• Connect with us

    Enter Books

    ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน หมื่นยุทธ์พิชิตหล้า ใต้ฟ้าไร้พันธนาการ 1 ครั้งที่ 1

     

     

    ภาคโลงศพทองคำ

     

     

     

     

    บทที่ 1

    คฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่ว

     

    คฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่ว (หิมะโปรยปราย) มิใช่คฤหาสน์ แต่เป็นโรงเตี๊ยมซอมซ่อผุพังแห่งหนึ่ง ทั้งยังมีเพียงแห่งเดียวในรัศมีหนึ่งร้อยหลี่* หลังพิงภูเขาสูง หน้าติดแม่น้ำใหญ่ หากจะข้ามภูเขาเบื้องหลังก็จำต้องใช้เวลามากโข หรือจะข้ามแม่น้ำเบื้องหน้าก็ไม่ง่ายดายนัก มันจึงกลายเป็นที่พักซึ่งคนเดินทางจำต้องแวะ

    ทว่าหลายเดือนมานี้กิจการของคฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่วกลับไม่ค่อยดีนัก เพราะเหมือนดังชื่อของมัน ครั้งนี้หิมะตกยาวนาน กีดขวางทางมา ปิดตายทางไป เซียวเซ่อสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวยืนพิงประตูโรงเตี๊ยมพลางมองดูเกล็ดหิมะที่โปรยปรายอยู่เต็มฟ้าด้านนอก ก่อนทอดถอนใจแผ่วเบา

    เสียงถอนใจนี้ช่างอ้างว้างเดียวดายคล้ายนามของมัน…เซียวเซ่อ (โดดเดี่ยวอ้างว้าง)

    เสี่ยวเอ้อร์**สองสามคนฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะ บางครั้งก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะไอหนาวที่พาให้สั่นสะท้าน แต่พอกวาดตามองรอบหนึ่ง เห็นว่ายังคงมีเพียงเถ้าแก่ผู้คิดว่าตนเองงามสง่ามองดูหิมะอยู่ที่เดิมก็กระชับเสื้อคลุมเก่าขาดบนตัวแล้วฟุบหลับต่อ ในใจของพวกมันอดนึกบ่นไม่ได้ว่า เดิมทีก็มีลูกค้าหลายคนที่คิดจะพักแรมเพราะไม่อยากเดินทางฝ่าลมหิมะ แต่เพราะเถ้าแก่เสียดายเงินจึงไม่ยอมปรับปรุงโรงเตี๊ยมจนห้องพักทรุดโทรมเป็นรูไปทุกห้อง พวกลูกค้าทนหนาวเหน็บได้ไม่กี่วันก็ออกเดินทางต่อแม้จะต้องลำบากตากหิมะฝ่าลมก็ตาม

    เถ้าแก่ที่ชื่อเซียวเซ่อผู้นี้เคยอบรมพวกมันว่า ‘โรงเตี๊ยมของพวกเราหลังพิงเขาเขียว หน้าชิดน้ำใส หากห้องพักดูเก่าโทรมบ้างก็จะยิ่งงดงามมากขึ้น เช่นนี้จึงจะเป็นที่น่าถวิลหา’

    พวกเสี่ยวเอ้อร์ไม่เข้าใจจึงเอ่ยถาม ‘นั่นเป็นความรู้สึกเช่นไรกัน’

    เซียวเซ่อส่ายศีรษะอย่างผู้ทรงภูมิ ‘เฮ้อ…ย่อมเป็นความรู้สึกของการเดินทางน่ะสิ’

    พวกเสี่ยวเอ้อร์ผงกศีรษะเหมือนเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ

    ครั้งหนึ่งเคยมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งเร่งเดินทางมาและพักค้างแรม ทว่าเมื่อตกดึกก็ทนฟังเสียงลมซัดซ่าจากหน้าต่างไม่ไหว จึงใช้หมัดชกจนห้องเป็นรูโหว่ใหญ่ด้วยความโมโห เถ้าแก่จึงกักตัวมันไว้เพื่อลงโทษและให้ทำงานชดใช้อยู่หนึ่งเดือน ชายฉกรรจ์ผู้นั้นมิใช่ไม่ขัดขืน เพียงแต่พอเงื้อหมัดก็ถูกเซียวเซ่อซัดกระเด็นออกไปนอกประตู ครั้นลุกยืนขึ้นได้ก็เห็นเซียวเซ่อกำลังควงไม้พลองท่าทางคล่องมือ ไม้พลองเล่มนั้นยังไม่ทันฟาดลงมา ชายฉกรรจ์ก็คุกเข่าลงกับพื้น

    เรื่องที่ว่าไม้พลองนั้นแท้จริงแล้วได้ตีถูกอีกฝ่ายหรือไม่ พวกเสี่ยวเอ้อร์ก็ถกเถียงกันอยู่ มีเสี่ยวเอ้อร์ตาไวคนหนึ่งเอ่ยว่ามันคล้ายเห็นไม้พลองนั้นสะบัดออกเป็นกระบวนท่าวูบไหวหลายท่า พริบตานั้นโรงเตี๊ยมง่อนแง่นจวนพังหลังนี้ก็สั่นสะเทือน ทว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นกลับไม่ได้บาดเจ็บอันใด ดังนั้นจึงไม่มีใครยืนยันได้ว่าไม้พลองนั้นตีถูกอีกฝ่ายหรือไม่ ตลอดทั้งเดือนชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ไม่กล้าพูดมากแม้แต่คำเดียว คนอื่นเอ่ยถาม มันก็เอาแต่เดินหนี

    เซียวเซ่อทอดถอนใจเฮือกหนึ่งและเริ่มคิดคำนวณ มันกำลังครุ่นคิดว่าจะขายโรงเตี๊ยมนี้ทิ้ง อย่างไรก่อนหน้านี้หลี่หยวนไว่** ของเมืองหงลู่ที่อยู่ห่างออกไปมากกว่าร้อยหลี่ก็เคยเอ่ยขอซื้ออยู่หลายครั้ง แต่ตอนนี้ต่อให้คิดอยากขายก็ต้องเดินทางไปหาก่อน หรือไม่ยามนี้เซียวเซ่ออาจแก้ขัดด้วยการเลิกจ้างเสี่ยวเอ้อร์บางคน แต่วันนี้อากาศหนาวเหน็บเป็นน้ำแข็ง พวกเสี่ยวเอ้อร์ไม่มีพื้นฐานวรยุทธ์ หากถูกเลิกจ้างก็คงยังไปไหนไม่ได้ ทันใดนั้นในหัวเซียวเซ่อก็สว่างวาบ ในเมื่อเลิกจ้างแล้วแต่พวกมันไปไหนไม่ได้ ก็ย่อมต้องพักอยู่ที่นี่มิใช่หรือ เมื่อพักแรมก็เท่ากับเป็นลูกค้า เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าที่พักน่ะสิ อย่างนี้ปัญหาเรื่องเงินมิใช่คลี่คลายได้แล้วหรือ ใบหน้าเซียวเซ่อเผยรอยยิ้มยินดีปรีดาอย่างกลั้นไม่อยู่

    ครั้นคิดการได้ชัดแจ้ง ในใจปลอดโปร่งโล่งสบายแล้วก็พลันเห็นเงาร่างสีแดงปรากฏห่างออกไปไม่ไกลนัก มันกะพริบตาปริบๆ คิดว่าตนเองตาฝาดไป ทว่าเงาสีแดงนั้นกลับยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เซียวเซ่อกะพริบตาอีกครั้งก่อนร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา “ลูกค้ามาแล้ว”

    เสียงตะโกนนี้แม้จะเฉื่อยชา แต่เสี่ยวเอ้อร์ทั้งหมดต่างสะดุ้งลุกยืนขึ้นในทันใด

    ยามนี้เงาร่างสีแดงถึงเบื้องหน้าเซียวเซ่อแล้ว

    “ท่านลูกค้า จะแวะพักแรมหรือว่า…”

    เงาร่างสีแดงเดินผ่านข้างตัวเซียวเซ่อไปอย่างไม่สนใจ

    เซียวเซ่อพลันรู้สึกว่าหิมะที่ตกลงมายิ่งพาให้รู้สึกอ้างว้างเดียวดายยิ่งนัก

    พวกเสี่ยวเอ้อร์ก็ตะลึงงันไปเช่นกัน

    ลมฟ้าเป็นพายุหิมะเช่นนี้ ผู้ที่มากลับสวมเพียงเสื้อสีแดงชั้นเดียว ตรงอกเสื้อยังเปิดกว้างอย่างไม่ยี่หระ ทว่าเสียดายเพียงที่เผยออกมานั้นไม่ใช่ ‘อกนุ่มอูมสล้าง’ หากแต่เป็นกล้ามเนื้อแน่นหนั่น ใบหน้านั้นดูงามพิสุทธิ์ผิดธรรมดา มองดูแล้วคงอายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปี ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นก็ยังดูงดงามยิ่งกว่าสตรีทั่วไปอยู่หลายส่วน

    หากพินิจมองทั่วทั้งตัว คนผู้นี้ช่างคล้ายงานศิลป์ที่ผสมผสานความแข็งแกร่งและความอ่อนโยนเข้าด้วยกันจนงามพร้อมไร้ที่ติ แต่สิ่งที่ทำให้คนตื่นตะลึงยิ่งกว่าก็คือทั้งที่สวมใส่อาภรณ์ชั้นเดียวเดินทางฝ่าหิมะหนาวเหน็บเป็นน้ำแข็งมา คนผู้นี้กลับมีไอร้อนขุมหนึ่งแผ่ซ่านจากทั่วร่าง แค่หย่อนก้นลงนั่ง โรงเตี๊ยมที่หนาวยะเยือกก็คล้ายอบอุ่นขึ้นมาในฉับพลัน

    เดิมทีเซียวเซ่อไม่ค่อยพอใจนักเพราะเด็กหนุ่มผู้นี้ไร้มารยาทยิ่ง อีกทั้งหน้าตายังดูดีเช่นเดียวกับตน แต่มันก็ปรับอารมณ์กลับคืนสู่ปกติได้อย่างรวดเร็วเพราะเห็นห่อผ้าด้านหลังของเด็กหนุ่ม นั่นเป็นห่อผ้าที่ยาวมากๆ และใหญ่มากๆ ด้วย การเร่งเดินทางในอากาศเช่นนี้ คนทั่วไปมักไม่นำสิ่งของมามาก ที่นำมาก็ต้องเป็นของล้ำค่าสำคัญจริงๆ

    ดังนั้นของในห่อผ้านี้จะต้องมีค่าอย่างยิ่ง! ลูกค้าผู้นี้จะต้องร่ำรวยมากแน่ๆ!

    “ท่านลูกค้าต้องการสิ่งใดบ้างขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์คุ้นเคยกับสัจธรรมข้อนี้เป็นอย่างดี จึงรีบขึ้นหน้าต้อนรับอย่างพินอบพิเทา

    เสียงของเด็กหนุ่มชุดแดงหนักแน่นเปี่ยมพลัง “บะหมี่หยางชุน* หนึ่งชาม สุราเหล่าเจาเซา** หนึ่งชาม!”

    เสี่ยวเอ้อร์แทบลื่นหกล้ม แขนของเซียวเซ่อที่พิงประตูอยู่ก็ถึงกับทรุดยวบ

    เด็กหนุ่มชุดแดงมุ่นคิ้วเล็กน้อยขณะมองเสี่ยวเอ้อร์ “มีอันใด”

    เสี่ยวเอ้อร์ฝืนยิ้มออกมาและถามหยั่งเชิง “ไม่รับอย่างอื่นแล้วหรือขอรับ เนื้อลายดอกเหมย* กับสุราดอกท้อของร้านข้าน้อยล้วนแต่เลื่องชื่อ…”

    “เนื้อลายดอกเหมยรึ” เด็กหนุ่มชุดแดงเลียริมฝีปากกลืนน้ำลายหลายอึก ก่อนเอ่ยอย่างสองจิตสองใจ “หนึ่งจานคงจะไม่ไหว คีบหนึ่งชิ้นวางไว้บนบะหมี่หยางชุนให้ข้าได้หรือไม่”

    เสี่ยวเอ้อร์อดเหลือบมองท่าทีของเถ้าแก่ไม่ได้ ทว่ามันเห็นเพียงเซียวเซ่อหมุนตัวกลับไปเหม่อมองหิมะที่ปลิวว่อนฟ้าแล้ว

    ครั้งนี้เซียวเซ่อเหม่อมองด้านนอกอยู่นานโข หูได้ยินเพียงเสียงสูดบะหมี่ดังมาจากด้านหลังไม่หยุดจนรู้สึกหิวขึ้นมาบ้าง เดิมเซียวเซ่อคิดจะเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้เอาของกินมา แต่กลับเห็นเงากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเสียก่อน มันเพ่งมองให้ดี เงานั่นคล้ายคนสิบกว่าคนกำลังเดินมา มันนึกยิ้ม แต่แล้วก็ยิ้มไม่ออกในฉับพลัน

    ด้วยเพราะคนเหล่านี้ดูยากจนมาก เทียบกับเด็กหนุ่มชุดแดงที่แม้การกระทำจะดูตระหนี่ถี่เหนียว แต่เซียวเซ่อแค่มองก็รู้ว่าเสื้อผ้าอาภรณ์สีแดงนั้นทอจากใยเพลิงพญาหงส์ ต่อให้เป็นร้านค้าใหญ่อย่างร้านอวี้ซิ่วในนครหลวง แค่ซื้อพับเดียวก็ต้องจ่ายหนักมาก ทว่ากลุ่มคนที่กำลังมานี้ล้วนสวมใส่เสื้อคลุมเนื้อหยาบ ใบหน้าดุร้าย ทั้งยังพกดาบมาด้วย

    คนกลุ่มนั้นมองหน้าเซียวเซ่อก่อนจะเข้าไปข้างในโรงเตี๊ยม

    สายตาที่มองมานั้นทำให้เซียวเซ่อรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นพวกไร้มารยาทอย่างแท้จริง มันโกรธมาก แต่ก็ยังคงปั้นยิ้ม อย่างไรมันก็เป็นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ต้องคิดถึงการค้าขายไว้ก่อน

    แม้ว่าเรื่องเหล่านี้ควรเป็นงานของเถ้าแก่เนี้ยก็ตาม

    ครั้นเสี่ยวเอ้อร์เข้าไปต้อนรับ คนพวกนั้นก็แผดเสียงดังลั่น “เอาสุราที่แพงที่สุด เนื้อที่ดีที่สุดของร้านเจ้ามา!”

    เสี่ยวเอ้อร์รีบผงกศีรษะ “รับเท่าไรขอรับ”

    ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าเอ่ย “มีเท่าไรก็เอามาเท่านั้น!”

    “เอ่อ…” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยอย่างลังเล

    “มีอันใด” ชายฉกรรจ์ถลึงตาใส่

    “ท่านลูกค้า ร้านของเราต้องจ่ายเงินก่อนจึงจะจัดอาหารมาให้ ดังนั้นท่านต้องการเนื้อกี่จิน** สุรากี่ตำลึง ต้องจ่ายก่อนถึงจะได้” เซียวเซ่อระบายยิ้มให้พวกมัน

    ชายฉกรรจ์จ้องมาที่เซียวเซ่อ “เจ้าเป็นใคร”

    “ข้าน้อยเซียวเซ่อ เป็นเถ้าแก่ของคฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่วแห่งนี้” เซียวเซ่อยังคงใบหน้าแต้มยิ้ม น้ำเสียงฉาบด้วยมารยาทสิบสองส่วน

    “ข้าไม่มีเงิน” ชายฉกรรจ์นำดาบในมือกระแทกลงบนโต๊ะ

    “โอ้…” เซียวเซ่อเอ่ยเสียงเรียบ

    “แต่เจ้าต้องมีเงินแน่!” ชายฉกรรจ์ชี้ไปที่เซียวเซ่อ

    เซียวเซ่อส่ายศีรษะทันที “ไม่ปิดบังท่าน ร้านของข้าไม่มีลูกค้ามาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ค่าแรงก็ยังค้างจ่าย…”

    “ข้าไม่สนใจ!” ชายฉกรรจ์ตบโต๊ะดังลั่น “ต่อให้เจ้าไม่มีเงิน แต่เสื้อคลุมขนสัตว์ของเจ้าคงมีค่าสักหนึ่งร้อยสิบตำลึงเห็นจะได้”

    “เหลวไหล!” เซียวเซ่อตวาดลั่นพร้อมถลึงตา สีหน้าดุดัน

    ชายฉกรรจ์ผู้นั้นสะดุ้งตกใจ

    “ยอดอาชาขนหลากสี ชุดคลุมขนสัตว์หนึ่งพันตำลึงทอง! เสื้อของข้าสั่งตัดที่ร้านอวี้ซิ่วในนครหลวง แค่ตัดอย่างเดียวก็ใช้เวลาถึงสามเดือน ขนส่งอีกหนึ่งเดือน หนึ่งร้อยสิบตำลึงรึ แค่นั้นยังซื้อแขนเสื้อไม่ได้ด้วยซ้ำ!” เซียวเซ่อเอ่ยด้วยวาจาหนักแน่นทรงพลัง ถ้อยคำองอาจเปิดเผย

    ชายฉกรรจ์ผู้นั้นฟังจนอึ้งค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งสติได้ มันชักดาบออกมาฟันโต๊ะเบื้องหน้าขาดเป็นสองท่อน “ไอ้หนูอย่างเจ้าฟังคำข้าเข้าใจหรือไม่!”

    “สองตำลึง!” เซียวเซ่อมุ่นคิ้ว

    “สองตำลึงอันใด” บุคลิกอันห้าวหาญของชายฉกรรจ์มลายสิ้น

    “ข้าบอกว่าโต๊ะตัวนี้ราคาสองตำลึง!” เซียวเซ่อขยายความ

    ชายฉกรรจ์ผู้นั้นโมโหยิ่ง เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้าจนแดง “ไอ้หนู วันนี้พ่อมาปล้น! มิได้มาพักแรม! เอาสุราชั้นเลิศ เนื้อชั้นดีมาให้ข้า แล้วค่อยเอาของมีค่าออกมา หาไม่แล้วข้าจะฆ่าเจ้าแล้วเผาร้านนี้เสีย!”

    “ปล้นรึ” เด็กหนุ่มชุดแดงวางชามในมือลงแล้วเช็ดน้ำแกงที่เปื้อนมุมปาก

    ชายฉกรรจ์ผู้นั้นหันไปมองมันพลางแกว่งดาบไปมา “หากใช่แล้วอย่างไร”

    เด็กหนุ่มชุดแดงลุกขึ้นยืนอย่างแน่วแน่ “เช่นนั้นข้าก็มิอาจเมินเฉย”

    “เจ้า…เป็นใคร” ชายฉกรรจ์ถามมัน

    เด็กหนุ่มชุดแดงระบายยิ้มบางก่อนเชิดหน้าขึ้น “ข้าเหลยอู๋เจี๋ย!”

    มันเอ่ยเสียงดังกังวานอย่างมาดมั่น ฉายแววอวดดีอยู่หลายส่วน ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนนั้นต่างตกตะลึง “เหลยอู๋เจี๋ย!”

    เด็กหนุ่มชุดแดงพยักหน้า “ใช่แล้ว!”

    ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าขมวดคิ้ว ก่อนกล่าวต่อ “แล้ว…เป็นใคร”

    เดิมทีชื่อนี้ดูแฝงความน่าเกรงขามอยู่หลายส่วน ตอนอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นก็ดูอหังการยิ่ง ทำให้พวกมันคิดว่าจะต้องเป็นชื่อของยอดฝีมือผู้หนึ่งในยุทธภพเป็นแน่ ทว่าพวกมันนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร

    เด็กหนุ่มชุดแดงยิ้มกล่าว “ยามนี้ข้าเพิ่งย่างเข้ายุทธภพ พวกเจ้าย่อมไม่เคยได้ยินชื่อของข้า แต่ไม่เป็นไร ในไม่ช้าชื่อข้าก็จะเป็นที่เลื่องลือไปไกล”

    เด็กหนุ่มชุดแดงยิ้มมุมปาก สีหน้าเปี่ยมด้วยความอหังการ

    เหล่าชายฉกรรจ์ต่างโมโห ที่แท้ก็แค่เด็กน้อยที่เพิ่งเข้ายุทธภพคนหนึ่ง!

    “เหลยอู๋เจี๋ยอันใด! เป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนกลับกล้าอวดตนต่อหน้าพี่ใหญ่รึ” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเงื้อดาบขึ้นฟาดฟันใส่เด็กหนุ่ม

    เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวเล็กน้อยแล้วยกนิ้วเรียวสองนิ้วหนีบรับคมดาบอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังดันชายฉกรรจ์ถอยกลับไปอย่างรุนแรง

    ชายฉกรรจ์ตะลึงลาน ทั้งที่เด็กหนุ่มตรงหน้าใช้เพียงสองนิ้วรับคมดาบ แต่ดาบในมือมันกลับไม่อาจขยับไปข้างหน้าได้ราวกับสูญสิ้นพลังไปทั้งหมด ทั้งที่หากเคลื่อนไปข้างหน้าอีกเพียงเล็กน้อยก็จะตัดมืออีกฝ่ายขาดสะบั้นได้แท้ๆ มันมองเด็กหนุ่มที่หยุดยั้งดาบของตนได้อย่างง่ายดายตาปริบๆ

    มันไม่ยอมแพ้ คิดจะรุกไล่โจมตีต่อ

    ทว่ามันพลันได้ยินเสียงหนึ่ง

    เสียงนั้นเบาหวิว ดังมาจากบนดาบของมัน

    ไม่ได้มีเพียงมันที่ได้ยิน ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ได้ยินกันถ้วนหน้า

    คล้ายเป็นแค่เสียงแตกเล็กๆ บนคมดาบเท่านั้น เสียงนั้นเบาหวิวเมื่อแรกเริ่ม แต่กลับขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…

    ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าตวาดลั่นอย่างร้อนรน “โยนดาบทิ้งเสีย!”

    คนผู้นั้นพลันได้สติ รีบโยนดาบทิ้งในทันใด

    เกิดเสียงดังกึกก้อง ดาบเล่มนั้นพลันระเบิดกลางอากาศในชั่วพริบตา แสงเพลิงพร่างตา เศษดาบลอยละล่อง ผู้คนในโรงเตี๊ยมหลบหลีกกันเป็นพัลวัน เสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายต่างมุดลงใต้โต๊ะทันที

    มีเพียงเด็กหนุ่มชุดแดงที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่เดิมอย่างไม่ยี่หระ มองดูเหล่าชายฉกรรจ์ปากอ้าตาค้างด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม

    เหลยอู๋เจี๋ยหาใช่พวกนิรนาม อย่างน้อยสกุลของมันก็เลื่องชื่อในยุทธภพยิ่งนัก ถึงขนาดผู้ที่ได้ยินชื่อสกุลนี้เป็นต้องหลบหลีกให้ไกล หาไม่แล้วเกรงว่าจะตายไม่ครบสมประกอบ

    “สกุลเหลยแห่งเจียงหนาน ผู้ผนึกดาบแขวนกระบี่!” ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าเค้นเสียงลอดไรฟัน

    เด็กหนุ่มชุดแดงผงกศีรษะ “ใช่แล้ว ข้าเหลยอู๋เจี๋ยจากสกุลเหลย”

     

     

    บทที่ 2

    เถ้าแก่ผู้ยากแท้หยั่งถึง

     

    สกุลเหลยแห่งเจียงหนานคือผู้คิดค้นและประดิษฐ์ดินระเบิดที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงขึ้นมา เมื่อกาลก่อนบรรพบุรุษของพวกมันยังทำพิธี ‘ผนึกดาบแขวนกระบี่’ ตั้งปณิธานว่าจะเลิกใช้อาวุธยอดนิยมของยุทธภพทั้งสองชิ้นและมุ่งมั่นคิดค้นอาวุธระเบิด ด้วยเหตุนี้สกุลเหลยจึงเดินบนเส้นทางที่แตกต่างจากชาวยุทธ์ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ยามนั้นไม่มีใครคิดว่าสกุลเก่าแก่ที่เลิกใช้ดาบและกระบี่จะดำรงอยู่ได้ ทว่าสกุลเหลยกลับทำได้ พวกมันเปลี่ยนดินระเบิดให้กลายเป็นอาวุธได้อย่างสมบูรณ์ ทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นจริงและกลายเป็นสกุลมีชื่อที่ชาวยุทธ์เคารพยำเกรงเมื่อได้ยิน

    “ในเมื่อล่วงเกินสกุลเหลยเข้าแล้ว เรื่องนี้คงไม่อาจจบได้ด้วยดี แม้ข้าจะมิใช่คู่ต่อสู้ แต่ไม่ขอนั่งรอความตาย!” ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าทราบแก่ใจว่าคนของสกุลเหลยไม่เคยไว้ไมตรีแก่ผู้ที่ล่วงเกิน จึงตัดสินใจแน่วแน่ กำดาบในมือแน่น

    เหลยอู๋เจี๋ยแย้มยิ้มพลางส่ายหน้า “เมื่อครู่นี้ข้าเพียงสาดกระสุนอัสนีไม่กี่ลูกลงบนดาบของสหายผู้นั้น หากพวกเจ้ายังกล้าไร้เหตุผลต่อ ข้าจะสาดมันบนตัวพวกเจ้า…”

    “บุก!” ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าแกว่งดาบเล่มใหญ่ในมือ พรรคพวกมันอีกสิบกว่าคนก็โถมตัวเข้ามาพร้อมกัน

    “พวกเจ้า!” เหลยอู๋เจี๋ยเบิกตาโพลง “ไม่กลัวแม้แต่น้อยเลยรึ!”

    ดาบสามเล่มพุ่งเป้ามาที่ศีรษะของเหลยอู๋เจี๋ยพร้อมกัน

    เหลยอู๋เจี๋ยโกรธเกรี้ยว มันออกหมัดพร้อมกันสองมือ ดาบทั้งสามเล่มพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ คนทั้งสามต่างลอยกระเด็นออกไป

    “ดินระเบิดช่างรุนแรงยิ่งนัก!” ผู้คนต่างตกตะลึง

    เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยอย่างเดือดดาล “ไม่ใช่ดินระเบิด! เป็นวิชาหมัดไร้ทิศของข้าต่างหาก แต่ถ้าพวกเจ้าอยากดูดินระเบิดล่ะก็…” เหลยอู๋เจี๋ยกระโดดขึ้น ประกายแสงในมือวูบวาบ กระสุนสีดำจำนวนมากถูกสาดลงไป

    เกิดเสียงดังสนั่นเลือนลั่น เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหมดถูกระเบิดกระเด็นออกไป ครั้นร่างตกกระแทกพื้นเลือดก็ไหลไม่หยุด ลุกขึ้นยืนไม่ไหว

    เหลยอู๋เจี๋ยกลับมายืนบนพื้นอย่างแผ่วเบา สองมือไพล่หลัง “เป็นอย่างไร ยามนี้จดจำข้าได้แล้วหรือไม่ โปรดจำไว้ให้ดี ข้ามีนามว่าเหลยอู๋เจี๋ย ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”

    ชายฉกรรจ์หลายคนนั้นได้ยินก็ตะลึงงันและสบสายตากันครู่ใหญ่ เดิมคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเอาชีวิตพวกมันเป็นแน่ แต่พอฟังคำนี้แล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไว้ชีวิตพวกมัน

    “ข้าบอกให้ไสหัวไป!” เหลยอู๋เจี๋ยมุ่นคิ้ว มันคาดการณ์ไว้ว่าคนกลุ่มนี้จะต้องหนีกันอย่างตาลีตาเหลือก แล้วเหตุใดถึงยังทำท่ารั้งรอไม่ยอมไป

    เหล่าชายฉกรรจ์ได้ยินดังนั้นก็พยายามลุกขึ้นสุดกำลัง ต่างพยุงกันวิ่งหนีออกไป

    เหลยอู๋เจี๋ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ มันค้นซากเครื่องเรือนปรักหักพัง หยิบเอาห่อผ้าขนาดใหญ่ของตนกลับมาสะพายและเตรียมตัวจากไปเช่นกัน ทว่ามือข้างหนึ่งกลับยื่นมาขวางมันไว้

    เหลยอู๋เจี๋ยหันมอง เห็นเถ้าแก่ผู้มีรูปโฉมงามพริ้มเพราหดตัวอยู่ในเสื้อคลุมขนจิ้งจอกอย่างเฉื่อยชาและยื่นมือขวาออกมาโบกอย่างเนิบนาบ ขวางทางไปของเหลยอู๋เจี๋ยไว้

    เหลยอู๋เจี๋ยรีบกอดอก “บุญคุณยิ่งใหญ่นี้ไม่ต้องกล่าวขอบคุณ! คนประสบเรื่องลำบาก ยื่นมือเข้าช่วยเหลือนับว่าสมควร! ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเร่งเดินทาง หวังว่าจะได้พบกันใหม่!”

    เซียวเซ่อหรี่ตาลงและมุ่นคิ้ว “บุญคุณยิ่งใหญ่? ไม่ต้องกล่าวขอบคุณ? ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ?”

    เหลยอู๋เจี๋ยงุนงงยิ่งนัก “หากมิได้ข้า โจรพวกนั้นคงปล้นร้านของเจ้าไปแล้ว ไม่แน่ว่าชีวิตของพวกเจ้าก็คงจะรักษาไว้ไม่อยู่ นี่มิใช่บุญคุณยิ่งใหญ่หรือ”

    เซียวเซ่อวาดมือชี้ซากปรักหักพังกองนั้นแล้วกล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้ามองดูให้ดี!”

    เหลยอู๋เจี๋ยหมุนกายไปดู เห็นโต๊ะใหญ่น้อยหลายตัวในร้านถูกระเบิดไม่เหลือชิ้นดี เสี่ยวเอ้อร์หลายคนหัวแตกเลือดไหล แม้กระทั่งพื้นก็กลายเป็นหลุมเป็นบ่อ

    เซียวเซ่อชี้เศษซากกองนั้นด้วยความโกรธเกรี้ยวสุดระงับ “เจ้าดูร้านของข้า ถูกระเบิดจนพังเละเทะ! เรื่องว่าคนเหล่านั้นจะเอาชีวิตข้าหรือ ช่างมันสิ!”

    “นี่…” เหลยอู๋เจี๋ยหน้าแดงเรื่อ ทำอันใดไม่ถูกไปชั่วขณะ

    “หนึ่งร้อยตำลึง” เซียวเซ่อยื่นมือไปหาเหลยอู๋เจี๋ย มือคู่นั้นขาวผุดผาดมิมีมลทิน นิ้วมือทั้งห้าเรียวยาว ทว่าในสายตาของเหลยอู๋เจี๋ย มือคู่นี้กลับน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าดาบเหล็กของพวกชายฉกรรจ์เหล่านั้นเสียอีก

    “ข้าไม่มีเงิน!” เหลยอู๋เจี๋ยถอยหลังหนึ่งก้าว

    “โอ้?” เสื้อคลุมขนจิ้งจอกของเซียวเซ่อวูบไหวเล็กน้อย มันวาดมืออย่างแผ่วเบา ประตูทั่วทั้งโรงเตี๊ยมพลันปิดลง

    “วรยุทธ์นี้…” ในที่สุดเหลยอู๋เจี๋ยก็จำใจยอมรับ ดูเหมือนว่าพวกโจรเหล่านั้นจะทำอันใดเถ้าแก่ผู้ยากแท้หยั่งถึงคนนี้ไม่ได้ตั้งแต่แรก

    “แต่ว่าข้าใกล้จะมีเงินก้อนนี้แล้ว!” เหลยอู๋เจี๋ยพลันคิดบางอย่างขึ้นได้ นัยน์ตามันสว่างวาบและกล่าวอย่างเฉียบขาด

    “โอ้?” เซียวเซ่อยังคงตอบเสียงเนิบ ทว่าสายตาอดพินิจมองห่อของห่อใหญ่ของเหลยอู๋เจี๋ยมิได้

    เหลยอู๋เจี๋ยกล่าวต่อว่า “ข้าจะไปที่หนึ่ง ถึงที่นั่นข้าก็จะมีเงินแล้ว”

    “ที่แห่งใด”

    “เมืองเสวี่ยเยวี่ย!” เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยอย่างทระนงองอาจ

    “เมืองเสวี่ยเยวี่ย?” เซียวเซ่อได้ยินก็ตะลึงงัน เมืองเสวี่ยเยวี่ยมิใช่สำนักในยุทธภพ แต่เป็นเหมือนภาคีมากกว่า มันเป็นเมืองที่สำนักใหญ่หลายแห่งและสกุลเก่าแก่หลายสกุลทั่วใต้หล้าร่วมกันก่อตั้งขึ้น! นับแต่วันที่เมืองเสวี่ยเยวี่ยปรากฏขึ้น กฎระเบียบทั่วยุทธภพก็ถูกกำหนดตามมัน ลูกหลานรุ่นเยาว์ของสกุลเก่าแก่และสำนักใหญ่ต่างแห่แหนไปร่ำเรียนวิชาที่เมืองเสวี่ยเยวี่ยเป็นจำนวนมาก ด้วยเพราะดำเนินกิจการมาหลายปี เมืองเสวี่ยเยวี่ยจึงกลายเป็นขุมอำนาจอันน่าเกรงขามและไม่ขึ้นกับใคร กล่าวกันว่าที่นั่นไม่ได้สอนเพียงวรยุทธ์ที่สำนักอื่นไม่มีสอน แต่ยังสอนทุกศาสตร์วิชาแห่งใต้หล้า!

    หากว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะไปเมืองเสวี่ยเยวี่ยจริง ด้วยฐานะลูกหลานสกุลเหลยแล้ว การหาเงินร้อยตำลึงจากเมืองเสวี่ยเยวี่ยย่อมไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งเด็กหนุ่มคนนี้ดูไม่เหมือนกำลังหลอกลวง ไม่ว่ามองอย่างไรนอกจากวรยุทธ์แกร่งกล้า มันก็นับว่าซื่อบื้ออย่างแท้จริง

    เซียวเซ่อครุ่นคิดตรึกตรองหนึ่งตลบก่อนผงกศีรษะ เอ่ยว่า “ได้ แต่ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!”

    เหลยอู๋เจี๋ยพยักหน้า “ได้!”

    “แล้วก็…” เซียวเซ่อนัยน์ตาวูบไหว มุมปากเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    พวกเสี่ยวเอ้อร์ลอบทอดถอนใจให้เด็กหนุ่มผู้มีวรยุทธ์แกร่งกล้าหากแต่ซื่อบื้อไร้เดียงสาผู้นี้

    “จ่ายเงินทีหลังต้องมีดอกเบี้ย ข้าคิดห้าร้อยตำลึง!” เซียวเซ่อกล่าวเสียงดังฟังชัด

    เหลยอู๋เจี๋ยยืนอึ้งงันอยู่ที่เดิมชั่วขณะ

    เซียวเซ่อวาดมือเบาๆ โดยไม่รอให้มันตอบรับ ประตูโรงเตี๊ยมพลันเปิดออก มันทอดสายตาไปยังหิมะที่โปรยปรายทั่วท้องฟ้าก่อนทอดถอนใจแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบาราวพูดกับตัวเอง “ไม่ได้ออกไปนานแล้วเหมือนกัน มาเร็ว! เตรียมม้า!”

    ยอดอาชาสองตัว คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก ทั่วทั้งร่างซุกอยู่ในนั้นอย่างผ่อนคลาย อีกคนหนึ่งสวมเพียงชุดสีแดงชั้นเดียว เปลือยหน้าอกท่ามกลางลมหนาวเหน็บ ทั้งสองคนห้อตะบึงไปยังเมืองเสวี่ยเยวี่ยเช่นนี้ตลอดทาง

    “ม้าตัวนี้ของเจ้านับว่าเป็นยอดอาชา ท่ามกลางพื้นหิมะหนาเช่นนี้ก็ยังห้อตะบึงได้ดั่งใจ!” เหลยอู๋เจี๋ยอดเอ่ยชื่นชมมิได้

    “ยอดอาชาขนหลากสี ชุดคลุมขนสัตว์หนึ่งพันตำลึงทอง! ของที่ข้าเซียวเซ่อใช้ต้องเป็นของชั้นเลิศเท่านั้น” เซียวเซ่อหันกลับไปมองโรงเตี๊ยมของมัน มันทิ้งเงินก้อนหนึ่งไว้ให้เสี่ยวเอ้อร์เหล่านั้นซ่อมแซมโรงเตี๊ยม เพียงรอมันเอาเงินกลับมาจากเมืองเสวี่ยเยวี่ยเท่านั้น ทว่าเซียวเซ่อกลับรู้สึกอยู่เลือนรางว่าบางทีมันอาจไม่ได้กลับมาอีกแล้ว

     

     

    บทที่ 3

    เยวี่ยจีแย้มยิ้มส่งเทียบ หมิงโหวโกรธเกรี้ยวสังหารคน

     

    “สุราข้าวเขียวอ่อนกลั่นได้รส เตาผิงใบน้อยเพลิงลุกโหม สีท้องฟ้าจวนค่ำเหมันต์ทึบ เยือนกระท่อมของข้าน้อยร่ำสุราอุ่นสักจอกได้ฤๅ” บุรุษผู้สวมอาภรณ์สีดำนั่งอยู่บนรถม้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในมือถือจอกสุรา ก่อนส่งยิ้มให้ผู้ที่อยู่เบื้องหน้า

    ผู้ที่อยู่เบื้องหน้ามันนับรวมได้สิบหกคน แต่ละคนต่างถือดาบไว้ในมือ ประกายดาบวิบวับดุจหิมะต้องแสง

    “สหายช่างอารมณ์สุนทรีย์” นักดาบผู้เป็นหัวหน้าระบายยิ้ม “สุรานั้นพวกข้าดื่มด้วยได้ แต่ของบนรถม้าเจ้าต้องทิ้งไว้”

    “โอ้” ชายชุดดำยกยิ้มมุมปาก “หิมะตกหนักเช่นนี้ พวกเจ้าไล่ตามข้ามาตลอดทางย่อมลำบากยิ่งนัก แต่ของที่พวกเจ้าต้องการคงเอาไปมิได้เป็นแน่ จึงอยากเชิญพวกเจ้าดื่มสุราจอกนี้แล้วค่อย…”

    “แล้วค่อย?” นักดาบเลิกคิ้วพลางกระชับอาวุธแน่นขึ้นหลายส่วน

    “แล้วค่อยไปตายเสีย!” ชายชุดดำกระโดดขึ้น แสงสีเงินในมือพลันสาดวูบ

    นักดาบเงื้ออาวุธพุ่งเข้าไปพร้อมตวาดเสียงกร้าว “บุก!”

    เกิดเสียงปะทะกังวานใส แสงสีเงินในมือขวาของชายชุดดำกระทบกับคมดาบของอีกฝ่าย

    “มีดลับ?” นักดาบผู้นั้นสูดหายใจเย็นเยียบ มันคล้ายได้ยินเสียงวัตถุปริแตกจึงรีบถอยหลังทันที ทว่าสายไปเสียแล้ว ดาบที่เปล่งประกายดุจหิมะในมือของมันแตกหักแทบทันใด

    ชายชุดดำยิ้มพลางยกมือขึ้น นักดาบมองดูมีดลับที่บางราวปีกจักจั่นร่ายรำเป็นลายบุปผาอันตระการตาหาใดเปรียบ จากบุปผาหนึ่งดอกสองดอกกลายเป็นพันดอกหมื่นดอก งดงามราวกับสัตตบงกชบานสะพรั่งในชั่วพริบตา ทว่ามันไม่อาจมองเห็นว่ามีดลับเล่มนั้นได้วาดรอยเลือดบนลำคออย่างแผ่วเบา ชายชุดดำใช้ปลายเท้าเตะพื้นดีดตัวถอยหลังไปสามก้าว ศีรษะของนักดาบพลันร่วงลงมา เลือดสดไหลทะลัก

    “คนที่ส่งพวกเจ้ามาคงมิได้บอกกระมังว่าข้าคือผู้ใด” ชายชุดดำกลับมายังรถม้า หยิบจอกสุราที่เพิ่งวางลงเมื่อครู่ขึ้นมาอีกครั้ง “บางทียามนี้พวกเจ้าอาจยอมดื่มสุราจอกสุดท้ายแล้ว”

    “มีดลับ…เจ้าเป็นคนของสำนักถังแห่งแคว้นสู่หรือ” เหล่านักดาบพากันถอยหลัง

    “เช่นนั้นกระมัง” ชายชุดดำสะบัดแขนเสื้อ เกาทัณฑ์ปีกแดงดอกเล็กพลันปักเข้าที่กลางหน้าผากของนักดาบผู้หนึ่ง “ในเมื่อพวกเจ้ากล่าวว่าข้าเป็นคนของสำนักถัง เช่นนั้นขอมอบเกาทัณฑ์ปีกแดงนี้ให้แล้วกัน”

    บรรยากาศเงียบสงัดลง เหลือเพียงเสียงหิมะโปรยปรายเบาๆ เท่านั้น เหลือนักดาบยืนอยู่สิบกว่าคน ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำ ไม่มีผู้ใดทราบว่าอาวุธลับชิ้นต่อไปจะพุ่งมาที่ตนหรือไม่ พวกมันทุกคนล้วนกลั้นลมหายใจ โอกาสรอดชีวิตภายใต้อาวุธลับของสำนักถังนั้นแทบไม่มี

    ชายชุดดำแย้มยิ้ม ดึงบังเหียนอย่างเบามือ “ย่าห์!”

    รถม้าคันนั้นย่ำหิมะผ่านเหล่านักดาบไปอย่างสบายใจ ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทางไว้อีก

    หลังจากรถม้าแล่นไปได้กว่าสามหลี่ ชายชุดดำที่ดื่มสุราด้วยรอยยิ้มอ่อนบางจึงวางจอกสุราลงและเริ่มไออย่างหนักหน่วง มันเช็ดรอยเลือดที่เปื้อนตรงมุมปากก่อนฝืนยิ้มเล็กน้อย “ของที่อาจารย์ฝากให้ข้าไปส่งครานี้คือสิ่งใดกันแน่ เหตุใดตลอดทางจึงได้ดึงดูดผู้คนมากมายปานนี้”

    พูดจบมันก็โยนเชือกบังเหียนในมือทิ้งแล้วกระโดดพลิกตัวไปบนหลังคารถ ที่แท้บนหลังคามีคนผู้หนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ คนผู้นั้นอายุราวสามสิบกว่า เรือนผมขาวโพลนปลิวสยายตามแรงลม ในมือถือกระบี่หยกเล่มหนึ่ง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเทพเซียนหลายส่วน

    “เจ้าคือถังเหลียน?” คนผู้นั้นหันมาส่งยิ้มให้ชายชุดดำ ก่อนใช้ปลายเท้าดีดตัวจากหลังคารถ ทะยานไปยืนบนต้นไม้ข้างทางที่เหลือแต่กิ่งก้านอย่างแผ่วเบา

    มีดลับในมือชายชุดดำสาดแสงวูบ มันพุ่งตัวตามไปจู่โจม แต่กลับกลายเป็นการโถมเข้าใส่อากาศ คนผู้นั้นหายตัวไปปรากฏอยู่บนต้นไม้อีกด้าน

    ชายชุดดำทะยานลงบนต้นไม้ที่อีกฝ่ายเคยยืน ม่านตาของมันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว “เจ้ารู้นามของข้า?”

    “พวกเรายังต้องพบกันอีก” ชายผมขาวไม่ตอบ มันเพียงเก็บกระบี่แล้วระบายยิ้มก่อนทะยานจากไป

    ถังเหลียนกลับมายังรถม้าและคุมให้มันพุ่งฝ่าหิมะต่อ

    “ผมขาว กระบี่หยก วิชาตัวเบาเลิศล้ำ ไยไม่เคยได้ยินอาจารย์กล่าวว่าในยุทธภพมียอดฝีมือเช่นนี้…”

     

    กระทั่งถึงยามราตรีสงัด หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ถังเหลียนเร่งรถม้าไปจนถึงวัดเก่าผุพังแห่งหนึ่ง มันเข้าไปในวิหารและก่อไฟเตรียมพักผ่อน แต่จนแล้วจนรอดถังเหลียนก็ยังอดนึกถึงบุรุษประหลาดที่เจอเมื่อตอนกลางวันมิได้ ยามที่คนผู้นั้นทะยานมายืนบนหลังคารถ ไอเข่นฆ่าของมันหนาแน่นเสียจนลมหิมะพัดย้อนกลับ แต่เมื่อถังเหลียนเข้าประจันหน้า มันกลับเหมือนไม่มีเจตนาจะต่อสู้ พิจารณาจากวิชาตัวเบากับไอเข่นฆ่าเข้มข้นนั้น ถังเหลียนไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้

    “ช่างเป็นคนแปลกพิกล” ถังเหลียนโยนฟางในมือใส่กองไฟ ในตอนนั้นเองพลันมีเสียงม้าร้องดังมาจากหน้าประตู ถังเหลียนสะบัดมือทั้งสองข้างดับกองไฟทันทีแล้วทะยานร่างขึ้นไปนั่งยองบนคานหลังคา

    “หิมะนี้ตกหนักเกินไปแล้ว ต้องตกอีกนานเท่าไรจึงจะหยุดลงเสียที” คนผู้หนึ่งบ่นปอดแปดเสียงดังเดินเข้ามาในวิหารแล้วหย่อนก้นนั่ง ฟังเสียงดูแล้วคล้ายเด็กหนุ่มที่ค่อนข้างอ่อนเยาว์ผู้หนึ่ง

    “หึ! หากมิใช่ว่าม้าของข้าเป็นยอดอาชาที่หมื่นหลี่จะหาได้สักตัว พวกเราก็คงถูกหิมะฝังไปตั้งนานแล้ว” อีกคนหนึ่งเดินอาดๆ ตามเข้ามาพร้อมน้ำเสียงอ้อยอิ่ง ทว่าฟังดูอายุมากกว่าหลายปี

    “เฮ้ๆๆ ตลอดทางเจ้าพูดเรื่องนี้มาตั้งเท่าไรแล้ว เจ้าเป็นคนขายม้าหรือ” เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกรำคาญ

    “มาก่อไฟก่อนเถิด” อีกคนหนึ่งไม่สนใจมัน

    “แต่ในนี้หาได้หนาวไม่” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มฉายแววสงสัย “ราวกับ…”

    “เพิ่งมีคนก่อไฟ” อีกคนหนึ่งค้อมกายลง ใช้มือแตะขี้เถ้าบนพื้นเบาๆ แล้วหันมามองเด็กหนุ่ม “ยังร้อนอยู่”

    ถังเหลียนอยู่บนคานหลังคาพลันพลิกกายทิ้งตัวลงพื้นอย่างเงียบเชียบ มีดลับเหน็บอยู่ที่ง่ามนิ้วเตรียมพุ่งเข้าไป

    “เยี่ยมไปเลย เช่นนี้ก็สะดวกแล้ว!” ความเบิกบานใจปรากฏบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม “ข้ายังกลัวว่าหญ้าชื้นแล้วจะจุดไฟไม่ติดเสียอีก”

    ถังเหลียนนิ่งอึ้งไป คิดในใจว่าหรือจะเป็นแค่นักเดินทางทั่วไปเท่านั้น มันรีบโยนด้ายบางในแขนเสื้อไปรัดพันไม้คานแล้วดึงตัวเองกลับขึ้นไป

    เวลานี้สองคนข้างล่างก่อไฟขึ้นและนั่งอุ่นมืออยู่ข้างกองไฟ ถังเหลียนมองลงไป เห็นหนึ่งคนในนั้นสวมชุดสีแดงบางๆ ชั้นเดียว ดวงหน้างามล้ำ ส่วนอีกคนหนึ่งหดร่างอยู่ในเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวหนา เอนกายพิงเสาอย่างผ่อนคลาย

    “เหลยอู๋เจี๋ย เจ้าบอกจะพาข้าไปเมืองเสวี่ยเยวี่ย แต่กลับเดินผิดทางถึงสองรอบ รอบนี้เจ้าแน่ใจว่ามาถูกทางแล้วหรือ” สองคนนี้ก็คือเซียวเซ่อกับเหลยอู๋เจี๋ยที่ออกเดินทางมาจากคฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่วนั่นเอง พวกมันออกเดินทางมาได้สิบวันกว่าแล้ว แต่เพราะลมหิมะโหมกระหน่ำเกินไป ทั้งสองจึงหลงทางวนเวียนอยู่ที่เดิมนานมาก

    เหลยอู๋เจี๋ยยิ้มอย่างจนปัญญา “อันที่จริงข้าก็เพิ่งไปเมืองเสวี่ยเยวี่ยครั้งแรกเหมือนกัน แต่ว่าข้าสาบาน ครั้งนี้จะต้องถูกแน่”

    เมื่อได้ยินคำว่าเมืองเสวี่ยเยวี่ย ถังเหลียนก็หัวใจกระตุกวูบและมองไปยังเหลยอู๋เจี๋ย

    มันแซ่เหลย? หรือว่าจะมาจากคฤหาสน์สกุลเหลยแห่งเจียงหนาน แต่ว่าชื่อเหลยอู๋เจี๋ยนี้ไม่เคยได้ยินเลย

    เซียวเซ่อมองเหลยอู๋เจี๋ยพลางแค่นยิ้มเล็กน้อย ก่อนหลับตาลงไม่สนใจมันอีก

    “เซียวเซ่อ…” เหลยอู๋เจี๋ยพลันมุ่นคิ้ว สูดจมูกดมกลิ่นในอากาศ “เจ้าได้กลิ่นอันใดหรือไม่”

    “กลิ่น?” เซียวเซ่อลืมตาขึ้นแล้วสูดจมูกบ้าง “เป็นกลิ่นดอกไม้ กลิ่นของกุหลาบ”

    เหลยอู๋เจี๋ยลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังนอกประตู “กุหลาบจะบานในวันหิมะตกหรือ”

    “ไม่บาน นี่เป็นกลิ่นหอมของน้ำค้างกุหลาบ น้ำค้างกุหลาบมีแหล่งกำเนิดจากต้าสือ* จั้นเฉิง** เจ่าวา*** หุยหุยกั๋ว**** หาซื้อได้ที่หอร้อยบุปผาในนครหลวงเท่านั้น…” เซียวเซ่อไม่ได้ลุกขึ้น มันเพียงหันไปมองนอกประตูและพบว่ามีสตรีนางหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร

    สตรีนางนั้นเป็นโฉมสะคราญ นางสวมอาภรณ์แบบบางสีม่วง สายลมพัดผ่านชุดยาวของนาง แสงจันทร์สีเงินอาบไล้เรือนร่าง ขับให้ทั่วทั้งร่างนางขาวผุดผาดปานหยก นางส่งยิ้มบางให้คนทั้งคู่ กลิ่นกุหลาบอ่อนขจรขจายตามรอยยิ้มของนางทำให้ดูอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม

    เสียงของนางเองก็นุ่มนวลหาใดเปรียบ “นึกไม่ถึงว่าที่ชานเมืองห่างไกลเช่นนี้จะได้พบกับผู้ที่มองความงดงามออก ข้าขอร้องเจ้าของหอร้อยบุปผามาหลายวันกว่านางจะยอมขายขวดหนึ่งแก่ข้า ของหายากเช่นนี้เจ้าได้กลิ่นเพียงครู่เดียวก็รู้เสียแล้ว”

    เซียวเซ่อแย้มยิ้มตอบ “ลมแรงเดือนหนาว พวกเราก่อไฟอยู่ข้างในอบอุ่นยิ่งนัก แม่นางจะเข้ามานั่งสักครู่หรือไม่”

    “ไม่เป็นไร” หญิงสาวยังคงแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางยกมือขึ้นลูบจอนผม

    “เจ้างดงามยิ่ง ยามสายลมพัดปอยผมก็ยิ่งงดงามนัก” เซียวเซ่อหันมามองเหลยอู๋เจี๋ย “แต่สหายน้อยผู้นี้ของข้าจิตใจมีเพียงความฝันเฉกเช่นวีรบุรุษเท่านั้น เกรงว่าคงไม่เข้าใจจิตใจหญิงงาม”

    เวลานี้เหลยอู๋เจี๋ยพลันมีเทียบสีทองแผ่นหนึ่งคีบอยู่ในมือ มันคือเทียบที่พุ่งออกมาจากมือหญิงสาวตอนนางยกมือขึ้นลูบจอนผม ความเร็วนี้แม้กระทั่งเหลยอู๋เจี๋ยก็ยังตกตะลึง มันยกเทียบสีทองขึ้นมาดู บนนั้นเขียนไว้เพียงอักษรเดียว

     

    ‘ตาย’

     

    เหลยอู๋เจี๋ยนึกถึงตำนานเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แม้ว่ามันเพิ่งจะได้สัมผัสยุทธภพเป็นครั้งแรก แต่มันก็ชอบฟังตำนานเล่าขานต่างๆ นานาของยุทธภพมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างเช่นในยุทธภพมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า

    ‘เยวี่ยจีแย้มยิ้มส่งเทียบ หมิงโหวโกรธเกรี้ยวสังหารคน’

     

     

    บทที่ 4

    โลงศพทองคำ

     

    เหลยอู๋เจี๋ยพลันมองไปข้างนอก มันเห็นเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลบนกำแพงวัด ในมือคนผู้นั้นถือดาบขนาดใหญ่มหึมาผิดหูผิดตาเล่มหนึ่งและกำลังมองมาทางนี้ด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม

    “เช่นนั้นก็ถูกแล้ว เช่นนั้นก็ถูกแล้ว” เหลยอู๋เจี๋ยพูดงึมงำ

    เซียวเซ่อมุ่นคิ้วเล็กน้อย “อันใดถูกแล้ว”

    “เยวี่ยจีแย้มยิ้มส่งเทียบ หมิงโหวโกรธเกรี้ยวสังหารคน ถูกต้องแล้ว! พวกมันก็คือเยวี่ยจีกับหมิงโหว กลุ่มราชามือสังหารที่อยู่ในห้าอันดับแรกของทำเนียบนักฆ่าแห่งยุทธภพ!” เหลยอู๋เจี๋ยตะโกนออกมาอย่างตื่นตะลึง

    ทว่าเซียวเซ่อกลับมีสีหน้างุนงง “เจ้าบอกว่าพวกมันส่งเทียบให้พวกเรา เช่นนั้นก็…”

    “จะฆ่าพวกเรา!” เหลยอู๋เจี๋ยผงกศีรษะอย่างไม่มีท่าทีเคร่งเครียดแม้แต่น้อย หนำซ้ำกลับดูตื่นเต้นดีใจเสียด้วย

    “เหตุใดต้องฆ่าพวกเราด้วย” เซียวเซ่อมองเยวี่ยจีที่ยืนอยู่หน้าประตู นางยังคงส่งยิ้มมาทางนี้โดยไม่เอ่ยอันใด

    “ไม่รู้” เหลยอู๋เจี๋ยส่ายศีรษะ

    เยวี่ยจีส่ายหน้า ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ที่จริงแล้วข้าตั้งใจจะส่งเทียบนี้ให้อีกท่านหนึ่งในนี้ แต่กฎของพวกเราคือผู้ที่รับเทียบจะต้องตาย ดังนั้นชีวิตของท่านทั้งสองในคืนนี้ โปรดทิ้งไว้ที่นี่ด้วยกันเถิด”

    “ข้าเคยได้รับเทียบของพวกเจ้าแล้ว แต่ข้าหาได้ตายไม่” เสียงอันทรงพลังดังขึ้น เหลยอู๋เจี๋ยเห็นเงาสีดำร่วงลงจากด้านบนมายังเบื้องหน้ามันอย่างมั่นคง ขวางหน้ามันกับเยวี่ยจีเอาไว้

    “ท่านผู้นี้คือ…” เหลยอู๋เจี๋ยเดินเข้าไป

    “ถังเหลียน” เยวี่ยจีแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง “พวกข้าก็เลยเร่งเดินทางมาฆ่าเจ้าอย่างไรเล่า”

    หมิงโหวที่ยืนอยู่บนกำแพงวัดยกดาบเล่มโตขึ้นบ่าคล้ายเตรียมพร้อม

    “ถังเหลียน! ท่านคือถังเหลียน!” เหลยอู๋เจี๋ยร้องออกมาอย่างตกตะลึง “ท่านคือถังเหลียน หัวหน้าศิษย์ของเมืองเสวี่ยเยวี่ย! อย่างนั้นท่านก็คือศิษย์พี่…ศิษย์พี่ใหญ่ของข้า! ข้าคือเหลยอู๋เจี๋ย มาจากสำนักเหลยแห่งเจียงหนาน กำลังจะไปเมืองเสวี่ยเยวี่ย…”

    “ระวัง!” ถังเหลียนตวาดลั่นและผลักเหลยอู๋เจี๋ยออกไป แสงสีเงินในมือมันสาดวูบรับดาบเล่มมหึมาที่พุ่งเข้ามาจากระยะสิบก้าวไว้ได้อย่างมั่นคง

    เยวี่ยจีหัวร่อแผ่วเบา “หมิงโหวไม่ชอบพูดจาแต่กำเนิด มันจึงเกลียดคนพูดมากเป็นที่สุด”

    “ช่างเป็นดาบที่ใหญ่โตยิ่งนัก!” แม้มองดูจากที่ไกลก็รู้ได้ว่าเป็นดาบยักษ์ที่ไม่ธรรมดาเล่มหนึ่ง แต่เมื่อได้มองใกล้ๆ เซียวเซ่อยังคงรู้สึกตื่นตะลึง นั่นไม่ใช่แค่ดาบแล้ว มันไม่ต่างจากประตูเหล็กบานหนึ่งเลยสักนิด คนธรรมดาสามสี่คนยังไม่แน่ว่าจะยกไหว ทว่าหมิงโหวกลับถือดาบนั้นด้วยมือข้างเดียวและขยับได้ดั่งใจ

    เมื่อเทียบกันแล้วอาวุธของถังเหลียนกลับเล็กผิดหูผิดตา เล็กยิ่งกว่ามีดสั้นทั่วไปเสียอีก หากไม่ตั้งใจมองก็แทบมองไม่เห็น ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง มันราวกับเป็นเพียงแสงหนึ่งสายไหลวนอยู่ในมือของถังเหลียนเท่านั้น

    “เจ้าบาดเจ็บแล้ว” หมิงโหวโดดถอยไปข้างหลัง เสียงของมันทุ้มต่ำแหบพร่าประหนึ่งขากเค้นออกมาจากกล่องเสียงก็ไม่ปาน

    “พิษไป๋เซียงซั่น (ร้อยสุคนธ์กำจาย) ที่เจ้าโดนก็ยังไม่ได้ถูกถอนอย่างสมบูรณ์ หาไม่แล้วดาบนี้ข้าคงต้านไม่อยู่” ถังเหลียนเช็ดเลือดที่ซึมตรงมุมปาก

    “แต่ดาบต่อไปเจ้าต้านไม่อยู่แน่” คนที่พูดคราวนี้กลับเป็นเยวี่ยจีที่ยืนอยู่หน้าประตู

    “ข้าจะต้านนางไว้เอง!” เหลยอู๋เจี๋ยเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวมาขวางระหว่างถังเหลียนกับเยวี่ยจี “ศิษย์พี่รับแทนข้าหนึ่งคมดาบ เช่นนั้นข้าก็จะรับแทนศิษย์พี่หนึ่งคมดาบเช่นกัน!”

    “โอ้…เจ้าก็เป็นคนของเมืองเสวี่ยเยวี่ยเหมือนกันหรือ เช่นนั้นฆ่าเจ้าก็ไม่นับว่าเสียแรงเปล่า แต่ว่าดาบของหมิงโหวไม่ได้ใช้กับผู้อื่นง่ายๆ เจ้าลองกระบี่ของข้าก่อนแล้วกัน” เยวี่ยจีชักสายคาดเอวสีเงินออกมา สายคาดเอวนั้นสั่นไหวแผ่วเบา ก่อนกลายเป็นกระบี่เล่มหนึ่งสะท้อนแสงจันทร์วับวาว

    “กระบี่ซู่อี (รัดอาภรณ์)” เซียวเซ่อทอดถอนใจ “อาวุธของพวกเจ้าทั้งสองช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก”

    “กระบี่ซู่อี ดาบจินจวี้ (ทองยักษ์) ผู้ที่ได้พบอาวุธสองชิ้นนี้ในคืนเดียวมีไม่มากนัก เจ้าจงดูให้ดี!” เยวี่ยจีกระโดดขึ้น อาภรณ์ยาวพลิ้วไหว เงาสีม่วงวูบวาบ กระบี่ของเยวี่ยจีพุ่งเข้าใส่หน้าอกเหลยอู๋เจี๋ย

    “ประเสริฐ!” เหลยอู๋เจี๋ยหัวเราะร่า สองมือมันประกบรับกระบี่ของเยวี่ยจีไว้ได้

    เยวี่ยจียกเท้าเตะใส่หน้าอกของเหลยอู๋เจี๋ย ปลายเท้านางเปล่งแสงสีเงิน ใบเลื่อยบางเฉียบที่ซ่อนอยู่ปรากฏขึ้น เหลยอู๋เจี๋ยรีบปล่อยกระบี่แล้วถอยหลบ ใบเลื่อยวาดผ่านแผ่นอกมันไปเพียงเฉียดฉิว

    “เคยได้ยินว่าอาวุธระเบิดของสำนักเหลยแห่งเจียงหนานนั้นเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่นึกไม่ถึงว่ากำลังภายในของสหายน้อยก็น่าทึ่งเช่นกัน ถึงขั้นรับกระบี่ซู่อีของข้าด้วยมือเปล่าได้” เยวี่ยจีกล่าวชม

    เหลยอู๋เจี๋ยสูดหายใจหนึ่งเฮือก “กระบี่ของเจ้าข้าเคยได้ยินชื่อเสียง แต่หมัดของข้า เจ้าไม่เคยพบ” มันประสานมือสองข้าง ร่างกายพลันมีไอร้อนขุมหนึ่งพวยพุ่งออกมา มันคำรามขึ้นก่อนปล่อยหมัดใส่เยวี่ยจี

    หมัดนี้รุนแรงยิ่งนัก กำปั้นยังไม่ถึงเบื้องหน้า หิมะข้างหลังเยวี่ยจีก็ถูกพัดกระจายทั้งผืน

    เป็นหมัดไร้ทิศของสกุลเหลย หมัดยังไม่ถึงตัว แต่พลังปราณกลับถึงก่อนแล้ว เคยได้ยินว่าเหลยเลี่ยประมุขรุ่นที่สามของสกุลเหลยเคยโจมตีประมุขสกุลมู่หรงบาดเจ็บในระยะสี่จั้ง* ด้วยวิชาหมัดชุดนี้ ถังเหลียนคิดในใจ แม้เหลยอู๋เจี๋ยจะยังเยาว์วัย ทว่าฝีมือวิชาหมัดมันหาได้ธรรมดาสามัญไม่

    ยามนี้เยวี่ยจีกระโจนหลบลมหมัด นางเงื้อกระบี่ซู่อีขึ้น คมกระบี่สีเงินพลันเปล่งประกายพร่างตาสู้แสงจันทราที่สาดส่อง ทำให้ผู้คนโดยรอบนึกอยากปิดตา กระบี่ซู่อีราวกับละลายเป็นส่วนหนึ่งของแสงจันทร์ เยวี่ยจียกกระบี่ขึ้นด้วยรอยยิ้ม งดงามสุดจะเปรียบปาน

    เซียวเซ่ออดทอดถอนใจมิได้ “มิน่าเล่านางจึงมีนามว่าเยวี่ยจี (ยอดพธูแห่งจันทรา)”

    เหลยอู๋เจี๋ยเองก็เงยหน้ามองภาพอันเฉิดฉายนี้ แสงจันทร์เหล่านั้นรวมตัวกันอยู่บนกระบี่และพริบตานั้นวงแสงจันทร์จำนวนมากก็พุ่งออกมา

    “นั่นไม่ใช่แสงจันทร์ เป็นกระบี่!” ถังเหลียนรีบกล่าวเตือน

    เหลยอู๋เจี๋ยพลันทะยานออกไปยังลานกว้างนอกวิหาร วงแสงจันทร์นับไม่ถ้วนไล่ตามมันไปติดๆ มันปล่อยหมัดอย่างบ้าคลั่งออกไปรอบตัว ต้านวงแสงจันทร์ที่มาจากทุกทิศทาง มองดูจากที่ไกลคล้ายเหลยอู๋เจี๋ยกำลังเต้นรำอย่างบ้าคลั่งอยู่ใต้แสงจันทร์

    ขณะนั้นในลานกว้างก็บังเกิดเงาร่างเยวี่ยจีจำนวนมาก พวกนางบ้างเงื้อกระบี่วาดเหวี่ยงอยู่บนพื้น บ้างลอยทะยานอาบแสงจันทร์ บ้างแทงกระบี่อยู่ห่างจากเหลยอู๋เจี๋ยสี่ฉื่อ* กระบี่ซู่อีในมือของนางสาดแสงสีเงิน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทะลวงพายุหมัดที่เหลยอู๋เจี๋ยสร้างขึ้นไม่ได้

    ยามนี้ทั้งสองต่างรอจังหวะเวลา เยวี่ยจีกำลังรอให้พายุหมัดของเหลยอู๋เจี๋ยเผยช่องโหว่ เพียงช่องโหว่เดียวเท่านั้น กระบี่ซู่อีของนางก็จะทะลวงการป้องกันของมันเข้าไปและจะไม่มีใครหยุดยั้งได้อีก ส่วนเหลยอู๋เจี๋ยเองก็รอให้การโจมตีของเยวี่ยจีอ่อนกำลังลง ยามนั้นมันจะเปลี่ยนการป้องกันเป็นโจมตีเพื่อเอาชนะในหมัดเดียว!

    ทันใดนั้นเยวี่ยจีพลันรั้งกระบี่กลับ เงาร่างทั้งหมดของนางกลับรวมเป็นหนึ่ง วงแสงจันทร์มลายหายไปในชั่วพริบตา

    “ตอนนี้ล่ะ!” เหลยอู๋เจี๋ยปีติยินดี มือซ้ายมันวาดเป็นวง ทว่ามือขวากลับเหวี่ยงออกไป ออกหมัดใส่เยวี่ยจีที่อยู่เบื้องหน้า

    ไม่ ไม่ใช่ ถังเหลียนตกตะลึง

    เหลยอู๋เจี๋ยตกตะลึงยิ่งกว่า ด้วยเพราะหมัดของมันเหวี่ยงผ่านร่างของเยวี่ยจี กลับโจมตีถูกความว่างเปล่า เยวี่ยจีส่งยิ้มให้มันบางๆ ก่อนเงาร่างนั้นจะพลันจางหายไป

    เป็นเงาลวงตา? เหลยอู๋เจี๋ยสูดลมหายใจเย็นเยียบ

    ไม่ไม่ใช่แค่เงาลวงตา เหลยอู๋เจี๋ยพลันมองเห็นเงาร่างหนึ่งผุดขึ้นจากผืนหิมะใต้เท้าพร้อมประกายแสงสีเงิน เป็นเยวี่ยจีในชุดสีม่วงพุ่งขึ้นมาจากพื้นแทงกระบี่สีเงินใส่หน้าอกของเหลยอู๋เจี๋ย การป้องกันเหลยอู๋เจี๋ยถูกทะลวงเข้ามาได้แล้ว ยามนี้มันไม่อาจป้องกันตัว จะถอยหลบก็ไม่ทันการณ์ ทำได้เพียงโจมตีสวน แต่ก็ดูคล้ายจะสายไปแล้วเช่นกัน!

    หากเป็นจอมยุทธ์ทั่วไปคงไม่ทัน แต่สำหรับเหลยอู๋เจี๋ยนั้นยังทันอยู่ เพราะว่ามันแซ่เหลย! เหลยที่แปลว่าฟ้าคำรามของสกุลเหลยแห่งเจียงหนาน!

    “ย้าก!” เหลยอู๋เจี๋ยคำรามลั่น เท้าของมันกระทืบลงพื้น

    เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เหลยอู๋เจี๋ยกระโดดถอยห่างออกมา ทว่าหลังถอยไปสามสี่ก้าวก็เซล้มลงบนพื้น มันหายใจถี่หอบ แผ่นหลังและสาบเสื้อเปียกเหงื่อเป็นวงกว้าง

    ส่วนเยวี่ยจีพลิกกายกลางอากาศกลับมายืนลงบนพื้นหิมะอย่างมั่นคง

    “กระบี่เงาจันทร์ วิชาเสมือนเงา ล้วนเป็นยอดวิชาสังหารคน” ถังเหลียนมองเยวี่ยจีที่อยู่ในลานกว้างพลางเอ่ยชื่นชม

    เยวี่ยจีส่ายศีรษะ “ต่อให้เป็นวิชาสังหารคนที่เลิศล้ำเพียงใด แต่ฆ่าคนที่สมควรฆ่าไม่ได้ก็นับว่าไร้ประโยชน์”

    เหลยอู๋เจี๋ยนั่งหอบหายใจอยู่บนพื้นพลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก “การต่อสู้เมื่อครู่นี้เจ้าชนะแล้ว”

    “เจ้ากล่าวขบขันแล้ว พวกข้าเป็นมือสังหาร ไม่มีแพ้ชนะ มีแต่รอดกับตาย” เยวี่ยจียกกระบี่ขึ้นมาอีกครั้ง

    เหลยอู๋เจี๋ยก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน แววตามันยังคงตื่นเต้น “คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเข้ายุทธภพมาก็ได้พบคู่ต่อสู้เช่นนี้ ช่างเป็นวาสนาของเหลยอู๋เจี๋ย” ไอร้อนบนร่างกายของเหลยอู๋เจี๋ยคุกรุ่นยิ่งขึ้น อาภรณ์สีแดงปลิวไสวราวกับเปลวเพลิงโชติช่วงใต้แสงจันทร์ก็ไม่ปาน นัยน์ตาของมันก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงทันที

    “นี่มัน…” ถังเหลียนมุ่นคิ้ว แม้แต่นัยน์ตาก็กลายเป็นสีแดงเพลิงหรือ มันไม่เคยได้ยินว่าสกุลเหลยมีวรยุทธ์พิลึกพิลั่นเช่นนี้ด้วย

    “เยวี่ยจี พวกเราไป” หมิงโหวยกดาบยักษ์ในมือขึ้นมาและย่างเท้าออกไปจากวัด

    เยวี่ยจีพยักหน้าและพันกระบี่ไว้กับอาภรณ์อีกครั้ง

    “นี่ ไยบอกจะไปก็ไป” เหลยอู๋เจี๋ยไม่เข้าใจ มันก้าวเข้าไปพร้อมยื่นมือ คิดจะรั้งหมิงโหวไว้

    หมิงโหวหมุนกายโดยพลัน ดาบยักษ์ในมือหวดลงมาใส่เหลยอู๋เจี๋ย

    เหลยอู๋เจี๋ยไม่เคยพบพลังดาบเช่นนี้มาก่อน ราวกับเผชิญขุนพลนับพันอาชานับหมื่นห้อตะบึงมาที่มันอย่างทรงพลังและเด็ดขาดหาใดเปรียบ เหลยอู๋เจี๋ยไม่สงสัยแม้แต่น้อย ดาบยักษ์นี้บั่นเอวคนขาดเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดายแน่นอน มันไม่ใช่ความอันตรายที่นุ่มนวลเหมือนอย่างกระบี่ของเยวี่ยจี แต่เป็นความอันตรายที่เถรตรงไร้เหตุผล ทำให้คนอับจนไร้ทางป้องกัน สิ่งเดียวที่จะทำลายมันได้นั้น…

    คือการโจมตีที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า!

    เหลยอู๋เจี๋ยปล่อยหมัดคู่ออกไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ปราณหมัดกระทบกับดาบยักษ์ แรงปะทะทำให้มันกระเด็นถอยออกไปอีกสามก้าว เหลยอู๋เจี๋ยรู้สึกว่ามีโทสะพลุ่งพล่านอยู่ในแผ่นอก เมื่อโทสะสงบลงก็กระอักเลือดออกมา หมิงโหวยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย มันเพียงมองเหลยอู๋เจี๋ยด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนหมุนกายออกไปจากวัดโดยมีเยวี่ยจีตามไปข้างหลัง เพียงไม่กี่ฝีก้าวก็ไร้เงาทั้งคู่

    ถังเหลียนมุ่นคิ้ว “แปลกจริง ไยหมิงโหวกับเยวี่ยจีจึงจากไปกะทันหัน”

    เซียวเซ่อลุกขึ้นยืนอย่างเนิบนาบ มันหยิบขวดใบเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วเทลูกกลอนสีขาวออกมาเม็ดหนึ่ง โยนให้เหลยอู๋เจี๋ยที่ยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม “ดาบของผู้ใดเจ้าก็กล้าเข้าไปรับเสียหมด”

    เหลยอู๋เจี๋ยที่ยังตะลึงงันรับยาลูกกลอนไป นัยน์ตามันยังคงว่างเปล่า ในหัวยังคงหวนคิดถึงอานุภาพของดาบเมื่อครู่ มันไม่เคยเจอดาบเช่นนี้มาก่อน ดาบเล่มนั้นราวกับทะลวงโลกของมันจนเป็นรู และมันกำลังมองดูโลกใบใหม่ผ่านรูนั้นอยู่

    “เลิกเหม่อได้แล้ว ทางนั้นมีพี่ใหญ่ชุดดำยืนอยู่” เซียวเซ่อทอดถอนใจ “พี่ใหญ่วางอันใดไว้ที่หลังวัดใช่หรือไม่ ที่นั่นมีคนแอบเข้าไปแล้ว ข้าเกรงว่าหมิงโหวกับเยวี่ยจีคงไม่อยากให้เฒ่าประมงได้กำไร*…”

    ไม่รอเซียวเซ่อพูดจบ ถังเหลียนก็พุ่งตัวไปยังหลังวัดทันที

    เซียวเซ่อยกห่อผ้ายาวของเหลยอู๋เจี๋ยขึ้นมาโยนให้มัน

    เหลยอู๋เจี๋ยรับห่อผ้าไปและค่อยๆ มีสติคืนมา “จะทำอันใด”

    “ตามไปสิ!” เซียวเซ่อยกเท้าถีบมัน “พวกเราจะไปเมืองเสวี่ยเยวี่ยมิใช่หรือ ยามนี้หัวหน้าศิษย์ของเมืองเสวี่ยเยวี่ยอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว ไม่ตามมันไป หรือจะให้เดินทางส่งเดชตามเจ้า!”

    “อ้อๆๆ ใช่!” เหลยอู๋เจี๋ยพลันกระจ่างแจ้ง จึงวิ่งไปหลังวัดทันที

    ทั้งสองวิ่งไปยังหลังวัด ทว่ากลับเห็นถังเหลียนยืนอยู่บนหลังคารถม้า รอบข้างมีเศษดาบกับศพหลายร่างเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ถังเหลียนเอ่ยอย่างเหยียดหยาม “เป็นแค่กากเดน ยังกล้าทำเรื่องลักเล็กขโมยน้อย”

    ทว่าอีกสองคนไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย ยามนี้พวกมันเห็นว่าม้าเทียมรถถูกกระบี่ฟันคอขาดนอนจมกองเลือด สิ่งของในรถม้าลื่นไหลร่วงลงมายังกองหิมะ เผยให้เห็นรูปร่างของมัน

    นั่นคือโลงศพใบหนึ่ง เป็นโลงศพทองคำ!

    เซียวเซ่อเดินเข้าไปโดยไม่สนใจว่าถังเหลียนได้เตรียมมีดลับพร้อมจ่อคอมันแล้ว มันสัมผัสโลงศพสีทองอร่ามที่สลักลายบุปผาอันวิจิตรงดงามอย่างลืมสิ้นทุกสิ่ง ครู่ใหญ่จึงสูดหายใจหนึ่งเฮือกพลางเอ่ยชื่นชม “เป็นทองคำบริสุทธิ์ ไม่ใช่ทองชุบอย่างแน่นอน นี่เป็นโลงศพที่หลอมขึ้นมาจากทองคำแท้ทั้งใบ! ราคาสูงมากยิ่ง!” มันพยักหน้าเมื่อได้ข้อสรุปสุดท้าย

     

     

    บทที่ 5

    เทียนหนี่ว์หรุ่ย

     

    “ทั้งที่ไม่เคยพบพานกันมาก่อน แต่ท่านก็เชื่อใจพวกข้าหรือ” เซียวเซ่อห่อตัวอยู่ในเสื้อคลุมขนจิ้งจอก นั่งพิงรถม้าอย่างผ่อนคลาย

    ถังเหลียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามมันส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เชื่อเจ้า ข้าแค่เชื่อเจ้านั่น” มันชี้ไปข้างนอก

    เวลานี้เหลยอู๋เจี๋ยในชุดสีแดงเปลือยแผ่นอกกำลังบังคับรถม้าห้อตะบึงฝ่าลมหิมะเต็มฝีเท้า หากมองภาพนี้จากข้างหน้าจะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งอมยิ้มแก้มปริประหนึ่งบังคับรถม้าอยู่ท่ามกลางสายลมอันอบอุ่นในวสันตฤดู ราวกับค้นพบซึ่งความรู้สึกของวสันตกาลแห่งชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม

    “ข้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของท่าน” เซียวเซ่อทอดถอนใจ “ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้วรยุทธ์จะสูงล้ำ แต่สติปัญญาไม่ค่อยดี เรื่องหลอกลวงคนคงทำไม่ได้”

    ถังเหลียนปล่อยผ้าม่านลงบังลมหิมะข้างนอก “แล้วเจ้าเล่า”

    “ข้ารึ ข้านำม้าเยี่ยเป่ยชั้นเลิศสองตัวมาช่วยลากของให้ท่าน ท่านยังไม่เชื่อข้าอีกรึ” เซียวเซ่อไม่พอใจ

    “ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ต้องสนใจ!” เหลยอู๋เจี๋ยผู้ไม่พูดไม่จามาตลอดทางก็เอ่ยปากเช่นกัน “คนผู้นี้เป็นแค่พ่อค้าขายม้า พวกข้าเดินทางด้วยกันมาตลอดทาง นอกจากชมว่าม้าของตัวเองดีอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ได้ยินคำพูดอย่างอื่นเลย”

    ถังเหลียนตรึกตรองดูเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากอย่างแช่มช้า “น้องเหลย เจ้ายังไม่ได้เข้าเมืองเสวี่ยเยวี่ย ไม่สิ เจ้ายังไม่ได้กราบอาจารย์ในเมืองเสวี่ยเยวี่ย คำว่าศิษย์พี่ใหญ่นี้…ข้าว่าเจ้าไม่ต้องรีบเรียกก็ได้”

    “ขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่!” เหลยอู๋เจี๋ยสะบัดบังเหียนอย่างแรง ม้าสองตัวเร่งฝีเท้าเข้าสู่เส้นทางพายุหิมะอันยาวไกล

    ถังเหลียนทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา

    “จะว่าไปแล้ว ท่านไม่รู้ความเป็นมาของโลงศพใบนี้จริงๆ หรือ” เซียวเซ่อตบโลงศพทองคำข้างกายเบาๆ

    ถังเหลียนส่ายศีรษะ “อาจารย์ไม่ได้บอกข้า แค่ให้ข้านำมันไปส่งยังวัดจิ่วหลงที่เมืองปี้หลัว ก่อนกล่าวกับข้าเพียงประโยคเดียว”

    “ว่าอย่างไร”

    “อย่าได้เปิดโลงศพนี้เป็นอันขาด” ถังเหลียนปัดมือเซียวเซ่อที่วางบนโลงศพออก

    “ถัดจากเมืองปี้หลัวไปก็จะเป็นบรรดาแคว้นที่นับถือลัทธิพุทธทั้งสามสิบสองแคว้นในแดนบูรพา วัดจิ่วหลงเป็นวัดแห่งแรกในเขตชายแดน ข้างในนี้คงมิใช่จักรพรรดิ ชนชั้นสูง หรือขุนนางคนใดที่ศรัทธาในลัทธิพุทธและหมายจะไปโปรดสัตว์ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรอกกระมัง”

    “อย่าได้สนใจ ตลอดทางมานี้ข้าประสบพบเจอมือสังหารจำนวนมาก มีคนไม่รู้เท่าใดต้องการสิ่งที่อยู่ข้างในนี้ การครอบครองมันไว้นับเป็นเรื่องที่อันตรายยิ่ง”

    “บาดแผลของท่านก็ได้จากมือสังหารเหล่านั้นหรือ”

    “แค่เยวี่ยจีกับหมิงโหวเท่านั้น มือสังหารกลุ่มอื่นก็แค่พวก…” ถังเหลียนหยุดพูด มันนึกถึงชายผมขาวที่ถือกระบี่หยกผู้นั้น ในใจเกิดความกังวลขึ้นมา

    “พวกเราจะไปที่ใดต่อ”

    “หอเหม่ยเหริน (หญิงงาม) เมืองซานกู้”

    “หอเหม่ยเหริน? เมืองซานกู้?” เซียวเซ่อมุ่นคิ้วเล็กน้อย มันรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูยิ่งนัก ทว่าคิดไม่ออกว่าเคยได้ยินมาจากที่ใด

    “ข้ารู้จัก!” เหลยอู๋เจี๋ยที่กำลังบังคับรถม้าตะโกนมาจากข้างนอก “ยิ้มรับธุลีแดงในเมืองซานกู้ เมามายสุขสำราญในหอเหม่ยเหริน ที่นั่นเป็นหอคณิกาที่สั่นสะเทือนใต้หล้าเชียวนะ!”

    เซียวเซ่ออึ้งงันไปครู่ใหญ่ ก่อนหันมองถังเหลียนและเอ่ยอย่างแช่มช้า “ท่านพี่ถัง…ช่างอารมณ์สุนทรีย์นัก!”

    “ถุย!” ถังเหลียนถ่มน้ำลายแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เมืองซานกู้เป็นทางที่ต้องผ่านไปยังวัดจิ่วหลง ที่นั่นมีกำลังหนุนของข้าอยู่!”

     

    “หญิงงามชม้ายชายตาสามครา ชม้อยคราแรกล่มเมือง ชม้ายอีกคราล่มแคว้น ชายตาคราที่สามพิชิตใจข้า ที่แห่งนี้ห่างไกลกันดาร แต่กลับมีเมืองอันงามตาเช่นนี้” เซียวเซ่อทอดสายตามองหญิงงามชดช้อยสะโอดสะองสวมใส่ผ้าโปร่งบางรอบกายทีละคน มันหิ้วกาสุราขึ้นเดินอาดๆ อยู่ในหอเหม่ยเหรินนี้โดยอดรำพึงรำพันมิได้

    “เมืองซานกู้นี้เป็นสถานที่ที่ต้องผ่านหากจะไปยังเมืองปี้หลัว ถัดจากเมืองปี้หลัวคือแคว้นที่นับถือลัทธิพุทธทั้งสามสิบสองแคว้นในแดนบูรพา แม้ว่าที่นั่นจะเป็นชายแดน แต่ก็เป็นเมืองการค้าเสรี ทำการค้าได้โดยไม่ต้องจ่ายอากรให้ทางการ ดังนั้นจึงมีพ่อค้าคาราวานใหญ่เดินทางผ่านเมืองซานกู้ไปยังเมืองปี้หลัวทุกปี” ถังเหลียนอธิบาย “เริ่มแรกที่แห่งนี้มีเพียงโรงเตี๊ยมให้แวะพักไม่กี่แห่ง แต่พอพวกพ่อค้าผ่านมาทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆ มหาเศรษฐีที่ถลุงเงินเป็นว่าเล่นก็มีมาไม่ขาดสาย พวกพ่อค้าจึงสร้างเมืองซานกู้ขึ้น ที่แห่งนี้ไม่เพียงเป็นสถานเริงรมย์ แต่ยังนับว่าเป็นบ่อนพนันอันดับต้นๆ ของแผ่นดิน…”

    “บ่อนพนัน?” เซียวเซ่อหรี่ตาลง มันมองไปรอบๆ และเห็นพ่อค้าเศรษฐีสวมอาภรณ์ปักไหมทองหลายคนนั่งอยู่หน้าโต๊ะยาวตัวหนึ่ง สตรีงามชดช้อยในอาภรณ์สีแดงนางหนึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะ เรียวขายาวเย้ายวนใจ มือทั้งคู่เขย่าถ้วยลูกเต๋าพลางยิ้มยั่วยวน จากนั้นก็วางถ้วยลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา

    เหล่าพ่อค้าต่างพากันหยิบสินเดิมพันออกมาวางบนโต๊ะเช่นกัน

    ทว่าสินเดิมพันนั่นกลับเป็นอัญมณีเปล่งประกายแวววาวหลากหลายเม็ด ทั่วทั้งโถงใหญ่พลันสว่างพร่างพรายขึ้นมาในพริบตา

    “หอเหม่ยเหรินคือหอคณิกาและบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองซานกู้ ผู้ที่มาเมืองซานกู้ล้วนเป็นเศรษฐีร่ำรวยในด้านใดด้านหนึ่งทั้งนั้น แต่ผู้ที่เข้ามาในหอเหม่ยเหรินได้ล้วนมีเพียงมหาเศรษฐี สินเดิมพันของพวกมันมากมายเกินไป หากใช้เงินทองมาคิดคำนวณเกรงว่าต้องใช้หลายหีบกว่าจะพนันได้สักตา ดังนั้นการพนันที่นี่จึงใช้อัญมณีมาคิดคำนวณ อัญมณีเช่นนี้เพียงหนึ่งตะกร้าเล็กๆ ก็เปิดร้านค้าใหญ่หนึ่งร้านในเมืองจินหลิงอันเจริญรุ่งเรืองได้ เป็นเงินที่พ่อค้าธรรมดาใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่มีวันได้พบเห็น”

    “ใช้ตั๋วทองที่ร้านค้าจำหน่ายก็ได้มิใช่หรือ เหตุใดต้องใช้อัญมณี”

    ถังเหลียนส่ายศีรษะแล้วชี้ไปยังชายฉกรรจ์ตัวดำทะมึนที่นั่งอยู่ท่ามกลางพ่อค้า “ผู้ที่มาเมืองซานกู้หาใช่เพียงพ่อค้าของแคว้นนี้เท่านั้น แต่ยังมีพวกเจ่าวา ต้าสือ ถู่หั่วกั๋ว* พวกมันไม่รับตั๋วทอง แต่อย่างไรพวกพ่อค้าก็ยังคงคิดว่ามีเพียงอัญมณีเป็นตะกร้าเช่นนี้เท่านั้นถึงจะอวดอำนาจและความร่ำรวยของพวกมันได้”

    “เช่นนั้นในเมื่อมาถึงที่แล้ว พวกเรามิสู้ไปพนันสักตาเถิด” เซียวเซ่อทอดสายตาไปทางโต๊ะพนันโดยที่ยังคงหดตัวอยู่ในเสื้อคลุมจิ้งจอก

    ถังเหลียนยิ้มเจื่อนๆ “ข้าไม่มีเงิน”

    “จะไม่มีได้อย่างไร” เซียวเซ่อแย้มยิ้ม “พวกเรามีโลงศพหนึ่งใบที่หลอมขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์เชียวนะ”

    “หุบปาก!” ถังเหลียนตวาด “พวกพ่อค้าที่นี่ต่างว่าจ้างยอดฝีมือเป็นผู้คุ้มกัน เจ้าพูดจาอันใดให้เบาๆ หน่อย เดี๋ยวคนอื่นได้ยินกันหมด พวกเรามาที่นี่จะเป็นที่สนใจของผู้คนไม่ได้เด็ดขาด”

    “โอ้ เจ้าคือเหลียนมิใช่หรือ” เสียงอันอ่อนหวานชดช้อยพลันดังขึ้นด้านบน

    ถังเหลียนกับเซียวเซ่อแหงนหน้าขึ้น พบสตรีในอาภรณ์สีแดงนางหนึ่งกำลังกอดผ้าแพรซึ่งห้อยอยู่กับคานหลังคาลอยตัวอยู่กลางอากาศ นางโรยตัวลงพร้อมโปรยกลีบดอกไม้สีแดงนับไม่ถ้วน แขกเหรื่อในโถงต่างหยุดมือแล้วแหงนหน้ามองนางคล้ายต้องมนตร์

    “เป็นเทียนหนี่ว์หรุ่ย!” มีคนเรียกชื่อของนาง

    หญิงสาวผู้นั้นขานรับพร้อมระบายยิ้มและโบกมือแผ่วเบา ก่อนรวบกลีบดอกไม้ที่เหลือไว้ในมือ กลีบเหล่านั้นพลันก่อตัวเป็นรูปร่างดอกกุหลาบใหม่อีกครั้ง

    “ประเสริฐ!” มีคนร้องตะโกนลั่น

    หญิงสาวโยนดอกกุหลาบในมือลงมาข้างล่าง ก่อนที่มือทั้งคู่จะปล่อยผ้าแพรสีแดงโรยตัวตามลงมา ปลายเท้านางแตะเบาๆ บนดอกกุหลาบดอกนั้น กลีบดอกไม้พลันแตกกระจายออกในชั่วพริบตาและปลิวว่อนไปทุกหนแห่ง หญิงสาวกระโดดม้วนตัวอีกครั้งและมายืนยังเบื้องหน้าของถังเหลียนกับเซียวเซ่ออย่างมั่นคง

    “พี่ถัง ท่านบอกว่าห้ามเป็นที่สนใจของผู้คนมิใช่หรือ” เซียวเซ่อเหลียวมองไปรอบๆ “ยามนี้คนทั่วทั้งหอเหม่ยเหรินมองมาที่พวกเราหมดแล้ว”

    สีหน้าของถังเหลียนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย มันไอแห้งๆ หนึ่งเสียง “หรุ่ย…”

    “เหลียน ครั้งสุดท้ายที่เจ้ามา ผ่านไปสิบหกเดือนเจ็ดวันแล้วนะ” เทียนหนี่ว์หรุ่ยกุมอกด้วยท่าทางเศร้าโศกเสียใจ “ไม่คิดถึงน้องเพียงนี้เชียวหรือ”

    “พวกเจ้าคนหนึ่งชื่อหรุ่ย อีกคนหนึ่งชื่อเหลียน ฟังไปแล้วเหมือนคู่รักยิ่งนัก” เซียวเซ่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

    เทียนหนี่ว์หรุ่ยหันมามองเซียวเซ่อ ก่อนระบายยิ้มละไม “ช่างเป็นหนุ่มน้อยหน้าตางดงาม เมื่อครู่ได้ยินเจ้ากล่าวว่าอยากพนันสักตาใช่หรือไม่”

    เซียวเซ่อส่ายศีรษะ “ข้าไม่มีเงิน”

    เทียนหนี่ว์หรุ่ยส่ายศีรษะเช่นกัน “ไม่ เจ้าต้องมีเงินแน่”

    “ไยเจ้ามั่นใจปานนั้น”

    “คนทั่วไปเห็นบ่อนพนันใหญ่โตเช่นนี้ สองตาย่อมเบิกกว้างตั้งแต่แรก คนทั่วไปเห็นหญิงงามเช่นข้าก็ย่อมหลงใหลเช่นกัน แต่เจ้ากลับทำท่าเฉื่อยชา ราวกับในสายตาเจ้าทรัพย์สมบัติและหญิงงามล่มแคว้นเป็นเพียงของสามัญไม่สลักสำคัญอันใด นี่ไม่ได้แปลว่าเจ้าร่ำรวยมากหรอกหรือ” เทียนหนี่ว์หรุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

    “หรุ่ย” ถังเหลียนเอ่ยเสียงเบา “ยามนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องเหล่านี้…”

    เทียนหนี่ว์หรุ่ยเดินเข้ามาหนึ่งก้าวและโอบรอบคอถังเหลียนอย่างชดช้อย ถังเหลียนนิ่งอึ้งไป เรียวปากของเทียนหนี่ว์หรุ่ยประชิดข้างหูมัน “กำลังหนุนของเจ้ายังไม่มีใครมาถึงกระทั่งวันนี้ แต่มือสังหารระดับยอดฝีมือกลับแห่แหนเข้าเมืองซานกู้มาไม่ขาดสาย เจ้าไม่อยากเป็นที่สนใจของผู้คนหรือ ทว่ายามนี้ทั่วทั้งเมืองต่างต้องการสังหารเจ้า! พวกมันมิได้มาเพื่อการค้า หากแต่มาเพราะเจ้า!”

    ถังเหลียนได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง แม้ว่าโลงศพที่หลอมขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ใบนั้นจะดูล้ำค่ามาก แต่เห็นชัดแล้วว่าของที่อยู่ข้างในล้ำค่ากว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า มีค่าเหลือล้นกระทั่งในเมืองซานกู้ที่มีมหาเศรษฐีทั่วใต้หล้ามารวมตัวกัน มันยังคงมีค่าที่สุด!

    เทียนหนี่ว์หรุ่ยปล่อยถังเหลียนและมองไปยังเซียวเซ่อ “คุณชายยังอยากพนันหรือไม่”

    ครั้งนี้เซียวเซ่อพยักหน้า “ข้ามีคฤหาสน์หลังหนึ่ง ชื่อว่า ‘เสวี่ยลั่ว’ อยู่ใกล้กับป่าท้อสิบหลี่นอกเมืองจินหลิง มันมีค่าเท่ากับอัญมณีเช่นนี้สิบตะกร้า ข้าขอใช้มันแทนของค้ำประกันแล้วกัน แม่นางจะยอมให้ข้ายืมเงินก้อนหนึ่งก่อนได้หรือไม่”

    “ตกลง” เทียนหนี่ว์หรุ่ยปรบมือเบาๆ ชายฉกรรจ์หัวโล้นสูงใหญ่บึกบึนสองคนพลันถืออัญมณีเปล่งประกายระยิบระยับมาวางลงเบื้องหน้าเซียวเซ่อคนละหนึ่งตะกร้า จากนั้นชายฉกรรจ์อีกสองคนได้ยกโต๊ะไม้สีแดงตัวยาวเข้ามา

    เทียนหนี่ว์หรุ่ยกล่าวเสียงดัง “คุณชายท่านนี้เหมาหอเหม่ยเหรินวันนี้ไว้แล้ว ผู้ที่จะเล่นพนันโปรดรั้งอยู่ หากไม่เล่นพนันก็เชิญกลับก่อนเถิด”

    “แม่นางกล่าวขบขันแล้ว แค่อัญมณีสองตะกร้าก็เหมาหอเหม่ยเหรินแห่งนี้ได้ด้วยหรือ” พ่อค้าชุดคลุมทองคนหนึ่งลุกขึ้นยืน “คุณชายผู้นี้ดูไปแล้วไม่คุ้นหน้า เกรงว่าจะไม่เข้าใจกฎของที่นี่ แต่ไยเทียนหนี่ว์หรุ่ยเองก็เลอะเลือนไปด้วยเล่า”

    “เลอะเลือน?” เทียนหนี่ว์หรุ่ยหัวร่อแผ่วเบา นางใช้ปลายเท้าสะกิดพื้นลอยตัวขึ้นและระบำฉางซิ่ว (แขนเสื้อยาว) กลางอากาศอย่างงดงามยิ่งนักจนคนทั้งหลายอดร้องชมมิได้ ทว่าเมื่อพินิจมองดีๆ ผู้คนกลับตกใจจนร้องเสียงหลง

    “มีด!”

    ระบำฉางซิ่วของเทียนหนี่ว์หรุ่ยเผยให้เห็นแสงเย็นเยียบวูบวาบอยู่เลือนราง นางรวบสองมือเข้าหากันก่อนผละออก มีดสั้นพลันปรากฏขึ้นทั้งสองมือ นางตวัดมีดจู่โจมใส่พ่อค้าที่เพิ่งพูดเมื่อครู่นี้

    พ่อค้าชุดคลุมทองตกตะลึงพรึงเพริดจนได้แต่ยืนนิ่งงันไม่อาจขยับเคลื่อน ขณะที่มีดของเทียนหนี่ว์หรุ่ยกำลังจะปักเข้าหน้าอกของมัน กระบี่สองเล่มพลันปรากฏขึ้นสกัดมีดของนางไว้

    กระบี่เล่มหนึ่งสีดำนิล อีกเล่มหนึ่งขาวนวลปานหยก

    เทียนหนี่ว์หรุ่ยแย้มยิ้มบางๆ แล้วตวัดขาขวาขึ้น มือกระบี่ที่ถือกระบี่สีดำรู้สึกได้ว่ามีแสงเย็นวาดผ่านมาจึงรีบถอยหลบทันที ยามนี้เทียนหนี่ว์หรุ่ยนอกจากร่ายรำมีดคู่ในมือแล้ว นางยังมีมีดเพิ่มมาอีกหนึ่งเล่ม

    “ระบำสามมีด?” มีคนในโถงอุทานอย่างตกใจ

     

     

    * หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนในสมัยราชวงศ์หมิง เท่ากับความยาว 180 จั้ง เทียบระยะประมาณ 600 เมตร

    ** เสี่ยวเอ้อร์ หมายถึงเด็กรับใช้

    ** หยวนไว่ คือชื่อตำแหน่งขุนนาง ส่วนมากเป็นตำแหน่งลอยๆ ที่เหล่าคหบดีซื้อมาประดับเกียรติตัวเอง

    * บะหมี่หยางชุน คล้ายก๋วยเตี๋ยวน้ำใสของไทย

    ** สุราเหล่าเจาเซา คือเหล้าชนิดหนึ่งของจีน กลั่นจากกากเหล้าเก่า

    * เนื้อลายดอกเหมย หมายถึงเนื้อลายหินอ่อน มีไขมันแทรกอย่างสวยงาม

    ** จิน (ชั่ง) หน่วยวัดน้ำหนักของจีน โดย 1 จินเท่ากับน้ำหนัก 500 กรัม

    * ต้าสือ คือจักรวรรดิอาหรับ

    ** จั้นเฉิง คืออาณาจักรจามปา หรือเวียดนามในปัจจุบัน

    *** เจ่าวา คือเกาะชวา อยู่ในประเทศอินโดนีเซีย

    **** หุยหุยกั๋ว คือกลุ่มประเทศที่ชาวมุสลิมอยู่อาศัย

    * จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบระยะประมาณ 3.3 เมตร

    * ฉื่อ (เชียะ) คือหน่วยวัดความยาวของจีน โดย 1 ฉื่อเท่ากับ 10 ชุ่น 1 ชุ่นเทียบระยะประมาณ 1 นิ้ว

    * เฒ่าประมงได้กำไร หมายถึงการที่มือที่สามฉวยโอกาสระหว่างที่สองฝ่ายกำลังทะเลาะวิวาทรับเอาผลประโยชน์ไป

    * ถู่หั่วกั๋ว เป็นชนชาติหนึ่งในสมัยโบราณ ปัจจุบันล่มสลายไปแล้ว

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ทดลองอ่าน

    นิยายยอดนิยม

    Facebook