ไม่ใช่เพราะมันพบเห็นสิ่งแปลกปลอมอันใด แต่เป็นสิ่งที่มันทำเป็นประจำในช่วงสองปีที่ผ่านมา นั่นคือการเหม่อมองเจ้ากระบองสีดำเข้มท่อนนี้หากตัดส่วนตรงปลายที่เชื่อมติดไข่มุกทิ้งไป ความยาวจะเหลือประมาณเชียะเศษ แปลกพิสดารอยู่เล็กน้อยตรงที่ในความดำของมันแฝงริ้วสีแดงเหมือนเส้นเลือดให้เห็นรำไร โดยเฉพาะตรงจุดที่ปลายกระบองกับไข่มุกต่อเชื่อมกันยิ่งเห็นได้ชัด มีบางครั้งมองแล้วแทบเข้าใจว่าของประหลาดสองสิ่งนี้ใช้เลือดมนุษย์เป็นตัวเชื่อมให้ติดกันจางเสี่ยวฝานสะท้านเฮือก พอสมองนึกถึงว่าใช้เลือดมนุษย์เป็นตัวเชื่อมก็รู้สึกขนลุก หลายปีมานี้มันค่อยๆ ลืมปรากฏการณ์พิสดารพันลึกในหุบเขาไปหมดแล้ว มีบางครั้งเท่านั้นที่ฝันถึงในยามค่ำคืน พอสะดุ้งตื่นก็ปรากฏว่าเหงื่อแตกโซมกายยามนั้นมันรู้สึกว่าโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่ง เพราะต้องเผชิญหน้ากับความน่ากลัวที่ไม่รู้จักและความมืดมนอนธการคล้ายกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความตายเพียงลำพัง ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ อารมณ์ร้อนแรงแปลกๆ ที่แฝงไว้ด้วยความบ้าระห่ำมักจะพลุ่งพล่านขึ้นในใจ บังเกิดอารมณ์อยากเข่นฆ่า กระทั่งว่าบางครั้งมันถึงกับนึกย้อนไปถึงสายตาบ้าระห่ำที่หลวงจีนผู่จื้อใช้มองมันด้านนอกซากปรักหักพังของวัดหญ้าคาเมื่อหลายปีก่อน!จางเสี่ยวฝานไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเกิดความรู้สึกประหลาดนี้ แต่ยังดีที่มันมีวิธีข่มความรู้สึกพลุ่งพล่านที่ว่านั้นได้ นั่นคือ ‘เคล็ดวิชาโพธิธรรม’เคล็ดวิชาแนวพุทธสุดยอดชุดนี้มีอานุภาพยอดเยี่ยมในการสยบมารและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ มันฝึกมาได้ห้าปี ประโยชน์ที่ได้รับมากที่สุดก็คือเอามาใช้ข่มอารมณ์แปลกๆ ที่มักเกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี่เอง‘โป๊ก!’จางเสี่ยวฝานเจ็บหัวแปลบ แล้วลูกสนลูกหนึ่งก็ตกกระทบพื้น มันโทสะพุ่งปรี๊ด หันไปตวาดเสียงกราดเกรี้ยว“วานรชั่ว อย่าให้ข้าจับได้นะ…เอ๊ะ ท่านคือ…อ๊ะ! ศิษย์พี่หก!”จางเสี่ยวฝานดีดกายลุกขึ้น ตะลึงมองชายที่ยืนยิ้มเผล่อยู่หน้าประตู คนผู้นี้รูปร่างสูงปานกลาง หน้าตาเฉลียวฉลาด บนหลังสะพายห่อผ้าเล็กๆ นี่มิใช่ศิษย์พี่หกตู้ปี้ซูที่ไม่ได้พบกันนานแล้วจะเป็นใครตู้ปี้ซูกวาดตามองจางเสี่ยวฝานตั้งแต่หัวจรดเท้า จุปากจึ๊กจั๊ก“ร้ายกาจจริงๆ แค่ไม่กี่ปีเจ้าเด็กน้อยจะสูงเท่าข้าอยู่แล้ว”จางเสี่ยวฝานพุ่งปราดเข้าไปหา คว้าไหล่ตู้ปี้ซูทักอย่างดีใจ“ศิษย์พี่หก ทำไมถึงไปนานนัก พวกเราทุกคนคิดถึงท่านมาก”ตู้ปี้ซูย้อนถามยิ้มๆ“ข้ามิใช่กลับมาแล้วหรือ”