• Connect with us

    Enter Books

    1 คนหาย 12 คนตาย (Beef Bone Soup)

    ทดลองอ่าน 1 คนหาย 12 คนตาย

     

     

    การเดินทางข้ามเวลานั้นสามารถทำได้

    ทว่าอันตรายถึงขั้นมีลมหายใจเป็นเดิมพัน

     

     

    บทที่ 1

     

    ทะเลปูซานอยู่ไกลเกินความทรงจำของคุณ คลื่นมหึมาที่สูงกว่าภูเขากลืนกินเมืองทั้งเมืองและแผ่อานุภาพกว้างไกลเกินกว่าที่ควรจะเป็น หลังจากนั้นไม่มีใครรู้ว่าน้ำทะเลปริมาณมหาศาลนั้นหลั่งไหลไปที่ใด และผืนทะเลหายวับไปไหน แล้วพอทะเลหายไปก็ปรากฏแผ่นดินที่ว่างเปล่า ไร้ผู้ครอบครอง

    คนมีอันจะกินพากันย้ายบ้านไปอยู่บนที่สูง ส่วนคนยากไร้ก็สร้างบ้านอยู่บนแผ่นดินที่เคยเป็นทะเล แม้ถูกห้ามด้วยกฎหมาย แต่พวกเขาไม่มีทั้งเงินและสถานที่พำนักพักพิงจึงต้องอยู่ที่นั่น จนเนิ่นนานหลายปีผ่านไปก็กลายเป็นชุมชน โดยเรียกว่าชุมชนด้านล่าง และเรียกเขตที่คนรวยพักอาศัยว่าชุมชนด้านบน เมืองนี้ไม่ได้ถูกตั้งชื่อใหม่และไม่ใช่เมือง ‘ปูซาน’ เช่นเดิมอีกต่อไป สิบปีต่อมาสึนามิได้กลับมาเขมือบชุมชนด้านล่างหายไป ผู้คนมากมายล้มหายตายจาก ผู้ที่มีชีวิตรอดต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พวกเขาก็ยังคงรวมกลุ่มกันสร้างที่พักพิงในบริเวณนั้นอีกครั้ง หลายปีผ่านไปพื้นที่ว่างเปล่าก็ค่อยๆ กลายเป็นชุมชน และพอเวลาผันผ่านหลายสิบปีน้ำทะเลก็หวนกลับมากลืนกินพวกเขาเช่นเดิม

    คนมากมายที่อาศัยในชุมชนด้านล่างต่างมีความคิดว่าจะต้องหาเงินมาให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม เพราะต้องมีเงินเท่านั้นจึงจะขยับขยายย้ายขึ้นไปอยู่ในชุมชนด้านบนเพื่อให้รอดพ้นจากภัยสึนามิครั้งหน้าได้ แต่การหาเงินสำหรับคนในชุมชนด้านล่างนั้นยากลำบากมาก ซึ่งหนึ่งในวิธีหาเงินของพวกเขาก็คือการเรียกร้องความสนใจจากคนในชุมชนด้านบน มันเป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยง ผิดกฎหมาย และต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน

    ถ้าเดินผ่านชุมชนด้านล่างไปยังทิศที่ทะเลหายไปก็จะพบชายหาดแห่งใหม่ บริเวณเวิ้งที่ไม่ไกลจากชายหาดนั้นมีหลุมทะเลสีน้ำเงินขนาดใหญ่ มันมีสีเข้มมากและไม่อาจหยั่งความลึก

    ทุกครั้งที่สึนามิผ่านไปไข้หวัดนกจะระบาดอย่างหนักจนต้องปิดพื้นที่เพื่อควบคุมโรค ผู้คนจึงฆ่าสัตว์เลี้ยงเพื่อความอยู่รอด แต่ฆ่าเท่าไหร่โรคระบาดก็ไม่หายไป จนสัตว์เลี้ยงถูกฆ่าจนหมดและสูญพันธุ์ไปในที่สุด ทำให้มีการคิดค้นวิธีสร้างสัตว์สายพันธุ์ใหม่ไว้กิน แม้รูปร่างลักษณะจะแตกต่างจากเดิม แต่พวกเขาก็พึงพอใจที่ทำให้ตัวเองอิ่มท้องได้

    สัตว์พันธุ์ใหม่นี้มีลักษณะคล้ายหนู แต่มีขนาดใหญ่กว่า เกิดมาเพียงไม่กี่วันตัวก็จะมีขนาดใหญ่ แต่ก็จะไม่เติบโตไปมากกว่านั้น และเพื่อให้ได้รสชาติของเนื้อวัวจึงนำพันธุกรรมของวัวใส่ลงไปและผสมพันธุกรรมของสัตว์อื่นๆ เข้าไปเพื่อสร้างสรรค์รสชาติที่ลงตัว ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมีพันธุกรรมของหนูด้วย เพราะหนูมีการแพร่พันธุ์ที่โดดเด่น สัตว์ชนิดนี้จึงมีหน้าเหมือนหนู ผิวเหมือนหมู และสิ่งเดียวที่เหมือนวัวก็คือกลิ่นสาบ มันไม่มีชื่อเฉพาะ ผู้คนจึงเรียกว่า ‘พวกมัน’

     

     

    บทที่ 2

     

    เขาไม่มีความทรงจำในวัยเยาว์ คล้ายเกิดมาก็เป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่แรก ไม่รู้ว่าเพราะไม่ต้องการจดจำหรือเพราะความทรงจำหายไปจริงๆ ลีอูฮวันเฝ้าแต่คิดว่าตัวเองช่างเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตห่วยแตกสิ้นดี ตอนนี้เป็นเวลาพักยามบ่าย แต่เขากลับไม่มีความทรงจำแสนหวานใดที่ช่วยให้นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ได้อย่างเบิกบาน

    ลีอูฮวันทำงานในร้านอาหาร เขาเป็นเพียงผู้ช่วยที่ยังไปไม่ถึงขั้นหัวหน้าพ่อครัว วันทั้งวันอุดอู้อยู่แต่ในครัวที่คับแคบ มีกลิ่นเหม็น และอบอ้าว พอตกดึกก็อาศัยนอนพักในห้องเล็กๆ ข้างห้องเก็บของที่ทั้งอับ ทั้งหนาว ทั้งร้อน พอถึงรุ่งสางของทุกวันก็ต้องรีบลุกขึ้นไปทำงาน เขาต้องเช็ดขี้ตาขณะที่ถือมีด เริ่มงานด้วยการฆ่าพวกมัน ถ้าพวกมันถูกเชือดแล้วค่อยส่งมาที่นี่คงจะดีไม่น้อย แต่การทำแบบนั้นต้องเสียเงินเพิ่ม ซึ่งเจ้าของร้านเกลียดการจ่ายเงินเพื่อเรื่องแบบนี้ พวกมันจึงถูกส่งมาที่นี่ทั้งที่ยังเป็นๆ ตอนที่พวกมันยังมีชีวิตจะส่งเสียงร้องดังหนวกหู เสียงที่ไม่ใช่ทั้งหนู หมู หรือวัว เขาต้องลงมือเชือดคอฆ่าทีละตัว พอตายแล้วก็ถลกหนังออกตั้งแต่ส่วนสะโพก ตั้งแต่ลงมือฆ่าจนถลกหนังทั้งตัวใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง จากนั้นจึงหั่นแบ่งเป็นสามส่วน ถ้าตัวใหญ่หน่อยก็จะถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน โดยไม่มีการแยกเครื่องในออกจากตัวของพวกมัน โดยมีเหตุผลว่าเพื่อคงรสชาติของน้ำซุป จากนั้นก็ใส่พวกมันลงไปในหม้อใบใหญ่แล้วเติมน้ำ เคี่ยวไปเรื่อยๆ ให้พวกมันเปื่อยจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม ยิ่งเคี่ยวกลิ่นสาบก็ยิ่งโชย ซึ่งผู้คนเข้าใจว่าสิ่งนี้คือกลิ่นของน้ำซุปเนื้อ

    อูฮวันไม่กินซุปที่ขายในร้าน เขาเคยกินครั้งหนึ่ง แต่มันเป็นรสชาติที่ไม่มีในความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำที่ดีหรือไม่ดีก็ไม่มีในความทรงจำเลย เขาปฏิเสธเมื่อหัวหน้าพ่อครัวจะสอนวิธีทำน้ำซุปให้ เขามีอายุสี่สิบกลางๆ และคิดที่จะเป็นผู้ช่วยพ่อครัวแบบนี้ไปเรื่อยๆ

    ร้านอาหารนี้ประกอบไปด้วยเจ้าของร้าน หัวหน้าพ่อครัว และผู้ช่วยพ่อครัวสองคน เจ้าของร้านเป็นชายชราวัยแปดสิบปลายๆ ทว่าแข็งแรงผิดกับอายุ แม้จะไร้แขนขวา แต่ยังดูคล่องแคล่ว ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุและเรื่องราวในอดีตที่ทำให้เขาสูญเสียแขนข้างนั้น และทุกคนก็ไม่ได้สนใจประวัติชายชราสักเท่าไร

    เจ้าของร้านชอบเรียกคนให้มาพูดคุยด้วย ส่วนมากจะเป็นหัวหน้าพ่อครัวที่ต้องไปนั่งตรงหน้าเพื่อฟังเรื่องราวต่างๆ ทุกครั้งเจ้าของร้านจะเล่าเรื่องซุปที่เคยกินในอดีตให้ฟัง และวันนี้เจ้าของร้านก็กำลังเล่าเรื่องนั้นให้หัวหน้าพ่อครัวฟังเหมือนเช่นเคย

    น้ำซุปเคี่ยวมาจากส่วนไหนของวัวบ้าง และต้องใส่ต้นหอมลงไปด้วย มันถูกเรียกว่า ‘คมกุก’ บ้างก็เรียกว่า ‘คมทัง’ น้ำซุปของมันกลมกล่อมมากขนาดไหน เนื้อที่อยู่ในน้ำซุปอร่อยเพียงใด แค่เห็นหน้าของเจ้าของร้านที่พร่ำละเมอเพ้อฝันถึงก็ทำให้อูฮวันอยากลิ้มลองดูสักครั้ง ผิดกับหัวหน้าพ่อครัวที่มีสีหน้าลำบากใจทุกคราวที่ได้ยินเรื่องของคมทังจากเจ้าของร้าน จริงๆ แล้วหัวหน้าพ่อครัวเคยกินคมทังสมัยที่ยังเล็กมาก แต่จำไม่ค่อยได้ หัวหน้าพ่อครัวเองก็ได้แต่ทำน้ำซุปที่ขายในร้านตามคำบอกของเจ้าของร้าน เขาไม่มีเคล็ดลับหรือวิธีการพิเศษเพิ่มเติม แต่เจ้าของร้านก็ไม่ยอมแพ้ ดูท่ารสชาติของคมทังจะเลิศเลอมากไม่อย่างนั้นเจ้าของร้านคงไม่เล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ทุกวัน และทุกครั้งที่เล่าก็จะใส่อารมณ์และน้ำเสียงตื่นเต้นมาก

    หลังจากอูฮวันปิดร้านเสร็จและกำลังจะเตรียมเข้าห้องหัวหน้าพ่อครัวก็เรียกเขาไว้พร้อมทำหน้าสับสนไม่ต่างจากตอนที่กำลังฟังเรื่องเล่าจากเจ้าของร้าน

    “เอ่อ…รู้จักอารงซาแท* มั้ย”

    “อะไรซาแท** นะครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”

    ‘ซาแท’ ที่อูฮวันรู้จักและเข้าใจนั้นมักจะใช้เรียกสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีหรือเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แล้วคำว่า ‘อารงซาแท’ ก็ฟังดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ อูฮวันจึงสังหรณ์ใจว่าอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร แล้วหัวหน้าพ่อครัวก็ค่อยๆ พูดต่ออย่างยากลำบาก

    “นาย…ชอบท่องเที่ยวมั้ย”

    “…”

    อูฮวันพอจะเดาสถานการณ์ได้บ้างแล้ว ตอนนี้คงเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นจึงอยากให้เขาออกเดินทาง แต่มันเกิดอะไรขึ้นนะ ขณะที่ลีอูฮวันกำลังซาบซึ้งที่อีกฝ่ายใส่ใจเขา แต่พอคิดดูดีๆ หัวหน้าพ่อครัวไม่ใช่คนที่พอเกิดเหตุอะไรขึ้นแล้วจะใส่ใจคนอื่น บางทีนี่อาจจะเป็นการบอกใบ้ให้เขาลาออกจากงานก็ได้ เขาทำงานที่นี่มานานยิ่งกว่าหัวหน้าพ่อครัว แต่กลับเป็นเพียงผู้ช่วยเท่านั้น และร้านนี้ก็ยังมีผู้ช่วยอยู่อีกคนชื่อบงซู ซึ่งบงซูนั้นแต่งงานแล้ว ไม่ว่าจะคิดในด้านไหนการตัดเขาออกเป็นอันดับแรกก็ดูสมเหตุสมผล แต่เรื่องราวกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น

    บงซูโมโหมาก

    “แล้วนายรู้เหรอว่าไอ้อารงซาแทมันเป็นยังไง”

    “เขาวาดรูปให้ดู”

    อูฮวันยื่นภาพวาดอารงซาแทซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนหลายภาพที่หัวหน้าพ่อครัววาดให้ดู บงซูจ้องภาพนั้นพร้อมทำหน้าเคร่งเครียด เพราะเขาเองก็เพิ่งเคยเห็นอารงซาแทที่ว่านี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ภาพวงกลมที่ก็ไม่กลมเสียทีเดียว คล้ายก้อนบูดๆ เบี้ยวๆ เหมือนจะวาดวงกลมแล้วถูกใครมาดึงแขน บงซูตกอยู่ในสภาพงุนงงเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ

    “บ้า ดูภาพนี้แล้วจะทำให้หาซาแทนั่นเจอได้ยังไง”

    “…”

    “โธ่เอ๊ย แค่อยากให้ซุปมีรสชาติดีต้องทำให้คนรู้สึกโง่เง่าแบบนี้ด้วยเหรอ”

    “…”

    “เฮ้ย! แล้วไอ้เรื่องท่องเวลาอะไรนั่นน่ะ ไม่เคยเห็นใครไปแล้วได้กลับมา ทุกคนตายหมด ถ้าการท่องเวลามันดีจริง ทำไมถึงให้คนไม่มีอะไรเลยอย่างพวกเราไปล่ะ ทำไมต้องส่งคนที่ต้องการเงินไปด้วย ก็เพราะมันอันตรายไงล่ะ อันตรายยิ่งกว่าคำว่าอันตรายใดๆ จะให้ร้านอาหารนี้เป็นการตอบแทนแล้วยังไง ไหนนายบอกว่าไม่เคยคิดอยากเป็นหัวหน้าพ่อครัว นายอาจไปที่โน่น เรียนวิธีการทำคมทังแล้วหาเนื้อส่วนน่องมาได้ แต่ถ้านายตายทุกอย่างก็สูญเปล่าอยู่ดี ตายแล้วก็จบเห่”

    “…”

    ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินอย่างเดียวหรอก แม้จะตกลงรับเงินมาครึ่งหนึ่งก่อนออกเดินทางและที่เหลือค่อยรับหลังเสร็จงานก็เถอะ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ค่อยจำเป็นนักสำหรับคนที่จะท่องเวลา เพราะเงินครึ่งหนึ่งที่รับก่อนออกเดินทางใช้ได้แค่ในปัจจุบันนี้ ส่วนอีกครึ่งที่เหลือมีน้อยคนที่จะรอดชีวิตกลับมารับเงินส่วนนั้น และก็ไม่ใช่เพราะเจ้าของร้านสัญญาว่าจะยกร้านให้ด้วย แต่เพราะลีอูฮวันนั้นไม่กลัวความตาย หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือเขาไม่ยึดติดกับการมีชีวิตอยู่

    เขาเกิดมาเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่แรก ในสมองคิดแต่ว่าตัวเองเป็นเพียงผู้ใหญ่ที่ไร้ค่าและยากจน จะตายเมื่อไรก็ไม่สำคัญ

    “จะอยู่หรือตายก็ไม่แตกต่าง”

     

    เพิ่งเคยมาบริษัททัวร์กาลเวลาเป็นครั้งแรก มีคำสวยหรูเขียนติดเอาไว้มากมาย แต่ไม่มีคำไหนที่เขียนเกี่ยวกับความตาย และทุกคนที่มาที่นี่ก็ล้วนแต่มีชีวิตที่ยากลำบาก ถึงตายไปก็ไม่เป็นไรเหมือนอูฮวัน สิบสามชีวิตคือจำนวนสูงสุดที่จะโดยสาร ‘เรือแห่งกาลเวลา’ ได้ มีหลายคนรบเร้าขอไปเพิ่ม แต่พนักงานปฏิเสธ เพราะเรือไม่อาจบรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวน อูฮวันกวาดตามองแล้วนับจำนวนคน พบว่าที่นี่มีทั้งหมดสิบสามคนพอดิบพอดี รวมตัวเขาเองด้วย

    พนักงานแจกนาฬิกาให้พวกเขาพร้อมกำชับว่าไม่ให้เปิดใช้งานพร่ำเพรื่อ แต่ให้เปิดหลังจากทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงแล้ว พอเปิดนาฬิกาเวลาของเรือที่จะพากลับก็จะปรากฏขึ้นและให้ไปยังสถานที่ที่ลงเรือตามเวลานั้น ถ้าพลาดเรือลำแรกก็ต้องรอเวลาเพื่อขึ้นเรือลำต่อไป แต่ก็ไม่รู้ว่าลำต่อไปจะมาอีกเมื่อไหร่…และต้องจดจำให้ขึ้นใจว่าห้ามไม่ให้คนที่นั่นรู้ว่าตัวเองเป็นนักเดินทางข้ามเวลา อย่าพูดอะไรกับตำรวจที่นั่น ถ้าเป็นไปได้ก็ให้รีบกลับและต้องกลับมาให้ได้ เพราะคนที่เดินทางข้ามเวลาไปจะไม่มีตัวตนหรือสถานภาพใดๆ และไม่อาจอยู่ที่นั่นได้นาน ถ้ากลับมาไม่ได้ทางบริษัทก็จะไม่ได้รับเงินค่าจ้างที่เหลือ ดังนั้นทุกคนควรจะมีชีวิตรอดกลับมา บริษัทจึงจะไม่เสียรายได้

    อูฮวันไม่เคยไปท่องเที่ยว เขาคิดว่าอย่างน้อยบรรยากาศของการไปท่องเที่ยวก็น่าจะดูสดใส แต่ที่นี่ในตอนนี้ทุกคนดูอึดอัด ไม่เหมือนคนดีใจที่จะได้ออกไปท่องเที่ยวเลย พนักงานไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าทำไมจึงเกิดการเสียชีวิตระหว่างทาง พูดแค่ว่ามันมีหลุมที่เรียกว่า ‘บลูโฮล’ ที่เชื่อมต่อระหว่างตรงโน้นกับตรงนี้สั้นๆ และไม่อธิบายว่าควรท่องเวลายังไง คล้ายกับว่าพนักงานพยายามประหยัดคำพูดให้มากที่สุด เขาไม่แน่ใจว่าพนักงานมีนิสัยพูดน้อยอยู่แล้ว หรือไม่ต้องการเปลืองน้ำลายกับคนที่จะไปตายกันแน่

    แต่อูฮวันไม่ได้ใส่ใจพนักงานเท่าไรนัก เพราะกำลังสนใจคนอีกสิบสองคนที่จะขึ้นเรือไปด้วยกัน ทำไมคนเหล่านี้จึงต้องมาขึ้นเรือ เพราะอะไรถึงต้องมาทำแบบนี้ มีหลายคำถามผุดขึ้นในใจ แต่บรรยากาศในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้ถาม และในจำนวนคนเหล่านี้มีคนที่อายุยังน้อย น่าจะสักประมาณยี่สิบ

     

    ทุกคนขึ้นรถที่ทางบริษัทเตรียมไว้ รถวิ่งตัดชุมชนด้านล่างมุ่งหน้าไปยังฝั่งทะเล จนในที่สุดก็มองไม่เห็นชุมชนด้านล่าง รถกำลังแล่นอยู่บนทะเลไร้น้ำแล้วราตรีก็คืบคลานเข้ามา

    ในที่สุดรถก็หยุดลง ทันทีที่เสียงเครื่องยนต์ดับก็ได้ยินเสียงน้ำกระทบผืนดิน พอพนักงานเปิดไฟจึงได้รู้ว่ามันคือทะเลสีดำและมองเห็นเรือลำหนึ่ง หลังจากที่ทุกคนลงเรือเรียบร้อยมันก็แล่นไปบนท้องทะเล แล่นไปได้ไม่ไกลนักก็ปรากฏบริเวณที่ดำสนิท มันคือหลุมนั่น เรือแล่นอยู่บนผืนทะเลสีดำและหยุดลงตรงบริเวณที่ดำมืดกว่าเมื่อกี้ ตรงนั้นมีเรืออีกลำจอดรออยู่ ด้านหนึ่งมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมยาวๆ มุมทั้งสองโค้งมนราวกับผ่านการสึกหรอมาพอสมควร เรือลำนั้นโคลงเคลงไปมา มองผิวเผินจะเห็นเป็นสีขาว แต่ถ้าเพ่งมองอย่างพิจารณาจะเห็นว่ามันโปร่งใส

    ทุกคนได้รับยาสีน้ำเงินคนละเม็ดก่อนขึ้นเรือ พนักงานบอกว่ามันมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ และทุกคนจะตื่นขึ้นเองเมื่อถึงเวลา เข็มขัดนิรภัยจะล็อกอัตโนมัติเมื่อประตูถูกปิดลง ประตูจะเปิดได้ด้วยมือหากเกิดกรณีฉุกเฉิน แต่โดยทั่วไปแล้วมันจะเปิดเองอัตโนมัติเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง สิ่งที่นักท่องเวลาต้องทำมีเพียงลืมตาขึ้นเมื่อถึงที่หมายเท่านั้น และพนักงานยังพูดเล่นทิ้งท้าย แต่กลับเป็นมุกฝืดที่ไม่มีใครหัวเราะออกมา เขากล่าวล้อเล่นว่าถ้าได้ลืมตาก็หมายความว่ายังมีชีวิตอยู่ และถ้ามองเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือศีรษะก็แสดงว่าถึงจุดหมายปลายทาง แล้วพนักงานก็เอ่ยถามขึ้นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายว่า

    “ทุกคนว่ายน้ำเป็นใช่มั้ยครับ”

    เมื่อสิบสามชีวิตนั่งประจำที่บานประตูเหนือศีรษะก็ค่อยๆ ปิดลง เข็มขัดนิรภัยล็อกอัตโนมัติ เรือค่อยๆ ดำดิ่งลงน้ำให้ความรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนลากลงไป ทุกคนรีบกลืนยาที่ได้รับทันที อูฮวันต้องการจะชมต่ออีกหน่อยว่าภายในหลุมลึกนั่นเป็นแบบไหน จะผ่านไปได้ยังไง ตั้งแต่เกิดมาเขาก็เพิ่งเคยมีความสงสัยแบบนี้เป็นครั้งแรก เรือดำดิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ลึกลงเรื่อยๆ จมลึกสู่ใต้ท้องทะเล ไม่นานนักเขาก็เริ่มปวดหัว เหมือนบรรยากาศรอบๆ กำลังกดทับศีรษะอยู่จนราวกับหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในขณะที่ทุกคนเข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับใหลแล้ว อูฮวันก็รีบล้วงยาเม็ดแล้วกลืนลงท้อง

     

    * อารงซาแท คือเนื้อบริเวณส่วนน่อง โดยวัวหนึ่งตัวจะแล่เอาเนื้ออารงซาแทมาได้ประมาณสองชิ้น เนื้อมีลักษณะเป็นลายตาข่ายและเป็นส่วนที่เหมาะแก่การทำเนื้อดิบ

    ** ซาแท (사태) เขียนและออกเสียงเหมือนคำว่าน่องในภาษาเกาหลี แต่ซาแทคำนี้แปลว่าภาวะหรือสถานะ

     

     

    บทที่ 3

     

    อาการปวดหัวปลุกอูฮวันให้ตื่น สายตาค่อยๆ มองเห็นท้องฟ้าสีดำด้านบน

    “…”

    เข็มขัดนิรภัยถูกปลดแล้ว อูฮวันลุกขึ้นกลางเรือที่กำลังโคลงเคลง เมื่อทรงตัวได้จึงค่อยๆ กวาดตามองรอบๆ คนอื่นๆ ยังคงหลับตา แต่กลับอยู่ในสภาพอ้าปากค้างโดยมีของเหลวสีน้ำเงินไหลออกมาเหมือนกันหมด ทำให้ภายในปากของพวกเขาเป็นสีน้ำเงินเหมือนยาเม็ดที่กินเข้าไปก่อนออกเดินทางกำลังละลายอยู่เต็มปาก เขารู้สึกดีใจที่ตัวเองผ่านหลุมนั่นมาได้ และจ้องคนพวกนั้นอยู่นาน ร่างของทุกคนกำลังโอนเอนไปตามการโคลงของเรือ ทุกคนเสียชีวิตแล้ว สิบสามชีวิตที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันเมื่อถึงจุดหมายปลายทางกลับหมดลมไปแล้วถึงสิบสองชีวิต มีการท่องเที่ยวแบบนี้ด้วยเหรอ ทั้งๆ ที่การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางครั้งแรกของทุกคน

    น่าจะเอ่ยถามคนอื่นๆ ก่อนออกเดินทางว่าทำไมจึงต้องการไป ทำไมจึงต้องการเงิน หรือสนทนาอะไรก็ได้สักสองสามประโยค แม้แต่ตอนนี้ก็ยังอยากถามว่าถ้ารู้ว่าจะต้องตายไปง่ายๆ อย่างนี้แล้วยังจะมาอีกหรือไม่ แต่ทันใดนั้นท้องไส้เขาก็เริ่มปั่นป่วนจนทนไม่ไหว จึงรีบวิ่งไปอาเจียนลงทะเล ภายนอกยังคงมืดสนิทเหมือนตอนก่อนออกเดินทาง เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือทะเลของที่ไหน ร่างจึงสั่นสะท้านด้วยรู้สึกสับสนและว้าวุ่น แววตาที่สั่นไหวค่อยๆ กวาดมองไปรอบกายและขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ในตอนนั้นเองก็เริ่มเห็นแสงไฟที่อยู่ห่างออกไปไกล เมื่อมีแสงไฟย่อมมีสิ่งมีชีวิต แสงไฟนั่นช่วยย้ำบอกว่าเขาได้มาถึง ‘สถานที่อื่น’ แล้ว เพราะถ้าเป็นชุมชนด้านล่างแสงไฟจะไกลห่างกว่านี้และดูเงียบเหงายิ่งกว่านี้มาก

    อูฮวันรอคอย แต่ไม่มีเรือมารับ ในที่สุดเขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพนักงานจึงถามว่าว่ายน้ำเป็นหรือไม่ แม้คลื่นจะซัดสาดเรืออยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ระยะห่างระหว่างเขากับแสงไฟนั่นใกล้กันขึ้นเลย เขายกข้อมือเพื่อดูนาฬิกา จากนั้นก็หยิบแผนที่ที่หัวหน้าพ่อครัววาดให้ออกมาดู เมื่อกี้เขาอาเจียนไปแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ร่างกายกลับหมดเรี่ยวหมดแรง จึงไม่มั่นใจว่าจะว่ายน้ำไปยังสถานที่ที่มีแสงไฟได้ สุดท้ายเขาอาจจะตายเหมือนคนอื่น แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นเขาก็ถอดรองเท้าแล้วเอามาผูกไว้ที่เอวพร้อมกับคิดว่าก็แค่กระโดดลงทะเลไม่เห็นจะเป็นไร ในตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนไหว พอหันกลับไปมอง ผู้ร่วมทางทุกคนยังคงอยู่ในสภาพที่ไร้ลมหายใจเหมือนเดิม แต่ขณะจะหันหน้ากลับเขาก็เห็นนิ้วหนึ่งกำลังกระดิกอยู่

    อูฮวันเดินไปใกล้คนคนนั้นแล้วเขย่าร่างอีกฝ่ายไปมา แต่ร่างนั้นก็ยังคงไม่ยอมลืมตา เขาจึงเริ่มตบหน้า ตบซ้ำหลายครั้ง จนในที่สุดอีกฝ่ายก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นแล้วอาเจียน คนคนนี้อายุราวๆ ยี่สิบปี แม้จะมีของเหลวสีน้ำเงินเปรอะเต็มปาก แต่ดวงตากลับกระจ่างใส อูฮวันหรี่ตามองผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่เป็นเพื่อน เป็นคนเดียวที่รู้ว่าเขามาจากที่ไหน และเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าพวกเขาไม่มีตัวตนในที่แห่งนี้ อูฮวันยื่นมือออกไปให้เด็กหนุ่มที่พยายามพยุงตัวลุกขึ้น แต่เด็กหนุ่มกลับมีท่าทีลังเล อูฮวันจึงส่งสายตาเพื่อจะบอกว่าเหลือเพียงเราสองคนเท่านั้น แถมยังต้องว่ายน้ำข้ามต่อไปอีก เราต้องร่วมมือกัน ซึ่งดูเหมือนเด็กหนุ่มจะอ่านสายตานั้นออกจึงคว้ามือของอูฮวันไว้ วินาทีนั้นอูฮวันรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังขอบคุณอยู่ เขาจึงเพิ่มแรงให้มือที่ช่วยพยุง

    อูฮวันช่วยเด็กหนุ่มถอดรองเท้าแล้วผูกไว้ที่เอว ท่าทางคล่องแคล่วราวกับมาถึงที่นี่ก่อนนานมาก ทั้งคู่กระโดดลงทะเลเย็นยะเยือก พยุงตัวไม่ให้จม ก่อนจะรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีว่ายน้ำมุ่งหน้าไปยังแสงไฟ

    ไม่รู้ว่าใครลากใครหรือคลื่นทะเลช่วยหนุน พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าแสงไฟกำลังอยู่ใกล้กับพวกเขามาก มันคือแสงไฟของเมืองเมืองหนึ่ง อูฮวันตกตะลึงกับแสงไฟจนพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้เป็นเวลาดึกสงัดจึงยากที่จะพบเห็นผู้คนตามบริเวณชายหาด บนฝั่งมีคนแต่ไม่มีใครสนใจพวกเขา ทั้งที่พวกเขาเสี่ยงชีวิตมาจนถึงที่นี่ แต่ก็ไม่มีใครสนใจเลย ซึ่งพวกเขารู้สึกโล่งอกที่เป็นเช่นนั้น ขณะที่อูฮวันกำลังมองดูแสงไฟ เด็กหนุ่มที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยกันกลับเดินนำหน้าเขาไปแล้ว อูฮวันจึงร้องเรียกพลางเอ่ยถามชื่อของอีกฝ่าย

    “คิมฮวายองครับ”

    พอเอ่ยถามว่ามาที่นี่ทำไม เด็กหนุ่มกลับอึกอักคล้ายไม่กล้าตอบ อูฮวันจึงคิดจะบอกเหตุผลของตัวก่อน แต่กลับเกิดความลังเลที่จะบอกเหตุผลที่ตัวเองอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตมา ทั้งที่ปกติเขาไม่ใช่คนพูดจาติดขัด

    “เอ่อ มันเรียกว่าอารงซาแท ไม่สิ เนื้อส่วนน่อง ไม่ใช่สิ เอ่อ…ผมมาที่นี่เพื่อเรียนรู้วิธีเคี่ยวน้ำซุป ที่นี่มีร้านที่ปรุงซุปเนื้อที่เรียกว่าคมทังได้อร่อย ผมจะไปสมัครทำงานที่นั่นเพื่อเรียนรู้วิธีทำ พอเรียนรู้เสร็จแล้วก็จะหาซื้อเนื้อส่วนน่องกลับไปด้วย อืม คงซื้อกลับไปได้ไม่เยอะหรอก เอ่อ หัวหน้าพ่อครัววาดรูปเนื้อส่วนน่องมาให้ด้วย คงหาซื้อกลับไปได้ไม่ยาก แต่เพราะต้องขนใส่เรือยังไงก็คงเอาไปได้ไม่เยอะ เอ่อ…”

    “ผมมาเพื่อฆ่าคน”

    “หือ?”

    เด็กหนุ่มที่ชื่อคิมฮวายองคงหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ถ้าเป็นคนที่มาจากชุมชนด้านล่างก็ย่อมทำได้ทุกอย่าง อูฮวันเองก็รู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นคำตอบที่บอกว่ามาเพื่อฆ่าคนก็ยังทำให้เขาอึ้งอยู่ดี และเพราะอึ้งจึงถามในสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป

    “คะ…ใครเหรอ”

    “ยังไม่ทราบครับ”

    ฮวายองเดินหายเข้าไปในเมือง ส่วนเขาก็ได้แต่รอให้ค่ำคืนผ่านไป เวลาที่มองทะเลจนเบื่อก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างนั้น จนในที่สุดดวงอาทิตย์สีส้มก็ค่อยๆ ลอยโผล่พ้นขอบทะเล เขาใส่รองเท้า ถอดเสื้อคลุม แล้วเดินมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง

    ผ่านเดือนพฤษภาคมมาครึ่งทางแล้ว ในท้องทะเลมีเรือที่พวกเขาโดยสารมากำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ เรือที่ดูเหมือนเป็นสีขาว แต่พอเพ่งมองก็เห็นว่าโปร่งใส คลื่นซัดสาดจนเรือโคลงเคลงไปมา จนบางครั้งก็มองเห็นผู้โดยสารบนเรือ บางครั้งก็มองไม่เห็นสลับไปสลับมาอยู่อย่างนั้น

     

     

    บทที่ 4

     

    แขนซ้ายของเขายาวกว่าแขนขวา ดังนั้นทุกครั้งเมื่อเห็นช่องว่างของศัตรูไม่ว่าจะเป็นหน้าท้องหรือใบหน้า เขาก็มักจะใช้แขนซ้ายยื่นออกไปก่อนเสมอ ลีซุนฮีทำแบบนั้นด้วยสัญชาตญาณล้วนๆ แม้กำลังถูกหลายคนรุมล้อม แต่สายตาของเขาก็ยังเห็นช่องว่างของศัตรูได้อย่างชัดเจนราวกับสวมแว่นขยาย

    บัดซบจริงๆ ทำไมต้องนึกถึงแว่นขยายด้วย ซุนฮีเกลียดภาพของพ่อที่อายุยังไม่ถึงห้าสิบ แต่กลับสวมแว่นสายตาแล้ว ขนาดชุลมุนขนาดนี้ยังจะมีเวลานึกถึงแว่นขยายอีก เขาโมโหตัวเองมากที่เอาแว่นขยายมาอธิบายความสามารถของตัวเอง ยิ่งโกรธก็ยิ่งเพิ่มแรงที่หมัด เขาจำไม่ได้ว่าการตะลุมบอนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ในสมองคิดเพียงแต่ว่าจะออกไปจากที่นี่ดีหรือจะทำแบบนี้ต่อดี ทั้งที่ตอนนี้ใกล้จะจบมัธยมปลายแล้ว แต่ไอ้เวรพวกนี้ก็ตามมาถึงโรงเรียนแล้วชวนมีเรื่อง น่าหงุดหงิดชะมัด แถมวันนี้อากาศยังร้อนมากอีกต่างหาก ระหว่างนั้นคู่ต่อสู้คนหนึ่งก็ขยับเสื้อไปมาเพื่อระบายอากาศ เขาจึงใช้โอกาสนี้เตะหมอนั่นอย่างแรง

    นักเรียนจากโรงเรียนอื่นยกพวกมาหาเรื่องกลุ่มของเขา เพื่อนร่วมห้องของเขาจึงกำลังยืนมุงดูอยู่รอบๆ ไม่มีใครเสนอตัวเข้ามาช่วยเลยทั้งที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันแท้ๆ คนพวกนั้นได้แต่มุงดูเพียงอย่างเดียว ภาพที่ออกมาจึงเป็นภาพของเด็กชุดนักเรียนสีน้ำเงินกำลังตะลุมบอนกับเด็กชุดนักเรียนสีขาว โดยมีเด็กชุดนักเรียนสีขาวยืนล้อมเป็นวงกลมอยู่

    ทันใดนั้นเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น ซุนฮีคิดว่าเขาคงทำให้ใบหน้าของใครเลือดออกอีกแล้ว มันเป็นเสียงร้องที่ดังมากและดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้พากันหวาดกลัว แต่ซุนฮีกลับรู้สึกแตกต่าง เพราะเสียงร้องนี้จะทำให้มีคนออกวิ่ง และคนที่จะวิ่งนำหน้าใครๆ ก็คือเขาเอง ในงานกีฬาสีประจำฤดูใบไม้ร่วงสมัยประถม สิ่งที่เขาถนัดไม่ใช่การชกต่อย แต่เป็นการวิ่ง เขามั่นใจว่าตนเองวิ่งชนะคนห้าคนได้ ยิ่งถ้ามีแม่มาดูเขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองวิ่งได้เก่งเหนือใคร ให้วิ่งสิบรอบสนามเขาก็ทำได้ แต่ตอนนี้แม่ไม่อยู่แล้ว แม่เสียชีวิตแล้ว ยิ่งคิดถึงแม่ก็ยิ่งโมโห แรงหมัดจึงยิ่งหนักขึ้นอีก

    พอตั้งสติได้ก็พบว่ามีเพียงซุนฮีเท่านั้นที่ยังคงขยับอยู่ คนอื่นๆ ถ้าไม่ล้มระเนระนาดก็ยืนนิ่งกันหมด ซุนฮียกหมัดที่เปื้อนเลือดเช็ดเลือดบนใบหน้าของตัวเอง เสียงร้องเบาบางลงไปแล้ว ตอนนี้กลายเป็นเวทีฉายเดี่ยวสำหรับเขา ขณะที่กำลังกระหยิ่มยิ้มย่องและมองไปรอบๆ อยู่นั้นเอง เท้าก็พลันสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างจนล้มลง พอหันไปมองจึงพบว่ามีชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่

    ซุนฮีไม่รู้เลยว่าชายคนนี้อยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ด้วย เขาไม่ได้สวมชุดนักเรียน และเป็นคนที่ซุนฮีไม่เคยสบตาในระยะตะลุมบอน ชายคนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่อาจารย์ ไม่ใช่ยาม หรือแม้แต่ใครๆ ที่ซุนฮีรู้จัก เป็นเพียงผู้ใหญ่แปลกหน้า นักเรียนหญิงสองสามคนถึงกับเป็นลม ขนาดซุนฮีเองยังหวาดผวาและตะเกียกตะกายถอยด้านหลังทั้งๆ ที่ยังล้มอยู่กับพื้น ตอนนี้คนที่เหลืออยู่บนพื้นมีเพียงเขากับชายแปลกหน้า เลือดของอีกฝ่ายเปื้อนกางเกงซุนฮี ทุกครั้งที่พยายามขยับหนี เลือดบนพื้นก็คล้ายไหลตาม

    บริเวณเอวของชายแปลกหน้าเหมือนกับสิ่งที่เขาเคยเห็นในหนังดังที่มีฉลามโผล่ออกมา คล้ายถูกอะไรบางอย่างกัดกระชากจนเป็นรอยแหว่งขนาดใหญ่ อะไรบางอย่างที่ว่านั่นคงมีปากที่กว้างมาก อวัยวะที่ควรอยู่ในท้องกระจัดกระจายเต็มพื้นห้องเรียน นักเรียนหญิงอีกคนเป็นลมล้มพับลง ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าส่วนที่เป็นแผลนั้นมีลักษณะคล้ายเว้าเข้าไปเป็นวงกลม เหมือนใครบางคนได้ร่างวงกลมไว้บนร่างก่อน แล้วใช้มีดกรีดตามเส้น ตัดออกให้เป็นวงกลมอย่างเรียบเนียน แต่ไม่มีนักเรียนคนไหนมีสติสัมปชัญญะเพียงพอที่จะสังเกตเห็นรายละเอียดเหล่านี้ ไม่มีใครในห้องเรียนที่สังเกตเห็นมัน ไม่มีใครสังเกตเห็นชายคนนี้เข้ามาในห้องเรียน และไม่มีใครเห็นชายคนนี้ตอนเสียชีวิต

     

     

    บทที่ 5

     

    ‘คงชอบทะเลมากสินะครับ’

    เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามยางชังกึน ตอนเจอกันครั้งแรกเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเพียงนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสอง ตอนนั้นชังกึนเพิ่งย้ายเข้ามาทำงานในสถานีตำรวจนี้เป็นวันแรก วันนั้นเด็กหนุ่มไม่ได้วิ่งอยู่บนถนน แต่กลับวิ่งอยู่บนดาดฟ้าของบ้านคนอื่นจนทำกระถางดอกไม้แตกหลายใบ เจ้าของบ้านจึงจับตัวส่งตำรวจ เวลานั้นไม่มีใครอยากรับผิดชอบงานแบบนี้จึงโยนมาให้เขาที่เพิ่งย้ายมาจากพื้นที่อื่น เขามีประสบการณ์เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องจากหลายปีกลายเป็นหลายสิบปี ตอนที่บอกเด็กหนุ่มว่าจะย้ายจากอินชอนไปปูซาน ตอนนั้นเด็กหนุ่มถามชังกึนเป็นครั้งสุดท้ายว่าชอบทะเลเหรอ

    เขาไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าทั้งอินชอนและปูซานต่างก็มีทะเล แต่เขาไม่เคยคิดถึงประเด็นที่ว่าตนเองชอบหรือไม่ชอบทะเล เขาก็แค่ชอบสูบบุหรี่แล้วเดินตามทางไปเรื่อยเปื่อย

    เขามองเห็นทะเลนานแล้วจึงจอดรถแล้วก้าวเดินออกมา ปากคาบบุหรี่พร้อมกับมองทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล นี่เป็นทะเลของปูซาน

    เขาเคยคิดที่จะอาศัยอยู่ที่อินชอน แต่กลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะคดีประหลาดคอยเฝ้าหลอกหลอนอยู่ตลอด ทั้งที่จับฆาตกรได้แล้ว คดีก็ปิดแล้ว แต่ใจเขาก็ยังไม่สงบ สมองยังคงเฝ้าคิดแต่เรื่องเดิมๆ วนเป็นวงกลมอยู่อย่างนั้นจนฝังรากหยั่งลึกเข้าไปในก้านสมอง แล้วเริ่มลามไปเบียดเบียนแย่งพื้นที่ความทรงจำอื่นๆ คนทั่วไปมักจะจดจำเฉพาะความทรงจำที่งดงาม ใช้มันหล่อเลี้ยงช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของตัวเอง แต่เขากลับอยู่กับความทรงจำอย่างนั้นเป็นสิบปีกว่าจะยื่นขอย้ายพื้นที่ หัวหน้าทีมเคยถามเขาว่าทำไมต้องเป็นปูซาน ซึ่งเขาก็ได้ให้คำตอบไปแล้ว ตอนนี้เขาสูบบุหรี่พลางนึกถึงคำตอบนั้นอีกครั้ง

    ‘จะไปดูหน่อยครับว่าทะเลที่โน่นแตกต่างจากที่นี่ยังไง’

    ตอนแรกชังกึนยังนึกว่าตัวเองมาผิดที่ แค่ห้องทำงานแคบก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ที่นี่กลับเต็มไปด้วยนักเรียนสวมเครื่องแบบมากมาย ได้ยินมาว่านักเรียนเหล่านี้ถูกจับเพราะเหตุทะเลาะวิวาท เสียงดังหนวกหูเป็นที่สุด สำเนียงคนปูซานปกติก็ดังโหวกเหวกเหมือนคนทะเลาะกันอยู่แล้ว ยิ่งอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งเหมือนมีแต่คนทะเลาะกันเต็มไปหมด พอเหลียวมองรอบกาย เขาก็คิดว่าการแนะนำตัวหรือเอ่ยทักทายคงไม่มีประโยชน์เท่าไหร่นัก จึงมองหาที่ว่างเหมาะๆ แล้วหย่อนสะโพกนั่งลงชมเหตุการณ์ตรงหน้า ท่ามกลางนักเรียนเหล่านั้นมีนักเรียนหญิงถูกจับมาด้วย นักเรียนชายส่วนใหญ่ตะโกนแก้ตัวกันเสียงดังลั่น ผิดกับนักเรียนหญิงที่นิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จา คงจะกำลังหวาดกลัวอยู่ แค่เด็กนักเรียนตีกันในห้องเรียนต้องจับตัวมาสถานีตำรวจด้วยเหรอ ชังกึนรู้สึกระอาก่อนสะดุดใจสงสัยว่าแค่เหตุทะเลาะวิวาททำไมถึงกับต้องหวาดผวาจนตัวสั่นงันงกขนาดนี้ด้วย น่าแปลก ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าภาพตรงหน้าดูวุ่นวาย แต่กลับปนเปไปด้วยความหวาดหวั่น ตำรวจสายสืบมีท่าทางเคร่งเครียดผิดปกติ ไม่ว่าตำรวจคนนั้นจะเอ่ยถามอะไร นักเรียนก็เอาแต่เงียบงัน ไม่ตอบสักประโยค

    “เฮ้ย นายหาเงินได้เองแล้วเหรอ”

    “…”

    ตำรวจใช้เท้าเขี่ยรองเท้าของนักเรียนคนนั้นจนเกิดเสียงดังปึก มันเป็นรองเท้าบาสสีขาวขนาดใหญ่

    “รองเท้าแพงนี่ เอาเงินที่ไหนมาซื้อ ว่าไงล่ะ”

    “…”

    “จะต้องแทงใครสักคนก่อนเรียนจบให้ได้เลยใช่มั้ย มีเรื่องทะเลาะวิวาทไปเรื่อยๆ แล้วมันทำให้ชีวิตในอนาคตสุขสบายเหรอ”

    “…”

    “จะหงายการ์ดว่าแค่ชกต่อยกันเฉยๆ แค่ทะเลาะวิวาทกันเองระหว่างพวกนายน่ะเหรอ”

    “…”

    “เฮ้ย ลีซุนฮี เจ้าคนไม่เอาไหน เรียนก็ไม่เรียน ใกล้จะจบอยู่แล้วแท้ๆ หรืออยากสร้างวีรกรรม?”

    “…”

    “ใช้อะไรแทง”

    “…”

    “ฉันถามว่าใช้อะไรแทง”

    “…”

    “นายนึกว่าพ่อนายจะช่วยได้เหรอ คิดจะพึ่งเงินพ่อแล้วนึกเหรอว่าครั้งนี้นายจะรอดไปได้”

    “ผมไม่ได้ทำ”

    “แล้วเลือดนี่คืออะไร”

    “เลือดของเขา”

    “นั่นสิ เลือดของเขา แล้วทำไมเลือดของเขาถึงได้เลอะอยู่บนตัวนายล่ะ!”

    ชังกึนเองก็เพิ่งสังเกตเห็นรอยเลือด เลือดพวกนั้นเลอะทั่วร่างของนักเรียนชายคนนั้น ถ้าเลือดนี้ไหลออกจากร่างของนักเรียนชายคนนั้นก็คงไม่อาจมานั่งตอบได้แบบนี้ ไม่ว่าเสียงรอบข้างจะดังมากแค่ไหน หรือนักเรียนหญิงจะมีสีหน้าหวาดกลัวเพียงใด แต่วินาทีนี้ความสนใจของชังกึนกำลังพุ่งไปยังนักเรียนชายร่างโชกเลือดสีแดงคล้ำคนนั้น

    เหมือนจะได้ยินว่าชื่อลีซุนฮีใช่มั้ยนะ

    ชังกึนนึกถึงนักเรียนมัธยมปลายที่เขาเคยเจอเมื่อสิบสามปีก่อน เด็กคนนั้นสงบเงียบ ไม่เหมือนนักเรียนที่ชื่อว่าลีซุนฮีคนนี้ เด็กคนนั้นวิ่งอยู่บนดาดฟ้าของคนอื่นแท้ๆ แต่กลับดูอ่อนแอ แต่ลีซุนฮีไม่เป็นแบบนั้น เสื้อนักเรียนสีขาวของนักเรียนคนนั้นขาวสะอาด ไร้ฝุ่นเปรอะเปื้อน แต่ลีซุนฮีไม่ใช่ ทั้งที่แตกต่างกันมาก แต่ชังกึนกลับเห็นลีซุนฮีแล้วนึกถึงนักเรียนคนนั้น

     

    การรวมห้องเรียนเข้าด้วยกันไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก โดยเฉพาะยิ่งเป็นห้องเรียนของชั้นมัธยมปลายปีที่สามด้วยแล้ว การนำนักเรียนสองห้องมาเรียนรวมกันภายในห้องเดียวนั้นไม่มีทางที่การเรียนการสอนจะเป็นไปได้ด้วยดี เก้าอี้มีไม่พอจึงเป็นเหตุให้นักเรียนชายนิสัยเสียบางคนหาเรื่องที่จะขึ้นไปนั่งอยู่บนตักของนักเรียนหญิง นักเรียนหญิงส่วนใหญ่รู้สึกรำคาญหงุดหงิด แต่นักเรียนหญิงบางคนกลับเอ่ยปากให้นักเรียนชายเหล่านั้นมานั่งบนตักของตัวเอง แม้จะมีคนตายหรือมีเรื่องราวอะไรขึ้น แต่สำหรับนักเรียนเหล่านี้มันถือเป็นวันพิเศษวันหนึ่ง โดยไม่สนใจกลิ่นคาวที่โชยออกมาจากห้องเรียนข้างๆ เป็นระยะ

    เทปสีเหลืองใช้เป็นแนวกั้นพื้นที่ห้ามเข้า นักเรียนทั้งหมดถูกห้ามไม่ให้เดินผ่านหน้าห้องเรียนที่เกิดเหตุและห้ามใช้ประตูเข้าออกของปลายทางเดินนั้นด้วย ถ้าอยากจะเข้าห้องน้ำก็ต้องเดินอ้อม และทางเดินใกล้ที่สุดซึ่งมุ่งตรงไปยังร้านค้าของโรงเรียนก็ใช้ไม่ได้ มีนักเรียนชายคนหนึ่งดึงดันที่จะใช้ทางเดินนี้เพื่อไปยังร้านค้าจึงถูกตำรวจสายสืบตบหน้าฉาดใหญ่ ตำรวจคนนั้นเกิดและเติบโตที่ปูซานจึงมาเป็นตำรวจสายสืบของปูซาน เขามีชื่อว่าคังโดยอง นักเรียนชายคนนั้นยังคงดึงดันว่าจะเดินผ่านทางนี้ให้ได้ โดยองจึงกระชากคอเสื้อของนักเรียนชายแล้วพาข้ามเทปสีเหลืองเข้าไปที่พื้นที่หวงห้าม นักเรียนคนอื่นต่างพากันมามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตำรวจคนอื่นๆ พยายามห้ามโดยอง แต่โดยองไม่ฟังและลากนักเรียนชายคนนั้นเข้าไปยังห้องเรียนที่เกิดเหตุ ภายในห้องเรียนนั้นเต็มไปด้วยตำรวจสายสืบและตำรวจพิสูจน์หลักฐาน โดยองผลักนักเรียนชายคนนั้นเข้าไปกลางวง ทันทีที่ดวงตาของนักเรียนชายประสานเข้ากับดวงตาที่เบิกกว้างของศพขนก็ลุกเกรียวเพราะรู้สึกเหมือนว่าดวงตาของศพกำลังจ้องเขม็งมาที่ตนเพียงคนเดียว แต่ที่จริงแล้วดวงตาของศพไม่ได้มองไปที่ไหน ดวงตาคู่นั้นแค่หยุดค้างอยู่อย่างนั้นก่อนที่จะสิ้นลม ระหว่างนั้นสายตาของนักเรียนชายก็เหลือบไปเห็นกองเลือดและสิ่งที่อยู่ภายในร่างของศพ เขาช็อกสุดขีด รีบวิ่งถลาออกจากห้องเรียนที่เกิดเหตุ แล้วอาเจียนทุกสิ่งทุกอย่างในกระเพาะออกมาจนหมด ระหว่างนั้นหัวหน้าทีมก็เดินเข้ามาในห้องเรียนที่เกิดเหตุอย่างหัวเสีย

    “สายสืบคัง ทำอะไรของคุณเนี่ย ให้ตายเถอะ”

    ชังกึนเหลือบมองใบหน้าขาวซีดของนักเรียนชายคนนั้นแวบหนึ่ง แล้วเดินตามหัวหน้าทีมเข้ามาในห้องเรียนที่เกิดเหตุ พอได้เห็นกองเลือดเป็นจำนวนมากอยู่รอบๆ ศพ เขาก็หลับตาแล้วครุ่นคิด เมื่อกี้เขาจอดรถที่สนามฟุตบอลแล้วเดินเข้าอาคารทางระเบียงฝั่งซ้าย จากนั้นก็เดินตามทางมาเรื่อยๆ จนมาถึงห้องเรียนที่เกิดเหตุ แต่ระหว่างทางเดินมาถึงที่นี่ เขาไม่เห็นเลือดแม้แต่หยดเดียว ไม่ว่าจะพยายามสอดส่ายสายตามองไปทุกซอกทุกมุมก็เหมือนจะไม่เห็นร่องรอยของเลือดในที่ใดเลย แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเลือดและอวัยวะภายในของศพซึ่งกระจัดกระจาย แม้จะเก็บอวัยวะภายในส่วนใหญ่ใส่ถุงเอาไว้แล้ว แต่มีบางส่วนที่ยังเชื่อมติดกับร่างกาย ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำศพขึ้นไปบนเปลหามพร้อมยัดอวัยวะภายในที่เหลือพวกนั้นกลับเข้าไปในศพ แต่อวัยวะภายในพวกนั้นกลับไหลออกมาเพราะร่างกายของศพไม่มีเนื้อหนังที่จะห่อหุ้มมันเอาไว้ ยิ่งเจ้าหน้าที่พยายามเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของเหล่านักเรียน กลับยิ่งเกิดข้อผิดพลาดจนอวัยวะภายในร่วงหล่น

     

     

    บทที่ 6

     

    “ผมก็ไม่ค่อยอยากเล่าหรอก แต่ผมมีลูกอยู่คนนึงที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้ผม เพราะเป็นเด็กอ่อนโยน เป็นเด็กดี ชอบช่วยเหลืองานพ่อ พอเลิกเรียนปุ๊บก็รีบมาที่ร้านอาหาร ทั้งสับ ทั้งซอย ทั้งทำซุป เก่งสารพัด แถมยังเชี่ยวชาญด้านการปรับความแรงของไฟด้วยนะ อ้อ ยังหัวดีและฉลาดมาก…”

    การโอ้อวดที่น่ารำคาญนี้จะดำเนินไปถึงเมื่อไหร่กัน อูฮวันมาถึงที่หมายตามแผนที่ที่หัวหน้าพ่อครัววาดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ร้านอาหารดูเก่า แต่สะอาดสะอ้าน ป้ายชื่อร้านมีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่าร้านคมทังปูซาน เป็นชื่อที่จดจำง่าย เรียบง่ายจนแสดงให้เห็นถึงความมั่นอกมั่นใจในฝีมือ พอเวลาเลยเที่ยงลูกค้าก็เริ่มซา แม้ร้านจะมีขนาดเล็ก แต่ดูอย่างไรก็ไม่อาจทำคนเดียวได้ อูฮวันจำเป็นต้องสมัครงานที่ร้านนี้ ไม่ว่างานอะไรก็ต้องทำได้หมด เขาถึงกับบอกออกไปว่าตัวเองไม่ต้องการเงินทอง ขอเพียงที่พักอาศัยก็ยังดี แต่เจ้าของร้านกลับไม่พูดอะไรที่สื่อถึงคำชี้ขาดว่าจะรับหรือไม่รับ เอาแต่พูดอ้างโน่นอ้างนี่อ้อมไปเรื่อย พูดไปพูดมาก็อวดลูกชายของตัวเอง บอกว่ายังเรียนไม่จบบ้างล่ะ ถึงจะยังเด็กแต่กลับมีรถขับบ้างล่ะ แล้วก็วนมาเรื่องการหั่นการซอยว่าต้องทำยังไงแบบไหน ทำไมต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้จนอูฮวันรู้สึกอึดอัด อยากพูดโพล่งออกไปตรงๆ ว่าเขาอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตมาที่นี่เพื่อขอสูตรทำซุปของร้านนี้และต้องซื้อเนื้อน่องบัดซบนั่นกลับไปในโลกอนาคตด้วย แต่เขาไม่อาจทำอย่างนั้นได้ สมองครุ่นคิดอย่างหนักว่าเขาควรแค่ชิมรสน้ำซุป แล้วซื้อหาเนื้อส่วนน่องนั่นกลับไปเลยดีหรือไม่ บางทีถ้าแค่ได้ชิมก็อาจเลียนแบบรสชาติของซุปได้

    “โอเค ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าขอคมทังชามนึงครับ”

    แล้วคมทังก็ถูกนำมาเสิร์ฟ โต๊ะเล็กมากถึงขนาดที่วางแค่ซุปเพียงหนึ่งชามและกิมจิหัวไช้เท้าเพียงหนึ่งจานก็เกือบเต็มแล้ว อูฮวันยกช้อนขึ้นมอง ช้อนดูเหมือนผ่านศึกสงครามจากการสัมผัสปากของผู้คนมามากมายจึงดูโค้งมนและบางเหลือเกิน พอใช้ช้อนตักน้ำซุปเข้าปาก เขาก็นึกถึงหัวหน้าพ่อครัวของตัวเองที่ถูกเจ้าของร้านวัยชราเรียกให้ไปนั่งฟังคำพูดพร่ำเพ้อต่างๆ ในทุกครั้งที่มีเวลาว่าง

    อร่อย…แม้จะไม่ได้มีรสชาติที่หลากหลายและจัดจ้าน แต่มันกลมกล่อมมาก มีเพียงรสเดียว แต่ลึกซึ้งจริงๆ แถมเนื้อในน้ำซุปยังให้ความรู้สึกอร่อยล้ำ เนื้อชิ้นนี้มาจากส่วนน่องที่ว่านั่นหรือเปล่านะ อร่อยจริงๆ เขาตักเข้าปากครั้งแล้วครั้งเล่า เคี้ยวแล้วเคี้ยวอีก สั่งข้าวสวยมาคลุกเคล้า จนในที่สุดก็หมดชาม

    นี่ไม่ใช่รสชาติที่จะชิมแล้วจะเลียนแบบได้ ทำไม่ได้แม้แต่จะให้ออกมาคล้าย อูฮวันจึงเกิดความปรารถนาที่จะเรียนวิธีปรุงซุปชามนี้ อยากเรียนแล้วตั้งตัวเป็นหัวหน้าพ่อครัว เขาคิดว่าถ้าได้เรียนวิธีการปรุงซุปนี้ พอกลับไปยังโลกอนาคตก็อาจจะได้มีชีวิตใหม่ แม้เขาจะมีอายุเข้าช่วงสี่สิบกลางๆ แล้ว แต่ซุปนี้อาจเปลี่ยนชีวิตของเขาได้ ขณะที่สมองกำลังย้อนนึกถึงคำบอกเล่ามากมายของเจ้าของร้าน เขาก็คีบกิมจิหัวไช้เท้าเข้าปาก แค่กินกิมจิหัวไช้เท้าเปล่าๆ ยังอร่อย ไม่เค็มเลย ระหว่างนั้นเขาก็ใช้สมองครุ่นคิดว่าทำยังไงจึงจะซื้อใจเจ้าของร้านนี้ได้

    “กิมจิหัวไช้เท้าควรหั่นให้เป็นแปดมุมให้เรียบร้อย…”

    เจ้าของร้านนี้กำลังพูดเรื่องอะไรอูฮวันไม่เข้าใจเลย ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจ แค่เรียนรู้แล้วลงมือทำตาม ทำซ้ำไปซ้ำมาจนเกิดความชำนาญก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะในโลกอนาคตพอลืมตาตื่นขึ้นมาเขาก็จับมีดหั่นๆ สับๆ อยู่แล้ว เขาเดินไปที่ครัวแล้วมองหาสิ่งที่พอจะหยิบจับขึ้นมาหั่นๆ ซอยๆ ได้ และในที่สุดเขาก็หยิบต้นหอมแล้วลงมือซอย เสียงมีดกระทบกับเขียงดังเป็นจังหวะ ฝีมือการซอยของเขาไม่ธรรมดา ต้นหอมถูกซอยออกมาอย่างสวยงามจนเจ้าของร้านอ้าปากค้าง

    “โอ๊ย ต้นหอมที่น่าเสียดายของฉัน”

     

    ที่นี่เป็นสถานที่ที่ใช้ค้าขายมาตลอดสิบห้าปีตั้งแต่เปิดร้านมา โดยเคยปิดร้านเพียงหนึ่งวันเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานของลูกสาวบ้านหนึ่ง แม้แต่วันที่ภรรยาเสียชีวิตเขาก็ยังเปิดร้านรอรับลูกค้า เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมักเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเขาเสมอ เขาถูกหลอก คนขายซุปเนื้อถูกคนขายเนื้อหลอก มันไม่ควรเป็นอย่างนั้น ทั้งที่มีร้านขายเนื้อมากมายยื่นข้อเสนอดีๆ ให้เขา แต่เขาก็ตอบปฏิเสธ เพราะมีร้านขายเนื้อเจ้าประจำอยู่แล้ว เขารู้ดีว่าการใช้ช่วงเวลาอันยาวนานร่วมกันนั้นมันสำคัญยังไง หลังจากภรรยาเสียชีวิตเขาก็ยิ่งให้ความสำคัญกับเวลามากขึ้น แม้จะมีข่าวลือว่ามีการขายเนื้อนำเข้าปนกับเนื้อในประเทศให้ได้ยินบ้างเป็นครั้งคราว แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นในร้านขายเนื้อเจ้าประจำของตัวเอง เชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่ทำเช่นนั้น เพราะเขากับอีกฝ่ายรู้จักกันมายาวนานจึงเชื่อมั่นในเวลาที่มีร่วมกันและคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่สุดท้ายเขาก็เชื่ออะไรไม่ได้เลย เขาโกรธจนทนไม่ไหว มีร้านขายเนื้อมากมายที่ทดแทนได้ และร้านของเขายังเป็นที่หนึ่งของปูซานได้ ไม่สิ เขาคิดว่าร้านของเขานั้นเป็นอันดับหนึ่งของทั้งประเทศได้ต่างหาก หลังจากที่รู้ว่าถูกร้านขายเนื้อเจ้าประจำหักหลัง เขาก็กดโทรศัพท์หาร้านขายเนื้อเจ้าใหม่ที่เคยเสนอเงื่อนไขที่ดีที่สุด

    เรื่องราวที่ว่านั้นเกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันนี้ แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าช่วงบ่ายแล้ว แต่จงอินกลับหยิบจับงานอะไรไม่ได้เลย เพราะยังเศร้าเสียใจกับการถูกหักหลัง เขาคิดจะออกไปรับลมเย็นๆ เพื่อให้ใจเย็นลงบ้าง แต่พอเปิดประตูร้านออกไปก็พบชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่

    จงอินไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้จึงโกหกออกไปว่าร้านนี้ไม่ต้องการลูกมือ ลูกชายเป็นเด็กดีคอยช่วยเหลืองานในร้านอย่างโง้นอย่างงี้บ้างล่ะ ทั้งที่ปกติเขาไม่ใช่คนที่พูดมาก แต่ตอนนี้กลับพูดพล่ามจนไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ความจริงแล้วร้านนี้กำลังต้องการลูกมือ งานที่เคยทำด้วยกันกับภรรยาตอนนี้เขาต้องทำเพียงลำพัง ด้วยหวังว่าพอลูกชายโตขึ้นก็จะมาช่วยงานในร้าน จึงไม่ได้หาคนงานมาช่วย แม้พอกินเสร็จลูกค้าจะช่วยเก็บถ้วยชามและวางเงินทิ้งเอาไว้ให้เสร็จสรรพ แต่งานในร้านก็ยังเกินกำลังคนคนเดียวจะทำไหว ทว่าเขายังเฝ้าอดทนรอให้สักวันลูกชายจะยอมมาช่วยงานในครัว

    ในยุคปัจจุบันใครกันอยากทำงานแบบนี้ แม้จะคิดว่าร้านของตัวเองอร่อยที่สุดในประเทศ แต่ความจริงแล้วรสชาติคมทังของที่ร้านก็ไม่ได้เป็นที่เลื่องลือจนดังไปทั่วประเทศอย่างที่หวังไว้ เขาต้องการถ่ายทอดวิธีปรุงซุปให้แก่ลูกชาย แต่ลูกชายกลับไม่สนใจ ทว่าอยู่ๆ กลับมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่าอยากทำงานในร้าน เป็นชายแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน เคยทำอะไร แถมยังไม่ต้องการค่าจ้าง ขอเพียงให้ได้ทำงานที่นี่ คนแบบนี้มีที่ไหนกัน จงอินจึงไม่เชื่อใจชายแปลกหน้าคนนี้ มีเรื่องราวหลอกลวงมากมายประดังเข้ามาจนทำให้เขาไม่อยากเชื่อใครอีกและตัดสินใจไล่ชายแปลกหน้ากลับไป

    ขณะที่กำลังคิดว่าลูกชายกลับช้าอีกแล้ว เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเบอร์โทรของสถานีตำรวจ แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ร่างก็สั่นสะท้านเหมือนทุกครั้ง เสียงในสายบอกว่าลูกชายของเขาเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม คงไม่ได้ถูกจับเพียงสองสามวันแล้วปล่อยตัว แต่อาจไม่ได้กลับบ้านตลอดชีวิต ทว่าอย่างไรก็ต้องสอบสวนให้แน่ชัดเสียก่อน จงอินถือหูโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกชายก่อเรื่อง แต่ลูกชายไม่เคยลงมือฆ่าใคร คำพูดของตำรวจที่บอกว่าลูกชายอาจไม่ได้กลับบ้านตลอดชีวิตยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา

    จงอินคิดจะออกไปนั่งหน้าร้านเพราะไม่ต้องการอยู่คนเดียว เขาคิดว่าถ้าอยู่ตัวคนเดียวค่ำคืนนี้คงจะยืดเยื้อยาวนานไม่จบไม่สิ้น พอเปิดประตูร้านออกมาก็พบว่าชายคนนั้นยังคงอยู่ที่เดิม ทั้งที่เป็นเวลาดึกดื่นขนาดนี้แล้ว แต่เขายังคงนั่งคุดคู้อยู่ที่เดิม จงอินแอบอยู่ที่มุมหนึ่งแล้วเฝ้าสังเกต

    ในที่สุดจงอินก็อนุญาตให้ชายคนนั้นเข้ามาข้างใน ตอนแรกอยากจะเอ่ยปากตำหนิอะไรออกไป แต่ก็เปลี่ยนใจแล้วหาที่หลับนอนให้แทน

     

    อูฮวันล้มตัวลงนอนท่ามกลางกลิ่นวัตถุดิบสำหรับทำอาหารที่ตลบอบอวล แม้จะข้ามเวลามาถึงที่นี่เขาก็ยังต้องมาอยู่ในห้องเก็บของ โลกที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นโลกก่อนหน้าโลกที่เขาอยู่สี่สิบสี่ปี ตอนนี้น่าจะเป็นปี 2019

    เหนื่อยเหลือเกิน ในขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับ เขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวของเจ้าของร้าน

     

     

    บทที่ 7

     

    ร่างซีดเผือดคล้ายถูกรีดเลือดจนหมดตัว ทักซองจินยืนอยู่ใกล้ศพในฐานะแพทย์นิติเวชผู้ทำหน้าที่ชันสูตรศพ

    “น่าประหลาดจริงๆ คิดเหมือนกันใช่มั้ย โดยอง”

    “รีบเข้าเรื่องเลยได้มั้ย”

    “สาเหตุของการเสียชีวิตคือการเสียเลือดมากเกินไป ของมันชัวร์อยู่แล้ว แผลใหญ่ตั้งแต่บริเวณต่ำกว่าซี่โครงไปจนถึงสะโพก ไม่ว่าจะทั้งส่วนด้านหน้าหรือด้านหลังล้วนไม่มีเนื้อและหนัง ไม่เพียงเท่านั้น อวัยวะภายในที่อยู่บริเวณนั้นล้วนหายเกลี้ยง พวกนายเก็บมาจากที่เกิดเหตุครบหมดใช่มั้ย”

    “เก็บมาหมดแล้ว”

    “และที่น่าทึ่งไปกว่านั้นนะ มันเนี้ยบมาก ถูกคว้านเป็นครึ่งวงกลมอย่างเรียบเนียน ไม่มีรอยขรุขระ ไม่ฉีกขาด ตัดฉับได้อย่างสวยงาม และยังเฉือนเครื่องในทั้งหมดเป็นครึ่งวงกลมได้อีกต่างหาก ถ้าเราใช้ช้อนตักเค้กกินยังไม่แน่ใจเลยว่าจะทำให้เค้กเป็นวงเว้าได้เนี้ยบขนาดนั้นรึเปล่า”

    ตำรวจไม่ค่อยเข้าใจคำพูดนั้นสักเท่าไหร่ ซองจินจึงจ้องศพอีกพักหนึ่ง

    “งงกันเหรอ เดี๋ยวไปที่ร้านเค้กแล้วลองซื้อเค้กมากินดูสิ ลองเปรียบชิ้นเค้กเป็นร่างกายของมนุษย์ จับวางให้ร่างนั้นนิ่งไม่ไหวติง แล้วใช้ช้อน…อืม…แต่ต้องเป็นช้อนขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสักยี่สิบเซนติเมตรตักสีข้างขึ้นมากิน แล้วกวาดทั้งเนื้อหนังและเครื่องในจนเกลี้ยงเลย!”

    “หมายความว่าใช้มีดที่คมกริบมากเลยเหรอ”

    “โดยอง ใช้แค่มีดจะทำให้เกิดครึ่งวงกลมแบบนี้ได้ยังไงล่ะ มันเป็นครึ่งวงกลมที่สมบูรณ์เหมือนใช้วงเวียนมาร่างเอาไว้ก่อน แถมยังไม่มีรอยช้ำตรงบริเวณที่กรีด และที่น่าตกใจก็คือเลือด เลือดไม่ได้ไหลออกมาจากบริเวณเนื้อที่ถูกกรีดเลย แต่กระฉอกออกมาจากร่างกายด้านในโดยตรง เหมือนพอก้อนเนื้อหายไป เลือดที่อยู่ด้านในก็พุ่งออกมาดื้อๆ จึงไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียวที่ไหลออกมาจากบาดแผลที่ถูกกรีด”

    หลังจากที่ฟังอยู่นานชังกึนก็พูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก

    “เหมือนเครื่องเชื่อมเหล็กอะไรประมาณนั้นเหรอ”

    ซองจินและตำรวจคนอื่นหันไปมองชังกึนพร้อมกัน

    “จะบอกว่าวิธีการคล้ายกับช่างเชื่อมที่ใช้เครื่องเชื่อมเหล็กน่ะเหรอ”

    ซองจินหยุดคิดสักครู่ ก่อนจะพูดต่อว่า

    “เครื่องเชื่อมเหล็ก…ถ้าใช้ความร้อนที่สูงมากพอตัดแค่ครั้งเดียวก็อาจทำให้แผลเป็นแบบนี้ได้”

    แล้วโดยองก็พูดแทรกว่า

    “ซุนฮีอยู่ห้องอะไรนะ อยู่แผนกช่างเชื่อมรึเปล่า”

    พอกลับมาที่สถานีตำรวจโดยองก็มุ่งหน้าไปยังห้องขัง ซุนฮีถูกขังอยู่ด้านในในสภาพที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนเปื้อนเลือด

    “เฮ้ย นายอยู่แผนกอะไร แผนกช่างเชื่อมรึเปล่า”

    “แผนกอิเล็กทรอนิกส์ครับ”

    “เอ่อ แล้วแผนกอิเล็กทรอนิกส์นี่ตัดเชื่อมเหล็กเป็นมั้ย”

    “พวกเราต้องทำในส่วนของบัดกรีด้วยครับ”

    โดยองจมอยู่ในภวังค์เมื่อได้ฟังคำตอบนั้น เขากำลังจินตนาการถึงภาพของโรงเรียนที่นักเรียนกำลังนั่งเชื่อมตะกั่ว

    “ทำตัวดีๆ ล่ะ”

    เมื่อตำรวจพากันกลับมาถึงสถานีก็เริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกัน เมื่อย้อนดูพฤติกรรมในอดีตลีซุนฮีเคยก่อเรื่องเอาไว้มากมาย ข้อสันนิษฐานที่ว่าซุนฮีเป็นฆาตกรนั้นจึงพอเป็นไปได้ แต่ชายผู้เสียชีวิตเข้ามาในโรงเรียนได้ยังไง เข้ามาตอนไหน และทำไมถึงไปอยู่กลางวงทะเลาะวิวาทของพวกซุนฮี สมมติว่าซุนฮีฆ่าเขาระหว่างชุลมุน แล้วซุนฮีไปเอาเครื่องเชื่อมเหล็กมาจากไหน หรืออยู่ในล็อกเกอร์ แต่ล็อกเกอร์มีขนาดใหญ่พอที่จะเก็บได้เชียวเหรอ และล็อกเกอร์ก็อยู่หลังห้อง ตอนที่ซุนฮีวิ่งไปเอาเครื่องเชื่อมเหล็กในล็อกเกอร์หลังห้องทำไมจึงไม่มีใครเห็น ถ้านักเรียนชายทุกคนเข้าข้างซุนฮี แล้วนักเรียนหญิงล่ะ ทุกคนเข้าข้างซุนฮีกันหมดเลยเหรอ จะว่าไปหน้าตาของซุนฮีก็ถือว่าหล่อเหลา หรือนักเรียนหญิงพวกนั้นจะเป็นแฟนคลับเขา ถ้าอ้างอิงตามคำบอกเล่าของพวกเธอที่บอกว่าอยู่ๆ ชายคนนั้นก็ปรากฏตัวพร้อมเลือด พวกเธอก็ดูไม่เหมือนคนพูดโกหก แล้วทำไมต้องทำให้เป็นรูปครึ่งวงกลมด้วยล่ะ ทั้งที่กำลังชุลมุนวุ่นวายขนาดนั้น ทำไมต้องตัดเป็นครึ่งวงกลม มีความหมายอะไรหรือเป็นสัญลักษณ์ของแก๊งไหนหรือเปล่า ในปูซานพอจะมีแก๊งต่างๆ อยู่บ้าง เช่น แก๊งแฮอุนแด แก๊งทงแน แก๊งซอมย็อน แก๊งควังอัน แต่ไม่เคยได้ยินชื่อแก๊งที่ตั้งชื่อตามรูปทรงแบบแก๊งสามเหลี่ยม แก๊งสี่เหลี่ยม แก๊งวงกลม แก๊งครึ่งวงกลมเลย

    เมื่อข้อสงสัยเหล่านี้ถูกเอ่ยออกมาก็ไม่มีใครโต้แย้ง ชังกึนรวบรวมสรุปคร่าวๆ ได้ว่าไม่มีใครพบเห็นชายผู้เสียชีวิตขณะเข้าไปในโรงเรียนจนกระทั่งเขาโผล่ขึ้นในห้องเรียนนั้น ถ้าชายคนนั้นมีบาดแผลมาก่อน ตลอดทางที่เดินมาคงมีแต่เลือดไหลเป็นทาง ยิ่งไปกว่านั้นอวัยวะภายในก็คงร่วงกระจายไปทั่วตั้งแต่ทางเดินยันห้องเรียน ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาไม่น่าจะมีบาดแผลมาก่อนหน้านั้น น่าจะได้แผลและเสียชีวิตในห้องเรียนท่ามกลางนักเรียนพวกนั้น ขณะที่พวกเด็กนักเรียนกำลังทะเลาะต่อสู้กันอยู่เขาคงเข้ามาในห้อง แล้วมีใครสักคนฆ่าเขาท่ามกลางความชุลมุน แล้วใครกันล่ะ คนที่มีกำลังมากที่สุดก็คือซุนฮี เขาที่โด่งดังในหมู่ตำรวจ แต่บาดแผลนี้ใช้มือเปล่าทำขึ้นมาไม่ได้ ต้องเป็นเครื่องเชื่อมเหล็ก แต่เครื่องเชื่อมเหล็กก็ไม่ได้อยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุเลย และไม่มีใครเห็นว่าซุนฮีใช้เครื่องเชื่อมเหล็กฆ่าคน หรือจะเป็นการสะกดจิตหมู่ แล้วทำไมซุนฮีจะต้องทำขนาดนั้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีใครเห็นชายคนนี้เข้ามาในห้องเรียน ฝั่งลีซุนฮีมีเพียงห้าคนกับคู่อริจากโรงเรียนอื่นที่แห่กันมาถึงสิบสามคน ที่เหลือก็คือกลุ่มนักเรียนที่มุงดูเรื่องสนุก คนเยอะขนาดนั้น น่าจะมีใครสักคนเห็นบ้าง ยิ่งคนคนนั้นไม่ใช่นักเรียนก็น่าจะยิ่งสะดุดตา

    ยังดีที่สมัยนี้มีกล้องวงจรปิดทั่วโรงเรียน ตั้งแต่ประตูหน้าโรงเรียนไปจนถึงห้องเรียนทุกห้อง ถ้าได้ดูกล้องวงจรปิด ความจริงก็คงปรากฏให้รู้ แต่ต้องใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งชังกึนเคยชินกับการรอคอยเสียแล้ว

    ตำรวจเริ่มลงมือสืบสวนอย่างว่องไว โดยองแยกออกไปหาสมาชิกแก๊งต่างๆ เพื่อสืบหาข้อมูล บางส่วนไปห้องเรียนเพื่อหาเครื่องเชื่อมเหล็กที่อาจจะถูกซุกซ่อนไว้ในบริเวณรอบๆ บางส่วนไปหาช่างเชื่อมที่ตัวเองรู้จัก บางส่วนไปร้านเค้กเพื่อลองใช้ช้อนตักแบบที่แพทย์นิติเวชบอก

     

    เจ้าของร้านปลุกตั้งแต่ตีสี่ อูฮวันงัวเงียเดินเข้าไปในครัวและเห็นเจ้าของร้านกำลังซาวข้าวอยู่ ส่วนซุปก็ถูกตั้งไฟจนเดือดแล้ว เมื่อวานซุปในหม้อขนาดใหญ่ก็เดือดปุดๆ แบบนี้ เจ้าของร้านแค่ปลุกอูฮวันขึ้นมา แต่กลับไม่สั่งให้ทำอะไร พอเห็นแบบนั้นอูฮวันก็ตั้งสติ รีบเปิดประตูร้านแล้วลงมือทำความสะอาด ขัดพื้นพลางแอบมองเข้าไปในครัว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้แป้งสาลี เจ้าของร้านกำลังคลึงชิ้นเนื้อที่ดูคล้ายเครื่องในกับแป้งสาลี หลังจากคลึงอยู่นานก็เอาชิ้นเนื้อนั้นแช่น้ำ แล้วหันไปหั่นหัวไช้เท้าให้เป็นแว่น แม้แต่ต้นหอมก็ยังหั่นให้ยาว แต่ดูรวมๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องน่าทึ่งอะไรนัก เจ้าของร้านเทน้ำที่แช่เนื้อทิ้ง แล้วเปลี่ยนน้ำใหม่ อูฮวันไม่แน่ใจว่าการทำแบบนั้นจะทำให้รสชาติของซุปอร่อยหรือไม่ ดูท่าชิ้นเนื้อก้อนนั้นจะเป็นเนื้อส่วนที่เขาตามหา แต่เมื่อพิจารณาดูให้ละเอียดก็เหมือนกำลังเตรียมทำอย่างอื่นมากกว่าจะทำคมทัง เจ้าของร้านตักข้าวที่เพิ่งหุงเสร็จ หันไปตักซุปใส่ถ้วย เตรียมเลือดและเกลือแยกถ้วยไว้ต่างหาก ดูพิถีพิถันเหมือนเตรียมไปให้ใคร อูฮวันแอบกลืนน้ำลายและคิดว่าถ้าเอามาให้เขาก็คงดีไม่น้อย เมื่อเจ้าของร้านเดินออกมาอูฮวันก็เอ่ยถาม

    “ใช้เนื้ออารงซาแทเหรอครับ”

    “ใช่ ผสมกับเนื้อส่วนหน้าอกน่ะ”

    “เนื้อส่วนหน้าอก…”

    เจ้าของร้านเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรต่อ และไม่บอกด้วยว่าไปไหน ยิ่งลูกชายผู้แสนดีที่ขยันช่วยพ่อทำงานคนนั้นยังไม่กลับบ้านเจ้าของร้านก็ยิ่งพูดน้อยลงกว่าเดิม อูฮวันรู้สึกมืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนวิธีทำซุปคมทังจนสำเร็จเมื่อไหร่ และจะซื้อเนื้ออารงซาแทและเนื้อส่วนหน้าอกกลับไปได้ตอนไหน

    แต่ที่อูฮวันรู้ในตอนนี้ก็คือลูกชายเจ้าของร้านไม่ได้มาช่วยงานในร้านอาหาร เขาไม่รู้หรอกว่าลูกชายคนนั้นเป็นคนดีหรือไม่ แต่ก็รู้สึกว่าควรขอบคุณ เพราะการที่ลูกชายไม่ช่วยงานพ่อจึงทำให้เขาได้เข้ามาทำงานที่นี่ ในที่สุดเจ้าของร้านคงตระหนักแล้วว่าลูกชายของตัวเองคงจะไม่ยอมช่วยเหลือแน่ๆ เจ้าของร้านจึงเอาแต่ถอนหายใจจนดึกดื่น ซึ่งอูฮวันก็เข้าใจดีว่าเพราะเสียงถอนหายใจเมื่อคืนเขาจึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้ เขาเข้าใจคนที่ไม่เคยเป็นคนสำคัญของใครๆ การที่จะกลายเป็นคนสำคัญของใครนั้นไม่ใช่ว่าเจ้าตัวต้องทำตัวให้สำคัญ แต่คนที่สำคัญมักสร้างปัญหาให้คนที่ให้ความสำคัญต่างหาก

     

    เปลวไฟสีเหลืองแซมเขียวออกมาจากปลายท่อที่ยาวและแคบ มันกำลังขยับเป็นเส้น ผู้เชี่ยวชาญที่มารวมตัวกันในตอนนี้ล้วนถนัดงานที่แตกต่างกัน ช่างเชื่อมกำลังใช้เครื่องเชื่อมเหล็กลงมือวาดครึ่งวงกลมบนร่างของหุ่น ตำรวจสองสามคนและโดยองจ้องเขม็งไปยังประกายไฟนั้น แล้วชิ้นส่วนครึ่งวงกลมบริเวณสีข้างของหุ่นจำลองก็หลุดกระเด็นตกลงมา ตำรวจทุกคนพากันจับจ้องสีข้างของหุ่นจำลองนั้นพร้อมกับบอกว่าภาพตรงหน้านี้เหมือนกันมาก และเหมือนชิ้นเค้กนั่นด้วย ถูกตัดออกเรียบกริบอย่างหมดจดสมบูรณ์ ทั้งหมดพากันกระหยิ่มยิ้มย่องคล้ายกับบรรลุเป้าหมาย แต่รอยยิ้มนั้นก็ต้องหายไปเมื่อตำรวจคนหนึ่งก้มลงหยิบชิ้นส่วนที่ถูกช่างเชื่อมตัดออกมา

    “ในที่เกิดเหตุไม่มีของแบบนี้หลงเหลืออยู่ไม่ใช่เหรอ”

    โดยองจ้องชิ้นส่วนนั้นครู่หนึ่ง

    “หรือจะไหม้ไปแล้ว ไฟร้อนขนาดนั้น”

    “ไฟนี่ก็ร้อนเหมือนกัน แล้วทำไมถึงยังมีเศษ”

    นั่นสิ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายใช้อาวุธแบบไหน ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ทำหน้าที่แค่ตัดเป็นครึ่งวงกลมเท่านั้น แต่ยังทำให้ร่องรอยหายไปได้ด้วย และอวัยวะภายในก็หายไปเหมือนถูกตัดให้เป็นครึ่งวงกลมโดยไร้ร่องรอย ขณะนั้นเองตำรวจคนหนึ่งก็วิ่งพรวดเข้ามาพร้อมรายงานว่าไม่พบเครื่องเชื่อมเหล็กในห้องเรียนนั้น เจอเพียงหัวแร้งบัดกรีในล็อกเกอร์

    “ที่สอบถามมาได้ความว่ามีเพียงแผนกช่างเชื่อมเท่านั้นที่จะได้เรียนเกี่ยวกับเครื่องเชื่อมเหล็ก ส่วนแผนกอิเล็กทรอนิกส์จะให้ใช้แค่หัวแร้งบัดกรีทำการเชื่อมตะกั่ว”

    โดยองปล่อยชิ้นส่วนที่ถืออยู่ในมือพร้อมสบถออกมาชุดใหญ่

     

    ซุนฮีตั้งใจจะไม่สบตาจนกว่าอีกฝ่ายจะจากไป เพราะคิดว่าปล่อยไว้อย่างนี้เดี๋ยวก็คงกลับไปเอง ทุกอย่างจะได้จบเสียที แต่จู่ๆ ตำรวจคนหนึ่งก็หยิบเก้าอี้มาวางข้างๆ พ่อที่ยืนอยู่จึงทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น

    จงอินนิ่งเงียบพลางเฝ้าตำหนิตัวเองที่เอาแต่ทำอาหาร ทั้งที่ตัวเองอายุเลยสี่สิบมานานแล้ว แต่ก็ตัดสินใจพลาดอยู่เสมอ ภาพของลูกชายก่อนออกจากบ้านก็คือชุดนักเรียนที่สะอาดสะอ้าน แม้ตนจะเคยเห็นใบหน้าบวมช้ำปากแตก เนื้อตัวคลุกฝุ่นเลอะเทอะของลูกชายหลายต่อหลายครั้ง แต่เพิ่งเคยเห็นสภาพอย่างนี้เป็นครั้งแรก เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเสื้อผ้าถึงได้เปื้อนเลือดจนแห้งเกรอะกรังแบบนี้ ถ้าอยู่ใกล้ๆ เขาคงเอื้อมมือไปจับและสัมผัส สิ่งที่ลูกชายต้องการในตอนนี้ไม่ใช่อาหารที่เขาทำ แต่เป็นเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านสำหรับเปลี่ยน

    ซุนฮีเกลียดผู้ชายคนนี้ และยิ่งเกลียดมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เขาเกลียดกลิ่นคมทัง เกลียดคมทังที่อยู่ในมือนั่น และเกลียดแม้กระทั่งมือคู่นั้นที่ยกซุปมา

    จงอินออกมานอกสถานีตำรวจเพื่อหาร้านขายเสื้อผ้าแถวนั้น เขาร้อนใจเกินกว่าจะกลับไปเอาที่ร้านอาหาร แต่เมื่อไปถึงเขากลับไม่รู้ว่าควรซื้อเสื้อแบบไหน ได้แต่ซื้อตามคำแนะนำของพนักงานมาทั้งเสื้อและกางเกง เมื่อกลับมายังสถานีตำรวจ เขาก็ยื่นให้ พอซุนฮีเปลี่ยนเสร็จ จงอินก็รับชุดนักเรียนเปื้อนเลือดมาถือ แม้ใจอยากจะทิ้งแต่นี่คือชุดนักเรียนจึงทำไม่ได้ เขาหมุนตัวทำท่าจะเดินออกไป แต่กลับได้ยินเสียงของลูกชายดังตามหลังมา

    “ไม่กิน เอากลับไปด้วย”

    จงอินมองตามสายตาของลูกชาย ตรงนั้นมีคมทังวางอยู่ จงอินจึงหวนนึกถึงช่วงเช้ามืดอันแสนวุ่นวายขึ้นมา

     

     

    บทที่ 8

     

    ซองจินหยิบแผ่นเอ็กซเรย์ขึ้นมาดู เขาอยากจะแน่ใจก่อนผ่ากะโหลกศีรษะ สิ่งนั้นเข้าไปอยู่ด้านในได้จริงเหรอ เขาดูแผ่นเอ็กซเรย์หลายต่อหลายแผ่น ในสมองศพต้องมีอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน

     

     

    บทที่ 9

     

    อูฮวันเริ่มลงมือทำความสะอาดร้านหลังจากที่เจ้าของร้านออกไปได้ไม่นาน จริงๆ แล้วเขาไม่ได้อยากทำความสะอาดอีก แต่เพราะไม่มีอะไรจะทำต่างหาก ขณะกำลังเช็ดหน้าต่างก็เป็นเวลาสิบโมงเช้าแล้ว เขานึกสงสัยว่าเจ้าของร้านจะปลุกเขาทำไมตั้งแต่ตีสี่ แต่เจ้าของร้านออกไปตอนประมาณเก้าโมง นี่ก็เพิ่งผ่านไปแค่ชั่วโมงเดียวเอง เขาเช็ดถูและทำความสะอาดครัวเสร็จแล้ว นี่เป็นงานที่เขาทำอยู่เสมอจึงไม่รู้สึกหนักหนาอะไร ขณะเช็ดถูทุกซอกทุกมุมในครัวเขาก็ถือโอกาสสำรวจสิ่งต่างๆ ไปด้วย เดิมทีครัวสะอาดอยู่แล้วก่อนเขาจะเริ่มลงมือทำ แม้อุปกรณ์เครื่องมือหลายอย่างจะดูเก่า ไม่ใช่ครัวที่ทันสมัยอะไร แต่ดูก็รู้เลยว่าครัวนี้ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากมือของคนขยัน ถูกขัดถูจนสะอาดเงาวับผ่านระยะเวลามาอย่างยาวนาน น้ำซุปในหม้อใบใหญ่กำลังเดือดด้วยไฟอ่อนๆ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ รู้สึกได้กลิ่นคาว แต่เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกกลมกล่อมแตกต่างจากกลิ่นคาวในอีกสี่สิบสี่ปีให้หลังมาก กลิ่นคาวในอนาคตให้ความรู้สึกพะอืดพะอมไม่เหมือนกลิ่นคาวในตอนนี้ พอเปิดฝาหม้อก็เผยให้เห็นน้ำซุปสีขาวเหมือนน้ำนม มีชามใส่เนื้อต้มวางอยู่ใกล้ๆ และเห็นเหมือนเครื่องในสีขาวๆ ด้วย ดูแล้วซุปถ้วยหนึ่งคงจะประกอบไปด้วยเนื้อที่ถูกหั่น เครื่องในนิดหน่อย และน้ำซุปร้อนๆ อูฮวันครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะลองเปิดตู้เย็นขนาดใหญ่และพบหัวไช้เท้า ผักหลายชนิด เนื้อและกระดูกมากมาย ในห้องเก็บของก็มีผักเก็บไว้ ไม่รู้วัตถุดิบพวกนี้มีไว้สำหรับกี่วัน อูฮวันเดินไปที่ห้องน้ำแล้วกดปุ่มซักเสื้อผ้าบนเครื่อง ขนาดซักผ้าแล้วก็ยังไม่รู้จะทำอะไรต่อ เขาจึงเดินมานั่งในร้านพลางพิจารณารอบๆ ในร้านนี้ยังมีอีกสองห้องไม่นับรวมห้องเก็บของที่เขาใช้นอนเมื่อคืน เขาเดินไปเปิดห้องที่เจ้าของร้านใช้นอน

    ห้องนี้แตกต่างจากครัวมาก แม้ครัวจะดูวุ่นวายเหมือนอยู่ในตลาด แต่สิ่งของทุกอย่างกลับถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบและขัดถูอย่างพิถีพิถันเอาใจใส่ แต่ห้องนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทั้งที่มีข้าวของเพียงไม่กี่อย่าง แต่กลับถูกวางอย่างระเกะระกะ ปล่อยให้รกอย่างไม่ใส่ใจ ห้องไม่ได้ใหญ่โต แต่กลับดูโหวงเหวง มือที่เคยทะนุถนอมครัวอย่างรักใคร่คู่นั้นหายไปไหนกัน อูฮวันไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นห้องของเจ้าของร้านคนนั้นจริงๆ เขามองสภาพภายในห้องพลางคิดในใจเล่นๆ ว่าบางทีเจ้าของห้องนี้คงไม่ใช่เจ้าของร้าน มือที่แตะต้องพื้นที่นี้คงเป็นมือของคนอื่น กลางห้องมีผ้าห่มผืนใหญ่หนาและหนักเหมือนถ้ำมืดมิดที่กลืนกินร่างของผู้คนเข้าไปได้ คงหนักและอึดอัดน่าดูถ้านำมาห่ม มุมหนึ่งของห้องมีกรอบรูปคว่ำหน้าอยู่ พอเดินเข้าไปใกล้แล้วหยิบกรอบรูปตั้งขึ้นก็เห็นรูปครอบครัวอยู่ด้านใน เป็นภาพชายหญิงและเด็กคนหนึ่ง เด็กในรูปคงจะเป็นลูกชายที่เจ้าของร้านพูดถึง ใบหน้านั้นดูขี้เล่นและอ่อนโยน อูฮวันจ้องใบหน้าของเด็กคนนี้อยู่นาน ผู้หญิงที่กำลังหัวเราะอยู่ข้างๆ คงจะเป็นแม่ของเด็กและเป็นภรรยาของเจ้าของร้าน คงเพราะเธอกำลังหัวเราะ ทุกคนในภาพจึงหัวเราะตามไปด้วย เมื่อเห็นรูปนี้เขาจึงเริ่มเข้าใจ บางทีเจ้าของห้องอาจไม่มีเวลาก็ได้

    เจ้าของร้านคงรีบร้อนออกจากห้องจึงไม่ได้เก็บอะไรเลย ห้องเล็กๆ ด้านโน้นน่าจะเป็นห้องของลูกชาย อูฮวันลังเลครุ่นคิดว่าจะเข้าไปด้านในนั้นดีหรือไม่ พร้อมกับนึกถึงใบหน้าของเด็กที่ปรากฏในภาพ ใบหน้าที่ดูไม่เป็นพิษเป็นภัยและให้ความรู้สึกอยากสนิทสนม

    อูฮวันนั่งคิดอยู่ในร้าน ถ้าไม่เข้าไปดูตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสเข้าอีกแล้ว จึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตอนนั้นเองประตูร้านได้เปิดออก เจ้าของร้านเดินเข้ามาในสภาพคล้ายเพิ่งกลับมาจากสนามรบ ร่างโชกไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าเลอะเทอะมอมแมม เจ้าของร้านวางของในมือไว้บนโต๊ะก่อนจะหายเข้าไปในห้อง ยังคงเงียบไม่พูดอะไรเหมือนตอนขาไป ของที่วางอยู่บนโต๊ะคือคมทังที่ถูกห่ออย่างดีกับถุงช็อปปิ้ง อูฮวันคิดว่าซุปเย็นชืดหมดแล้ว ควรเอาไปทิ้งดีหรือเปล่า แล้วในถุงช็อปปิ้งนั้นมีอะไร เขาครุ่นคิดพร้อมนึกถึงดวงตาที่มีประกายตาใสซื่อของเด็กคนนั้นอีกครั้ง

     

    มันต้องมีอะไรแน่ สิ่งที่ได้ยินเป็นเหมือนคำแก้ตัวของอีกฝ่าย เมื่อก่อนนี้ก็เช่นกัน ชังกึนไม่ใช่คนหูเบาและไม่เชื่อใครง่ายๆ ยิ่งพูดว่าไม่ได้รับความยุติธรรมก็ยิ่งฟังเหมือนคำโกหก ช่วงแรกๆ เวลาที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นของผู้ต้องสงสัยเขาก็เชื่อสนิทใจ แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกว่าเพื่อนร่วมงานก็เช่นเดียวกัน ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนกำลังแก้ตัว จนเขาเริ่มเข้ากับเพื่อนร่วมงานยากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนเกลียดชังชังกึน การที่เขาย้ายมาแบบนี้จึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก แม้เขาจะอยากอยู่ที่เดิม แต่สุดท้ายก็ต้องโยกย้าย แม้จะร่วมงานด้วยกันมายาวนาน แต่ตอนที่ต้องโยกย้ายกลับไม่มีใครเสียใจ

    “ผมพูดจริงๆ นะครับ ผมเปิดกล้องวงจรปิดของโรงเรียนดูตลอดสองวัน ดูภาพหนึ่งชั่วโมงก่อนและหลังเกิดเหตุอย่างละเอียดแล้ว แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย ไม่มีเลยจริงๆ”

    ต้องพลาดอะไรไปแน่ มันต้องมีร่องรอยบางอย่างสิ จะไม่เห็นอะไรเลยได้ยังไง ชังกึนผลักตำรวจคนนั้นออกแล้วนั่งแทนที่

    “มันไม่มีจริงๆ นะครับ!”

    ชังกึนเริ่มรีเพลย์ภาพเพื่อตรวจสอบดู กล้องวงจรปิดของโรงเรียนมีมากกว่าสามสิบตัว ตัวนึงต้องใช้เวลาสองชั่วโมงในการดู จึงเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร

     

     

    บทที่ 10

     

    ซอยูฮอนรู้สึกลำบากใจมากที่อยู่ๆ ซองจินซึ่งเป็นเพื่อนที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันก็นำคนไข้มาหาแล้วบอกเขาให้ช่วยผ่าตัดเปิดกะโหลก ยูฮอนเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง ในสมัยเรียนซองจินถือว่าเป็นคนที่โดดเด่น มีความสนใจหลายๆ ด้าน และมีคนรู้จักมากมาย เมื่อขึ้นเป็นเรสซิเดนต์* เขาก็เลือกเรียนต่อทางพยาธิวิทยาจึงทำให้เริ่มห่างจากยูฮอน และเพราะพยาธิวิทยาไม่ใช่สาขาที่ยอดนิยม ยูฮอนจึงไม่รู้ว่าที่ซองจินเลือกพยาธิวิทยาเพราะคะแนนไม่ถึงเกณฑ์สาขาอื่นหรือเพราะต้องการเรียนจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นซองจินก็เป็นคนที่มีความรู้รอบด้านมากกว่าใครๆ อยู่เสมอ แม้แต่ตอนนี้เองก็เช่นกัน จริงๆ แล้วถ้าแค่ผ่าสมองง่ายๆ ซองจินเองก็ทำได้ แม้จะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่สำหรับซองจินแล้วก็คงไม่ใส่ใจอะไรมากกับเรื่องนั้น แม้จะไม่เคยเรียนโดยตรง แต่ก็เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ที่สั่งสมมาจนอยู่ในระดับที่ดีทีเดียว ซองจินเป็นคนที่ถ้าคิดจะทำก็ทำได้ แล้วทำไมซองจินต้องมาถึงที่นี่ทั้งที่ตัวเองก็ทำได้

    “อาการของคนไข้ล่ะ”

    “เอ่อ คือ…เอ่อ…”

    ระหว่างนั้นยูฮอนก็เอ่ยทักทายทั้งคนไข้ หมอ และพยาบาลที่อยู่สองข้างทาง โดยมีซองจินเร่งฝีเท้าตามเตียงที่กำลังถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดที่มีเครื่องแกมมาไนฟ์** ยูฮอนรู้สึกร้อนใจ ต่างจากซองจินที่ทำอะไรไม่ถูก

    “เฮ้ย ทำไมพามาห้องนี้ล่ะ”

    “ก็นายอยากให้ผ่าตัดสมองไม่ใช่เหรอ แค่ฉายแสงก็กำจัดเนื้องอกในสมองออกได้โดยไม่ต้องเปิดกะโหลก”

    “ฉันรู้ว่าเครื่องแกมมาไนฟ์ทำงานยังไง แต่เราจำเป็นต้องเปิดกะโหลก!”

    “…”

    ยูฮอนกับซองจินช่วยกันเข็นเตียงออกมายังทางเดินด้านนอกอีกครั้ง และครั้งนี้ก็เหมือนเคย ระหว่างทางก่อนจะถึงที่หมายยูฮอนต้องเอ่ยทักทายกับผู้คนมากมาย แล้วตอนนั้นเองผ้าขาวที่ซองจินใช้คลุมร่างของผู้ป่วยเอาไว้ได้เลื่อนลงจนทำให้เห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงเสียชีวิตไปแล้ว นี่คือร่างของผู้ชายที่พบในห้องเรียน ยูฮอนจึงสะดุ้งด้วยความตกใจ

    “ไม่ใช่ผู้ป่วยเคสฉุกเฉินหรอกเหรอ”

    “แพทย์ชันสูตรศพจะเอาคนเป็นมาทำไมกันล่ะ”

    ซองจินเคาะนิ้วลงบนหัวของศพเบาๆ

    “ในนี้มันมีอะไรบางอย่างน่ะ”

    “…”

     

    ยูฮอนเปิดกะโหลกของศพแล้วนำเอาชิปเล็กๆ ที่ฝังอยู่ในสมองออกมา มันเป็นชิปขนาดจิ๋วประมาณสี่มิลลิเมตร ความตื่นเต้นปรากฏอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่ แล้วซองจินก็พูดขึ้นก่อนว่า

    “ปกติแล้วการที่ฝังชิปลงไปในสมองแบบนี้จะเกิดขึ้นในกรณีไหนบ้าง”

    “ล่าสุดนี่เคยได้ยินมาว่ามหาวิทยาลัยของอเมริกามีการฝังชิปในหัวของคนไข้วัยยี่สิบปีที่เป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงอกลงไป ชิปนั่นช่วยให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ โดยทำหน้าที่รับคำสั่งของสมอง แล้วเปลี่ยนเป็นสัญญาณดิจิตอลส่งต่อไปยังอุปกรณ์ที่ติดตั้งตรงแขนของคนไข้เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อแขนเกิดการเคลื่อนไหว…”

    “ถ้างั้นก็หมายความว่าตอนที่คนคนนี้ยังมีชีวิตอยู่เขาเป็นผู้ป่วยอัมพาตทั้งตัวเหรอ”

    “ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นนะ”

    “ทำไมล่ะ”

    “เพราะตำแหน่งที่เราเจอชิปอยู่ตรงกลีบท้ายทอยของซีรีบรัลคอร์เท็กซ์*”

    “หรือเขาจะเป็นคนตาบอด?”

    “ฉันยังไม่เคยได้ยินว่ามีการใช้ชิปเพื่อช่วยในการมองเห็น”

    “แล้วยังไงล่ะ”

    “มันหมายความว่าชิปนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อจุดประสงค์ในการรักษา แต่อาจจะใช้ช่วยในการหาข้อมูล หรือใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น”

    “ชิปนี้เนี่ยนะ”

    “ชิปเล็กๆ นี้นี่แหละ”

     

    ไม่มี เป็นไปไม่ได้ แต่มันไม่มี คำพูดของตำรวจหน้าอ่อนคนนั้นถูกต้อง ไม่มีร่องรอยที่ชายคนนั้นเดินเข้าไปในโรงเรียน ไม่มีร่องรอยของการเดินผ่านระเบียงทางเดิน ไม่มีภาพที่บ่งชี้ว่าเขาเดินเข้าห้องเรียน ชังกึนหาร่องรอยเหล่านั้นไม่เจอ เห็นแต่ภาพของซุนฮีกำลังชกต่อยกับคู่อริ ไม่ว่าจะรีเพลย์ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่ากี่รอบก็ตาม

    ภาพของกลุ่มวัยรุ่นสวมชุดนักเรียนต่างโรงเรียนสิบกว่าคนเปิดประตูห้องเรียนเข้าไป มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งทำท่าจะวิ่งหนีออกไปข้างนอก แต่พวกเขาปิดประตูห้องเอาไว้ นักเรียนชายในห้องคนหนึ่งเดินเข้าไปหาพวกเขา แต่ถูกนักเรียนต่างถิ่นสองสามคนจัดการจนคว่ำคล้ายกับเป็นสัญญาณเปิดศึก แล้วนักเรียนชายสี่คนก็กรูเข้าไปจัดการ ส่วนเพื่อนร่วมห้องคนอื่นที่เหลือพากันถอยห่างจนเกิดเป็นพื้นที่ว่างให้พวกเขาต่อสู้กันได้อย่างสะดวก โดยมีคนทำหน้าที่ยืนเฝ้าทั้งประตูหน้าและประตูหลัง ไม่นานนักเรียนชายสี่คนก็เสียเปรียบและถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว แล้วระหว่างนั้นเองหน้าต่างฝั่งทางเดินก็ถูกเปิดออก มีนักเรียนคนหนึ่งกระโดดเข้ามา แล้วหน้าจอนั้นก็ถูกหยุดเอาไว้

    ชังกึนหยุดภาพค้างไว้ที่ภาพของนักเรียนที่กำลังกระโดดข้ามหน้าต่าง มันคือลีซุนฮี ชังกึนกดซูมภาพใบหน้าของซุนฮี ดวงตาของเขากำลังจดจ้องอยู่ที่วงต่อสู้ ซุนฮีกระโดดมาทางหน้าต่างแล้ววิ่งฝ่าเข้ากลางวงโดยไม่มีท่าทางลังเลใดๆ ใช้เท้าเตะฝ่ายตรงข้ามสองสามคนจนลงไปกองกับพื้น ฝ่ายตรงข้ามหลายคนกรูเข้าไปทำร้ายซุนฮี แต่เขาใช้แขนขวาสกัดเอาไว้ แล้วใช้แขนซ้ายยื่นไปทำร้ายศัตรู เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ใช้หมัดบังหน้าไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นเขาได้ชัด แล้วค่อยๆ จัดการฝ่ายตรงข้ามให้ล้มลง จู่ๆ ชังกึนก็กดหยุดภาพอีกครั้ง คราวนี้เขากดซูมไปที่เหล่าคนดู ซูมดูนักเรียนหญิงที่ยืนอยู่ นักเรียนหญิงคนนั้นกำลังอ้าปากกว้าง แววตาตื่นตระหนก พอกดเพลย์อีกครั้งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ยกมือปิดปากแล้วล้มลง ตามด้วยนักเรียนหญิงที่อยู่ข้างๆ ที่เริ่มพากันอ้าปากและผงะถอยหลัง กลุ่มนักเรียนที่กำลังต่อสู้กันก็เริ่มแตกกระเจิง มีเพียงซุนฮีเท่านั้นที่ยังยืนอยู่กลางวง คล้ายกับว่าสติของเขายังติดพันอยู่กับการต่อสู้ หรือบางทีอาจเพราะยังต้องเฝ้าระแวงคู่ต่อสู้อยู่จึงยืนอยู่กับที่ ที่ด้านหลังของซุนฮีมีคนตายนอนอยู่ เลือดที่ไหลออกจากร่างของผู้ชายคนนั้นไหลไปหาซุนฮี ค่อยๆ ขยายเป็นวงกว้างคืบคลานเข้าหาซุนฮีที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด ซุนฮีที่ก้าวถอยหลังพลันสะดุดเข้ากับร่างของผู้ชายคนนั้นจนล้มลงแล้วทับร่างนั้น เลือดจึงเปื้อนชุดนักเรียนของซุนฮีเต็มไปหมด ซุนฮีตะเกียกตะกายถอยหนี แต่วงเลือดก็ยังคงคืบคลานเข้าหา ซุนฮีจึงได้แต่เกลือกกลิ้งอยู่บนทะเลเลือด

     

    * แพทย์ที่เข้ามาศึกษาต่อเพื่อเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาใดสาขาหนึ่งเมื่อจบการศึกษาจะได้วุฒิบัตรผู้ชำนาญการในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาต่างๆ

    ** แกมมาไนฟ์ (Gamma Knife) คือการฉายรังสีที่ควบคุมลําแสงให้ฉายเฉพาะที่ได้อย่างแม่นยำสําหรับรักษาเนื้องอกหรือหลอดเลือดผิดปกติ

     

     

    บทที่ 11

     

    ไม่ว่าจะเที่ยงหรือเย็นลูกค้าก็เยอะตลอด และเป็นขาประจำเสียส่วนใหญ่ เมื่อเจ้าของร้านยื่นถ้วยซุปให้โดยไม่พูดไม่จา อูฮวันก็นำมันไปเสิร์ฟที่โต๊ะของลูกค้า ถ้าเจ้าของร้านไม่ว่างเก็บเงินเขาก็จะเป็นคนเก็บแทน เจ้าของร้านดูมีอายุมากกว่าเขาไม่เท่าไหร่ แม้จะไม่ถึงขั้นรุ่นราวคราวเดียวกันจนพอให้ตีสนิทเป็นเพื่อน แต่ก็พอกล้อมแกล้มเรียกพี่เรียกน้องได้ เขาจึงพยายามช่วยงานต่างๆ เผื่อจะช่วยแบ่งเบาความทุกข์ในใจของอีกฝ่ายได้บ้าง อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่อูฮวันเห็นและคาดเดา แล้วเขาก็รู้สึกสะดุดตากับถุงช็อปปิ้ง แม้เจ้าของร้านจะเอาไปเก็บแล้ว แต่นั่นก็แค่เอาไว้ใต้เคาน์เตอร์คิดเงิน ดังนั้นเมื่อเขาไปคิดเงินทีไรเป็นต้องเห็นถุงใบนี้ทุกที มันดูเหมือนจะเป็นชุดนักเรียน และไม่ใช่ชุดใหม่ เพราะดูมีสีดำๆ เปื้อนเป็นวงเต็มไปหมด

    เมื่อปิดประตูร้านแล้ว เจ้าของร้านก็เดินเข้าห้องนอน อูฮวันได้โอกาสเดินไปหยิบสิ่งที่อยู่ใต้เคาน์เตอร์คิดเงินแล้วล้วงเสื้อที่อยู่ข้างในออกมาดู เป็นชุดนักเรียนจริงๆ ด้วย แต่ดูสกปรกมาก เขาจึงนำมันไปที่ห้องน้ำเพื่อจะซัก เพราะสกปรกมากจึงต้องซักด้วยมือ พอส่องกับแสงไฟจึงเห็นว่ารอยเปื้อนน่าจะเป็นเลือดที่แห้งจนมีสีคล้ำ เขานำเสื้อแช่น้ำแล้วใช้สบู่ซักถู ยิ่งซักก็ยิ่งแน่ใจว่ารอยดำเหล่านี้คือเลือด เสื้อเปื้อนเลือดซักยากมาก กว่าจะทำให้ขาวคงต้องใช้ทั้งแรงและเวลาที่มากพอสมควร เขาจึงนำสิ่งต่างๆ ที่คิดว่าจะขจัดคราบได้เทลงไป รอสักพักแล้วจึงลงมือซักต่อ ซักไปซักมาจนเริ่มโมโห เมื่อนึกถึงแววตาใสซื่อของเด็กคนนั้นก็พลันหัวเสีย ยิ่งนึกไปถึงห้องเจ้าของร้านก็ยิ่งโกรธ ป่านนี้เจ้าของร้านคงกำลังอยู่ใต้ผ้าห่มหนาหนักที่คล้ายถ้ำกินคน แต่เขากลับกำลังซักเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดใครก็ไม่รู้ ทำไมเขาต้องมาเหนื่อยฟรีแบบนี้ด้วย ในที่สุดเสื้อก็ค่อยๆ คืนสู่สีดั้งเดิม จากดำเป็นแดง แล้วจึงค่อยๆ เผยสีขาวให้เห็น ชื่อที่ปักอยู่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายของเสื้อเริ่มปรากฏเป็นตัวหนังสือเลือนราง มือที่ขยี้เสื้ออย่างหงุดหงิดพลันชะงัก ดวงตาจ้องนิ่งอยู่บนนั้น

    “…”

    ดวงตาของอูฮวันยังไม่ขยับไปจากป้ายชื่อ นั่นเป็นชื่อที่เขารู้จัก ไม่สิ เป็นชื่อที่เหมือนกับคนที่เขารู้จักต่างหาก ชื่อที่รู้จักแต่ไม่เคยเห็นหน้า ‘ลีซุนฮี’ พ่อของเขาก็ใช้ชื่อนี้ เขาเริ่มลงมือซักเสื้อต่อ คนเราอาจชื่อเหมือนกันได้ แม้จะคิดอย่างนั้น แต่สายตาของเขาก็เอาแต่จดจ้องไปที่ชื่อที่ปักอยู่บนหน้าอกด้านซ้ายของเสื้อนักเรียนสีขาว…ลีซุนฮี

     

    * ซีรีบรัลคอร์เท็กซ์ (Cerebral cortex) หรือเปลือกสมอง มีความหนา 2-4 มิลลิเมตร เป็นชั้นเนื้อเยื่อเซลล์ประสาทชั้นนอกสุดของซีรีบรัมมีอยู่ทั้งซีกซ้ายและซีกขวาของสมอง มีบทบาทสำคัญในระบบความจำ ความใส่ใจ ความตระหนัก ความคิด ภาษา และการรับรู้

     

     

    (ติดตามต่อได้ในฉบับรูปเล่ม ‘1 คนหาย 12 คนตาย’)

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in 1 คนหาย 12 คนตาย (Beef Bone Soup)

    นิยายยอดนิยม

    Facebook