• Connect with us

    Enter Books

    สยบฟ้า พิชิตปฐพี

    ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 21 ตอนที่ 2

    บทที่ 2 พบสหายเก่าใต้ต้นไผ่

     

    ใต้สายฝน หนิงเชวียคล้ายกำลังวิงวอนขอร้อง แต่ในความเป็นจริงมันกลับข่มขู่ปฐมพุทธะอย่างโหดเหี้ยม ทว่ามันรู้ดี ปฐมพุทธะไม่ดำรงอยู่ในโลกนี้แล้ว และผู้ที่จะสามารถรักษาอาการป่วยของซังซังได้ก็คือฉีซานต้าซือ ดังนั้นวันรุ่งขึ้นมันจึงพาซังซังนั่งรถม้าขึ้นไปตามทางหลังเขา

    ทางสายนี้เงียบสงัด ต้นไหวสองข้างทางยังชุ่มด้วยน้ำฝน บนพื้นสามารถเห็นรอยล้อรถได้อย่างชัดเจน หนิงเชวียขมวดคิ้ว ยังเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงเทศกาลอวี๋หลัน บรรดาคณะทูตและผู้ฝึกฌานต่อให้อยากหารือล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องชาวฮวงอพยพลงใต้หรือเรื่องตำนานโลกแห่งความมืดเข้ารุกราน ก็สมควรไปรออยู่ที่วัดลั่นเคอ เหตุไฉนจึงต้องพากันแห่ขึ้นมายังหลังเขามากมายนัก

    และแล้วมันก็นึกถึงคุณชายหน้าขาวที่มากับขบวนรถม้าเมื่อวาน มันเดาออกตั้งแต่แรกแล้วถึงความเป็นมาของอีกฝ่าย ผู้ที่สามารถให้ยอดคนด่านรู้ชะตาจากศาลากระบี่มาคอยติดตามอารักขาอยู่ข้างกาย นอกจากจักรพรรดิแคว้นหนานจิ้นก็คงจะมีเพียงรัชทายาทของแคว้นเท่านั้น เพียงแต่คนเหล่านี้ขึ้นเขาหว่าซานมาเพื่อจุดประสงค์อะไรกัน

    หลวงจีนกวนไห่มาปรากฏตัวอยู่ใต้ต้นไหวอีกครั้ง หลังประนมมือคารวะก็กล่าวอย่างยิ้มแย้ม

    “อาตมาเดิมทีเข้าใจว่าศิษย์พี่สิบสามจะมาถึงเช้ากว่านี้เสียอีก”

    หนิงเชวียคารวะตอบ

    “นอกจากข้ายังมีคนอื่นอีกหรือ”

    กวนไห่ตอบ

    “เป็นเช่นนั้น”

    หนิงเชวียมองกวนไห่อย่างงุนงง

    “ข้าไม่เข้าใจ”

    กวนไห่ค่อยตระหนักว่าหนิงเชวียไม่รู้ถึงความหมายที่อาจารย์ของมันออกจากถ้ำ หลังตะลึงไปเล็กน้อยก็รีบอธิบาย

    “ทุกครั้งที่อาจารย์ออกจากถ้ำจะคัดเลือกผู้มีวาสนาต้องกันคนหนึ่งเพื่อช่วยชี้ทางสว่างตอบข้อสงสัยในใจให้”

    เรื่องที่มหาเถระนิกายพุทธชี้ทางสว่างให้แก่สานุศิษย์มิใช่เรื่องที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ในแคว้นเยวี่ยหลุนก็มีเรื่องทำนองนี้ให้พบเห็นได้เนืองๆ ทว่าในสายตาของคนทั้งแผ่นดิน ฉีซานต้าซือมิใช่มหาเถระธรรมดาๆ อีกทั้งทุกครั้งที่ผ่านมาหากผู้มีวาสนาต้องการให้ทำนาย คำทำนายก็ล้วนกลายเป็นจริงทั้งสิ้น

    ความแม่นยำระดับนี้เหมือนจะพิสูจน์ให้เห็นว่าฉีซานต้าซือสามารถล่วงรู้เรื่องราวในอนาคตได้ เทียบกับต้าเสินกวนหน่วยโองการฟ้าของอาศรมเทพยังเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจกว่า ดั่งปฐมพุทธะกลับชาติมาเกิดอย่างไรอย่างนั้น จึงไม่แปลกที่ผู้คนทั้งแผ่นดินจะเกิดความเลื่อมใสศรัทธาจนหมดหัวใจ

    หลังเกิดเหตุการณ์นองเลือดในวัดลั่นเคอ เพราะเสียใจในการกระทำอันชั่วร้ายของเหลียนเซิง อีกทั้งโทมนัสที่ผู้คนมากมายต้องมาล้มตายไป ฉีซานต้าซือจึงกักตัวอยู่แต่ในถ้ำนับตั้งแต่บัดนั้น ไม่ปรากฏตัวสู่โลกภายนอกอีก ด้วยเหตุนี้พอมีข่าวออกไปว่าปีนี้ต้าซือจะออกจากถ้ำเป็นเวลาหนึ่งวัน เรื่องราวจึงถูกเล่าลือไปไกล กลายเป็นที่อึกทึกครึกโครมในโลกของผู้ฝึกฌาน ผู้คนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นบรรดาผู้ฝึกฌาน เหล่าขุนนางหรือผู้สูงศักดิ์จากแคว้นต่างๆ ที่มาร่วมงานเทศกาลอวี๋หลันจึงต่างก็ต้องการขึ้นเขาหว่าซานเพื่อดูว่าตัวเองจะมีวาสนาได้พบกับฉีซานต้าซือหรือไม่

    หนิงเชวียคิดในใจ ที่แท้สำหรับผู้คนทั้งแผ่นดิน ฉายามหาเถระแห่งวัดลั่นเคอยังมีความหมายเช่นนี้อีกด้วย ขณะจะพูดกระไร เสียงระฆังจากวัดลั่นเคอซึ่งอยู่ด้านหน้าก็แว่วมา

    เมื่ออยู่ในวัด เสียงตีระฆังยามเช้ากับเสียงย่ำกลองยามเย็นถือเป็นเสียงปกติธรรมดาไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพียงแต่วันนี้เสียงระฆังเรียกทำวัตรเช้าดังกังวานไปแล้ว หนิงเชวียจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้

    หลวงจีนกวนไห่สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

    หนิงเชวียถาม

    “เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ”

    “มีอาคันตุกะจากแดนไกลมาเยือน ศิษย์พี่เจ้าอาวาสใช้เสียงระฆังเรียกอาตมาให้ไปร่วมต้อนรับ”

    หนิงเชวียพยักหน้า

    “เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปเถอะ”

    กวนไห่กล่าวขออภัยหนิงเชวียก่อนหันไปคารวะซังซังซึ่งนั่งอยู่ในรถ แล้วจากไปอย่างรีบร้อน

    หนิงเชวียเลิกคิ้วมิได้พูดอะไรขณะมองตามร่างหลวงจีนหนุ่มไป จากนั้นค่อยขยับไปนั่งบนเบาะหน้าประทุนรถ ใช้เท้าถีบสะโพกเจ้าดำเบาๆ

    “ไป”

    เมื่อคืนเจ้าดำไล่จับตั๊กแตนเล่นในวัดจนดึกดื่นค่อนคืน เช้านี้จึงรู้สึกง่วงงุนอยู่บ้าง พอถูกหนิงเชวียยันไปหนึ่งเท้า สติค่อยแจ่มใสขึ้น รีบทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าเดินเชิดหน้าขึ้นเขาไป

    เสียงเปรยด้วยความกังวลของซังซังแทรกเสียงล้อรถที่ดังกึกกักๆ

    “ผู้มาจะต้องเป็นบุคคลสำคัญอย่างแน่นอน”

    ผู้ที่สามารถทำให้วัดลั่นเคอลั่นระฆังเชิญหลวงจีนกวนไห่ให้ต้องออกไปต้อนรับด้วยตัวเองย่อมต้องมีที่มาไม่ธรรมดา หนิงเชวียมีหรือจะไม่รู้ เพียงแต่ต่อให้มันพยายามทำตัวนบนอบเพียงใดก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะลดทอนความหลงตัวเองลง มันคิดอย่างได้ใจ ตอนนี้ยังจะมีสถานที่อื่นใดในปฐพีเข้มแข็งเกรียงไกรไปกว่าสำนักอาจารย์ของมันอีก พูดง่ายๆ ก็คือไม่ว่าผู้มาจะเป็นใครก็ไม่มีทางจะมีความเป็นมายิ่งใหญ่ไปกว่ามันอย่างแน่นอน

    และก็ด้วยเหตุผลนี้มันจึงรู้สึกสงสัยในความเป็นมาของอาคันตุกะกลุ่มนี้เป็นอย่างยิ่ง เหตุไฉนกวนไห่จึงไม่อยู่เป็นเพื่อนสนทนากับศิษย์สถานศึกษาอย่างมัน แต่เลือกที่จะไปต้อนรับขับสู้ นอกจากนี้มันยังฟังออกถึงน้ำเสียงเป็นกังวลของซังซังจึงยิ่งรู้สึกแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาซังซังไม่เคยสนใจในเรื่องเหล่านี้ นางกำลังกังวลอะไรกันแน่

    ซังซังลดเสียงลง

    “ทุกครั้งที่ฉีซานต้าซือออกจากถ้ำจะคัดเลือกผู้มีวาสนาเพียงแค่คนเดียว ช่วยตอบคำถามคลี่คลายความสงสัยให้ วันนี้มีผู้คนมาที่นี่ตั้งมากมาย ทั้งยังเป็นบุคคลสำคัญๆ อีกด้วย มิรู้ว่าฉีซานต้าซือจะเลือกข้าเป็นผู้มีวาสนาแล้วรักษาอาการป่วยให้หรือไม่”

    หนิงเชวียยิ้มน้อยๆ

    “เจ้ามีวาสนากับข้าก็พอแล้ว จะต้องการมีวาสนากับหลวงจีนเฒ่าอายุเป็นร้อยปีไปทำไมกัน ส่วนคนอื่นๆ เจ้าไม่ต้องไปสนใจ”

    ซังซังแหวกม่านประทุนรถ มองซีกหน้าด้านข้างของมันก่อนกล่าวดักคอ

    “ข้ากลัวว่าจะเหมือนกับตอนเป็นเด็ก หรือไม่ก็เหมือนกับตอนเข้าชั้นสองของสถานศึกษาน่ะสิ ที่ท่านต้องไปแย่งชิงกับผู้คนมากมาย”

    “แค่อาศัยฐานะของพวกเราหนึ่งสถานศึกษาหนึ่งอาศรมเทพ จะมีใครหน้าไหนกล้ามาแย่ง หรือต่อให้มีคนประเภทไม่มีดวงตางอกเงยจริง หลวงจีนเฒ่าก็ไม่มีทางไม่รักษาให้เจ้า เพราะมันเคยขอคำชี้แนะจากจอมปราชญ์ มีไมตรีเก่าแก่กับสถานศึกษา มิหนำซ้ำในแขนเสื้อข้ายังมีจดหมายที่อาจารย์เขียนเองอีกฉบับหนึ่ง อีกอย่างในตัวข้ามีลมปราณสุดไพศาล ในตัวเจ้ามีแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียน แล้วจะต้องกลัวอะไร นักพรตมาก็สังหารนักพรต หลวงจีนมาก็สังหารหลวงจีน ถึงตอนนั้นมันไม่อยากรักษาก็ต้องรักษา”

    ทางขึ้นเขายามเช้าเงียบสงัด เสียงล้อรถบดพื้นก็เบายิ่ง วาจาของหนิงเชวียที่กล่าวถึงเขาหว่าซานอย่างก้าวร้าวอหังการจึงดังกังวานอยู่กลางดงไม้ ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ลับหาย

    ภูเขาลูกนี้มิได้สูงชัน รถม้าจึงวิ่งได้อย่างสบายไม่กินแรง เพียงแต่ระยะทางค่อนข้างไกล รอจนหมอกยามเช้าสลายตัวหมด ดวงตะวันลอยขึ้นเหนือยอดไม้ จึงค่อยวิ่งมาถึงลำธารระหว่างซอกเขาแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าพยัคฆ์กระโจน

    ลำธารพยัคฆ์กระโจนเป็นทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียงของเขาหว่าซาน เพียงแต่หลายปีมานี้เพราะมีหลวงจีนชราเลือกมาเร้นกายนั่งวิปัสสนาอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก วัดลั่นเคอจึงเข้มงวดกวดขันมิให้คนภายนอกเข้าออกได้ตามใจชอบเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่ละปีจะเปิดประตูรับผู้มาท่องเที่ยวแค่ช่วงเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะเพื่อจัดงานชุมนุมเทศกาลอวี๋หลันในปีนี้ เส้นทางหลังเขาถึงกับถูกปิด ตามลำธารจึงปราศจากผู้มาเที่ยวชม

    ทว่าไม่มีคนมาเที่ยวชมมิได้หมายความว่าจะไม่มีอาคันตุกะมาเยือน

    เหนือลำธารมีสะพานหิน ปลายสะพานฝั่งโน้นคือป่าทึบ ปลายด้านนี้กลับเป็นลานหินกว้าง บนลานมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีใบดกครึ้มแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นวงกว้าง ใต้ร่มเงาอันร่มเย็นมีโต๊ะศิลาเล็กๆ วางอยู่หนึ่งตัว

    ที่นั่นตอนนี้มีคนอยู่หลายสิบคน บ้างยืนบ้างนั่ง บ้างกระซิบกระซาบบ้างเงียบขรึมไม่พูดจา หากมองฝ่ากลุ่มคนเหล่านี้เข้าไปจะเห็นหลวงจีนชราห่มจีวรเหลืองรูปหนึ่งกำลังนั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับเฒ่าชราผมเผ้าขาวโพลน

    เจ้าดำหยุดรถลงห่างจากต้นไม้เป็นระยะทางพอสมควร หนิงเชวียสามารถรับรู้ถึงกลิ่นอายเข้มข้นบ้างจางบ้างจากคนเหล่านั้น มันแน่ใจว่าทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกฌานที่มาจากหลายค่ายหลายสำนัก

    ผู้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่กำลังพุ่งความสนใจไปที่กระดานหมากล้อม แต่ก็มีบางคนกลับไปยืนห้อมล้อมคุณชายผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งพลางชวนสนทนาพาทีด้วยท่าทางนอบน้อมยำเกรง

    คุณชายคนนั้นก็คือคุณชายหน้าขาวที่หนิงเชวียพบในวัดลั่นเคอเมื่อเช้าวาน มันเดาฐานะของอีกฝ่ายได้ตั้งแต่แรกจึงไม่รู้สึกแปลกใจกับภาพที่เห็น เพียงแต่พอคิดว่าผู้ฝึกฌานที่หมดหวังจะบรรลุมหามรรคเหล่านี้อุตส่าห์ฝึกฌานอย่างลำบากยากเย็นมาครึ่งชีวิต สุดท้ายกลับต้องขายความสามารถให้กับพวกราชนิกุล ก็อดสะท้อนใจมิได้

    ทว่าพอเลื่อนสายตาไปยังป่าไผ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง เห็นเงาร่างของดรุณีนางหนึ่งซึ่งแสนจะคุ้นตา หนิงเชวียก็ต้องเก็บเอาความสะท้อนใจที่มีให้กับผู้ฝึกฌานเหล่านั้นกลับมาให้ตัวเอง

    เห็นได้ชัดว่ามีผู้ฝึกฌานจำนวนไม่น้อยต้องการจะขยับเข้าไปใกล้ดรุณีนางนี้เพื่อหาทางตีสนิท แต่มิรู้ว่าเป็นเพราะยำเกรงหรือเป็นเพราะเหตุผลอื่นพวกมันจึงมิกล้าเดินเข้าไป เพียงแค่ค้อมคารวะอยู่แต่ไกล ด้วยเหตุนี้ร่างบอบบางจึงยืนอย่างเดียวดาย มองไปคล้ายลำต้นไผ่ที่เรียวบางแต่ก็แข็งแกร่งทนทาน

    ไม่ได้พบกันปีกว่า ดูนางผ่ายผอมลงไปไม่น้อย!

    ด้วยอานุภาพของค่ายกลยันต์ รถม้าสีดำยามวิ่งขึ้นเขาจึงแทบไม่เกิดเสียง ราวกับว่าได้เหาะเหินเดินอากาศมา อีกทั้งบนเนินหญ้าริมลำธาร เสียงอาชาหลายตัวที่กำลังวิ่งไล่กันอย่างคึกคะนองยังช่วยกลบเสียงฝีเท้าของเจ้าดำไปจนหมดสิ้น ผู้ฝึกฌานหลายสิบคนจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นการมาของหนิงเชวียกับซังซัง ยกเว้นดรุณีใต้ต้นไผ่

    นี่อาจเป็นเพราะนางบรรลุด่านรู้ชะตาแล้วจึงสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของพลังปฐมแห่งฟ้าดินที่อยู่รอบกายได้อย่างชัดเจน อีกอย่างนางก็เป็นอัจฉริยะในการฝึกมรรคาแห่งยันต์จึงย่อมต้องกระสาถึงกลิ่นอายของเจตนารมณ์แห่งยันต์ที่แผ่ออกจากรถม้า และก็อาจเป็นเพราะอันที่จริงนางคอยมองทางขึ้นเขาอยู่นานแล้ว เป็นการมองอย่างคาดหวังให้คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น

    ดังนั้นพอเห็นรถม้าสีดำ แววตาของนางจึงสาดประกายแช่มชื่นยินดีทันที ก่อนเปลี่ยนเป็นหดหู่เศร้าหมองและสงบนิ่งลงในที่สุด นางเริ่มสาวเท้าออกเดิน

    บนลานหินมีคนมากมายคอยลอบมองนางอยู่ รวมถึงคุณชายหน้าขาว ฉะนั้นพอเห็นนางออกเดิน สายตาของพวกมันจึงเลื่อนตามไปอย่างนึกฉงน

    มีบางคนพยายามคาดเดาว่าคนบนรถม้าเป็นใครจึงสามารถทำให้ผู้งมงายอักษรที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วปฐพีเป็นฝ่ายเดินไปหาได้ ทว่าก็มีคนที่ฉลาดรอบรู้และคนที่รู้เรื่องราวของแคว้นต้าถังเป็นอย่างดีที่ไม่ต้องเดาก็สามารถบอกได้ถูกต้องตั้งแต่แรก พวกมันจึงต่างก็มีสีหน้าแตกตื่นตกใจไปตามๆ กัน

    หนิงเชวียมิได้ใส่ใจกับสีหน้าหรือปฏิกิริยาของคนเหล่านี้ มันเอาแต่มองดรุณีที่กำลังเดินใกล้เข้ามา ใบหน้าที่ไม่ได้เห็นนานแล้วและน้อยครั้งจะนึกถึงแต่ก็ไม่เคยลืมเลือนค่อยๆ เด่นชัดขึ้น จิตใจของมันสั่นสะท้าน รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นและประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก

    นางผอมลงไปไม่น้อยเลยจริงๆ แต่ก็ยังคงงดงามน่าประทับใจ คิ้วเรียวเข้มดุจสีน้ำหมึก ดวงตาใสกระจ่างราวกับน้ำในทะเลสาบช่วงฤดูสารท ขนตาบางยาวงอน ริมฝีปากแดงระเรื่อเม้มสนิท เส้นผมดำขลับคลี่คลุมไหล่เป็นแพสลวยดุจม่านน้ำตก กระโปรงสีขาวของดอกผูกงอิง* พลิ้วไปตามจังหวะก้าวเดิน รองเท้าผ้าแบบเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้านผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงชายกระโปรง ทั้งหมดนี้เป็นดั่งภาพที่ฝังลึกอยู่ในใจมัน ไม่มีอันใดเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

    ปีกว่าที่ผ่านมานี้หนิงเชวียได้รับจดหมายจากแคว้นต้าเหออยู่เป็นประจำ บนกระดาษที่คล้ายจะมีกลิ่นอายของสระโม่ฉือเต็มไปด้วยตัวอักษรที่บอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แต่มิเคยเอ่ยอ้างถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความรักแม้แต่ครั้งเดียว

    พออ่านจบมันก็จะส่งต่อให้ซังซังหรือไม่ก็โยนทิ้งไป มันเขียนตอบบ้างเช่นกัน แต่ก็แทบจะไม่ได้เล่าอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ส่งภาพอักษรลายพู่กันที่ตัวเองค่อนข้างพอใจไปให้เท่านั้น

    ปีที่แล้ว เมื่อแน่ใจว่าต้องมาวัดลั่นเคอเพื่อร่วมงานเทศกาลอวี๋หลัน หนิงเชวียซึ่งคาดเดาว่าโม่ซันซันต้องได้รับคำเชิญก็เริ่มวาดภาพว่าตอนเจอหน้ากันอีกครั้งจะเป็นเช่นไร นางจะเอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมา และมันควรจะกล่าวตอบอย่างไร ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งนึกก็ยิ่งคำนึงถึง สุดท้ายมันจึงตัดใจเลิกคิด จนถึงกับลืมเรื่องนี้ไป กระทั่งได้มาเห็นนางอยู่ข้างธารน้ำใสในตอนนี้

    ร่างบางเดินใกล้เข้ามาทุกขณะ หนิงเชวียหวังว่าคนในรถจะส่งเสียงอะไรออกมาบ้าง อย่างเช่นช่วยกระแอมกระไอสักทีสองที หรือไม่ก็ช่วยขยับตัวให้เกิดเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันก็ยังดี อย่างน้อยจิตใจหรือสีหน้าของมันจะได้สงบลงได้บ้าง

    โม่ซันซันมาหยุดลงตรงหน้ารถม้า เจ้าดำจำได้ว่านี่คือนายหญิงที่มันยอมรับเป็นคนแรก ทั้งยังเป็นโฉมสะคราญสุดโปรดของมัน จึงผงกหัวร้องทักทายเบาๆ ด้วยความดีใจ

    โม่ซันซันยิ้มน้อยๆ ยกมือขึ้นลูบหัวมัน เจ้าดำพยายามซุกไซ้หัวอันใหญ่โตเข้ากับฝ่ามือของนางอย่างสุดชีวิต ดูแล้วทั้งน่าขบขันและน่าหมั่นไส้ไปพร้อมๆ กัน

    หนิงเชวียจึงยันก้นมันไปอีกทีเพื่อเตือนสติทั้งมันและตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นดีใจจนเสียกิริยา

    ซังซังยังคงนั่งเงียบกริบอยู่ในรถม้า แต่หนิงเชวียเริ่มสงบจิตใจลงได้บ้างแล้วจึงยกมือคารวะอีกฝ่าย โม่ซันซันคารวะตอบก่อนหันไปทางรถม้า กล่าวเสียงราบเรียบ

    “คารวะเทวีแห่งแสงสว่าง”

    ในที่สุดเสียงของซังซังก็ดังขึ้น

    “คารวะประมุขหุบเขา”

    คำทักทายที่พวกนางเอ่ยออกมาฟังดูสำรวมและเกรงอกเกรงใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างยิ่ง หนิงเชวียพอได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนสงบนิ่งแต่แฝงกลิ่นอายของคนใหญ่คนโตของซังซังก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ขณะนั้นเอง เสียงของซังซังก็ดังขึ้นอีกครั้ง

    “นายน้อย ข้ารู้สึกเหนื่อย อยากพักผ่อนในรถสักครู่”

    หนิงเชวียเข้าใจ นางต้องการเปิดโอกาสให้มันกับโม่ซันซันสนทนากัน จึงรับคำก่อนเอ่ยชวนโม่ซันซัน

    “ไปเดินเล่นที่ริมลำธารกันเถอะ”

    ขณะมองหนิงเชวียกับโม่ซันซันเดินตามกันไป เจ้าดำก็นึกชื่นชมอยู่ในใจ ช่างเป็นหยกคู่ที่งดงามเหมาะสมกันจริงๆ แน่นอนซังซังเองก็ประเสริฐ เพียงแต่เจ้าทึ่มหนิงเชวียเหตุไฉนถึงไม่รวบเอาไว้ทั้งสองคน พวกมนุษย์นี่เวลาอยากได้คู่ต้องแต่งงานกันใช่หรือไม่ ดูจากฐานะของเจ้าทึ่มในตอนนี้จะมีผู้ใดกล้ามาขวางไม่ให้มันมีนายหญิงสองคน นึกถึงสมัยที่ยังอยู่ในค่ายทหาร ตัวมันแม้มีคู่ที่ถูกใจอยู่แล้ว แต่พอไปทุ่งร้างเห็นนางม้าดุร้ายที่มีสีขาวราวกับหิมะตัวนั้นก็ยังไม่กลัวจนหัวหด กล้าเข้าไปสนิทสนมด้วย ริจะรักก็ต้องกล้าหน่อย เจ้าบื้อเอ๊ย คิดถึงตรงนี้ก็อดเตะเท้าพ่นจมูกอย่างนึกดูแคลนไม่ได้

    ขณะกำลังนึกเยาะเย้ยถากถางอยู่ในใจอย่างเมามันก็ได้ยินเสียงซังซังถามขึ้น

    “เจ้ากับแม่นางซันซันสนิทสนมกันมากนักหรือ”

    เจ้าดำตัวแข็งทื่อ รู้ได้ในทันทีว่าซังซังจะต้องเห็นภาพที่ตัวเองกับโม่ซันซันทักทายกันอย่างแน่นอน ใจถึงกับหล่นวูบด้วยความกลัว

    เจ้าดำติดสอยห้อยตามหนิงเชวียมานาน มันรู้ดีกว่าผู้ใด ตระกูลหนิงมีสตรีเป็นใหญ่ นี่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับการที่ซังซังได้เป็นเทวีแห่งแสงสว่าง เพราะความจริงนี้เริ่มมาตั้งแต่ซังซังยังเป็นเพียงแค่สาวใช้ตัวน้อยแล้ว

    ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เจ้าดำตระหนักดีว่าคำอธิบายใดๆ ล้วนนำไปสู่ความตายสถานเดียว ดังนั้นมันจึงแยกเขี้ยวยิงฟันให้กับรถม้า แกว่งหางไปมาไม่หยุด พยายามแสร้งทำเป็นเซ่อซ่าไม่รู้เรื่องรู้ราว

     

    บนเนินหญ้าริมลำธารมีม้าหลายตัวกำลังก้มหน้ากินหญ้า ม้าเหล่านี้น่าจะเป็นของผู้ฝึกฌานที่ขี่ขึ้นเขามา ห่างไปไม่ไกลยังมีฝูงแพะภูเขาวิ่งไล่กวดกันอย่างมีชีวิตชีวา เกิดเป็นภาพการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

    หนิงเชวียกับโม่ซันซันเดินลงจากเนินมาถึงริมลำธาร แม้บรรยากาศจะไม่น่าอึดอัดเหมือนตอนอยู่หน้ารถม้า แต่เพราะต่างฝ่ายต่างมีความในใจจึงพากันเงียบกริบ ก่อเกิดเป็นความรู้สึกน่ากระอักกระอ่วนขึ้นแทน

    ทว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องมีคนพูดเพื่อทำลายความเงียบ และหากต้องให้โม่ซันซันเป็นคนเริ่ม ล่วงรู้ถึงหูศิษย์พี่ใหญ่ ต่อให้ศิษย์พี่ใหญ่มีนิสัยสุภาพอ่อนโยนสักเพียงใดก็คงต้องเอาเรื่องมันอย่างแน่นอน อีกอย่างมันเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก จะปล่อยให้ฝ่ายหญิงต้องลดเกียรติได้อย่างไร

    “หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

    พวกมันติดต่อกันทางจดหมายอยู่เป็นประจำ แม้สิ่งที่บอกเล่าจะเป็นเรื่องสัพเพเหระ แต่ก็สอดแทรกสภาพความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันเอาไว้ด้วย แล้วไยต้องถามขึ้นมาอีกเล่า มิหนำซ้ำน้ำเสียงก็ยังฟังดูเป็นการเป็นงาน นี่บอกได้ว่าจิตใจของหนิงเชวียในตอนนี้ยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าใดนัก

    “เขียนอักษร ฝึกฌาน ฝ่าด่าน”

    โม่ซันซันมิได้รู้สึกขบขันหรือไม่พอใจ นางตอบด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานเช่นกัน

    “แล้วท่านเล่า เป็นอย่างไรบ้าง ในจดหมายท่านเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้น้อยมาก”

    “ข้าก็เช่นกัน เขียนอักษร ฝึกฌาน ฝ่าด่าน”

    หนิงเชวียยิ้มเจื่อนๆ ก่อนพูดต่อ

    “แล้วก็ฆ่าคนไปอีกหลายคนด้วย”

    ได้ยินเช่นนี้โม่ซันซันก็จ้องตามันแน่วนิ่ง เมื่อมั่นใจว่าความรู้สึกของตนไม่ผิดพลาด ใบหน้าก็ปรากฏแววของความปีติเบิกบาน

    “ท่านฝ่าด่านสำเร็จตั้งแต่เมื่อใดกัน นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ”

    หนิงเชวียตอบอย่างยิ้มแย้ม

    “เจ้ากลายเป็นจอมยันต์เทวะไปตั้งแต่ฤดูวสันต์ ข้าเพิ่งฝ่าด่านได้ไม่นานนี้เอง มีอันใดให้น่ายินดี พูดได้ว่าตอนเจ้ามองเห็นภาพภูผาลำธารกว้างใหญ่ตระการตา ข้ายังตะเกียกตะกายปีนป่ายอยู่ตรงซอกเขาอยู่เลย ตอนนี้มาคิดดู วาจาในจดหมายที่เจ้าทิ้งไว้ตอนออกจากเมืองฉางอันแทบเป็นเสมือนคำทำนาย”

    โม่ซันซันยิ้มละไม

    “แต่ตอนนี้ท่านก็ได้เห็นทิวทัศน์บนยอดเขาแล้ว”

    หนิงเชวียเลื่อนสายตาจากลำธารตรงซอกเขาไปยังยอดเขาเบื้องหน้า ก่อนตอบว่า

    “อืม เป็นทิวทัศน์ที่ไม่เลว”

    “พอรู้ว่าท่านท้าสู้กับซย่าโหว ข้าตกใจยิ่ง ตอนนั้นไม่มีผู้ใดในแคว้นต้าเหอคิดว่าท่านจะเป็นฝ่ายชนะ รวมทั้งอาจารย์ของข้าด้วย”

    หนิงเชวียถามขณะมองดวงตาคู่งาม

    “แล้วเจ้าเล่า”

    โม่ซันซันขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง

    “แม้ไม่มีเหตุผลอะไรมาสนับสนุนว่าท่านจะเป็นฝ่ายชนะ แต่มิรู้ทำไม ข้ามักรู้สึกว่าต่อให้ท่านสู้แพ้ก็ไม่มีทางถึงตาย”

    หนิงเชวียถามอย่างประหลาดใจ

    “เจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าอย่างนั้นเชียว”

    โม่ซันซันตอบยิ้มๆ

    “ปีนั้นตอนออกจากสำนักพรรคมาร เยี่ยหงอวี๋เคยบอกกับข้าว่าคนไร้ยางอายอย่างท่านอายุจะยืนยาวมากเป็นพิเศษ”

    เยี่ยหงอวี๋คงนึกถึงคำกล่าวที่ว่า ‘คนดีมักอายุสั้น คนเลวมักอายุยืน’ กระมังตอนบอกกล่าวออกมา หนิงเชวียขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

    “ไม่ถึงทีของข้าบ้างก็แล้วไป แม้นางจะเป็นต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาแล้วข้าก็ไม่กลัว”

    โม่ซันซันเปลี่ยนเรื่อง

    “เอาชนะซย่าโหวได้ ท่านมีความรู้สึกอย่างไร”

    “เอาชนะศัตรูคู่แค้นได้นั้นไม่สำคัญ เรื่องสำคัญคือต้องฆ่ามันให้ได้ต่างหาก ดังนั้นเจ้าควรถามข้าว่าความรู้สึกที่ได้ฆ่าซย่าโหวนั้นเป็นอย่างไร…”

    เหมือนกับตอนอยู่ในทุ่งร้าง หนิงเชวียอยากให้นางรู้สึกถึงโลกแห่งความจริงที่โหดเหี้ยมอำมหิต

    “ข้ารู้สึกยินดีอย่างบ้าคลั่งอยู่อึดใจหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่ ก่อนเปลี่ยนเป็นปลอดโล่งสงบนิ่งที่ความปรารถนาและคำมั่นสัญญาได้กลายเป็นจริง”

    โม่ซันซันมองรอยแผลเป็นจางๆ และลักยิ้มตื้นๆ บนใบหน้ามันพลางนึกถึงคำเล่าลือเกี่ยวกับการต่อสู้อย่างดุเดือดริมทะเลสาบน้ำแข็ง นางรู้สึกว่าภายใต้สีหน้าอันสงบเยือกเย็นของมันซ่อนความรู้สึกหลายๆ อย่างเอาไว้ รู้สึกได้แม้กระทั่งว่าในลักยิ้มของมันแท้ที่จริงมีแต่โลหิตแดงฉานเต็มไปหมด

    “ตอนเรื่องของท่านถ่ายทอดไปถึงแคว้นต้าเหอ ข้าจึงค่อยรู้ว่าท่านมีวัยเด็กที่น่ารันทดและยากลำบากยิ่ง”

    เสียงของนางสั่นเล็กน้อย มิอาจปกปิดความในใจที่เศร้าหมองได้

    หนิงเชวียกล่าวกระเซ้า

    “แก้มป่องๆ ของเจ้าแทบจะกลายเป็นซูบเรียว ดูท่าปีกว่ามานี้เจ้าก็ลำบากมากพอดู”

    จริงๆ แล้วมันต้องการหยอกล้อนางเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่าสลดหดหู่ แต่พอคำพูดหลุดจากปากจึงค่อยสำนึกว่าทำพลาดไป

    ผู้งมงายอักษรอย่างนาง เบื้องบนมีปราชญ์อักษรให้ความรักความเอ็นดู เบื้องล่างมีสหายร่วมสำนักให้ความเคารพยกย่อง อายุเพียงแค่นี้ก็บรรลุด่านรู้ชะตากลายเป็นจอมยันต์เทวะที่มีจำนวนแทบนับนิ้วได้ในปฐพี พูดได้ว่าชีวิตมีแต่ความเพียบพร้อมสมบูรณ์ ดังนั้นสิ่งที่สามารถทำให้นางเป็นทุกข์จนซูบผอมได้ นอกจากความรักแล้วยังจะเป็นอะไรได้อีก

    คำพูดนี้ดั่งเข็มแหลมทิ่มแทงใจ สตรีทั่วไปหากได้ยิน ถ้าไม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาก็ต้องมีสีหน้าหม่นหมอง หรืออย่างน้อยในรอยยิ้มก็ต้องดูฝืนใจอยู่บ้าง จนทำให้บุรุษเกิดความรู้สึกผิดในใจ แต่โม่ซันซันมิใช่สตรีทั่วไป ดังนั้นนางจึงเพียงแต่ยิ้มเฉยๆ

    หนิงเชวียมองนางอย่างซาบซึ้งตื้นตัน ก่อนรีบเปลี่ยนเรื่อง

    “ข้าคิดไว้เหมือนกันว่าวัดลั่นเคอจะต้องเชิญเจ้ามาร่วมงานเทศกาลด้วย เพียงแต่ทูตจากแคว้นต่างๆ มาที่นี่เพราะต้องการหารือเกี่ยวกับเรื่องชาวฮวงอพยพลงใต้ ส่วนผู้ฝึกฌานคนอื่นๆ ก็น่าจะมาเพราะกังวลเรื่องโลกแห่งความมืดเข้ารุกราน ด้วยนิสัยของเจ้าจึงไม่น่าจะอยากมาถึงจะถูก หรือที่เจ้ามาก็เพราะต้องการให้ฉีซานต้าซือช่วยชี้ทางให้? แต่ตอนนี้เจ้าก็เป็นจอมยันต์เทวะที่สามารถใช้ด่านรู้ชะตาหาหนทางให้กับตัวเองแล้ว ไฉนยังต้องให้ผู้อื่นช่วยไขข้อข้องใจอีก”

    พอพูดออกไปมันก็รู้ตัวว่าได้ทำผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง จอมยันต์เทวะย่อมไม่จำเป็นต้องให้ฉีซานต้าซือมาช่วยไขข้อข้องใจในเรื่องที่เกี่ยวกับการฝึกฌานหรือมรรคาแห่งยันต์ เช่นนั้นคำตอบย่อมต้องเป็นเรื่อง…

    ต่อให้โม่ซันซันมีขันติเพียงใดก็ยังคงเป็นเพียงอิสตรีนางหนึ่ง ได้ยินหนิงเชวียถามคำถามที่ไม่น่าถามถึงสองครั้งติดต่อกันก็รู้สึกโกรธแกมอับอาย ย้อนถามเสียงสั่น

    “แล้วท่านมาทำไม หรือคิดจะมาชิงคัมภีร์พุทธของวัดลั่นเคอ”

    หนิงเชวียรู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิดจึงไม่กล้าต่อปากต่อคำ รีบตอบไปตามความจริง

    “นี่เป็นงานชุมนุมของผู้ฝึกฌาน ข้าเป็นตัวแทนเข้าสู่โลกิยะของสถานศึกษาจึงมิอาจไม่เดินทางมา”

    จากนั้นสีหน้ามันก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง

    “ที่สำคัญคือซังซังของข้าโรคเก่ากำเริบ คราวนี้แม้แต่อาจารย์ก็ยังไม่มีวิธีรักษา บอกแต่เพียงว่าวัดลั่นเคอสามารถรักษาได้ ข้าจึงต้องพานางมาที่นี่”

    ตอนอยู่ในทุ่งร้าง ขณะเดินทางขึ้นเหนือไปด้วยกันเพียงลำพัง ทั้งโม่ซันซันและหนิงเชวียต่างก็ผลัดกันเล่าเรื่องราวของตัวเองออกมา ที่โม่ซันซันเอ่ยถึงอยู่เป็นประจำก็คือสหายร่วมสำนักสวนโม่ฉือ ส่วนที่หนิงเชวียพูดถึงอยู่บ่อยๆ ก็คือสหายร่วมเรียนในสถานศึกษา สหายร่วมรบในเมืองเว่ย และสาวใช้ที่ชื่อซังซัง รวมถึงเรื่องราวในวัยเด็กที่ซังซังกับมันต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน กับโรคที่ติดตัวซังซังมาตั้งแต่ยังแบเบาะ

    คำว่าซังซังของข้าสี่คำนี้โม่ซันซันได้ยินจากปากของหนิงเชวียมานับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเคยเห็นข้อความน้ำตุ๋นไก่ จึงรู้ถึงความสำคัญที่ซังซังมีต่อหนิงเชวียก่อนที่หนิงเชวียจะรู้ใจตัวเองเสียอีก ดังนั้นแม้จะเคยเห็นหน้าซังซังเพียงแค่สองครั้ง ได้พูดจากันยังไม่ถึงสิบประโยค แต่ในความเป็นจริงนางกลับรู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับซังซังเป็นอย่างดี จนถึงขั้นบังเกิดความรู้สึกสนิทสนมราวกับอีกฝ่ายเป็นสหายของตน ดังนั้นพอได้ยินว่าซังซังโรคเก่ากำเริบ นางจึงรีบหันไปมองรถม้าด้วยสีหน้าวิตกห่วงใย

    หนิงเชวียดูออกถึงความจริงใจของนางจึงไม่เพียงรู้สึกอบอุ่นใจ ยังรู้สึกละอายใจขึ้นมาอีกด้วย มันเป็นคนไร้คุณธรรม ทว่าสตรีที่ดีงามทั้งรูปโฉมและจิตใจอย่างนางกลับมีใจให้ นับว่าสวรรค์ช่างเล่นตลกแท้ๆ

    “ที่นั่นมันเรื่องอะไรกัน”

    มันบุ้ยใบ้ไปทางหลวงจีนที่กำลังเดินหมากกับกลุ่มคนที่ยืนมุงอยู่ใต้ต้นไม้

    โม่ซันซันคิดไม่ถึงว่ามันขึ้นเขาหว่าซานมาโดยไม่รู้ถึงกฎของวัดนี้ จึงรีบอธิบาย

    “โอกาสที่จะได้รับการไขข้อข้องใจจากฉีซานต้าซือเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกฌานทุกคนปรารถนา ดังนั้นทุกครั้งที่ต้าซือออกจากถ้ำจะมีผู้ฝึกฌานจำนวนมากโดยเฉพาะพวกที่ไร้ค่ายไร้สำนักแห่ขึ้นเขามา ทว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นสถานที่ปลีกวิเวกของนิกายพุทธ จะปล่อยให้เอะอะจอแจเหมือนตลาดร้านค้าไม่ได้ อีกอย่างผู้ที่มีวาสนากับต้าซือย่อมมิอาจคัดเลือกจากคนนับล้านๆ ได้ ดังนั้นวัดลั่นเคอจึงออกกฎ มีเพียงผู้ฝึกฌานที่สามารถผ่านด่านหมากล้อมทั้งสามกระดานได้เท่านั้นจึงจะสามารถเดินไปถึงหน้าถ้ำ มีคุณสมบัติที่จะถูกฉีซานต้าซือคัดเลือกด้วยตัวเอง”

    หนิงเชวียฟังจบก็นิ่วหน้า

    “เช่นนั้นด่านนี้ต้องเล่นหมากล้อมชนะหลวงจีนเฒ่า จึงจะข้ามสะพานไปได้อย่างนั้นหรือ”

    โม่ซันซันพยักหน้า

    “นั่งเล่นหมากล้อมบนเขาหว่าซานคือธรรมเนียมนิยมในโลกผู้ฝึกฌาน ว่ากันว่าหมากสามกระดานนั้นหนึ่งคือหมากจนมุม หนึ่งคือหมากประลอง อีกหนึ่งคือหมากจวนตัว”

    หนิงเชวียถาม

    “ต้องเอาชนะทั้งสามกระดานเลยหรือ”

    โม่ซันซันตอบ

    “ครั้งที่แล้วที่ฉีซานต้าซือออกจากถ้ำคัดเลือกผู้มีวาสนาเป็นเรื่องเมื่อหลายสิบปีก่อน เหตุการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไรข้าเองก็ไม่รู้ชัด แต่ต้าซือเป็นมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ของนิกายพุทธ คิดว่าคงไม่ได้ตัดสินใจจากเรื่องแพ้ชนะเพียงอย่างเดียว หากผู้มาสามารถแสดงออกถึงสติปัญญาหรือมีคุณสมบัติอื่นๆ ที่โดดเด่นก็เป็นไปได้ที่อาจจะถูกต้าซือเลือก แต่หมากสามกระดานนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเล่น”

    หนิงเชวียถาม

    “เพราะเหตุใด”

    โม่ซันซันตอบอย่างงุนงง

    “เพราะนี่คือกฎที่ได้ตั้งไว้”

    หนิงเชวียส่ายหน้า

    “กฎเป็นสิ่งตายตัว คนกลับไม่ใช่”

    สีหน้ามันขณะกล่าวดูเคร่งขรึมจริงจัง แต่โม่ซันซันรู้ทันจึงถามยิ้มๆ

    “ท่านเล่นหมากล้อมไม่เป็นใช่หรือไม่”

    หนิงเชวียรู้สึกเสียหน้าอย่างแรง แต่ก็ยังปั้นหน้าขึงขัง

    “ข้าชอบการตัดสินแพ้ชนะด้วยดาบหรือกระบี่มากกว่า ไม่ชอบสิ้นเปลืองความคิดไปกับการเล่นหมากล้อม”

    โม่ซันซันเริ่มเป็นกังวล

    “แล้วท่านจะทำอย่างไร”

    หนิงเชวียยักไหล่ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ

    “จะทำอย่างไรได้ ก็ต้องขับรถม้าบุกฝ่าเข้าไปน่ะสิ จะมีใครกล้ามาขวางข้า แต่ถ้า…หลวงจีนพวกนี้คิดทำตัวโง่งม กล้าเป็นปฏิปักษ์กับสถานศึกษา เจ้าจะต้องช่วยข้านะ”

    รอยยิ้มนั้นเผยให้เห็นนิสัยไม่บรรลุเป้าหมายไม่ยอมเลิกราที่ซ่อนอยู่ภายใต้สีหน้าไม่อินังขังขอบของมัน โม่ซันซันรู้สึกปวดใจ แต่ก็อดใจอ่อนมิได้ นางรู้ดี เรื่องราวเกี่ยวพันถึงชีวิตของซังซัง เช่นนั้นต่อให้ที่ขวางอยู่ตรงหน้าคือเฮ่าเทียน หนิงเชวียก็จะต้องใช้ดาบบุกฝ่าเข้าไปอย่างแน่นอน

    ความจริงนี้ทำให้นางรู้สึกริษยา แต่ก็ทำให้นางบังเกิดความนิยมชมชื่นขึ้นมาเต็มหัวใจด้วยเช่นกัน

     

    (หมายเหตุ*** เนื้อหานิยายที่นำมาให้ทดลองอ่านยังไม่ผ่านกระบวนการไฟนอล)

    โปรดติดตามตอนต่อไป…

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in สยบฟ้า พิชิตปฐพี

    นิยายยอดนิยม

    Facebook