“หรือว่าเจ้าป่วย”“ไม่ ข้าสบายดี”จางเสี่ยวฝานละสายตาตอบเสียงละห้อยอีกด้านหนึ่ง เหวินหมิ่นเป็นคนความรู้สึกไว พอเห็นท่าทีเถียนหลิงเอ๋อร์ก็พอจะเดาออกอยู่หลายส่วน จึงทำเป็นตัดพ้อฉีเฮ่า“ศิษย์น้องฉี ท่านรู้จักแต่ศิษย์น้องเถียนหรือ ในสายตาไม่มีพวกเราศิษย์ดอยไผ่น้อยเลยกระมัง”พอนางกล่าวนำ ศิษย์น้องทั้งหลายก็พากันต่อว่าผสมโรง ทำให้ฉีเฮ่าต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน“ศิษย์พี่เหวินล้อเล่นแล้ว ข้าพเจ้าไหนเลยจะกล้าเมินเฉยต่อพวกท่าน”เหวินหมิ่นหัวเราะเบาๆ ถามเปรยๆ ว่า“ศิษย์น้องฉีเข้าร่วมประลองอีกครั้ง แสดงว่ามุ่งมั่นที่จะคว้าชัยชนะให้ได้”แววตาฉีเฮ่าเป็นประกาย“ครั้งที่แล้วศิษย์พี่เหวินชนะรวดสามรอบ เสียดายที่ต้องไปพ่ายให้แก่ศิษย์พี่เซียวอี้ไฉของท่านเจ้าสำนัก คิดว่าภายใต้การฝึกฝนอีกหกสิบปีและการชี้แนะอย่างเข้มข้นจากท่านนักพรตหญิงสุ่ยเยวี่ยจนถูกยกย่องเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของดอยไผ่น้อยในยุคปัจจุบัน ท่านก็จะต้องเข้าร่วมในการประลองอันทรงเกียรตินี้เช่นกัน”เหวินหมิ่นยิ้มน้อยๆ กล่าวถ่อมตัวว่า“มิกล้า มิกล้า ข้าจะกล้าแย่งชิงกับศิษย์น้องฉีได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งของดอยไผ่น้อยข้ามิกล้ารับ”ฉีเฮ่าย่นหัวคิ้ว“ศิษย์พี่เหวินเกรงใจเกินไปแล้ว…”เหวินหมิ่นตอบเป็นนัย“หามิได้ ท่านอาจารย์หยั่งรู้ดุจเซียน ข้าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่คู่ควรสืบทอดวิชามหัศจรรย์ของท่าน แต่ในสังกัดยังมีศิษย์น้องที่สติปัญญาเป็นเลิศ ศิษย์พี่ฉีคอยระวังให้ดีก็แล้วกัน”ประกายตาฉีเฮ่าลุกวาบเจิดจ้า ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มท้าทาย“หากมีก็วิเศษ คนที่ทำให้ศิษย์พี่เหวินยอมรับว่าเป็นรองจะต้องเป็นผู้มีความสามารถเลิศล้ำ ผู้น้องรอคอยที่จะได้รู้จัก”เหวินหมิ่นหัวเราะเบาๆ พยักหน้าให้เป็นเชิงอำลา แล้วจูงเถียนหลิงเอ๋อร์ที่ยังมีทีท่าอาลัยอาวรณ์เดินแยกไปคุยอีกทาง