ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หมื่นยุทธ์พิชิตหล้า ใต้ฟ้าไร้พันธนาการ 1 ครั้งที่ 3
บทที่ 11
เกาทัณฑ์ยาวไล่ปักษา ร้อยมารท่องราตรี
“ข้าเคยอ่านตำราเล่มหนึ่ง ในนั้นเขียนไว้ว่าใต้หล้านี้มีผู้วิเศษ เยื้องย่างเมฆหมอก สวมอาภรณ์สีขาว ดื่มน้ำค้างสูดสายลม ขี่ลมเดินทางได้พันหลี่ แก่ชราไปพร้อมตะวันจันทรา น่าจะกล่าวไว้เช่นนี้กระมัง” เซียวเซ่อนั่งอยู่บนโขดหินโสโครกพลางมองอู๋ซินที่ยืนอยู่ริมสายธาร
ยามนี้อู๋ซินกำลังทอดสายตามองไปยังที่ไกลโพ้น ลมแรงพัดเอาจีวรสีขาวของมันปลิวไสว ดวงจันทร์ขาวนวลพิสุทธิ์อาบไล้เรือนร่างของมัน บังเกิดกลิ่นอายเทพเซียนอยู่หลายส่วน
“ข้าไม่เคยเห็นวิชาตัวเบาเช่นนี้มาก่อน ราวกับขี่ลมเดินทางได้จริงๆ วรยุทธ์ของสองคนนั้นสูงล้ำยิ่งนักแต่ก็ยังไล่ตามมาไม่ทัน” เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยอย่างตื้นตันใจ อู๋ซินพาทั้งสองเหาะเหินมาอย่างน้อยสามชั่วยาม ตั้งแต่ย่ำสนธยาจวบจนราตรีดึกสงัด ทว่าไม่เห็นมันมีท่าทีเหนื่อยล้าแม้เพียงนิดเดียว
เซียวเซ่อฝืนยิ้ม “พวกเราเป็นตัวประกัน แต่กลับมานั่งชมเชยมันอยู่ตรงนี้ หากมันได้ยินเข้าไม่รู้จะรู้สึกอย่างไร”
อู๋ซินหันกลับมาโดยพลัน มันเพียงกระโดดทีเดียวก็ลอยมายังเบื้องหน้าพวกเซียวเซ่อพร้อมใบหน้าแต้มยิ้ม “โยมทั้งสองหาใช่ตัวประกันของอาตมาไม่ อาตมากล่าวไว้แล้วตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมว่าอยากเชิญโยมทั้งสองไปที่แห่งหนึ่งกับอาตมา”
เซียวเซ่อแค่นยิ้ม “คนตั้งมากมายในโรงเตี๊ยม เหตุใดเจ้าต้องเลือกพวกข้าสองคนด้วย อีกทั้งพวกข้าหนึ่งคนไม่เป็นวรยุทธ์ อีกคนยังบาดเจ็บหนัก”
“บาดเจ็บหนัก?” อู๋ซินหันไปมองเหลยอู๋เจี๋ยและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาตมาแม้ไร้ความสามารถ แต่ขออุทิศตนรับใช้โยม”
เหลยอู๋เจี๋ยตกตะลึง “เจ้าจะรักษาอาการบาดเจ็บให้ข้าหรือ”
อู๋ซินพยักหน้าเล็กน้อย “การเดินทางนี้ยังต้องขอความช่วยเหลือจากโยมทั้งสองอีกมาก การรักษาแผลนี้เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เพียงพอให้กล่าวถึง”
“ข้าว่า…” เหลยอู๋เจี๋ยเห็นใบหน้าประดับรอยยิ้มของอู๋ซินแล้วพลันบังเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาในใจ ด้วยไม่รู้ว่าภิกษุที่ทั้งร่างแผ่ซ่านกลิ่นอายชั่วร้ายผู้นี้มีแผนการใดกันแน่
ทว่าอู๋ซินกลับดึงมือของเหลยอู๋เจี๋ยแล้วใช้ปลายเท้าทะยานร่างจนมาถึงริมแม่น้ำ ก่อนใช้นิ้วแตะที่ไหล่กับหลังของเหลยอู๋เจี๋ยอย่างแผ่วเบาเพียงสองสามครั้ง แล้วจึงกล่าวว่า “โยมบาดเจ็บจากพลังปราณของจื่ออีโหว บัดนี้พลังปราณนั้นยังคงไหลวนอยู่ในร่างกายของโยม หากไม่โคจรพลังปราณก็ไม่เป็นไร แต่หากโคจรเพียงเล็กน้อยพลังปราณทั้งสองสายจะปะทะกันอยู่ภายในร่าง ทำให้บาดเจ็บซ้ำซ้อน อาตมาจะใช้วิชาไหลเวียนขับพลังปราณนั้นออกไป” กล่าวจบอู๋ซินก็คว้าตัวเหลยอู๋เจี๋ยด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วย่ำคลื่นทะยานไปยังกลางแม่น้ำ
เหลยอู๋เจี๋ยตกใจจนร้องลั่น “ข้า…ข้าว่ายน้ำไม่เป็น!”
เซียวเซ่อมุ่นหัวคิ้ว อุทานเสียงเบา “ในใต้หล้า…มีวิชาตัวเบาอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ด้วยหรือ”
อู๋ซินจับเหลยอู๋เจี๋ยวิ่งไปบนน้ำประหนึ่งอยู่บนพื้นราบ กระทั่งมาถึงกลางแม่น้ำก็หยุดฝีเท้า ดวงตาทั้งคู่ของมันปิดลง จีวรสีขาวโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางสายลม เหลยอู๋เจี๋ยรู้สึกเพียงว่าร่างกายโงนเงนราวกับจะจมลงไปในแม่น้ำได้ทุกเมื่อ แต่ทันใดนั้นมันก็รู้สึกถึงพลังปราณขุมหนึ่งที่หลั่งไหลจากฝ่ามือของอู๋ซินเข้าสู่ร่างกาย จิตใจอันร้อนรนค่อยๆ สงบลง มันหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ฟังเสียงของสายลมและสายน้ำ สัมผัสได้ถึงความกระจ่างชัดในจิตใจ รู้สึกสงบสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เซียวเซ่อมองดูอยู่บนฝั่งอย่างตกตะลึงยิ่งกว่า เพราะยามนี้อู๋ซินคลายมือที่จับตัวเหลยอู๋เจี๋ยแล้ว ทว่าเหลยอู๋เจี๋ยไม่ทราบแม้แต่น้อย มันยังคงหลับตาแล้วยืนอยู่บนแม่น้ำอย่างมั่นคง
สายตาของอู๋ซินก็เผยความประหลาดใจหลายส่วน ก่อนเอ่ยเสียงเบา “บรรพชิตเฒ่ากล่าวว่าใต้หล้ามีมนุษย์ที่จิตใจละเอียดอ่อน ประสานรวมกับธรรมชาติได้ เห็นทีคงไม่ได้หลอกอาตมา” มันโบกแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว สายน้ำรอบกายคนทั้งคู่ค่อยๆ หมุนวนอย่างแช่มช้าและกลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดมหึมา เหลยอู๋เจี๋ยยังคงหลับตาอยู่ บนหน้าผากมีเหงื่อผุดพรายไม่หยุด อู๋ซินคลี่ยิ้มเล็กน้อยแล้วแตะเรียวนิ้วลงบนขมับของเหลยอู๋เจี๋ยอย่างแผ่วเบาพลางสวดมนต์บางอย่าง ก่อนร้องว่า “ทะลวง!”
ไอสีม่วงพรั่งพรูตามติดนิ้วเรียวของอู๋ซินออกมา มันโบกมือไปทางซ้ายเล็กน้อย โจมตีไปที่คลื่นน้ำขนาดมหึมา คลื่นยักษ์นั้นถูกซัดหายไปในทันที อู๋ซินคว้าตัวเหลยอู๋เจี๋ยไว้แล้วย่ำคลื่นทะยานขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็วอีกครั้ง มันผลักเหลยอู๋เจี๋ยไว้ข้างกายเซียวเซ่อ ก่อนสะบัดจีวรอย่างลำพองใจ “สำเร็จ!”
เหลยอู๋เจี๋ยลืมตาขึ้น แล้วถอนหายใจยาว
“เป็นอย่างไรบ้าง” เซียวเซ่อถามมัน
เหลยอู๋เจี๋ยปาดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “รู้สึกสบาย…อย่างบอกไม่ถูก”
“พลังของโยมฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งยังเป็นเคราะห์ดีในเคราะห์ร้าย” อู๋ซินพนมมือ ดวงตาอมยิ้ม
“เคราะห์ดีในเคราะห์ร้ายอย่างไร” เหลยอู๋เจี๋ยไม่เข้าใจ
“หลังจากนี้โยมก็จะทราบเอง” อู๋ซินยิ้มแต่ไม่ตอบ
“เหตุใดเจ้าต้องช่วยพวกข้า” เซียวเซ่อพลันเอ่ยถาม
อู๋ซินยื่นมือมาหมายจะตบบ่าเซียวเซ่อ ทว่าเซียวเซ่อเบี่ยงกายหลบ มันจึงหมุนตัวมาตบบ่าเหลยอู๋เจี๋ยที่ยังเหม่อลอยอยู่แทน “อาตมาเพิ่งพูดไปมิใช่หรือ อาตมาอยากไปที่แห่งหนึ่ง จึงต้องให้โยมทั้งสองร่วมเดินทางด้วย เรื่องรักษาอาการบาดเจ็บเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
เซียวเซ่อเหลือบมองมันเล็กน้อย “วรยุทธ์ของเจ้าแกร่งกล้าปานนี้ จะไปที่แห่งใดไยจึงต้องให้พวกข้าไปด้วย อีกอย่างเจ้าถูกเมืองเสวี่ยเยวี่ยคุมตัวไปวัดจิ่วหลง ข้างกายข้าผู้นี้เป็นลูกศิษย์ของเมืองเสวี่ยเยวี่ย เจ้าอยากให้พวกข้าช่วยเจ้าหลบหนีหรือ”
“อาตมาขอเรียนถามโยมทั้งสอง ที่นอกหอเหม่ยเหริน หากอาตมามิได้ใช้ชนวนจิตมาร คนชุดดำเหล่านั้นคงปลิดชีพโยมทั้งสองไปนานแล้ว ในหอเหม่ยเหรินหากอาตมามิได้ช่วยโยมถังขยายพลังสำแดงหมื่นพฤกษ์เหินบุปผา แล้วพวกโยมจะขวางไป๋ฟ่าเซียนกับจื่ออีโหวไว้ได้อย่างไร อาตมาช่วยชีวิตพวกโยมถึงสองครั้ง พวกโยมกลับยอมรับคำขอร้องเพียงเล็กน้อยนี้ไม่ได้เลยหรือ” อู๋ซินส่ายศีรษะพลางทอดถอนใจ สีหน้าแสดงถึงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง “อาตมาผิดหวังยิ่งนัก”
เซียวเซ่อยิ้มเยาะ “บรรพชิตบำเพ็ญกุศล ต้องการสิ่งตอบแทนด้วยหรือ”
“แน่นอน พระพุทธเจ้ายังต้องการสิ่งตอบแทน ไฉนเลยกับอาตมา” น้ำเสียงของอู๋ซินพลันนอบน้อม
เซียวเซ่ออึ้งงันไปเล็กน้อย “พระพุทธเจ้าต้องการสิ่งตอบแทนหรือ ข้าเคยพบภิกษุมาหลายรูป แต่ไม่เคยได้ยินถ้อยคำเช่นนี้ มิทราบว่ามาจากตำนานใดหรือ”
“พระพุทธเจ้าเคยเดินทางจากจยาเหวยหลัวเว่ยกั๋ว (กรุงกบิลพัสดุ์) ไปยังเมืองเส่อเว่ยกั๋ว (สาวัตถี) พร้อมภิกษุหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป เส้นทางระหว่างสองแคว้นมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง นามว่าต้นหนีจวี (อชปาลนิโครธ) ต้นไม้นั้นสูงยี่สิบหลี่ กิ่งก้านใบไม้ของมันแผ่คลุมพื้นที่กว่าหกสิบหลี่ ผลของมันอุดมสมบูรณ์ รสชาติหวานหอมประดุจน้ำผึ้ง หากคนตาบอดได้กินก็จะมองเห็น คนป่วยเรื้อรังได้กินก็จะหายดี พระพุทธเจ้ารอเหล่าภิกษุฉันผลไม้นั้น ตรัสกับอนันดาลูกศิษย์ว่า ‘เราเห็นสรรพสิ่งในใต้หล้า ต่างมีวาสนาร่วมกันจากชาติปางก่อน’ อนันดาถามพระพุทธเจ้าว่า ‘ศิษย์โง่เขลา ไม่ทราบว่าเหตุของวาสนาคืออันใด’ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ‘ภรรยาได้รับกุศลจากการทำกรรมดี ดังเช่นต้นไม้นี้ เดิมปลูกด้วยหนึ่งเมล็ด วันแล้ววันเล่าแตกกิ่งก้านสาขา ผลของมันเก็บเกี่ยวได้ไม่จำกัด อันผู้ที่ฐานะสูงส่ง ได้เป็นกษัตริย์สัตบุรุษ ล้วนมาจากพระรัตนตรัยแห่งธรรม อันคนร่ำรวยทรัพย์สมบัติมากล้น ล้วนมาจากการทำทาน อันคนอายุมั่นขวัญยืน ไร้โรคไร้ภัย ร่างกายแข็งแรง ล้วนมาจากการถือศีล ทำทานหนึ่งสิ่งได้รับสรรพสิ่ง ชีวิตสุขสมอายุยืนนาน’ ” อู๋ซินอมยิ้ม กล่าวเสียงไพเราะเสนาะหู
เซียวเซ่อส่ายศีรษะ “นี่คือ ‘พุทธวจนคัมภีร์กุศลเคราะห์กรรมห้าประการแห่งการเวียนว่ายตายเกิด’ กล่าวถึงผลของกรรมดีกรรมชั่ว เจ้านำมากล่าวว่าพระพุทธเจ้าต้องการสิ่งตอบแทน มิทราบว่าได้ถามพระพุทธเจ้าหรือยัง”
“ไม่นึกว่าโยมจะเป็นผู้แตกฉานในข้อพระธรรมเช่นกัน อีกทั้งยังพูดจาเหมือนบรรพชิตเฒ่าวั่งโยวผู้นั้นทุกประการ” อู๋ซินยังคงยิ้มกรุ้มกริ่ม ยามเอ่ยถึงภิกษุวั่งโยวก็ใช้คำว่า ‘บรรพชิตเฒ่า’ ไม่มีท่าทีนอบน้อมแม้แต่น้อย
“ข้าจะไปกับเจ้าเอง!” เหลยอู๋เจี๋ยที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยปาก
“โอ้” อู๋ซินหันกลับมามองอย่างสนอกสนใจ
เซียวเซ่อยักไหล่อย่างจำใจ “ข้าเดาไว้แล้วว่าเจ้าจะพูดเช่นนี้”
“เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ เช่นนั้นข้าจะช่วยสักครั้ง แต่เมื่อเจ้าสมปรารถนาแล้ว ข้าจะจับเจ้ากลับไปเอง” เหลยอู๋เจี๋ยกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง
อู๋ซินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าหัวเราะพักใหญ่ สุดท้ายมันก็ก้มหน้าลง นัยน์ตาพลันฉายประกายอันชั่วร้าย เซียวเซ่อกับเหลยอู๋เจี๋ยเย็นวูบในใจ ทว่าเพียงครู่เดียวนัยน์ตานั้นก็กลับคืนสู่สภาพเดิม อู๋ซินพยักหน้า “ประเสริฐ ถึงตอนนั้นข้าจะรอเจ้ามาจับ หากเจ้ามีความสามารถเช่นนั้น”
“สรรพนามเปลี่ยนแล้ว” เซียวเซ่อเอ่ย
“หืม?” อู๋ซินมุ่นคิ้วเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้เจ้าเรียกตนเองว่าอาตมา เรียกพวกข้าว่าโยม แต่ยามนี้กลับใช้ ‘เจ้า’ กับ ‘ข้า’ แทน”
“เจ้าเฉียบแหลมยิ่งนัก” อู๋ซินกล่าวชม “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองรับปากว่าจะร่วมเดินทางกับข้า เช่นนั้นพวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมทาง ในเมื่อเป็นเพื่อนร่วมทาง เหตุไฉนต้องปรุงแต่ง ดังนั้นเรียกชื่อกันจะดีกว่า มิทราบว่าทั้งสองมีนามว่าอันใด”
“ข้าชื่อเหลยอู๋เจี๋ย” เหลยอู๋เจี๋ยกล่าวตอบ
“เซียวเซ่อ” เซียวเซ่อตอบเสียงเนิบ
“ล้วนเป็นนามอันประเสริฐ” อู๋ซินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แล้วเหตุใดเจ้าต้องร่วมเดินทางกับพวกข้าให้ได้ ด้วยวิทยายุทธ์ของเจ้าแล้ว อย่าว่าแต่ผืนดินจงหยวนอันยิ่งใหญ่ไพศาล กระทั่งแคว้นที่นับถือลัทธิพุทธทั้งสามสิบสองแคว้นในแดนบูรพายังมีสถานที่ที่เจ้าไปไม่ได้อีกหรือ” เซียวเซ่อเหล่ตามองมัน
“ถามได้ประเสริฐยิ่ง” อู๋ซินสะบัดจีวรสีขาวเล็กน้อย มันเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยสุ้มเสียงดังกังวานกระจ่างชัด “เพราะข้าไม่มีเงิน อยู่นอกวัดโดยเฉพาะในต่างแคว้น หากไม่มีเงินย่อมยากจะเดินทาง”
ยามที่อู๋ซินยืนทอดสายตามองไปไกลอยู่ริมธาร มันบังเกิดกลิ่นอายเทพเซียนอยู่แปดส่วน ยามที่ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำ มีความน่าหลงใหลอยู่เก้าส่วน ยามที่สำแดงฝีมือก็มีความแกร่งกล้าถึงสิบส่วน แต่เมื่อกล่าวประโยคที่ว่า ‘ข้าไม่มีเงิน’ กลับมีความไม่สะทกสะท้านอยู่สิบเอ็ดส่วนและความไร้เหตุผลอยู่ถึงสิบสองส่วน!
เหลยอู๋เจี๋ยหัวเราะพรืดออกมาอย่างไม่รู้จักกาลเทศะ มันหัวเราะไปพลางชี้เซียวเซ่อไปพลาง “ฮ่าๆๆ เช่นนั้นเจ้าหาถูกคนแล้ว บรรดาคนในหอเหม่ยเหรินตอนนั้นมีเพียงมันที่มีเงิน!”
สีหน้าของเซียวเซ่อบูดบึ้ง มันกำลังคิดจะเอ่ยปาก แต่กลับเห็นอู๋ซินก้าวเข้ามายังเบื้องหน้ามัน
“มีอันใด หากข้าไม่ให้เงิน เจ้าก็จะปล้นเอาหรือ” เซียวเซ่อสายตาถมึงทึง
ทันใดนั้นอู๋ซินก็หมุนกายอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งแหวกฟ้าผ่าอากาศตรงมายังพวกมันพร้อมเสียงแหลมเสียดหู อู๋ซินพลันสะบัดแขนเสื้อยาว เกาทัณฑ์ดอกนั้นหยุดชะงักกลางอากาศห่างจากพวกมันเพียงหนึ่งก้าว ทว่าแรงเกาทัณฑ์นั้นหาได้สลายหายไป ลูกเกาทัณฑ์ยังคงควงหมุนวนอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนตกลงสู่พื้น
อู๋ซินมองไปยังเนินไกลๆ เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนหลังม้าห่างออกไปราวสามร้อยก้าว ในมืออีกฝ่ายถือคันเกาทัณฑ์เอาไว้ ลูกศรที่แผลงออกมาในระยะสามร้อยก้าวยังรุนแรงถึงเพียงนี้ เกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือได้ง่ายๆ
“เกาทัณฑ์ยาวไล่ปักษา” อู๋ซินพลันเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา
“ร้อยมารท่องราตรี” เซียวเซ่อมุ่นคิ้วเล็กน้อย
“เกาทัณฑ์ยาวไล่ปักษา ร้อยมารท่องราตรี? มันคืออันใด ฟังแล้วเหมือนเป็นคนที่ร้ายกาจผู้หนึ่ง” เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยถามอย่างคับข้องใจ “ข้าเคยฟังเหล่าผู้อาวุโสเล่าเรื่องราวในยุทธภพมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยได้ยินสมญานามนี้มาก่อน”
“เจ้าคงเคยฟังแต่เรื่องราวของยอดยุทธ์วีรบุรุษ แต่ ‘เกาทัณฑ์ยาวไล่ปักษา ร้อยมารท่องราตรี’ ชื่อนี้หาใช่วีรบุรุษในเรื่องเล่าที่เจ้าเคยได้ยินและไม่ใช่ปีศาจเช่นกัน” เซียวเซ่อทอดสายตามอง เห็นอีกฝ่ายง้างเกาทัณฑ์อีกครั้ง
“แล้วคืออันใด” เหลยอู๋เจี๋ยถาม
“เป็นโจรขโมยม้า” เซียวเซ่อกวาดตามองรอบๆ และเห็นเงาตะคุ่มสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้น คล้ายอีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว “บรรพชิต เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดทั้งคนดี คนชั่ว ภิกษุ และโจรขโมยม้าต่างสนใจในตัวเจ้า”
“โจรขโมยม้ามิได้มาปล้นชิงของล้ำค่าหรอกรึ” เหลยอู๋เจี๋ยไม่เข้าใจ
“จอมยุทธ์เหลยอู๋เจี๋ย” เซียวเซ่อแสดงสีหน้าราวกำลังมองดูคนโง่เขลาเบาปัญญา “คนเหล่านี้คือโจรขโมยม้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนบูรพา หากพวกมันคิดจะปล้นชิงอย่างน้อยเหยื่อก็ต้องเป็นพ่อค้ามหาเศรษฐีผู้มีเงินถุงเงินถังและผู้คุ้มกันหลายร้อยคน พวกเรามีกันแค่สามคน สองคนในนั้นยังยากจนข้นแค้น หากไม่มีบรรพชิตผู้ครอบครองวรยุทธ์เร้นลับอยู่ด้วย มันจะมาปล้นพวกเราด้วยเหตุใด”
“ผู้คุ้มกันหลายร้อยคน? พวกเรามิได้ปล้นง่ายเหมือนผู้คุ้มกันหลายร้อยคนหรอกนะ” เหลยอู๋เจี๋ยมิได้มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“ฉะนั้นเมื่อครู่นี้เจ้าพูดผิดแล้ว” อู๋ซินมองเซียวเซ่อพร้อมแย้มยิ้ม “สามสิบสองแคว้นที่นับถือลัทธิพุทธในแดนบูรพา มิใช่ดินแดนที่ข้าอยากไปที่ใดก็ไปได้อย่างแท้จริง”
“ในเมื่อเจ้ายังยิ้มออก เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกโจรนับร้อยนี้ไม่อยู่ในสายตาเจ้า” เซียวเซ่อเอ่ยอย่างเนิบนาบ
โจรขโมยม้าที่อยู่ห่างไปสามร้อยก้าวง้างคันเกาทัณฑ์เสียจนเหมือนจันทราเต็มดวง ก่อนประกาศกร้าว “จันทร์เพ็ญ!”
อู๋ซินทอดถอนใจพลางฟั่นลูกประคำตรงหน้าอกอย่างแผ่วเบา จีวรสีขาวปลิวไสวโดยไร้แรงลม
“ทะลวง!” โจรขโมยม้าผู้นั้นคำรามขึ้นฟ้า ลูกเกาทัณฑ์แหวกฝ่าอากาศมาพร้อมพลังรุนแรงไร้เปรียบปานออกไป แม้ว่าระยะห่างระหว่างพวกมันจะมากถึงสามร้อยก้าว แต่ลูกเกาทัณฑ์นั้นก็โจมตีมาถึงคนทั้งสามแทบทันใด
ขณะเดียวกันเกาทัณฑ์ดอกนั้นก็ราวกับเป็นสัญญาณ เงาดำตะคุ่มที่ซุ่มรออยู่รอบๆ ต่างชักมีดที่ข้างเอวออกมา!
บทที่ 12
วัดต้าฟั่นอิน
ณ วัดต้าฟั่นอิน (พระสัทธรรม) แคว้นอวี๋เถียน
วัดแห่งนี้แม้จะตั้งชื่ออย่างยิ่งใหญ่ ทั้งยังเป็นวัดประจำแคว้นอวี๋เถียน หากกล่าวถึงขนาดก็ใหญ่โตเทียบเคียงกับวัดชื่อดังในใต้หล้าอย่างอวิ๋นหลินกับไป๋หม่าได้ ทว่าเมื่อกล่าวถึงความน่าเกรงขามกลับยังห่างไกลวัดอื่นๆ บัดนี้โอรสสวรรค์เลื่อมใสศรัทธาในลัทธิพุทธ ศาสนิกชนในจงหยวนจึงแห่แหนกันมาที่วัดใหญ่ต่างๆ มิขาดสาย ทว่าลัทธิพุทธในแดนบูรพานั้นเน้นหนักเรื่องบำเพ็ญทุกรกิริยา ห้ามกินอาหารอิ่มเกินไป ห้ามสวมอาภรณ์อุ่น เชื่อว่ามีเพียงการบำเพ็ญทุกรกิริยาจึงจะได้บุญบารมีอันยิ่งใหญ่ วัดต้าฟั่นอินแห่งนี้ยึดคำว่า ‘ทุกร’ เป็นหลัก จึงไม่ได้วิจิตรตระการตาเหมือนอย่างวัดใหญ่ในจงหยวน กลับกันตัววัดเหมือนเพียงฉาบดินไว้ชั้นหนึ่งเท่านั้น ดูผุพังทรุดโทรมเสียจนคล้ายจะพังลงมาได้ทุกเมื่อ
ทว่าหน้าประตูวัดที่ผุพังทรุดโทรมแห่งนี้กลับปรากฏเกี้ยวหลังหนึ่ง ทั้งยังเป็นเกี้ยวที่ทำจากทองคำ บนตัวเกี้ยวสลักลายเทพวิหคทองโต้ลมตัวหนึ่ง มันงดงามชดช้อยประดุจมีชีวิต ราวกับจะขี่เมฆโบยบินขึ้นไปได้ ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่สี่คนแบกเกี้ยวหลังนั้นเอาไว้และมีคนอีกสองคนเดินนำอยู่เบื้องหน้า พวกมันทั้งสองล้วนรูปโฉมงดงาม ร่างกายผอมบาง ข้างเอวห้อยกระบี่อันงามวิจิตรเอาไว้ ผู้ที่อยู่ทางซ้ายนั้นเยาว์วัยกว่าเล็กน้อย มันมองภิกษุสีหน้าเป็นทุกข์ที่อยู่รอบๆ แล้วอดหัวเราะเยาะมิได้ “เคยพบเจอบรรพชิตที่เทียนฉี่มาไม่น้อย ที่นั่นแต่ละคนอยากใช้ไหมทองมาถักเป็นจีวรกันทั้งนั้น แต่บรรพชิตเหล่านี้ดูเหมือนแม้แต่ข้าวก็กินไม่อิ่ม”
“เจ้าจะเข้าใจอันใด” ผู้ที่เดินอยู่ทางขวาซึ่งอายุมากกว่าเล็กน้อยแค่นเสียงกล่าว “บรรพชิตในแดนบูรพาเห็นการบำเพ็ญทุกรกิริยาสำคัญยิ่ง หากเจ้าบังคับให้พวกมันสวมอาภรณ์งดงาม พวกมันคงจะตำหนิเจ้าว่ามาทำลายการบำเพ็ญตบะ”
“เฮ้อ แล้วพวกมันท่องอันใดงึมงำอยู่น่ะ” เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างซ้ายไม่ได้สนใจอีกฝ่ายและยังคงมองภิกษุเหล่านั้นอย่างสงสัยใคร่รู้
“คงจะเป็นนะโมอมิตาภพุทธอันใดทำนองนั้นกระมัง นอกจากนี้แล้วบรรพชิตยังจะสวดอันใดได้อีก” เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างขวาพินิจฟังครู่หนึ่ง ก่อนค้นพบว่าไม่เหมือนกับที่ตนคิด
“เป็นโอม มณี ปัทเม ฮุม” เสียงอ่อนโยนดังออกมาจากในเกี้ยว ทว่าเสียงนั้นแหลมเล็ก ยากจะแยกออกว่าเป็นชายหรือหญิง
“ว่าอันใดนะ อาจารย์โปรดท่องอีกรอบ” เด็กหนุ่มฝั่งซ้ายได้ยินถ้อยคำประหลาดเหล่านี้ก็รู้สึกใคร่รู้สุดระงับ
“ลัทธิพุทธในใต้หล้าแม้สืบทอดมาจากวิถีเดียวกัน แต่แบ่งออกเป็นหลายสำนัก โดยเฉพาะสามสิบสองแคว้นที่นับถือลัทธิพุทธในแดนบูรพาต่างก็มีสำนักธรรมต่างกันไป คำสวดภาวนาหกคำ ‘โอม มณี ปัทเม ฮุม’ ที่เจ้าได้ยินเมื่อครู่นี้เรียกว่า ‘มหามนต์หกพยางค์’ สำนักพุทธบางนิกายคิดว่าหกคำนี้เป็นถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ แสดงถึงความเมตตาอันไร้ขอบเขต เป็นการกล่าวถึงความเมตตาและสติปัญญาในตัวบรรพชิตทั้งหลาย สวดหนึ่งคราเท่ากับท่องพุทธคัมภีร์เป็นร้อยพันหมื่นรอบ ใช้สั่งสมบุญบารมีได้ไม่สิ้นสุด” คนในเกี้ยวดูเหมือนจะศึกษาเกี่ยวกับลัทธิพุทธมาพอสมควร
“ข้าว่าภิกษุเหล่านี้แค่ขี้เกียจ ไม่อยากสวดคัมภีร์บทใหญ่ จึงแต่งเรื่องเช่นนี้ขึ้นมากระมัง” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างเหยียดหยาม
“ลัทธิพุทธนั้นลึกซึ้ง ใช่สิ่งที่เด็กน้อยอย่างเจ้าจะเข้าใจได้โดยง่ายเสียที่ใด ปั๋วยง อย่าได้พูดส่งเดช” แม้ว่าถ้อยคำนั้นจะเคร่งขรึม แต่น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนราวกับไม่มีเจตนาจะตำหนิจริงๆ
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าปั๋วยงเงียบปากอย่างเชื่อฟัง ทว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ฝั่งขวากลับเอ่ยปากขึ้น “อาจารย์ช่างเข้าใจเรื่องลัทธิพุทธลึกซึ้งยิ่งนัก”
“ไม่หรอก หากเข้าใจข้าคงไม่ถูกขันทีใหญ่ส่งมาที่ทุรกันดารเช่นนี้ หลิงจวิน ข่าวที่เพิ่งส่งมาเมื่อครู่บอกว่ามันถึงที่ใดแล้ว” คนในเกี้ยวเอ่ยถาม
“จากรายงานของสายสืบ มันหนีออกมาจากหอเหม่ยเหรินเมื่อวาน ระหว่างทางพบโจรขโมยม้าที่โหดเหี้ยมที่สุดในแดนบูรพา แต่ก็ยังไม่มีใครจับมันได้ ตอนนี้มันกำลังเร่งเดินทางมายังแคว้นอวี๋เถียน” เด็กหนุ่มทางขวามือตอบ
“ไม่ผิดจากที่คาดจริงๆ…” คนในเกี้ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หลิงจวินลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก “แต่ว่า…”
“แต่ว่า?” คนในเกี้ยวนิ่งอึ้งไป “กล่าวต่อไป”
“มันไม่ได้มาคนเดียว” หลิงจวินกล่าว
“โอ้?” คนในเกี้ยวน้ำเสียงเจือความยินดีหลายส่วน “ถังเหลียนก็มาด้วยหรือ คงมิได้ถูกเกลี้ยกล่อมจนยอมหรอกกระมัง”
“มิใช่ถังเหลียน เป็นบุรุษสองคน คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีแดง อีกคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก ยามนี้ยังไม่ทราบตัวตนของทั้งคู่” หลิงจวินกล่าวตอบตามจริง
คนในเกี้ยวไตร่ตรองครู่หนึ่ง “ดูถูกบรรพชิตผู้นี้ไม่ได้จริงๆ ตอนได้ข่าวว่ามันถูกส่งตัวไปยังวัดจิ่วหลง เหล่าขันทีใหญ่ก็ส่งพวกเราออกเดินทางทันที แต่เหล่าขันทีใหญ่ไม่เคยพบบรรพชิตผู้นี้จึงไม่ทราบความเก่งกาจของมัน แม้ว่าเมืองเสวี่ยเยวี่ยจะเก่งกาจ แต่หากเจ้าเมืองสามไม่ได้ลงมือเองก็ยากจะกำราบมันได้ ดังนั้นข้าจึงมารอมันที่นี่ แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะหาผู้ช่วยได้ระหว่างทาง…อาภรณ์แดง เสื้อคลุมขนจิ้งจอก ข้านึกไม่ออกว่าเป็นใคร คงมิใช่ศิษย์คนใหม่ของเมืองเสวี่ยเยวี่ยหรอกกระมัง”
“กล่าวถึงเมืองเสวี่ยเยวี่ย เหล่าขันทีใหญ่ก็แจ้งให้พวกมันทราบแล้วแท้ๆ เหตุใดยังต้องส่งพวกเรามาอีก” ปั๋วยงเอ่ยถาม
“คนของเมืองเสวี่ยเยวี่ยอย่างไรก็ยังเป็นชาวยุทธ์ ชาวยุทธ์กระทำการใดมักยึดมั่นในปณิธาน เหล่าขันทีใหญ่จึงไม่วางใจ” คนในเกี้ยวทอดถอนใจ “แต่ว่าบรรพชิตผู้นี้รับมือยากยิ่งจริงแท้ อีกทั้งนิสัยยังวิปลาสยิ่งนัก”
“อาจารย์ทราบได้อย่างไรว่ามันจะมายังวัดต้าฟั่นอินแห่งนี้” หลิงจวินพลันนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นได้ เมื่อตอนเริ่มออกเดินทาง อาจารย์ก็กล่าวทันทีว่าจะไปวัดต้าฟั่นอินแคว้นอวี๋เถียน ราวกับล่วงรู้ทุกสิ่งอยู่ก่อนแล้ว
“มันจะมาหาคนที่นี่” คนในเกี้ยวกล่าว
“ผู้ใด”
“จะได้พบอยู่แล้วมิใช่หรือ” คนในเกี้ยวกระแอมเล็กน้อย “ไปต่อ”
ภิกษุผู้สวมจีวรเก่าขาดรูปหนึ่งเดินออกมาจากวัด มันตั้งฝ่ามือข้างหนึ่งและค้อมกายให้อย่างพินอบพิเทา คาดว่าคงเป็นภิกษุรับแขกของวัดแห่งนี้
ภิกษุรับแขกนำพวกมันเข้าไปข้างในวัดโดยไม่ถามอันใด และหยุดฝีเท้าเมื่อเดินไปถึงกลางลาน
“ท่านบรรพชิต ไยจึงไม่เดินต่อเล่า” ปั๋วยงเอ่ยถาม
“ท่านเจ้าอาวาส” ภิกษุรับแขกไม่สนใจมัน เพียงพนมมือทำความเคารพไปทางเบื้องหน้าอย่างนอบน้อม
ปั๋วยงกับหลิงจวินเงยหน้าขึ้นมอง เห็นภิกษุสามรูปยืนอยู่หน้าวิหาร คนที่อยู่ตรงกลางหนวดเคราและเส้นผมล้วนขาวโพลน ใบหน้าแก่ชรา แม้จีวรที่นุ่งห่มตลอดทั้งร่างจะเก่าซอมซ่อ แต่อย่างน้อยก็ไม่มีรอยปะ คาดว่าคงเป็นเจ้าอาวาสที่ภิกษุรับแขกเอ่ยถึง ทว่าภิกษุสองรูปที่ยืนขนาบข้างกลับดูแข็งแรงบึกบึนผิดสามัญ คนหนึ่งคล้องประคำหนึ่งร้อยแปดลูกเอาไว้ คนหนึ่งถือดาบบรรพชิต* เล่มใหญ่อยู่ในมือ ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ท่าทางเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
“เป็นเช่นไร” คนในเกี้ยวถามเสียงเบา
“บรรพชิตด้านซ้ายฝึกอิทธิฤทธิ์ประคำสยบมาร สำเร็จอยู่เจ็ดส่วน บรรพชิตด้านขวาฝึกดาบทลายศีล สำเร็จอยู่แปดส่วน ส่วนบรรพชิตตรงกลาง…ดูเหมือนจะไม่เป็นวรยุทธ์” ปั๋วยงแม้ว่าจะอายุน้อย แต่มองปราดเดียวก็ทราบถึงวรยุทธ์ของคนทั้งสามตรงหน้า
“ท่านสมณเจ้าฝ่าหลัน นับแต่จากกันที่เมืองเทียนฉี่ก็ไม่ได้เจอกันสิบกว่าปีแล้ว” คนในเกี้ยวเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคารพ
สมณเจ้าฝ่าหลันผู้นั้นเพียงพนมมือแสดงความเคารพเท่านั้น ไม่ได้ตอบอันใด
“บังอาจ!” หลิงจวินตำหนิอย่างเดือดดาล
“มิเป็นไร” คนในเกี้ยวเอ่ยปากห้ามไว้ “ท่านสมณเจ้าฝ่าหลันมิใช่ไม่เคารพ เพียงแต่ท่านพูดไม่ได้เท่านั้น”
“ปะ…เป็นใบ้หรือ” ปั๋วยงกับหลิงจวินประหลาดใจ “ไม่นึกเลยว่า…เจ้าอาวาสผู้นี้จะเป็นใบ้”
อู่เซิงทั้งสองได้ยินดังนั้นก็เผยสีหน้าโกรธเกรี้ยว แต่สมณเจ้าฝ่าหลันเพียงระบายยิ้มอ่อนบางคล้ายไม่ถือสาอันใด
“ท่านสมณเจ้า ข้ามาที่แห่งนี้เพื่อหาคนผู้หนึ่ง” คนในเกี้ยวกล่าวด้วยน้ำเสียงถ่อมตน ทว่าไม่มีท่าทีจะเดินลงจากเกี้ยวแต่อย่างใด
สมณเจ้าฝ่าหลันได้ยินดังนั้นก็ส่ายศีรษะ
“ท่านสมณเจ้า ข้ามีของฝากติดมือมาจากประมุขแคว้นอวี๋เถียนของพวกท่านด้วย” คนในเกี้ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สมณเจ้าฝ่าหลันยังคงส่ายศีรษะ
“ท่านสมณเจ้า ท่านซ่อนคนผู้นั้นไว้ถึงสิบสองปี แต่ครั้งนี้ท่านคงซ่อนไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” คนในเกี้ยวยังคงมีน้ำเสียงอ่อนโยน
ครานี้สมณเจ้าฝ่าหลันนอกจากส่ายศีรษะแล้วก็ยังขยับนิ้วเล็กน้อย บนพื้นพลันปรากฏอักษรหนึ่งแถวอย่างแช่มช้า
“พลังจิตรวมศูนย์ฟ้าดิน!” ปั๋วยงมองออกทันที นี่เป็นวิชาขั้นสุดยอดของลัทธิพุทธ!
คนในเกี้ยวกลับไม่แปลกใจแม้แต่น้อยและไม่ได้แหวกผ้าม่านออก มันเพียงเอ่ยเสียงเนิบ “ท่านสมณเจ้าเขียนอักษรบนพื้นอีกแล้วหรือ ครั้งนี้ข้าไม่มีแก่ใจจะอ่านหรอกนะ” มันโบกมือแผ่วเบา ผ้าม่านปลิวขึ้นเล็กน้อยก่อนกลับลงมาดังเดิม ปั๋วยงเพ่งสายตามองอีกครั้ง อักขระบนพื้นของสมณเจ้าฝ่าหลันยังไม่ทันปรากฏชัดทั้งหมดก็ถูกลบหายไปในพริบตา
“ข้าบอกแล้วว่าครั้งนี้ท่านซ่อนไม่ได้อีกต่อไป” คนในเกี้ยวย้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิมหลายส่วน
สมณเจ้าฝ่าหลันทอดถอนใจแผ่วเบาและยังคงส่ายหน้า
คนที่อยู่ในเกี้ยวกล่าวอย่างจนปัญญา “สิบสองปีก่อนประมุขพรรคมารเยี่ยติ่งจือเคยมาหาท่านสมณเจ้าหมัวเคออาจารย์ของท่านเพื่อถามเรื่องกฎแห่งสวรรค์ ทว่าท่านสมณเจ้าหมัวเคอปล่อยให้เยี่ยติ่งจือข่มขู่ตามใจ แม้ยืนอยู่ท่ามกลางปราณกระบี่โหมกระหน่ำราวคลื่นน้ำก็ทำเพียงส่ายศีรษะเท่านั้น ขอไม่กล่าวถึงพระธรรม แต่ท่านส่ายศีรษะเช่นนี้ช่างเหมือนหมัวเคอยิ่งนัก…หลิงจวิน ปั๋วยง!”
เด็กหนุ่มทั้งสองรับคำและชักกระบี่ออกจากฝัก อู่เซิงที่ยืนขนาบข้างสมณเจ้าฝ่าหลันทั้งสองรูปก็ก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว คนหนึ่งฟั่นประคำบนคอ อีกคนควงดาบบรรพชิต นัยน์ตาพวกมันถมึงทึงเตรียมลงมือทุกเมื่อ
“ข้าจะลองประมือกับพวกเจ้าก่อน!” ปั๋วยงประกาศกร้าวแล้วแทงกระบี่ใส่อู่เซิงที่ถือดาบบรรพชิตอยู่ อู่เซิงผู้นั้นเงื้อดาบบรรพชิตฟาดฟันเข้าใส่โดยไม่ลังเลเช่นเดียวกัน
วิชาดาบทลายศีลนี้ คำว่า ‘ทลายศีล’ ของมันหมายถึงการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตครั้งใหญ่หลวง ว่ากันว่าวิชาดาบชุดนี้ต่างจากวรยุทธ์ทั่วไปของลัทธิพุทธยิ่งนัก จะเน้นจู่โจมเพียงอย่างเดียว ทั้งโหดเหี้ยมและทรงพลัง อู่เซิงผู้นั้นดำดิ่งฝึกวิชาดาบทลายศีลมาหลายปีจนสำเร็จอยู่แปดส่วน เป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งของวัดต้าฟั่นอินแห่งนี้ ทว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าอายุเพียงสิบสามสิบสี่เท่านั้น แต่กลับไม่ขลาดถอยเมื่อเผชิญอานุภาพของวิชาดาบทลายศีล ดาบทลายศีลนี้จู่โจมไม่ตั้งรับ ขณะที่มันก็จู่โจมไม่ตั้งรับเช่นกัน
แต่เมื่อเทียบอานุภาพกันแล้ว เห็นได้ชัดว่ากระบี่ของปั๋วยงปราดเปรียวยิ่งกว่า มันทะยานเหยียบตัวดาบบรรพชิตก่อนกระโดดพลิกตัวไปอยู่ข้างหลังอู่เซิง แล้วกวัดแกว่งกระบี่ไปเบื้องหลังโดยไม่ต้องมองดูแม้แต่น้อย จนอู่เซิงผู้นั้นถูกจู่โจมถอยไปหลายก้าว
“เจ้า!” อู่เซิงผู้นั้นถลึงตาอย่างโกรธเกรี้ยว มันเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กหนุ่ม ทั้งยังมาตามคำสั่ง จึงออมมือไว้ แต่กระบวนท่ากระบี่เมื่อครู่กลับโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่ง หากว่าตนไม่ทันระวัง เกรงว่าคงรักษาชีวิตไว้ไม่อยู่แล้ว
“บรรพชิต เห็นแล้วหรือไม่ กระบี่ที่ข้าใช้ชื่อว่ากระบี่ฉือเปย (กรุณา) ความกรุณายังสังหารคน แต่ดาบทลายศีลของเจ้ากลับออมแรงเอาไว้หรือ” ปั๋วยงควงกระบี่พลางยิ้มเยาะ
อู่เซิงผู้นั้นโกรธเกรี้ยว มันควงดาบอีกครั้ง อานุภาพครั้งนี้รุนแรงยิ่งกว่าคราวก่อน หลิงจวินยืนมองการต่อสู้อยู่ข้างๆ ยังรู้สึกว่าปราณดาบนี้พลุ่งพล่านยิ่งนัก หากเข้าใกล้เพียงไม่กี่ก้าวก็อาจถูกปราณดาบบาดทำร้ายได้ แต่ปั๋วยงที่เป็นผู้เผชิญหน้า ยิ่งปราณดาบเหี้ยมเกรียมขึ้นเท่าไร มันกลับยิ่งสนุกสนานมากขึ้นเท่านั้น มันหลบหลีกปราณดาบพลางร้องตะโกน “ดาบทลายศีล สะบั้นธุลีแดง! ควรเป็นเช่นนี้สิ!”
สถานการณ์ยามนี้ดูคล้ายอู่เซิงผู้นั้นใช้วิชาดาบทลายศีลบุกโจมตีอย่างดุดันจนปั๋วยงทำได้เพียงหลบหลีก ทว่าในใจของอู่เซิงกลับโอดครวญไม่หยุด วิชาดาบทลายศีลของมันแม้จะอานุภาพยิ่งใหญ่ แต่ก็สิ้นเปลืองกำลังยิ่งนัก หากไม่อาจเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในสามสิบกระบวนท่ากำลังก็จะถดถอย หากยังต่อสู้ต่อไปหนึ่งร้อยกระบวนท่าโดยไม่รู้ผล สุดท้ายมันก็คงจะหมดแรงตายแน่แท้ ขณะที่ปั๋วยงผู้นี้ท่าทางประเปรียว ราวกับตั้งใจไว้แล้วว่าจะหลบหลีกทั้งร้อยกระบวนท่าให้ได้
“ศิษย์พี่!” อู่เซิงผู้ห้อยประคำมองเรื่องนี้ออก จึงหมายจะเข้าช่วยเหลือ
“ภิกษุก็ชอบหมาหมู่เหมือนกันหรือ” หลิงจวินคลี่ยิ้มอย่างเหยียดหยามและยกกระบี่ขึ้นมาขวางมันไว้
“หลีกไป!” อู่เซิงผู้ห้อยประคำตวาดกร้าว
“ได้เลย ข้าหลีกทางให้” หลิงจวินกระตุกยิ้ม มันกระโดดขึ้นอย่างแผ่วเบาและทิ้งตัวลงเบื้องหลังของอู่เซิงผู้ห้อยประคำ กระบี่ในมือพาดลงบนไหล่อีกฝ่าย “ข้าหลีกทางให้แล้ว”
อู่เซิงผู้ถือประคำตวาดลั่นแล้วสะบัดไหล่ปัดกระบี่ออก สร้อยประคำบนคอถูกถอดออกมาฟาดใส่หลิงจวิน ว่ากันว่าผู้ที่ฝึกอิทธิฤทธิ์ประคำสยบมารจะมีสร้อยประคำร้อยแปดลูก แต่ละลูกมีพลังปราบมังกรสยบพยัคฆ์อยู่ หลิงจวินไม่กล้ารับตรงๆ จึงรีบถอยหลัง ประคำเส้นนั้นโจมตีพื้นศิลาจนแตกละเอียด
“บรรพชิต ครั้งหน้าต้องตีให้โดนนะ หาไม่แล้วสุดท้ายนอกจากจะช่วยคนไม่ได้ จะยังถล่มวัดของตนเองอีก” หลิงจวินเอ่ยด้วยรอยยิ้มโดยไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
อู่เซิงผู้ใช้ประคำไม่เอ่ยตอบ สร้อยประคำในมือของมันหมุนวนอย่างรวดเร็ว ขณะที่ปากพึมพำบางอย่าง อู่เซิงที่ถือดาบเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงและรีบใช้ปราณดาบผลักปั๋วยงถอยไป ก่อนพุ่งกลับไปหาอู่เซิงที่ใช้ประคำ
“หมอบ!” อู่เซิงที่ใช้ประคำคำรามอย่างเดือดดาล สร้อยประคำในมือพลันระเบิดออกมาในพริบตา เสียงดังสนั่นปานอัสนีคำราม ประคำหนึ่งร้อยแปดลูกนั้นพุ่งออกไปตามคำสั่ง โจมตีผู้บุกรุกด้วยอานุภาพอันไร้เปรียบปาน
“นี่น่ะหรืออิทธิฤทธิ์ประคำสยบมาร เหมือนหมื่นพฤกษ์เหินบุปผาของสำนักถังยิ่งนัก” ปั๋วยงรำพึงรำพัน
“ตั้งค่ายกล!” หลิงจวินถอยไปยังข้างกายปั๋วยงและคำรามเสียงดังลั่น
ปั๋วยงตอบรับแล้วโยนกระบี่ในมือออกไป ก่อนพุ่งไปหาหลิงจวินแล้วปล่อยพลังฝ่ามือใส่แผ่นหลังของอีกฝ่าย หลิงจวินรับกระบี่ของปั๋วยงมาแล้วกวัดแกว่งกระบี่ทั้งสองเล่มในมืออย่างบ้าคลั่ง ปราณกระบี่แผ่เป็นวงกลม ต้านรับประคำเหล่านั้นไว้อย่างแข็งกร้าว
“นึกไม่ถึงว่าอิทธิฤทธิ์ประคำสยบมารที่อาตมาศึกษามายี่สิบปีกลับสู้เด็กน้อยสองคนไม่ได้” ภิกษุผู้ใช้ประคำฝืนยิ้มออกมา การโจมตีนี้มันใช้เวลาฝึกฝนเคี่ยวกรำกว่ายี่สิบปี ทว่าเมื่อการโจมตีนี้จบลง มันก็ไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้อีก
ทว่าหลิงจวินกับปั๋วยงก็ไม่ได้สบายนัก แม้พวกมันจะผ่านการโจมตีนี้มาได้ แต่ก็รู้สึกเหมือนถูกพลังอันมหาศาลโหมกระหน่ำใส่หน้าอก เลือดร้อนพลุ่งพล่าน หากพวกมันไม่ได้ใช้กระบี่ของตนเองค้ำยันร่างไว้ก็แทบจะยืนไม่อยู่
“…หนวกหูเสียจริง…ไยวันนี้มีคนมาวัดต้าฟั่นอิน…เยอะถึงเพียงนี้” ทันใดนั้นพลันมีเสียงฟังดูเมามายดังแว่วมา ปั๋วยงกับหลิงจวินรีบหันไปมอง และเห็นเงาร่างหนึ่งมาจากข้างลานกว้าง เดินโงนเงนตรงมายังเบื้องหน้าพวกมัน
“พลังฝีมือเช่นนี้…” ปั๋วยงหัวใจเย็นวูบ ทว่าไม่ได้พูดประโยคหลังออกมา แทบจะเทียบเคียงกับอาจารย์ได้แล้ว
บทที่ 13
บรรพชิตเมามายดาบทลายศีล
พวกมันสองคนพินิจดูอีกครา เห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงภิกษุเครายาวรูปหนึ่ง จีวรที่สวมเก่าปุปะหาใดเปรียบ ภิกษุผู้นั้นเดินซวนเซและล้มลงเบื้องหน้าอู่เซิงทั้งสอง ปากยังบ่นพึมพำ “คนเหล่านี้เป็นใคร…เหตุใดยังไม่รีบไล่พวกมันออกไปอีก”
“ศิษย์น้อง คนผู้นี้มีภูมิหลังอย่างไร” หลิงจวินมุ่นคิ้วถาม
“อาจเป็นผู้ใช้หมัดนิทราอรหันต์” ปั๋วยงลังเลเล็กน้อย “วรยุทธ์ในลัทธิพุทธที่ผู้ใช้มีท่าทางเช่นนั้น ดูเหมือนจะมีแค่วิชานี้”
คนในเกี้ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หาใช่ผู้ใช้หมัดนิทราอรหันต์ไม่…มันเมาจริงๆ”
“เมา…จริงๆ?” ปั๋วยงอึ้งงันไปเล็กน้อย
ภิกษุผู้นั้นเรอขึ้น จนแม้แต่อู่เซิงทั้งสองก็ยังเผยสีหน้ารังเกียจออกมาหลายส่วน
“ศิษย์พี่ คนเหล่านี้…เป็นใครกัน” ภิกษุเมาสุราพยายามยันตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยืนขึ้นไม่สำเร็จ
สมณเจ้าฝ่าหลันยังคงส่ายศีรษะเช่นเดิม ไม่รู้ว่ากำลังตอบคำถามหรือแสดงถึงความเหนื่อยใจต่อศิษย์น้องผู้เมามายนี้
“แค่บรรพชิตขี้เมาจะมีฝีมือสักเพียงใดกัน ทำเป็นลิงหลอกเจ้ามากกว่า ให้ข้าลองประมือดูหน่อย” ในที่สุดหลิงจวินก็อดรนทนไม่ไหว มันยกกระบี่ขึ้นหมายจะเข้าไป
ภิกษุรูปนั้นฝืนลุกขึ้นมาอย่างโซซัดโซเซจนได้ มันคว้าเอาดาบบรรพชิตในมืออู่เซิงที่อยู่ข้างๆ มาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าน่ะ ไม่กินเนื้อไม่ดื่มสุราไม่มักมากในกามโลกีย์ ความเข้าใจที่มีต่อวิชาดาบทลายศีลคงจะน้อยไปหน่อย ดูให้ดี!” พูดจบมันก็กวัดแกว่งดาบบรรพชิตไปมา ดูคล้ายฟาดฟันส่งเดชยิ่งนัก
แต่ก็แค่คล้าย…
กระบวนท่านี้ของมันดึงดูดสายลมทั่วทิศเข้ามา
ราวกับเวลาหยุดชะงักลง สายลมไม่พัดอีก วิหคไม่ขับขาน แม้แต่ใบไม้ที่ปลิดปลิวลงมาอย่างเงียบเชียบก็พลันลอยคว้าง ดาบที่กวัดแกว่งนั้นได้แย่งชิงเอาพลังชีวิตทั้งปวงรอบข้างไปจนหมด
หลิงจวินกับปั๋วยงพลันรู้สึกว่าทั่วทุกสารทิศ เหนือท้องฟ้าใต้ผืนพิภพ ทุกหนแห่งล้วนมีดาบดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเหาะเหินเดินอากาศหรือมุดลงใต้ดินก็หนีไม่ได้ ต่อให้มีปีกก็หลบไม่พ้น ทำอันใดไม่ได้แล้ว มีเพียงหลับตารอความตายเท่านั้น
ขณะที่ภิกษุเมาสุราผู้ราวกับแผ่นหลังยืดตรงได้ในทันที รอบข้างมันไร้ซึ่งพลังชีวิต มีเพียงรอบกายมันที่มีสายลมพัดวนอยู่ ทำให้จีวรยาวของมันปลิวไสว มันแย้มยิ้มเล็กน้อยดุจดั่งพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า
“นี่มัน…ยังเป็นมนุษย์หรือไม่” ปั๋วยงปล่อยกระบี่ในมือลง ทำได้เพียงครุ่นคิดอย่างเลื่อนลอยในห้วงสมอง
แต่พลังดาบอันไร้เทียมทานนั้นพลันเลือนหายไปในชั่วพริบตา หลิงจวินกับปั๋วยงที่เตรียมใจรับวาระสุดท้ายแล้วพลันหันกลับมา และพบว่าผ้าม่านหน้าเกี้ยวนั้นถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อาจารย์ของพวกมันลดมือลงเบาๆ ก่อนทอดถอนใจยาว
บัดนี้คนที่ตกตะลึงที่สุดกลับเป็นอู่เซิงผู้ใช้ดาบบรรพชิต ภิกษุเมาสุราผู้นี้เป็นคนที่มันดูถูกเหยียดหยามมากที่สุดมาตลอด ภิกษุผู้นี้ทุกวันไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ฝึกฝนวรยุทธ์ แต่กลับเมาหัวราน้ำเช้าจรดเย็น หากมิใช่เพราะสมณเจ้าฝ่าหลันเข้าข้าง ศิษย์น้องผู้นี้ก็คงถูกขับไล่ออกจากวัดไปตั้งนานแล้ว แต่เขตแดนที่ภิกษุเมาสุราผู้นี้เพียงกวัดแกว่งดาบบรรพชิตส่งเดชก็สร้างขึ้นมาได้ เห็นได้ชัดว่าตนฝึกปรืออีกหลายสิบปีก็คงไปไม่ถึง
สมณเจ้าฝ่าหลันไม่ประหลาดใจ มันเพียงส่ายศีรษะ
“ศิษย์พี่ เลิกส่ายหน้าได้แล้ว อันใดจะเกิดก็ต้องเกิด หากว่าหนีไม่พ้น ฆ่าทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง” ภิกษุเมาสุราผู้นั้นหลังจากแกว่งดาบเสร็จก็ดูเหมือนว่าฤทธิ์สุราจะจางหายไป ไม่มีท่าทีโซซัดโซเซอีกแล้ว
หลิงจวินกับปั๋วยงหันกลับไปมองอาจารย์ เห็นได้ชัดว่าภิกษุรูปนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน
คนในเกี้ยวแย้มยิ้ม “ถอยมาเถิด เดิมทีพวกเรามาที่นี่เพื่อหาคน บัดนี้มันมาเองแล้วก็ไม่จำเป็นต้องสู้ต่อ”
ภิกษุเมาสุราผู้นั้นพาดดาบบรรพชิตไว้บนบ่า เมื่อมองดูคนในเกี้ยวก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย “ที่แท้ก็พวกชายไม่ใช่หญิงไม่เชิงเช่นเจ้านี่เอง”
คนในเกี้ยวแม้จะถูกเรียกเช่นนี้แต่กลับไม่มีท่าทีโกรธเคือง ยังคงแย้มยิ้มเช่นเคย “ท่านสมณเจ้าฝ่าเยี่ย พวกเราไม่ได้เจอกันสิบสองปีแล้วกระมัง”
“บรรพชิต เจ้าจะไปที่แห่งหนึ่ง ไม่มีเงินไม่เป็นไร ข้าเซียวเซ่อให้หยิบยืมได้ ขอเพียงคืนเป็นเท่าตัวหลังจบเรื่องก็พอ แน่นอนว่าหากเจ้าไม่มีเงินจริงๆ ข้าจะยอมกล้ำกลืนสักหน่อย ให้เจ้าเอาคัมภีร์ลับมาชดใช้แทนได้ แต่หากเจ้าไม่รู้กระทั่งทางที่จะไป พวกข้าก็จนปัญญาแล้ว เพราะหากพวกข้าสองคนแตกฉานเรื่องถนนหนทางก็คงไม่ได้มาพบเจอเจ้า” เซียวเซ่อหย่อนก้นลงบนหินก้อนใหญ่หน้าโรงสุราข้างทางแห่งหนึ่ง ท่าทางไม่คิดจะเดินต่อไป
“เรื่องวิวาทข้ายังพอได้ แต่เรื่องหนทางข้าไม่รู้จริงๆ” เหลยอู๋เจี๋ยก็เกาหัวอย่างจนใจเช่นกัน หากมันรู้เรื่องการเดินทางอย่างดี คงไม่ฝ่าพายุหิมะไปยังโรงเตี๊ยมของเซียวเซ่อ และคงไม่เดินผิดทางติดต่อกันสองครั้งจนไปไม่ถึงเมืองเสวี่ยเยวี่ย
“ไม่เป็นไร ข้าถามทางดูก็ได้” อู๋ซินมิได้กังวลแม้แต่น้อย มันรอชาวบ้านเดินผ่านมาและเอ่ยถาม “โยม อาตมาขอเรียนถาม…”
ทว่าชาวบ้านผู้นั้นกลับตะลีตะลานโบกมือส่ายหน้าแล้ววิ่งหนีไป
“แดนบูรพามีแคว้นที่นับถือลัทธิพุทธอยู่สามสิบสองแคว้น ภาษาก็ใช้ต่างกันไป มีถึงประมาณเจ็ดแปดภาษา แต่ภาษาทางการของจงหยวน คนที่พูดได้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย” เซียวเซ่อแสดงสีหน้าดูแคลน
“นี่…แล้วจะทำเช่นไร” อู๋ซินเกาหัวแกรก แต่ทันใดนั้นมันก็เหลือบไปเห็นภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในโรงสุรา ในใจพลันสว่างวูบ มันชี้นิ้วไป “หากจะไปวัดต้าฟั่นอิน แค่ตามภิกษุรูปนี้ไปก็พอแล้วมิใช่หรือ”
“แคว้นอวี๋เถียนนับถือลัทธิพุทธอย่างกว้างขวาง แทบจะมีวัดอยู่ทุกๆ ร้อยก้าว คิดว่าแค่ตามภิกษุรูปนี้ไปก็จะเจอวัดต้าฟั่นอินของเจ้าหรือ” แม้เซียวเซ่อจะพร่ำบ่น แต่ก็ยังลุกขึ้นมา ชาวบ้านสามัญชนพูดภาษาทางการไม่ได้ แต่ในวัดใหญ่ๆ ย่อมต้องมีภิกษุสักรูปสองรูปที่พูดภาษาทางการได้ ให้พวกมันช่วยชี้ทางไปวัดต้าฟั่นอินก็นับว่าเป็นวิธีที่ไม่เลว
แต่ภิกษุรูปนี้…ไยจึงปรากฏกายอยู่ในโรงสุรา ไม่ใช่แค่แคว้นนับถือพุทธในแดนบูรพาที่บำเพ็ญทุกรกิริยากันอย่างแพร่หลาย แต่ต่อให้เป็นที่ต่างๆ ในจงหยวน ภิกษุก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ฉันเนื้อดื่มสุราเช่นกัน อาจจะมีบ้างที่กล่าวว่า ‘เนื้อสะอาดสามอย่าง* ฉันได้’ แต่สุรานี่…
ภิกษุรูปนั้นยกไหสุรากระดกดื่มอึกใหญ่อย่างคล่องไม้คล่องมือ เซียวเซ่อกับเหลยอู๋เจี๋ยมองอย่างตกตะลึง นี่ไม่ใช่แค่ภิกษุที่ดื่มสุรา แต่ยังเป็น…พวกคอสุราไร้ขีดจำกัด!
“ที่คฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่วของข้า สุราไหนี้มีราคาถึงสามตำลึงเชียวนะ” เซียวเซ่อจุปากพลางส่ายศีรษะ มันหันหน้าไปมองอู๋ซิน แต่กลับเห็นอู๋ซินมุ่นคิ้วเล็กน้อย สายตาที่ใช้มองภิกษุรูปนั้นก็แปลกพิกลจนไม่เหมือนตัวมันเอง
“มีอันใดหรือ” เซียวเซ่อเอ่ยถาม
อู๋ซินมิได้เอ่ยคำ ทว่าย่างเท้าเข้าไปหาภิกษุรูปนั้นแล้วยื่นมือไปหมายจะจับไหล่ แต่ภิกษุรูปนั้นดูเหมือนจะไหวตัวทัน มันคว้าไหสุราพุ่งตัวออกไปข้างนอก ก่อนกระโดดไปบนหลังคาอย่างโซซัดโซเซราวกับจะร่วงลงมาทุกเมื่อ
“ยอดฝีมือ!” เหลยอู๋เจี๋ยอุทานอย่างตกใจ มันคิดในใจว่าการท่องยุทธภพครานี้หาได้เสียเปล่าไม่ มันรู้สึกว่ายอดฝีมือในยุทธภพนี้ราวกับไม่เอาเงินกัน** ขนาดสุ่มเลือกภิกษุที่ดื่มสุรามาสักคนก็มีพลังฝีมือเช่นนี้
อู๋ซินทะยานร่างตามขึ้นไป ภิกษุรูปนั้นถือไหสุราวิ่งไปบนหลังคาอย่างโงนเงนไม่น่าดู ราวกับจะเสียหลักร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ ทว่ามันปราดเปรียวยิ่ง อู๋ซินที่แทบจะเหาะเหินกลางอากาศไล่อย่างไรก็ไล่ตามไม่ทัน
“ไปกันไหม” เซียวเซ่อพลันถามเหลยอู๋เจี๋ยที่ยืนเหม่ออยู่ข้างกาย
เหลยอู๋เจี๋ยครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนผงกศีรษะ “ไป!” พูดจบมันก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคาแล้วไล่ตามสองคนนั้นไป
เซียวเซ่อไล่ตามมันไปพลางก่นด่าด้วยความโมโห “เจ้าโง่! ข้าไม่ได้ถามว่าเจ้าจะไล่ตามพวกมันไปหรือไม่! ข้าถามว่าจะหนีกันหรือไม่ต่างหาก!”
ทว่าเหลยอู๋เจี๋ยวิ่งจนติดลมเสียแล้ว ก่อนหน้านี้มันบาดเจ็บหนักจึงถูกอู๋ซินลากมาโดยง่าย แต่ยามนี้มันหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะประลองฝีเท้ากับอู๋ซิน หากเป็นเมื่อก่อนวิชาตัวเบาของมันคงไม่อาจตามทันอย่างแน่นอน แต่หลังถูกอู๋ซินใช้วิชาไหลเวียนใส่ที่ริมแม่น้ำ เหลยอู๋เจี๋ยก็รู้สึกว่าพลังปราณและลมหายใจของมันเบาหวิวยิ่งกว่าแต่ก่อนนัก เพียงกระโจนไม่กี่ครั้งก็ไล่ตามอู๋ซินไปได้ติดๆ
เซียวเซ่อติดตามมาอย่างรวดเร็วและยังคงก่นด่าไม่หยุด “เจ้านี่นะ โอกาสหนีดีๆ เช่นนี้ยังทิ้งไป หรือเจ้าคิดจะจับตัวบรรพชิตผู้นั้นกลับมาจริงๆ เจ้าสู้มันไหวหรือไร”
“ก็ยังมีเจ้ามิใช่หรือ” เหลยอู๋เจี๋ยเกาหัว
“ถุย!” เซียวเซ่อเอ่ยอย่างเดือดดาล “บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าไม่เป็นวรยุทธ์!”
“แต่วิชาตัวเบาของเจ้าเลิศล้ำยิ่งกว่าข้าเสียอีก” เหลยอู๋เจี๋ยแสดงสีหน้าว่าไม่เชื่อ
“ถึงไม่เป็นวรยุทธ์ แต่ก็ควรเรียนรู้วิชาตัวเบาไว้สักหน่อยมิใช่หรือ หาไม่แล้วจะเอาตัวรอดอย่างไร” เซียวเซ่อกล้าพูดเต็มปาก
“แต่วันนั้นที่โรงเตี๊ยม…เจ้าแค่โบกมือก็ปิดประตูหน้าต่างหลายบานนั้นได้จนหมด” เหลยอู๋เจี๋ยนึกย้อนถึงภาพเหตุการณ์ที่โรงเตี๊ยม ยามนั้นเซียวเซ่อแค่โบกมือเล็กน้อย ทว่าอานุภาพเหนือล้ำ ทำเอามันตกตะลึงตาค้างไปจริงๆ
“นั่นเป็นกลไกที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เอาไว้หลอกคนให้ตกใจ” เซียวเซ่อกล่าวอย่างสบายอารมณ์
“นี่…” เหลยอู๋เจี๋ยอับอายจนเหงื่อตก บางทีในยุทธภพอาจมิได้บังเอิญมียอดฝีมือเยอะ แต่มีนักต้มตุ๋นเยอะต่างหาก
ภิกษุรูปนั้นกระโดดลงจากหลังคาและวิ่งต่อไปอีกพักหนึ่ง กระทั่งเห็นชัดว่าเบื้องหน้าเป็นหน้าผาทางขาด มันก็โยนไหสุราในมือไปข้างหลังแล้วกระโดดลงหน้าผา ร่างในชุดจีวรปุปะร่อนทะยานลงพื้นแล้ววิ่งหายเข้าไปในวัดแห่งหนึ่งเบื้องล่าง อู๋ซินคว้าไหสุราที่ลอยมาแล้วหยุดเท้า ก่อนวางลงอย่างเบามือ มันก้มลงมองเบื้องล่างหน้าผา ดวงตาคู่นั้นคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“ไยไม่ไล่ตามต่อเล่า” เมื่อเซียวเซ่อไล่ตามมาถึงก็เอ่ยถามอย่างสงสัย ครั้นมองตามสายตาของอู๋ซินลงไปก็อดกล่าวชมมิได้ “บรรพชิต สายตาของเจ้าแม่นยำยิ่ง แค่ไล่ตามไปก็มาถึงจริงๆ ด้วย”
เบื้องล่างหน้าผาเป็นวัดใหญ่โตแห่งหนึ่ง ป้ายจารึกหน้าประตูทางเข้านั้นเขียนไว้อย่างชัดเจน…วัดต้าฟั่นอิน
“ในเมื่อถึงแล้ว ไยยังไม่เข้าไป” เหลยอู๋เจี๋ยมองดูอู๋ซินที่เหม่อลอย
อู๋ซินนิ่งงันไปครู่หนึ่งกว่าจะตั้งสติได้ มันกลับมาเป็นภิกษุที่ทั้งสง่างามและชั่วร้ายอีกครั้งพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว! เข้าไปกัน!” พูดจบมันก็สะบัดแขนเสื้อแล้วกระโดดตามลงไป ไม่นานก็มาถึงลานกว้างของวัด เหลยอู๋เจี๋ยกับเซียวเซ่อย่อมตามไปด้วย
หลังจากทั้งสามลงมาก็พบว่าวัดแห่งนี้ไม่เหมือนอย่างที่คิดไว้ กลางลานกว้างของวัดมีเกี้ยวงดงามตั้งอยู่ ข้างเกี้ยวยังมีชายฉกรรจ์รูปร่างบึกบึนสี่คนกับเด็กหนุ่มดวงหน้าพริ้มเพราสองคนยืนอยู่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบุคลิกของขุนนางร่ำรวย ภิกษุดื่มสุราเมื่อครู่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าวิหาร ท่าทางกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก ในมือยังถือดาบบรรพชิตเอาไว้อย่างน่าเกรงขาม สองฝ่ายท่าทางเหมือนกำลังคุมเชิงกันอยู่ ไม่มีใครกล้าก้าวไปข้างหน้าสักคน
บทที่ 14
หนึ่งกระบี่เหมันต์โรยรา
“บรรพชิตอู๋ซินเอ๋ย เหตุใดตามเจ้าไปที่ใดก็ล้วนได้เจอยอดฝีมือระดับแนวหน้ามากมายปานนี้ อีกทั้งดูเหมือนจะวิวาทกันอยู่ด้วย” น้ำเสียงของเซียวเซ่อเผยความเหนื่อยใจออกมา
“ยอดฝีมือระดับแนวหน้า? วิวาท?” เหลยอู๋เจี๋ยกวาดตามองบรรดาคนในลานกว้างพลางทำท่าจะกระโจนเข้าไปประลองฝีมือ
เซียวเซ่อกุมขมับ “สกุลเหลยดีร้ายอย่างไรก็เป็นสกุลใหญ่ในยุทธภพ เหตุใดจึงอบรมคนสมองทึ่มอย่างเจ้าออกมาได้…”
“ผู้ใดมา” คนในเกี้ยวได้ยินเสียงคนคุยกัน แต่มองไม่เห็นพวกมัน จึงได้แต่เอ่ยปากถาม
“อาจารย์…เป็นพวกมัน เหมือนอย่างที่สายสืบรายงาน นอกจากบรรพชิตผู้นั้นยังมีเด็กหนุ่มอาภรณ์แดงและคนสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก” หลิงจวินกล่าวตอบ
“โอ้” คนในเกี้ยวมิได้เผยสีหน้าประหลาดใจ เพียงรับคำเสียงเบาเท่านั้น
“เซียวเซ่อ เจ้าว่ากำลังเกิดอันใดขึ้น” เหลยอู๋เจี๋ยค้นพบว่าบรรยากาศดูแปลกพิกลจึงเอ่ยถาม
“ชัดเจนมาก ก่อนหน้านี้พวกคนที่อยู่ทางเกี้ยวกำลังวิวาทกับเหล่าบรรพชิตอยู่ ทว่าวิวาทไปได้ครู่หนึ่งพวกเราก็มา” เซียวเซ่อพินิจมองเกี้ยวหลังนั้นและกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
“จากนั้นเล่า” เหลยอู๋เจี๋ยยังคงสงสัย
“จากนั้นพวกมันก็พบว่า โอ้ ไม่ต้องวิวาทแล้ว ปลาตัวใหญ่ที่ตั้งตารอมาถึงแล้ว!” เซียวเซ่อเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“ปลาตัวใหญ่? หมายถึงพวกเราหรือ” เหลยอู๋เจี๋ยเริ่มเข้าใจ
“มิใช่” เซียวเซ่อดึงเหลยอู๋เจี๋ยทะยานไปยังริมลานกว้างให้ห่างไกลจากอู๋ซิน “ปลาใหญ่ก็คือมัน!”
อู๋ซินสะบัดแขนเสื้อด้วยรอยยิ้ม ท่าทางของมันไม่เหมือนภิกษุที่ถือศีลละเว้นเนื้อสัตว์แม้แต่น้อย แต่กลับเหมือนนักแสดงที่เตรียมผัดหน้าขึ้นเวทีมากกว่า “ขันทีจั่งเซียง* แห่งวังหลวงเดินทางเป็นพันหลี่เพื่อมาพบภิกษุผู้ต่ำต้อยเช่นข้า ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก!”
อู่เซิงผู้พิทักษ์วัดทั้งสองรูปได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงและหันไปมองเจ้าอาวาสอย่างพร้อมเพรียงกัน ทว่าภิกษุเฒ่าผู้นั้นยังคงส่ายศีรษะเช่นเดิม ภิกษุเครายาวผู้เมาสุราหาได้ประหลาดใจในเรื่องนี้ไม่ มันเพียงทอดสายตามองอู๋ซินอย่างนิ่งงัน
“เป็นมันจริงๆ…” เวลานี้เซียวเซ่อมุ่นคิ้วเล็กน้อย
“ขันทีจั่งเซียงคือผู้ใด” เหลยอู๋เจี๋ยผู้ทราบเรื่องราวของวีรบุรุษประเภทต่างๆ ในยุทธภพเป็นอย่างดี ยามนี้กลับจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ทุกปีเวลาจักรพรรดิแห่งเป่ยหลีทำพิธีบวงสรวงจะมีขันทียืนอยู่ข้างหลังสี่คน คนหนึ่งถือกระบี่วิเศษพิทักษ์แคว้น คนหนึ่งถือตราราชลัญจกรหยก คนหนึ่งถือตำราบัญญัติกฎหมาย คนสุดท้ายถือกระถางธูปลายคราม ขันทีทั้งสี่คนนี้รวมกับขันทีผู้ติดตามซึ่งโตมากับจักรพรรดิถูกเรียกรวมๆ ว่าห้าขันทีใหญ่ ขันทีผู้ถือกระบี่ดูแลองครักษ์ในพระราชวัง ขันทีผู้ถือตราราชลัญจกรช่วยจัดการเอกสารราชการ ขันทีผู้ถือตำราดูแลตำราในหอสมุด ส่วนขันทีผู้ถือกระถางธูปเป็นตำแหน่งใหม่ของราชวงศ์นี้ มีหน้าที่ดูแลควบคุมวัดของราชวงศ์ ทุกคนต่างมีอำนาจอันยิ่งใหญ่ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าของวังหลวงอีกด้วย” เซียวเซ่ออธิบาย
“ท่านพี่เซียวช่างความรู้กว้างขวางยิ่งนัก!” เหลยอู๋เจี๋ยพลันเรียกมันว่าท่านพี่เซียวอย่างหาได้ยาก
“ข้าเป็นถึงเถ้าแก่ของคฤหาสน์เขาเสวี่ยลั่ว เรื่องราวในยุทธภพ หอสูงใหญ่ในราชสำนัก ไม่มีเรื่องใดที่ข้าไม่รู้” เซียวเซ่อเผยสีหน้าลำพองใจหลายส่วน
“เช่นนั้นเจ้าว่าคนข้างกายของจักรพรรดิถ่อมาไกลปานนี้เพื่ออันใด” เหลยอู๋เจี๋ยถาม
“เดิมขันทีจั่งเซียงมีหน้าที่ดูแลควบคุมวัดของราชวงศ์แค่ในนามเท่านั้น แต่ว่าหน่วยงานหงหลูซื่อ* ที่ดูแลกิจธุระของลัทธิพุทธกับลัทธิเต๋านั้นว่างเว้นมาหลายปี มันจึงดูแลเองมาโดยตลอด แปลว่าวัดพุทธใดๆ ในใต้หล้าล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของมัน คิดไม่ถึงว่าบรรพชิตอู๋ซินผู้นี้จะสำคัญยิ่ง กระทั่งขันทีจั่งเซียงก็ยังระหกระเหินมาจับตัวมันโดยไม่หวั่นต่อระยะทาง เห็นทีตัวตนที่แท้จริงของบรรพชิตผู้นี้จะไม่ได้เป็นแค่ศิษย์ของภิกษุวั่งโยว” ยามที่เซียวเซ่อพูดกับเหลยอู๋เจี๋ย ในที่สุดคนในเกี้ยวก็เคลื่อนไหว ทั้งที่ยามเผชิญหน้ากับดาบอานุภาพไร้เทียมทานของภิกษุเครายาวผู้เมาสุรา คนในเกี้ยวก็ไม่ยอมออกมา ทว่าเมื่อได้ยินถ้อยคำของอู๋ซิน มันกลับเคลื่อนไหวในที่สุด เมื่อมันเคลื่อนไหว ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านขวาของเกี้ยวรีบก้มลงไปคลานบนพื้นแล้วค้อมหลังขึ้นมา คนในเกี้ยวผู้นั้นสวมรองเท้าทรงสูง ใช้แผ่นหลังของชายฉกรรจ์เป็นแท่นเหยียบเพื่อเดินลงมาจากเกี้ยว
เซียวเซ่อพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา
“เจ้าเป็นอันใด…” เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยถามแล้วหันไปมองผู้ที่ลงมาจากเกี้ยวก่อนเข้าใจโดยพลัน ไม่ว่าการแข่งขันเรื่องใดเซียวเซ่อก็ล้วนไม่ยอมแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องหน้าตา ทว่าคนที่ลงมาจากเกี้ยวผู้นั้นงดงามเกินไปแล้ว! ดวงหน้างดงามสะคราญเฉิดโฉม บุคลิกเลิศล้ำ หางตางามงอนสะท้อนความพริ้มเพราชนิดบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ แม้ว่าปอยผมสีดอกเลาที่จอนทั้งสองข้างจะแสดงถึงอายุของมัน แต่กลับยิ่งเพิ่มเติมกลิ่นอายเทพเซียนให้อีกหลายส่วน มือข้างหนึ่งของมันถือสร้อยประคำเล็กยาว นิ้วเรียวฟั่นประคำอย่างแผ่วเบา อีกมือหนึ่งกุมด้ามกระบี่ยาวข้างเอวราวกับเตรียมจะชักออกจากฝัก
“ท่านขันที” อู๋ซินพนมมือค้อมกายทำความเคารพแผ่วเบา
“อย่าเรียกข้าว่าขันที ขันทีเป็นคำที่คนผู้นั้นในวังใช้เรียก” มันเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนบางพลางชี้ไปบนฟ้าอย่างแช่มช้า
“จิ่นเซียนกงกง” อู๋ซินเปลี่ยนคำเรียกอย่างนอบน้อมเช่นเคย
จิ่นเซียนกงกงดูคล้ายยังไม่พอใจ มันส่ายศีรษะแย้มยิ้ม “เห็นเจ้านอบน้อมเช่นนี้ ทำข้ารู้สึกไม่คุ้นเคยยิ่งนัก ภิกษุมารจีวรขาวที่ร่ำสุรากับข้าในปีนั้นหายไปที่ใดเสียแล้วเล่า”
“ร่ำสุรา?” เซียวเซ่อสบตากับเหลยอู๋เจี๋ย มิน่าเล่าอู๋ซินเห็นภิกษุเมาสุราผู้นั้นก็จ้ำอ้าวตามไปทันที ที่แท้ก็พบคนประเภทเดียวกันนี่เอง
“ครานั้นโยมมาหาอาตมาเพื่อดื่มสุรา ครานี้โยมมาเพื่อจับอาตมา ไม่เหมือนกัน” อู๋ซินแย้มยิ้ม นัยน์ตาเย็นยะเยือก
“บัญชาของคนในวังผู้นั้นข้ามิอาจไม่เชื่อฟัง แต่ไว้ชีวิตของเจ้า ข้ายังพอทำได้อยู่” จิ่นเซียนกงกงเยื้องย่างไปข้างหน้าทีละก้าว
“หยุดอยู่ตรงนั้นเถิด” อู๋ซินพลันเอ่ยปาก
จิ่นเซียนกงกงหยุดฝีเท้า มันทอดสายตามองอู๋ซินอย่างเพลิดเพลินยิ่ง
“ตลอดทางมานี้เมืองเสวี่ยเยวี่ย วัดจิ่วหลง หงหลูซื่อ หรือแม้กระทั่งเทียนไว่เทียนก็ล้วนมาหาอาตมา พวกมันต่างบอกว่าจะไม่ฆ่าอาตมา ดังนั้นข้อเสนอของโยมดูเหมือนจะไม่ได้พิเศษอันใด” อู๋ซินกล่าว
“คนของเทียนไว่เทียนมาพบเจ้าแล้วหรือ” สายตาของจิ่นเซียนกงกงกระตุกเล็กน้อย
“ไป๋ฟ่าเซียน จื่ออีโหว ล้วนไม่ได้พบกันนานแล้ว” อู๋ซินเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้าไม่ได้ตามพวกมันไป?” มือของจิ่นเซียนกงกงยังคงแตะด้ามกระบี่อยู่
“ความปรารถนาของอาตมายังไม่เป็นจริง” สายตาของอู๋ซินทอดมองผ่านจิ่นเซียนกงกงไปยังข้างหลังราวกับมีเจตนาบางอย่าง
“เห็นทีข้าเลือกมารอเจ้าที่นี่นับว่าถูกต้องแล้ว” จิ่นเซียนกงกงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“สิ่งที่โยมเลือกหาได้ผิดไม่ แต่โยมคงคาดเดาจุดมุ่งหมายของอาตมาผิดไปเป็นแน่” อู๋ซินกล่าว
“โอ้? เจ้ามิได้มาสังหารมันหรือ” จิ่นเซียนกงกงหมุนกายมองภิกษุเครายาวผู้เมาสุรารูปนั้น
“พระพุทธเมตตา ผู้ออกบวชมิอาจบังเกิดจิตสังหาร” อู๋ซินกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
“ข้าไม่อยากลงมือกับเจ้า” จิ่นเซียนกงกงทอดถอนใจ
“อาตมาก็ไม่อยากเช่นกัน ใต้หล้าต่างทราบว่าวรยุทธ์ของขันทีจั่งเซียงจัดว่าเป็นอันดับสองของห้าขันทีใหญ่ เหนือกว่าขันทีจั่งเจี้ยน* อยู่หนึ่งขั้น” อู๋ซินกล่าว
“แต่เมื่อครู่เจ้ากล่าวผิดไปหนึ่งประโยค”
“อู๋ซินโง่เขลา ขอเรียนถามว่าเป็นประโยคใด”
“เมืองเสวี่ยเยวี่ย วัดจิ่วหลง และเทียนไว่เทียน ข้าต่างจากพวกมันเหล่านั้น หากครานี้พาตัวเจ้าไปมิได้ เช่นนั้นข้าจะสังหารเจ้าโดยไม่ลังเล!” มือของจิ่นเซียนกงกงกดลงบนด้ามกระบี่อย่างแน่วแน่ในที่สุด
“ประเสริฐ!” อู๋ซินกระโดดขึ้น แขนเสื้อกางออกราวปีกปักษา จีวรปลิวไสวปานเทพเซียน “กงกงโปรดชักกระบี่!”
จิ่นเซียนกงกงชักกระบี่ของมันออกมาในที่สุด พริบตาที่คมกระบี่ปรากฏ ทุกคนต่างรู้สึกหนาวเสียดกระดูก กระบี่เล่มนั้นมีไอเย็นเยียบพวยพุ่งออกมา ตรงที่ปลายกระบี่ชี้ลงไปพลันกลายเป็นน้ำแข็ง!
“ข้าจำได้แล้ว! ข้าเคยฟังเรื่องของคนผู้นี้ มันคือ…” เหลยอู๋เจี๋ยพลันตะโกนเสียงดังลั่น ใช่แล้ว มันเคยได้ยินมา มันเคยฟังเรื่องของคนผู้นี้ คนผู้นี้ไม่เพียงเป็นบุคคลในราชสำนัก หากแต่มันยังเคยเป็นที่โจษจันในยุทธภพ!
“มือขวาเข่นฆ่า เมื่อกระบี่เคลื่อนออก ลมเหมันต์โรยรา มือซ้ายเมตตา ฟั่นประคำแผ่วเบา วิญญาณดับสลาย” เซียวเซ่อพยักหน้าแล้วกล่าวต่อว่า “ยามนั้นห้าขันทีใหญ่ที่ยังเป็นเด็กหนุ่มออกจากวังหลวงเข้าสู่ยุทธภพตามคำสั่งของอาจารย์ แต่ละคนต่างมีชื่อเสียงในยุทธภพ เจ้าคงเคยได้ยิน มันคือกระบี่ลมเหมันต์เสิ่นจิ้งโจว!”
บทที่ 15
ระบำเทวมารแปดทิศ
“บรรพชิต วรยุทธ์ประหลาดของเจ้ามีมากมายยิ่งนัก ครานี้จะใช้อันใด” จิ่นเซียนกงกงเอ่ยเสียงดัง
อู๋ซินคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แขนเสื้อยาวของมันโบกสะบัด ร่างหมุนทะยานขึ้นฟ้าราวกับนกกระเรียนโบยบินในม่านเมฆ
“บรรพชิตรูปนี้จะทำอันใด” เหลยอู๋เจี๋ยงุนงง
“มันกำลัง…” เซียวเซ่ออึ้งงันไปเล็กน้อย น้ำเสียงเผยความประหลาดใจอยู่หลายส่วน “ร่ายรำ?”
“ประเสริฐ!” จิ่นเซียนกงกงกล่าวชม “ไม่นึกเลยว่าจะเป็นระบำเทวมาร! ทว่าการร่ายรำนี้ต้องให้นางมารแปดตนร่ายรำพร้อมกันจึงจะสมบูรณ์ เจ้าร่ายรำเพียงผู้เดียวจะเงียบเหงาเกินไปกระมัง”
อู๋ซินไม่ตอบคำ มันร่ายรำในลานกว้างอย่างสบายอารมณ์ ทว่าเงาร่างของมันกลับแยกออกมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ เงาสีขาวแต่ละร่างร่ายรำด้วยท่วงท่าที่ต่างกันออกไป ทว่าใบหน้าของพวกมันกลับเลือนรางมองไม่ชัดตา
“หนึ่ง…สอง…สาม…แปด…” เหลยอู๋เจี๋ยขยี้ตา มันเคยเผชิญหน้ากับกระบี่เงาลวงตาของมือสังหารเยวี่ยจีมาแล้ว ทว่าเงาลวงตาที่ปรากฏขึ้นพร้อมกันแปดร่างนั้นเห็นชัดว่าเหนือล้ำห่างไกลเยวี่ยจียิ่งนัก “เพียงแต่…การร่ายรำก็ฆ่าคนได้ด้วยหรือ” เหลยอู๋เจี๋ยเอ่ยความสงสัยของตัวเองออกมาในที่สุด
“เลิกดูได้แล้ว!” เซียวเซ่อรีบหลังหัน “บรรพชิตผู้นี้ชั่วร้ายดังคาด!”
“อย่างไร” เหลยอู๋เจี๋ยมุ่นคิ้วเล็กน้อย
“ว่ากันว่าระบำเทวมารเป็นวิชาของเหล่านางมารทั้งแปดของเทวมาร เป็นวิชามารต้องห้ามของลัทธิพุทธ ว่ากันว่ายามที่นางมารทั้งแปดร่ายรำพร้อมกันนั้นงดงามสุดเปรียบปาน เย้ายวนยิ่งนัก คนทั่วไปพบเห็นเป็นต้องหลงใหล แม้ว่าเบื้องหน้ามีหน้าผาสูงหมื่นจั้งก็ยังกล้าย่างกราย เจ้าดูคนอื่นๆ ในลานสิ!” เซียวเซ่อตวาดลั่น
เหลยอู๋เจี๋ยรีบมองไป พบเห็นอู่เซิงสองรูปของวัดต้าฟั่นอินหลับตาแล้วนั่งลง สองมือประสานแน่น ปากสวดพุทธคัมภีร์เสียงดัง ส่วนเจ้าอาวาสรูปนั้นยังคงหลับตาส่ายศีรษะ ขณะที่ปั๋วยง หลิงจวิน และชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนต่างมีสีหน้าเลื่อนลอย ร่างกายที่เดิมตั้งท่าเตรียมต่อสู้กลับค่อยๆ เริ่มร่ายรำไปตามท่วงท่าของอู๋ซิน
“นี่มัน…” เหลยอู๋เจี๋ยไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
“ไยเจ้ายังดูอยู่อีก” เซียวเซ่องุนงง “หรือว่าเจ้าไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่นิด”
“ข้า…” เหลยอู๋เจี๋ยเบิกตากว้างมองดูการร่ายรำของอู๋ซิน มันรู้เพียงว่าจีวรขาวปลิวไสวงดงามยิ่งนัก “ดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่ามีอันใดพิเศษนะ”
กระบี่ซวง (น้ำค้างแข็ง) ในมือจิ่นเซียนกงกงกวัดแกว่งสาดไอเย็นฉวัดเฉวียนประหนึ่งผีเสื้อทะลวงบุปผา ไอเย็นแต่ละสายฟาดผ่านแขนเสื้อของอู๋ซินไป ไม่เหมือนโจมตีใส่ แต่เหมือนเป็นการเพิ่มเติมสีสันให้แก่ระบำเทวมารเสียมากกว่า
“บรรพชิต ระบำเทวมารนี้แม้งดงามประหนึ่งนางมารทั้งแปด แต่ข้าเป็นขันทีมาสามสิบกว่าปี ในสายตาข้าของเหล่านี้เป็นเพียงโครงกระดูกเลือดหนอง เห็นแล้วมีแต่สะอิดสะเอียน มีสิ่งแปลกใหม่กว่านี้หรือไม่”
อู๋ซินหนึ่งในแปดคนพุ่งไปยังเบื้องหน้าของจิ่นเซียนกงกงเตรียมซัดฝ่ามือขวาใส่
“หัตถ์สำรวจวิญญาณ? วรยุทธ์ในต้าเปยฟู่* เจ้าก็ใช้ได้แล้วหรือ!” จิ่นเซียนกงกงตวัดกระบี่ ไอเย็นพุ่งเข้าใส่เงาร่างสีขาวที่จู่โจมเข้ามา กระบวนท่าของเงาร่างสีขาวค่อยๆ ช้าลงจนกระทั่งแข็งค้างอยู่กับที่ จิ่นเซียนกงกงตวัดแขนเสื้อใส่โดยไม่มอง เงาร่างที่กลายเป็นน้ำแข็งนั้นพลันแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
“เลิกแสร้งทำได้แล้ว เผยฝีมือแท้จริงออกมาเถิด” จิ่นเซียนกงกงกล่าว
“เผยฝีมือแท้จริงอันใดกัน กงกงฝีมือเลิศล้ำ อาตมาหาใช่คู่ต่อสู้ไม่” อู๋ซินอีกเจ็ดคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขื่นขม
“ไม่ใช่คู่ต่อสู้?”
“ย่อมไม่ใช่”
“เช่นนั้นก็ไปตายเสีย!” จิ่นเซียนกงกงชี้กระบี่ขึ้นฟ้าแล้วตวาดเสียงกร้าว “ทะลวง!”
ไอเย็นพวยพุ่งออกมาจากกระบี่ ขื่อคานประตูหน้าต่างของวัดพลันปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำค้างแข็งขาวโพลน เซียวเซ่ออดกระชับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนร่างมิได้ ส่วนร่างของเหลยอู๋เจี๋ยก็เริ่มมีไอร้อนแผ่ออกมา
เซียวเซ่อมองเหลยอู๋เจี๋ยอย่างสงสัย “เจ้าคิดจะทำอันใด”
“เห็นการต่อสู้ตัดสินกันเช่นนี้ แต่กลับทำได้เพียงยืนชมอยู่ข้างๆ เลยรู้สึกเสียดายเล็กน้อย” เหลยอู๋เจี๋ยทอดถอนใจ
“ไม่รู้จักแยกแยะดีเลวจริงๆ หากเจ้าเคยได้ยินชื่อของเสิ่นจิ้งโจวก็ควรรู้ว่ากระบี่ของมันน่ากลัวเพียงใด” เซียวเซ่อกล่าว
“ย่อมรู้อยู่แล้ว เข้าสู่ยุทธภพเมื่ออายุสิบเจ็ดปี ท้าประลองสำนักกระบี่ใหญ่ทั้งห้าเพียงลำพัง เริ่มแรกเอาชนะเจ้าสำนักกระบี่กูอิ่ง (เงาเดียวดาย) จั๋วจื้อไจ้ กับเจ้าสำนักกระบี่อวิ๋นชี (เมฆาค้างแรม) อี้สุ่ยหงได้ในสองร้อยกระบวนท่า ภายหลังก็ใช้สามร้อยกระบวนท่าโจมตีเจ้าสำนักหอกระบี่เทียนเจี้ยน (กระบี่สวรรค์) ซย่าฮุยจนพ่ายแพ้ ตอนที่ท้าประลองกับฟู่ชิงเฟิงแห่งสำนักกระบี่ชังเหลย (ฟ้าคำราม) ฟู่ชิงเฟิงถูกขนานนามว่าเป็นกระบี่ไวอันดับหนึ่งในใต้หล้า ต่อสู้กับผู้ใดไม่เคยเกินสิบกระบวนท่า ทว่าตอนที่ออกกระบวนท่าที่แปดก็ถูกโจมตีจนกระบี่จิงเหลย (เสียงอสนีบาต) ในมือหลุดลอย มีเพียงตอนที่ต่อสู้กับประมุขพรรคกระบี่เทียนสุ่ย (นทีสวรรค์) เซียวชุนสุ่ย เสิ่นจิ้งโจวต่อสู้จนครบห้าร้อยกระบวนท่าก็ไม่อาจเอาชนะได้ จึงเก็บกระบี่แล้วจากไป ทว่าเซียวชุนสุ่ยสร้างชื่อเสียงมากว่ายี่สิบปี ขณะที่เสิ่นจิ้งโจวเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีเท่านั้น ยามนั้นทั่วทั้งยุทธภพต่างร่ำลือเรื่องเล่าของมัน ว่ากันว่าแม้มันเป็นบุรุษ ทว่าดวงหน้างดงามดุจเทพเซียน ยามชักกระบี่ อาภรณ์ขาวพลิ้วไหว ไอเย็นพวยพุ่ง ไม่รู้ว่ามีสตรีแรกแย้มยังไม่ออกเรือนมากมายเพียงใดที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวมัน ข้ายังเคยได้ยินบทกวีที่เขียนถึงมันด้วย ‘เปรียบปานเทพเซียนจุติลงมา แกว่งกระบี่หนึ่งคราลมเหมันต์โรยรา’ แต่มันปรากฏกายในยุทธภพเพียงสามปี หลังจากนั้นก็หายตัวไป ไม่มีใครได้ยินข่าวคราวอีกเลย” เหลยอู๋เจี๋ยท่องจำตำนานในยุทธภพเหล่านี้จนขึ้นใจ
“ยามนั้นเสิ่นจิ้งโจวอายุสิบเจ็ดปี ส่วนบรรพชิตผู้นี้ก็ดูเหมือนจะอายุสิบเจ็ดปีเช่นกัน” เซียวเซ่อกล่าวเสียงเนิบ
อู๋ซินทั้งเจ็ดคนกลับมารวมเป็นหนึ่งเดียวและประสานมือเข้าหากัน ดวงตาปิดลง จีวรตัวยาวกับสร้อยประคำบนลำคอปลิวไสว ปากท่องบทสวดไม่หยุดยั้ง ขณะที่จิ่นเซียนกงกงแทงกระบี่เข้าใส่ด้วยอานุภาพอันไร้เทียมทาน!
“จิ่นเซียนจะฆ่ามันจริงๆ” เซียวเซ่อมุ่นหัวคิ้ว
อู๋ซินพลันเบิกตาโพลง เบื้องหน้ามันปรากฏภาพมายาของระฆังทองแดงขนาดมหึมา กระบี่ของจิ่นเซียนกงกงแทงทะลุระฆังนั้นแล้วหยุดอยู่ห่างจากหน้าอกของอู๋ซินเพียงหนึ่งชุ่น
“ระฆังฤทัยปัญญากระนั้นหรือ” แม้ว่ากระบี่ของจิ่นเซียนกงกงจะหยุดลงแล้ว แต่ปราณกระบี่ยังไม่สลายไป ไอเย็นสายหนึ่งลอยมุ่งไปยังหน้าผากของอู๋ซิน
“ฤทัยปัญญาไร้พรมแดนแสนอิสระ ความเงียบงันนั้นรวมกายใจเป็นหนึ่ง” อู๋ซินเอ่ยเสียงแผ่วและแอ่นร่างลงเล็กน้อย ไอเย็นสายนั้นวูบผ่านหว่างคิ้วของมันไป
“บรรพชิต ขอถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จะไปกับข้าหรือไม่” จิ่นเซียนกงกงทอดถอนใจ
“ถ้อยคำนี้ของโยมพูดเหมือนจะชวนอาตมาหนีตาม ขันทีวิปลาสเช่นโยมทำอาตมาหน้าแดงไปหมดแล้ว” อู๋ซินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
จิ่นเซียนกงกงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนแย้มยิ้มเอ่ยว่า “บรรพชิตที่น่าสนใจเช่นนี้ ให้ฆ่าทิ้งช่างน่าเสียดายยิ่ง”
“จะฆ่าอาตมาหาได้ง่ายดายเช่นนั้น!” นัยน์ตาของอู๋ซินสะท้อนแสงสีม่วงวูบไหวยั่วยวนหาใดเปรียบ
“ชนวนจิตมาร? วรยุทธ์ที่ทำให้วั่งโยวเสียสติอย่างนั้นหรือ” จิ่นเซียนกงกงอึ้งงัน มันมองดวงตาคู่นั้น ความรู้สึกนึกคิดทั่วทั้งร่างคล้ายฟุ้งกระจายออกมา…
เปลวเพลิงขนาดใหญ่ที่ลุกโหมมาแล้วถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ผู้คนในเมืองต่างร้องโหยหวน บิดาที่ยืนชูกระบี่ร้องคำรามอยู่บนกำแพงเมืองถูกเกาทัณฑ์ปักทะลุร่าง มันรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยพบพาน ญาติพี่น้องทุกคนต่างสิ้นชีพอยู่ในเปลวเพลิงนั้น เมืองใกล้จะแตกแล้ว ถึงตอนนั้นกองทหารม้าหุ้มเกราะของต้าเหลียงก็จะเหยียบย่ำผืนดินแห่งนี้ มันจะถูกเชือกคล้องคอแล้วลากไปจนตาย เคยได้ยินว่าทหารของต้าเหลียงนั้นโหดเหี้ยมยิ่งนัก แม้มันจะสิ้นลมแล้วพวกป่าเถื่อนนั่นก็จะถลกหนังมัน…แทนที่จะตายอย่างอัปยศอดสูเช่นนั้น มิสู้จบชีวิตตนเองเสียดีกว่า มันทอดสายตามองกระบี่สั้นในมือ
‘มิสู้จบลงเช่นนี้เถิด…’ เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
มันกระตุกยิ้มโดยพลัน
สายตาที่เดิมแตกซ่านก่อตัวกลับมาใหม่อีกครั้ง ภาพมายาค่อยๆ เลือนหายไป จิ่นเซียนกงกงกลับมายังความเป็นจริง มันมองกระบี่ในมือก่อนหัวร่อแผ่วเบา “ไม่ได้นึกถึงวันนั้นมานานมากแล้ว ยามนั้นข้าช่างเป็นเด็กที่เปราะบางยิ่งนัก”
อู๋ซินแย้มยิ้มอย่าเศร้าระทม “กงกงจิตใจหนักแน่นดุจหินผา”
“เจ้าเคยได้ยินชื่อคุนหลุนหรือไม่ มันเป็นสถานที่ที่เหน็บหนาวมากๆ หิมะตกตลอดทั้งปี หิมะตลอดพันปีไม่มีวันละลาย ข้าฝึกกระบี่อยู่ที่นั่นหกปีจนจิตใจเยือกเย็นเหมือนอย่างหิมะที่คุนหลุน ชนวนจิตมารไม่มีผลต่อข้า” จิ่นเซียนกงกงกล่าว “ไปตายเสีย!”
จิ่นเซียนกงกงประกาศกร้าว ระฆังทองแดงมายาที่อยู่เบื้องหน้าอู๋ซินถูกกระบี่ของมันจู่โจมจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ทว่าอู๋ซินไม่ได้ถอยหลัง ซ้ำยังย่างเท้าเข้าไปประจันหน้า แขนเสื้อมันโบกสะบัด จู่โจมตีใส่อีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง
จิ่นเซียนกงกงไม่ลนลานแม้แต่น้อย มันกระโดดลอยถอยออกไปก่อนทิ้งตัวลงเบื้องหน้าเหลยอู๋เจี๋ยกับเซียวเซ่อ “อู๋ซินน้อย เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เหตุใดไม่ให้สหายทั้งสองของเจ้าช่วยเหลือเล่า”
เหลยอู๋เจี๋ยได้ยินก็อึ้งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจปล่อยหมัดใส่!
เซียวเซ่อตกตะลึง “อย่านะ!”
“หมัดไร้ทิศของสกุลเหลย ประเสริฐ!” ร่างของจิ่นเซียนกงกงวูบหายไปในทันใด และไปปรากฏตัวอีกครั้งอยู่ข้างเกี้ยว หมัดของเหลยอู๋เจี๋ยโจมตีถูกความว่างเปล่า
“สายลมเย็นพัดมาพาหนาวเหน็บ คนเร่ร่อนแสนสะท้านไร้อาภรณ์” จิ่นเซียนกงกงท่องวรรคกวีอย่างแผ่วเบา
* ดาบบรรพชิต หมายถึงมีดหรือดาบของภิกษุ มีข้อบังคับว่ามีดดาบชนิดนี้ห้ามใช้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ใช้ได้เพียงตัดแต่งเครื่องแต่งกายเท่านั้น
* เนื้อสะอาดสามอย่าง คือเนื้อสัตว์ที่มาจากการไม่เห็น ไม่รู้ และไม่ได้ฆ่ามาเพื่อตน
** หมายถึงมีจำนวนเยอะมากจนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้มา
* จั่งเซียง คือขันทีผู้ถือกระถางธูป
* หงหลูซื่อ คือหน่วยงานผู้ดูแลจัดการศาสนพิธีและศาสนสถาน รวมถึงรับรองทูตและอาคันตุกะจากต่างแคว้น รวมถึงการแต่งตั้งเจ้าครองเขตหัวเมืองต่างๆ
* จั่งเจี้ยน คือขันทีผู้ถือกระบี่วิเศษ
* ต้าเปยฟู่ เป็นตำรารวมเจ็ดวรยุทธ์ที่ชั่วร้ายที่สุด ตำนานเล่าว่าขณะที่ตำราเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นได้เกิดฝนโลหิต วิญญาณคร่ำครวญ หลังจากผู้ที่เขียนตำราเล่มนี้เขียนอักษรตัวสุดท้ายจบก็กระอักเลือดจนตาย