื้องหล่นเกลื่อนพื้น เฉกภาพวาดชั้นเลิศที่ถูกหมึกสองสามหยดกระเด็นใส่ หยดหมึกเหล่านี้หล่นเข้าใส่ตาของจูจันจี ไม่ต่างอันใดกับไม้ฟืนที่ตกสู่กลางกองไฟ

    เพราะนิสัยหลีกเลี่ยงปัญหา ทำให้เขามักถูกคนตำหนิทั้งในที่ลับและที่แจ้งว่าไม่เหมือนผู้ที่จะเป็นเจ้าคนนายคน แรงกดดันที่มองไม่เห็นนี้สะสมมากขึ้นทุกวันจนจูจันจีรู้สึกเหมือนมีสิ่งค้างคาอยู่ในใจตลอดเวลา ได้แต่อาศัยเล่นกัดจิ้งหรีดผ่อนคลายอารมณ์ นึกไม่ถึงว่าขณะใกล้จะถึงเมืองหนานจิง แผ่นดินไหวกลับเกิดขึ้นอีกคราว ราวกับแม้แต่สวรรค์เบื้องบนก็ยังประณามเขา ทำให้ความรู้สึกกลัดกลุ้มในใจของเขาผู้เป็นรัชทายาทหนักอึ้งขึ้นอีกหลายส่วน

    “องค์รัชทายาท พวกเราใกล้ถึงแล้ว ให้พวกนางกำนัลช่วยถอดฉลองพระองค์อี้ส่าน*ออก เปลี่ยนมาสวมฉลองพระองค์เผาเหมี่ยน** เถิดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่าเอื้อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า โดยมีนางกำนัลสองคนอยู่ทางด้านหลัง คนหนึ่งมือประคองชุดมังกรกระหวัดพิภพงามวิจิตร อีกคนประคองพระมาลาอี้ซั่น*** จูจันจีไม่สนใจอีกฝ่าย ยังคงกอดกระปุกจิ้งหรีดเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

    ขันทีเฒ่าเอ่ยปากเร่งเร้าอย่างระมัดระวัง นึกไม่ถึงว่าจูจันจีกลับเดือดดาลขึ้นมาทันที เขาทุ่มกระปุกลงพื้น ‘โพละ’ กระปุกใส่จิ้งหรีดแตกละเอียด พวกนางกำนัลกรีดร้องออกมาคำหนึ่ง มาลาอาภรณ์ในมือเกือบร่วงหล่นพื้น

    จิ้งหรีดบนพื้นที่กลับมามีอิสรภาพใหม่อีกคราวขยับหนวดไปมา คล้ายไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ขันทีเฒ่ารีบคุกเข่าลงกับพื้น หมายใช้ฝ่ามืออวบอ้วนจับมันไว้ ครั้นเจ้าจิ้งหรีดตกใจ มันก็กระโดดผลุงไต่ไปตามขอบหน้าต่างก่อนกระโดดออกจากหอสูงไป

    จูจันจีตกตะลึง รีบเดินหน้าบึ้งออกไปข้างนอก ขันทีเฒ่ารีบคว้าแขนเสื้อของอีกฝ่าย “องค์รัชทายาทจะเสด็จไปที่ใดหรือ”

    “ไปจับไซ่จื่อหลงกลับมา!”

    ขันทีเฒ่าตกใจ “ทว่าพวกเราใกล้จะถึงด่านตงสุ่ยแล้ว”

    “เพราะฉะนั้นถึงต้องรีบหา! ขืนรอให้เรือเทียบฝั่งแตะผืนดิน มันมีหวังได้หนีหายไปแน่!”

    “เช่นนั้นกระหม่อมจะไปเรียกเด็กรับใช้มือไม้คล่องแคล่วมาสักสองสามคน” ขันทีเฒ่ายังคงคิดปราม

    จูจันจีกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด “เจ้าหมูหมาไม่เอาไหนพวกนั้นมือไม้เก้งก้าง ข้าไม่วางใจ!”

    “ร้อยขุนนางต่างรอรับเสด็จอยู่ที่ท่าเรือแล้ว พระองค์…พระองค์มิอาจทำเพียงเพื่อจิ้งหรีดตัวหนึ่ง…”

    จูจันจีเดือดดาล แววตากลับกลายเป็นดุดัน “ให้พวกเขารออีกหน่อยจะเป็นไร หรือยังไม่ทันถึงหนานจิง คำพูดของข้าก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว”

    ขันทีเฒ่าตกใจลนลานเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ไม่กล้าขัดขวางอันใดอีก องค์รัชทายาทส่งเสียงประชดประชันออกมาคราหนึ่งก่อนสะบัดแขนเสื้อเดินออกจากห้องไป

    ยามนี้เหล่าคณาจารย์จากตำหนักบูรพาต่างสาละวนอยู่กับการตรวจสอบกองเกียรติยศ ไม่รู้ว่าบนหอสูงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น องค์รัชทายาทโมโหกระฟัดกระเฟียดเดินลงบันได ผ่านพวกคนงานเรือที่กำลังยุ่งจนมาถึงดาดฟ้าเรือที่อยู่หลังหอสูง

    เมื่อครู่ไซ่จื่อหลงกระโดดออกจากหน้าต่าง เป็นไปได้มากว่ามันจะตกลงมาแถวๆ นี้ จูจันจีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่งและสะกดกลั้นความโมโหอดทนค้อมเอวค้นหา ราวกับมีเพียงหาไซ่จื่อหลงพบเขาถึงจะกลับมาสงบนิ่งได้อีกคราว หลังกวาดตามองหาอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าจิ้งหรีดชอบที่แห้ง ดาดฟ้าเรือนั้นชื้นเกินไป มันน่าจะมุ่งหน้าไปยังท้ายเรือที่งอนสูงเหมือนก่อนหน้านี้

    เสียงเคาะระฆังบรรเลงดนตรีที่อยู่ไกลห่างดังชัดขึ้นทุกขณะ จูจันจีเหยียดตัวตรง มองเห็นพระกลดที่เรียงแถวประชิดติดกันราวกับเกล็ดซ้อนอยู่คู่กับธงห้าสีที่โบกสะบัดอยู่เหนือท่าเรือได้รางๆ

    เรือพระที่นั่งค่อยๆ ลดใบเรือ อาศัยเพียงพายแปดสิบคู่ที่อยู่สองข้างลำเรือคอยงัดส่ง ใช้ความเร็วต่ำสุดค่อยๆ ล่องผ่านหอเฝ้าน้ำ สุดท้ายพลเฝ้าสังเกตบนยอดหอก็ขยับธงมังกรเหินไปมาอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณบอกทางท่าเรือด่านตงสุ่ยว่าเรือพระที่นั่งกำลังจะไปถึงในอีกไม่ช้า

    รัชทายาทรู้ดีว่าเวลาของตนเหลืออีกไม่มากแล้ว เขากัดฟันวิ่งขึ้นหน้าไปอย่างไม่สนใจไยดีอันใดทั้งสิ้น

    ในเวลาเดียวกันเท้าเปล่าที่ถูกถลกขากางเกงขึ้นข้างหนึ่งก็เหยียบลงบนบันไดไม้ใต้ท้องเรือพระที่นั่ง หนังหนาๆ ทาบลงบนแผ่นไม้กระดานแทบไม่เกิดสุ้มเสียง เท้าเปล่าอีกข้างเคลื่อนลงไปทางด้านล่าง เหยียบอยู่บนบันไดอีกขั้นอย่างรวดเร็ว ทว่าเจ้าของเท้าเปลือยเปล่าใช้เพียงปลายเท้าเท่านั้น ปล่อยให้เท้าอีกกว่าครึ่งลอยอยู่เหนือพื้น นี่เป็นวิธีปีนลงบันไดที่เหล่าลูกเรือใช้กันยามฉุกเฉิน ช่วยให้ลงบันไดได้เร็วกว่าปกติหลายเท่า

    สองเท้าสลับกันขึ้นลง ไหลเลื่อนตามบันไดไม้ลงไปอย่างเงียบเชียบ เพียงไม่นานคนงานเรือที่โพกผ้าไว้บนศีรษะผู้นั้นก็มาหยุดยืนอยู่หน้าคลังเก็บของใต้ท้องเรือพระที่นั่งอีกครั้ง

    ห้องเก็บของใต้ท้องเรือยังคงมืดมิดคับแคบ ทว่าเสียงเอะอะมะเทิ่งข้างนอกยังเล็ดลอดผ่านผนังเข้ามาได้เบาๆ เห็นได้ชัดว่าเรือลำนี้ใกล้ถึงด่านตงสุ่ยแล้ว คนงานเรือย่อตัวลงแล้วหยิบเอากลักจุดไฟออกมาจากอกเสื้อ เขาถอดปลอกออกก่อนจะเป่าลมใส่ เพียงพริบตาสะเก็ดไฟก็ลุกติด แสงสีเหลืองเล็กๆ กระจายตัวออกกลางอากาศเปียกชื้นในห้องเก็บของ เงาร่างของคนงานเรือผู้นี้ทอดอยู่บนผนังและส่ายไหวไปมาไม่ต่างอันใดกับวิญญาณร้ายที่ผุดออกมาจากร่องแตกในสุสาน

    แสงไฟช่วยให้มองเห็นหินอับเฉาที่วางกองกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ พวกมันมีขนาดใหญ่โตกินพื้นที่แทบทั้งหมด ด้านบนมีฟางหญ้าดำๆ คลุมเอาไว้แน่นหนา

    เสียงเอะอะมะเทิ่งด้านนอกดังขึ้นทุกที คนงานเรือผู้นั้นถือกลักจุดไฟค่อยๆ เดินลึกเข้าไปด้านใน เขายื่นแขนออกไปแหวกฟางหญ้าส่วนหนึ่งออก…

     

    อู๋ติ้งหยวนเปิดจุกน้ำเต้าใส่สุรา กรอกสุราลงคอคำหนึ่ง ของเหลวฤทธิ์ร้อนไหลผ่านกระเพาะทำเอาเขาเนื้อตัวสั่นสะท้าน

    ตอนนี้ดวงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผา ไอชื้นนับไม่ถ้วนแผ่พุ่งอยู่เหนือผิวน้ำ กระจายจากริมหาดไปถึงยอดเนินลานซั่นกู่ เปลี่ยนยอดเนินทั้งหมดให้กลายเป็นลังถึงขนาดใหญ่ คนอยู่ภายในบริเวณนั้นรู้สึกเหมือนมีเข็มเล็กละเอียดเฉกเช่นขนวัวร้อนและเหนียวนับไม่ถ้วนทิ่มทะลุเสื้อผ้าแทรกเข้าไปในผิวหนังโดยไม่มีที่ให้หลบ หากไม่มีสุราร้อนหมักบ่มมาหมาดๆ คอยช่วย เกรงว่าคงยากเกินจะทนไหว

    อันที่จริงสุราไม่อาจช่วยแก้ปัญหา ทว่าอย่างน้อยก็ทำให้คนมึนงงและเชื่องช้าลงเล็กน้อย ประสบการณ์ของอู๋ติ้งหยวนบอกไว้เช่นนั้น

    เสียงดนตรีสลับกับเสียงเคาะระฆังดังแผ่วลอยข้ามแม่น้ำมา อู๋ติ้งหยวนเหมือนรับรู้บางอย่างได้ เขาวางน้ำเต้าลงแล้วทอดตามองออกไป เห็นเรือขนาดยักษ์สีแดงดำกำลังแล่นผ่านแม่น้ำหน้าลานซั่นกู่

    เรือลำใหญ่โตเช่นนี้ ตัวเรือกินพื้นที่เหนือผิวน้ำไปกว่าครึ่ง กราบเรือสูงตระหง่าน เสากระโดงสูงชะลูดไม่ต่างอันใดกับเขาไท่หังสูงใหญ่ที่ถูกบุตรชายของเทพควาเอ๋อยกย้ายออก*

    จู่ๆ อู๋ติ้งหยวนก็เหมือนเห็นภาพลวง เข้าใจว่าภูเขาลูกใหญ่นี้กำลังจะล้มคว่ำลงมาบดร่างตนเองจนกลายเป็นแป้งละเอียด เขาชักเท้าถอยหลังตามสัญชาตญาณสองสามก้าวและแหงนหน้าขึ้นมอง เห็นเงาคนปรากฏอยู่ที่หางเรือ คล้ายกำลังหมอบอยู่บนกราบเรือเพื่อค้นหาบางอย่าง

    ทั้งคู่สบตากันเพียงช่วงสั้นๆ ทว่าไม่รู้เหตุใดหนังหัวของอู๋ติ้งหยวนถึงรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเลาๆ ราวกับถูกเข็มเล็กละเอียดเล่มหนึ่งทิ่มเข้าใส่จุดไท่หยาง*

    ยังไม่ทันได้เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น อีกฝ่ายก็หันหลังวิ่งจากไปก่อนคล้ายจับบางสิ่งได้ เรือลำใหญ่ยักษ์เคลื่อนตัวห่างจากลานซั่นกู่ไปทีละน้อย มุ่งหน้าตรงไปยังท่าเรือด่านตงสุ่ย อู๋ติ้งหยวนเกาหัว เปิดจุกน้ำเต้าแล้วกรอกสุราเข้าปากอีกคราว

    สุราขาวยังไม่ทันผ่านลำคอ จู่ๆ เขาก็มองเห็นภาพงดงามยิ่งใหญ่

    หากแบ่งช่วงเวลาสั้นๆ นี้ออกเป็น ‘ขณะ’ ตามคำในพุทธศาสนาแล้วล่ะก็ ภาพที่อู๋ติ้งหยวนเห็นก็คงเป็นเช่นนี้

    ขณะที่หนึ่ง เกิดขึ้นตอนเรือพระที่นั่งกินน้ำลึกถึงช่วงระดับกลาง ไม้กระดานบริเวณลำตัวเรือก็เริ่มโป่งออก โครงเรือทั้งลำบวมนูนราวกับถูกอัดลมเข้าไป ท่ามกลางเสียงเอี๊ยดอ๊าดมันเริ่มโค้งออกข้างนอกไม่ต่างอันใดกับคันธนูที่ถูกโก่งจนตึง

    ขณะที่สอง ไม้กระดานงอโค้งถึงขีดสุด บนนั้นเริ่มปรากฏรอยแยกเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน เพียงไม่นานก็ลามไปถึงผนังส่วนนอกเช่นเดียวกับรอยร้าวบนเครื่องกระเบื้อง ไม่ว่าจะหมุดยึดอันใดก็ไม่อาจรับแรงดันดังกล่าวไหว ต่างปลิวกระเด็นออกมาทีละอันสองอัน

    ขณะที่สาม เมื่อสิ้นการต้านทาน แรงดังกล่าวก็ทะลักท้นออกมาจากภายในลำเรืออย่างรวดเร็ว เปลวไฟร้อนแรงสีแดงฉานกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมา ไม่ต่างอันใดกับเลือดเนื้อกายใจของเทพซุ่ยเหริน** คืออาวุธวิเศษของจู้หรง*** เป็นเพลิงแค้นเดือดพล่านของเอ้อป๋อ**** ร้อนแรงแผดเผาไม่มีอันใดเทียบเทียม แรงดันดังกล่าวพุ่งออกมาตามช่องกรรเชียง กรรเชียงสี่สิบคู่ทางกราบเรือด้านซ้ายที่เคยวาดเหวี่ยงพร้อมเพรียงกันสูญเสียจังหวะหมดสิ้น กรรเชียงส่วนหนึ่งวาดเหวี่ยงขึ้นหน้า บางส่วนยกสูง บางส่วนยังคงวาดเหวี่ยงไปทางด้านหลังตามความเคยชิน

    ขณะที่สี่ โครงเรือพังทลายหมดสิ้น ทว่าคล้ายยังไม่พอดับเพลิงพิโรธ เปลวไฟยังคงลามเลียจากใต้ท้องเรือขึ้นไปทางด้านบน ลุกโชนขึ้นฟ้า ทำลายกระดูกงูแกนเรือ เสากระโดง และกราบเรือส่วนกลางตามลำดับ จนเสากระโดงโค่นล้ม ส่วนกลางของเรือพระที่นั่งถูกดันโค้งขึ้นจนถึงขีดสุด หัวเรือกับหางเรืองุ้มลงพร้อมกัน ภาพที่ปรากฏต่อสายตานี้ราวกับมีมือขนาดใหญ่สีแดงยึดลำเรือไว้แน่น ก่อนจะหักมันลงเป็นสองท่อน

    ขณะที่ห้า ส่วนกลางของเรือพระที่นั่งแยกออกจากกัน กลายเป็นหน้าหลังสองท่อน หอสูงงามวิจิตรที่จู่ๆ ก็ไร้สิ้นฐานรากเริ่มพลิกหงายไปทางด้านหลัง ทว่าจู่ๆ มันก็ถูกท่อนหน้าของเรือที่กำลังจมลงดึงกลับมาอย่างโอนเอน เปลวไฟลุกท่วมเปลี่ยนหอไม้ให้กลายเป็นคบไฟสว่างเจิดจ้าจับตา ร่างคนที่มีเปลวไฟลุกท่วมหล่นร่วงลงมาเป็นจำนวนมาก

    หลังขณะที่ห้าผ่านพ้น อู๋ติ้งหยวนที่ยืนอยู่บนฝั่งก็ตระหนักได้ว่ามีลมกระโชกสายหนึ่งพัดมาปะทะปลายจมูก นัยน์ตาของเขาหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ท่าทีห่อเหี่ยวถูกสัมผัสแห่งอันตรายใหญ่หลวงพัดหายไปภายในชั่วพริบตา

    แค่ประเดี๋ยวเดียวเขาก็ตกอยู่ในสภาพเงอะงะงุ่มง่าม ราวกับโลกทั้งใบหยุดชะงัก มีเพียงแสงไฟโชติช่วงเหี้ยมโหดที่ยังคงเริงร่าย แสงไฟขนาดใหญ่นั้นไม่ต่างอันใดกับทวนยาวคมกริบแทงทะลุสมองของอู๋ติ้งหยวน ทำเอาโรคลมชักของเขาแสดงอาการออกมาผิดเวล่ำเวลา

    อู๋ติ้งหยวนร่างแข็งเกร็งเอนหงายไปด้านหลัง คลื่นสั่นสะเทือนมหาศาลบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว กระแทกร่างเขาลงกับพื้นดังโครม น้ำเต้าสุราที่เอวกระทบพื้นแตก สุราขาวที่เหลือบนพื้นทรายถูกดูดกลืนหายไปอย่างรวดเร็ว

    นี่เป็นภาพปรากฏการณ์แปลกประหลาดยากเกินบรรยาย คนผู้หนึ่งนอนชักกระตุกอยู่บนหาดสีน้ำตาลเหลือง สองตาเหลือกขึ้นด้านบนราวกับถูกภูตผีปีศาจเข้าสิง กลางแม่น้ำกว้างใหญ่ข้างกายเขามีเรือขนาดยักษ์สีแดงดำกำลังลุกไหม้ ถูกแม่น้ำสีครามเข้มกลืนหายไปทีละน้อย

    หลังจากชักกระตุกอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง อาการของอู๋ติ้งหยวนก็ค่อยๆ สงบลง เขานอนเงยหน้าอยู่บนดินโคลน ฟองน้ำลายไหลออกจากมุมปาก ทั้งเนื้อทั้งตัวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ครั้นอาการของโรคลมชักจางหาย ภาพเหตุการณ์ชวนประหวั่นเมื่อครู่ก็ปรากฏขึ้นในสมองเขาอีกครา

    เรือพระที่นั่งขององค์รัชทายาท…ระเบิด?

    พอคิดถึงตรงนี้อู๋ติ้งหยวนก็ไม่นึกสนใจ เขาปาดคราบฟองน้ำลายที่มุมปาก กระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน ประสาทสัมผัสด้านการมองเห็นและรับฟังของเขายังไม่กลับเป็นปกติ ทว่าเขาได้กลิ่นดินระเบิดฉุนแสบจมูก ฉุนถึงขั้นกระโจนไปยังบทสรุปได้ทันที

    ดินระเบิดเกิดปะทุ?

    เพียงห้าชั่วขณะก็จมเรือพระที่นั่งได้ นอกจากแผ่นดินไหวแล้วจะมีก็แต่ในห้องเก็บของบนเรือมีดินระเบิดจำนวนมากเก็บไว้ คลังเก็บดินระเบิดของเมืองหนานจิงนอกสะพานไป่ชวนเองก็เคยเกิดอุบัติเหตุระเบิดขึ้นครั้งหนึ่งเช่นกัน ยามนั้นบ้านเรือนที่อยู่ภายในระยะรัศมีระเบิดสองสามหลี่พังระเนระนาด กลิ่นในยามนั้นกับยามนี้ไม่มีอันใดแตกต่างกันแม้แต่น้อย

    ทว่านั่นมันเรือพระที่นั่งขององค์รัชทายาท ใครกล้าเก็บตุนดินระเบิดไว้มากมายเช่นนั้น

    ยามนี้สายตาเขาเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว ภาพเบื้องหน้าของอู๋ติ้งหยวนกลับมากระจ่างชัดอีกครั้ง เหนือแม่น้ำฉินไหวยังคงเหลือเศษซากหัวเรือกับหางเรืออย่างละครึ่ง ทั้งสองท่อนต่างยกสูงจนแทบจะเรียกว่าตั้งฉาก หลังจากนั้นเพียงไม่นานมันก็จมหายไปหมดสิ้น หอสูงที่อยู่ตรงกลางจมลงไปในน้ำก่อนเป็นส่วนแรก เสื้อผ้าอาภรณ์จำนวนมาก ผ้าใบ เศษไม้กับเสากระโดงที่หักเป็นหลายท่อนลอยเท้งเต้งอยู่กลางลำน้ำ บดบังผิวน้ำแทบหมดสิ้น

    เขาไม่เห็นใครอื่นแม้แต่ผู้เดียว

    แรงระเบิดเช่นนี้เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดรอดชีวิต

    ครั้นเสียงวิ้งที่ลั่นดังอยู่ในหูจางหาย อู๋ติ้งหยวนก็กลับมาได้ยินอีกครั้ง เสียงดนตรีบนท่าเรือที่อยู่ห่างออกไปหยุดลงแล้ว เสียงตะโกนร่ำไห้ดังแทนที่ ดูท่าแรงระเบิดจะสะเทือนไปถึงด่านตงสุ่ย ที่นั่นอยู่ห่างจากเรือพระที่นั่งไปไม่ไกล คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ยามนี้เกรงว่าจะสลดหดหู่ยิ่งกว่าลานซั่นกู่หลายสิบเท่า

    ต้องเผชิญหน้ากับอุบัติภัยใหญ่หลวงชวนสังเวชจนไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดขึ้นบนโลกเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนเรื่อยเปื่อยไม่รู้จักอนาทรร้อนใจต่อสิ่งใดอย่างอู๋ติ้งหยวนก็ยังอดจิตใจสั่นไหวทำอันใดไม่ถูกไม่ได้ เขาตะลึงลานกวาดตามองดูผิวน้ำ จู่ๆ เขาก็เพ่งตานิ่ง พบว่ากลางลำน้ำห่างออกไปไม่ไกลมีจุดดำผลุบๆ โผล่ๆ อยู่จุดหนึ่ง คล้ายกำลังกระเสือกกระสน

    อู๋ติ้งหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายเขาก็กระโดดลงไปในแม่น้ำ ด้วยเพราะเขาว่ายน้ำเก่ง หลังเหวี่ยงวาดแขนเพียงไม่กี่ทีก็ว่ายไปถึงข้างจุดดำดังกล่าวได้สำเร็จ คนจมน้ำจะเข้าไปช่วยต่อหน้าไม่ได้ อู๋ติ้งหยวนลากไม้กระดานที่หักลอยอยู่ใกล้ๆ เข้ามา แล้วบอกอีกฝ่ายให้ใช้มือทั้งสองข้างยึดมันไว้ให้มั่น ก่อนจะลากปลายอีกด้านของไม้กระดานว่ายกลับเข้าฝั่ง

    ครั้นป่ายปีนขึ้นฝั่งได้สำเร็จ เขาก็หันหน้ากลับมาพิจารณาดูผู้โชคดีคนนั้นโดยละเอียด

    อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตามอมแมม ผมเผ้าไหม้ไปกว่าครึ่ง เสื้อผ้าบนตัวถูกเพลิงเผาไปหลายส่วน ดูออกแค่ว่าเป็นชุดอี้ส่านแบบสั้น เด็กหนุ่มพอขึ้นถึงฝั่งได้ก็หมอบอยู่กับพื้นและสำรอกอย่างเอาเป็นเอาตาย เอาเศษอาหารเหม็นเปรี้ยวออกมากองหนึ่ง

    หลังสูดหายใจอยู่พักหนึ่ง อู๋ติ้งหยวนก็เอ่ยปากถามถึงฐานะของอีกฝ่าย ทว่าครั้นอ้าปากสิ่งที่ออกจากลำคอของเด็กหนุ่มกลับมีเพียงเสียง “อาๆ” เท่านั้น ดูท่าระเบิดนั่นคงทำให้เส้นเสียงของอีกฝ่ายเป็นอัมพาตไปชั่วคราว อู๋ติ้งหยวนได้แต่ถอดผ้าพันเอวมาจุ่มน้ำให้เขาใช้เช็ดหน้าเช็ดตา ครั้นเช็ดสะอาดสะอ้าน จุดไท่หยางของอู๋ติ้งหยวนก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันทีก่อนจะหายลับไปอย่างรวดเร็ว

    อันตรายจริงๆ เกือบเป็นลมชักอีกแล้ว

    อู๋ติ้งหยวนหัวคิ้วขมวดเข้าหากัน เขาพิจารณาดูใบหน้าของเด็กหนุ่มใหม่อีกคราว หน้าเหลี่ยม จมูกตรง ยังมีสองตากลมโตตื่นตระหนกนั่นอีก ความรู้สึกเจ็บปวดถาโถมเข้ามาอีกครั้ง นี่มันอันใดกัน เขาจำไม่ได้ว่าเคยพบเจอใบหน้านี้มาก่อน

    ไม่…เขาเคยเห็น!

    ความเจ็บปวดพิลึกพิลั่นนี้ช่วยย้ำเตือนอู๋ติ้งหยวน เมื่อครู่ตอนเรือพระที่นั่งแล่นผ่านลานซั่นกู่ เขามองขึ้นไปบนเรือและบังเอิญเห็นใบหน้านี้ปรากฏอยู่ที่กราบเรือ ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง หลังจากนั้นคนผู้นี้ก็รีบวิ่งไปทางท้ายเรือ ตอนเรือพระที่นั่งระเบิด ท้ายเรือเป็นจุดที่ได้รับผลกระทบช้าที่สุด คาดว่าอีกฝ่ายคงถูกแรงระเบิดกระแทกตกน้ำถึงรอดชีวิตมาได้

    เมื่อสมองของอู๋ติ้งหยวนกระจ่างชัดดังเดิม เขาก็สังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้มากยิ่งขึ้น

    ชุดอี้ส่านสั้นของคนผู้นี้เป็นผ้าแพรต่วนจากหูโจว ฉะนั้นต้องไม่ใช่คนงานเรือแน่ และไม่มีทางเป็นองครักษ์หรือเด็กรับใช้ ฐานะของคนผู้นี้น่าจะไม่ธรรมดา เรือพระที่นั่งกำลังจะถึงท่าเรือ ว่ากันตามหลักแล้วทุกคนต้องไปรับใช้องค์รัชทายาทลงเรืออยู่ที่ส่วนหน้า แต่เหตุใดคนผู้นี้ถึงวิ่งไปยังท้ายเรือที่เป็นจุดที่เงียบสงบที่สุด หนำซ้ำยังเป็นช่วงก่อนเกิดเหตุระเบิดขึ้นเพียงนิดเดียว

    หรือว่า…เขาคิดหนีเอาตัวรอดก่อนเกิดการระเบิด

    ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็น เมื่อครู่ตอนเกาะยึดไม้กระดาน คนผู้นี้ใช้มือซ้ายกับแขนขวา มือขวากำแน่นไม่ยอมคลายออก จนถึงตอนนี้มือขวาก็ยังคงกุมอยู่อย่างนั้น อู๋ติ้งหยวนง้างกำปั้นขวาของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มส่งเสียงบางอย่างในคอและไม่ยอมให้เขาดู อู๋ติ้งหยวนชักบรรทัดเหล็กออกมาฟาดลงบนข้อศอกของอีกฝ่ายเต็มแรง เด็กหนุ่มร้องออกมาคราหนึ่ง นิ้วมือทั้งห้าคลายออก จิ้งหรีดตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากฝ่ามือตกลงบนผืนทราย

    อู๋ติ้งหยวนตกใจ เผลอชักเท้าถอยหลัง ‘เผละ’ จิ้งหรีดตัวนั้นถูกเหยียบเละอยู่ใต้รองเท้า เด็กหนุ่มร้อง ‘อา’ ออกมาคราหนึ่งและไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนโผเข้าใส่เขาอย่างโมโห อู๋ติ้งหยวนยกเท้าถีบอกอีกฝ่ายเต็มรักจนกระเด็นไปนอนกองอยู่บนพื้น ก่อนจะหยิบเชือกเอ็นวัวบนเอวออกมามัดแขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มไพล่ไว้ทางด้านหลัง

    เด็กหนุ่มกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่บนพื้นอย่างไม่คิดชีวิต สีหน้าโกรธขึ้งเหลือกำลัง คงเพราะเห็นอีกฝ่ายอาละวาดหนัก อู๋ติงหยวนจึงล้วงเอาหมาเหอ* ยัดใส่ปากอีกฝ่าย ไม่นานก็เหลือเพียงเสียงอืมอาแผ่วเบาเล็ดลอดออกมา เขาพิจารณาดูหน้าตาของเด็กหนุ่มโดยละเอียดอีกครั้ง เหมือนอย่างที่คาดไว้ หนังหัวเขาเจ็บแปลบขึ้นอีกคราว อู๋ติ้งหยวนปลดถุงผ้าบรรจุน้ำเต้าใส่สุราบนเอวลงแล้วฉีกตะเข็บทั้งสองด้านออก ก่อนครอบมันลงบนหัวของอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ

    ในเมื่อไม่เห็นอันใด หัวเขาย่อมไม่เจ็บปวด

    หลังแก้ปัญหายุ่งยากจบสิ้น อู๋ติ้งหยวนก็ทอดตามองไปยังฝั่งตรงกันข้ามที่มีแม่น้ำฉินไหวขวางกั้นอยู่ เงาคนบนท่าเรือขยับไหว เสียงตะโกนร่ำไห้ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ธงชัยโอนไปเอนมา สับสนอลหม่านไม่ต่างอันใดกับโจ๊กหม้อใหญ่ ขุนนางเมืองหนานจิงกว่าครึ่งรวมตัวกันอยู่ที่ท่าเรือ ไหนจะขบวนเกียรติยศ ขบวนวงดนตรี ทหารองครักษ์รวมถึงชาวบ้านที่มาห้อมล้อมมุงดูอยู่ใกล้ๆ ต่างได้รับผลกระทบจากการระเบิดของเรือพระที่นั่งจนบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ น่าอกสั่นขวัญแขวนยิ่ง

    ขนาดที่ท่าเรือยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าองค์รัชทายาทกับกลุ่มขุนนางจากตำหนักบูรพาคงกลายเป็นเถ้าธุลีไปหมดสิ้นแล้ว

    อู๋ติ้งหยวนสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น นับแต่สถาปนาราชวงศ์หมิงเป็นต้นมาไม่เคยมีเหตุการณ์น่าเวทนาเช่นนี้ หลังจากนี้จะเกิดผลกระทบอันใดต่อหนานจิง หนานจื๋อลี่ รวมถึงราชสำนักทั้งหมด ย่อมจินตนาการได้ไม่ยาก อู๋ติ้งหยวนก้มหน้ามองดูเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง คนผู้นี้เป็นผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากเรือพระที่นั่ง คิดจะคลี่คลายคดีใหญ่หมายเลขหนึ่งนี้ นี่อาจเป็นเพียงเบาะแสหนึ่งเดียวที่มี

    ภารกิจเร่งด่วนในเวลานี้คือรีบนำตัวนักโทษส่งไปให้อู๋ปู้ผิงผู้เป็นบิดา อู๋ปู้ผิงเป็นหัวหน้ามือปราบเขตอิ้งเทียน คดีนี้ไม่ว่าช้าเร็วเช่นไรสุดท้ายก็ต้องให้อู๋ปู้ผิงเป็นคนตรวจสอบ ยิ่งส่งตัวนักโทษไปเร็วมากเท่าใดก็ยิ่งคลี่คลายคดีได้เร็วมากเท่านั้น และยิ่งคลี่คลายคดีได้เร็ว เงินบำเหน็จรางวัลก็จะยิ่งมากตามไปด้วย

    ดังนั้นเขาจึงดึงเด็กหนุ่มลุกขึ้นแล้วผลักให้เดินไปตามริมฝั่งน้ำมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ทว่าเดินไปได้ราวๆ ครึ่งหลี่ อู๋ติ้งหยวนก็ต้องกระตุกเชือกชะงักเท้า เขาเผชิญหน้ากับทหารสองนาย คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย ห่อคลุมร่างอยู่ใต้อาภรณ์สั้นขอบคราม ด้านในมีเกราะอ่อนสวมอยู่อีกชั้น มีผ้ารัดเอวสีขาวทาบทับอยู่เหนือดาบเยี่ยนหลิง (ขนปักษา) ดูจากการแต่งตัวแล้วพวกเขาน่าจะเป็นทหารรักษาธงกองกำลังหลิวโส่ว (เฝ้าพิทักษ์) ฝ่ายซ้าย

    องค์รัชทายาทเสด็จเข้าเมืองในครั้งนี้ พื้นที่เฝ้าระวังของหน่วยงานต่างๆ ล้วนตัดสลับทับซ้อนกันไปมา หากจะมีทหารรักษาธงของกองกำลังต่างๆ ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ทว่าอู๋ติ้งหยวนอดนึกสงสัยไม่ได้ เสียงระเบิดเมื่อครู่ดังกึกก้องปานนั้น พวกเขาสองคนกลับไม่มีทีท่าแตกตื่นตกใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับมองซ้ายมองขวาคล้ายกำลังหาบางสิ่งบางอย่างอยู่

    ทหารสองคนนั้นเองก็สังเกตเห็นทางนี้จึงตวาดสั่งให้เขาหยุดเท้า อู๋ติ้งหยวนรีบหยิบป้ายโลหะประจำตัวขึ้นแสดง “มือปราบเขตอิ้งเทียนปฏิบัติภารกิจ”

    ทหารตัวสูงนายนั้นตะลึง ก่อนจะยิ้มประสานมือ “ท่านที่อยู่ด้านหน้านี้คงเป็นบุตรชายของสิงโตเหล็กกระมัง” คนที่รูปร่างเตี้ยกว่าพอได้ยิน นัยน์ตาก็ฉายแววเหยียดหยัน ดูท่าเขาคงเคยได้ยินสมญา ‘ไม้ถ่อปวกเปียก’ มาก่อนเช่นกัน

    อู๋ติ้งหยวนแสดงคารวะตอบด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น “ข้าน้อยยังต้องกุมตัวนักโทษกลับที่ว่าการ มิอาจอยู่คุยด้วยได้”

    เขาไม่อยากพูดมาก แต่ทหารสองนายนั้นกลับขยับเข้ามาช้าๆ ทหารตัวสูงนายนั้นบอก “เมื่อครู่แม่น้ำฉินไหวเกิดระเบิด ในเมื่อคุณชายอู๋มาจากทางนั้น คนร้ายผู้นี้ไม่ทราบว่าพอจะให้พวกเราดูหน้าค่าตาสักครู่ได้หรือไม่”

    ขณะพูด ทหารผู้นั้นก็ขยับเข้ามาประชิดทางฝั่งซ้ายของอู๋ติ้งหยวน ส่วนทหารที่รูปร่างเตี้ยกว่ากลับหยาบคายเอื้อมมือดึงผ้าคลุมหัวของคนร้ายออก อู๋ติ้งหยวนดวงตาฉายแววดุดัน ร่างกายขยับไหว บรรทัดเหล็กที่เขาแอบกุมอยู่ในมือฟาดใส่ข้อมือของทหารร่างเตี้ยเต็มแรง

    แม้นี่จะเป็นเพียงการเตือน แต่ก็นับเป็นการหยั่งเชิงได้ด้วยเช่นกัน

    หากพวกเขาแค่ละโมบหมายชิงความดีความชอบ เช่นนั้นแค่เห็นบรรทัดเหล็กก็ย่อมรู้ว่าไม่ง่าย อาจยอมหลบไปทันที แต่หาก…

    อู๋ติ้งหยวนไม่ได้คิดต่อ เพราะดาบเยี่ยนหลิงวับวาวเล่มหนึ่งแทงมาจากด้านซ้ายพุ่งเข้าใส่ซี่โครงของเขา

     

     

    * ปฏิทินจีนดั้งเดิมใช้แผนภูมิสวรรค์อันประกอบด้วยกิ่งฟ้าก้านดิน (เทียนกันตี้จือ) มาประกอบเป็นระบบการนับวันเดือนปีและเวลาตามธาตุนักษัตรของจีน โดยแผนผังกิ่งฟ้า (เทียนกัน) ประกอบด้วย 10 อักษร ก้านดิน (ตี้จือ) ประกอบด้วย 12 อักษร จัดคู่เรียงไล่รอบหนึ่งได้ทั้งหมด 60 ฤกษ์ ‘ติง’ เป็นอักษรลำดับที่สี่ในแผนผังกิ่งฟ้า ‘ไฮ่’ เป็นอักษรลำดับที่สิบสองในแผนผังก้านดิน และวันติงไฮ่ถือเป็นฤกษ์วันลำดับที่ 24

    ** ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 00.59 น.

    * จั้ง คือหน่วยมาตราวัดของจีนในสมัยราชวงศ์หมิง เทียบระยะประมาณ 3.3 เมตร

    ** โหลวฉวน แปลตรงตัวว่าเรืออาคาร เป็นประเภทของเรือสำราญและเรือรบขนาดใหญ่ ลักษณะเด่นคือมีห้องโดยสารหลายชั้น คล้ายอาคารสูงที่ตั้งอยู่บนเรือ

    *** เจิ้งเหอ (ประมาณ ค.ศ.1371-1433) มหาขันทีเชื้อสายมุสลิมในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อจูตี้ เดิมแซ่หม่า แต่ได้รับพระราชทานนามสกุลว่า ‘เจิ้ง’ และได้รับขนานนามเป็นหนึ่งในสาม ‘ซานเป่าซิ่นกวน (สามขุนนางผู้เป็นที่ไว้วางพระทัยปกป้องสมบัติ)’ เมื่อครั้งรับภารกิจผู้บัญชาการกองเรือเป่าฉวน (เรือมหาสมบัติ) ออกท่องทะเลตะวันตก ผู้คนจึงเรียกว่า ‘ขันทีซานเป่า’

    **** หลังคาทรงเซียซาน เป็นสถาปัตยกรรมหลังคารูปแบบหนึ่งของจีน ลักษณะเดียวกับหลังคาปั้นหยา แต่หักมุมและมีหน้าจั่ว บ้างซ้อนชายคาเป็นสองชั้น มักใช้กับสถานที่สำคัญเช่นสถานที่ราชการและศาสนสถาน

    * มาจากบทละครร้องเรื่องสามก๊ก เป็นคำกล่าวของเฉาเชา (โจโฉ) ซึ่งร้องสั่งกองทัพให้จับเป็นจ้าวอวิ๋น ชื่อรองจื่อหลง (จูล่ง) ขุนศึกยอดฝีมือของหลิวเป้ย (เล่าปี่) เพราะต้องการคนดีมีฝีมือ

    ** เทียหลี่ ชุดของผู้ชายในสมัยราชวงศ์หมิง ท่อนบนเป็นเสื้อแบบสาบเสื้อป้ายข้าง ท่อนล่างเป็นกระโปรงจีบ สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากชุด Terlig ของชาวมองโกลในสมัยหยวน

    *** ต้าปั้น แปลตรงตัวว่าคู่หู หรือยอดสหาย เป็นคำที่จักรพรรดิในสมัยราชวงศ์หมิงใช้เรียกขันทีคนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก หรือเป็นพี่เลี้ยงของจักรพรรดิมาตั้งแต่เล็ก

    **** เลี่ยว หน่วยบอกความจุของเรือในสมัยโบราณ 1 เลี่ยวเทียบน้ำหนักประมาณ 0.325 ตัน

    * เจียงหนาน คือคำเรียกที่ราบลุ่มทางทิศใต้ของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ปัจจุบันคือทางใต้ของมณฑลเจียงซู อันฮุย และด้านเหนือของมณฑลเจ้อเจียง

    * หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนในสมัยราชวงศ์หมิง เท่ากับความยาว 180 จั้ง เทียบระยะประมาณ 600 เมตร

    * หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า 1 ชั่วโมง

    ** ตีชิงตามไฟ เป็นกลยุทธ์ที่ฉวยโอกาสเมื่อข้าศึกตกอยู่ในภาวะวิกฤตก็ชิงเข้าโจมตีซ้ำเติมเพื่อเอาชัย

    * ปู้ผิง แปลว่าอยุติธรรม ส่วนแซ่อู๋พ้องเสียงกับคำว่าไม่มี ชื่อของอู๋ปู้ผิงจึงมีความหมายคล้ายกับคำว่าไร้ความอยุติธรรม

    * ชุยปิ่ง แปลตรงตัวว่าขนมแป้งหุง ลักษณะเป็นแป้งสีขาวฟูนุ่มคล้ายหมั่นโถว มักทาไส้น้ำมันงาและโรยงา บ้างเรียกว่าขนมแป้งนึ่ง ต่อมาวิธีการทำเปลี่ยนเป็นการย่างไฟ จึงคล้ายเซาปิ่งหรือขนมเปี๊ยะแผ่น

    ** หนานจื๋อลี่ แปลตรงตัวว่าเขตที่ขึ้นตรงกับส่วนกลางแดนใต้ เป็นชื่อมณฑลที่ขึ้นตรงกับเมืองหนานจิง และเคยเป็นราชธานีรองในสมัยหงอู่ กินพื้นที่ของมณฑลเจียงซู อันฮุย และซั่งไห่ (เซี่ยงไฮ้) ในปัจจุบัน

    * เทพเฉิงหวง เป็นเทพในฝั่งยมโลกตามความเชื่อของลัทธิขงจื๊อผสมศาสนาเต๋า ทำหน้าที่ดูแลเขตแดนระหว่างสองโลก ปกปักรักษาเมือง

    * ก้วน เป็นหน่วยเงินจีนสมัยโบราณ แรกเริ่มใช้เรียกเงินที่ร้อยเป็นพวง หนึ่งพวงประกอบด้วยเหรียญเหวิน (เหรียญสำริด) 1,000 เหรียญ ในสมัยราชวงศ์หมิง กำหนดให้ 1 ก้วนมีมูลค่าเท่ากับเงินสำริดหรือเงินทองแดง 1,000 เหรียญ และเท่ากับเงินขาว 1 ตำลึงเงิน

    ** ในสมัยราชวงศ์หมิงมีการตั้งบรรดาศักดิ์สำหรับผู้ต่างแซ่ 3 ขั้น ได้แก่ กง โหว ป๋อ แก่ขุนนางที่สร้างคุณูปการหรือพระญาติต่างสกุล

    * อี้ส่าน หรือชุดจิ้นซุน เพี้ยนมาจากคำว่า jisum ในภาษามองโกลแปลว่าสีเดียว เป็นชุดกระโปรงแขนยาว นิยมใช้ในหมู่องครักษ์ของราชสำนักหมิง สาบป้ายข้าง ส่วนเอวจับจีบขวาง ส่วนหน้าท้องจับจีบแนวตั้ง

    ** เผาเหมี่ยน เป็นคำเรียกรวมชุดพิธีการของจักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงฝ่ายชาย ประกอบด้วยชุดคลุมปักลาย (เผา) พระมาลา (เหมี่ยน) ประจำตำแหน่ง

    *** พระมาลาอี้ซั่น เป็นหมวกตาข่ายโปร่งสีดำ ส่วนหลังเป็นทรงสูง อาจประดับอัญมณีเป็นลวดลายสัตว์มงคล

    * มาจากตำนาน ‘เฒ่าอวี๋กงย้ายภูเขา’ ที่ว่าเฒ่าอวี๋กงมุมานะบากบั่นขุดภูเขาที่ขวางกั้นทางเข้าออกบ้านของตน จนผู้คนล้อว่าโง่เขลา ทว่าอวี๋กงกลับบอกว่าถึงตนตายไปก็ยังมีลูก ลูกตายไปก็ยังมีหลานขุดสืบต่อได้ เทพสวรรค์ได้ยินดังนั้นก็เห็นถึงความพยายาม ให้เทพควาเอ๋อจอมพลังส่งบุตรทั้งสองมายกภูเขาออกให้

    * จุดไท่หยาง คือจุดชีพจรที่อยู่บริเวณขมับทั้งสองข้าง

    ** ซุ่ยเหริน กษัตริย์โบราณตามตำนานของจีน เป็นผู้คิดค้นวิธีจุดไฟด้วยการปั่นไม้

    *** จู้หรง เป็นหนึ่งในสามจักรพรรดิห้าราชาธิราช สามารถควบคุมไฟ ได้รับยกย่องเป็นเทพเจ้าอัคคีของจีน

    **** เอ้อป๋อ บุตรชายคนโตของห้าราชาธิราชจักรพรรดิตี้คู่เกาซิน เอ้อป๋อทะเลาะกับน้องชายจนแตกหัก แยกออกมาสร้างแคว้นซางชิวเป็นของตัวเอง ภายหลังได้รับการยกย่องจากมนุษย์ให้เป็นเทพอัคคี

    * หมาเหอ หมายถึงเม็ดวอลนัท ทรงกลม ผิวขรุขระคล้ายเมล็ดบ๊วย มีขนาดตั้งแต่เท่าลูกประคำไปจนถึงลูกปิงปอง

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Uncategorized

    สุดมันกับนิยายเรื่องใหม่ เล่มต่อ และเล่มจบ ที่ทุกท่านรอคอย… บูธ ENTER BOOKS Q02

    บูธ ENTER BOOKS Q02 งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย...

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน เพลงยุทธ์ก้องหล้า เซียนสุราไร้เทียมทาน เล่ม 1 ครั้งที่ 3

    บทที่ 8 จั๋วโม่สะท้านเทพ   เหยียนเชียนซุ่ยย่างเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทว่าก้าวนี้ทำเอาซือคงฉางเฟิงกับไป๋ตงจวินถอยหลังไปส...

    Facebook