ทุกคนพอเดินลงจากสะพานก็ทยอยเข้าไปทำความเคารพต่อเจ้าสัตว์ยักษ์ตัวนี้ก่อนเดินขึ้นบันไดข้างสระไปยังวิหารหยกวิสุทธิ์ซึ่งตั้งอยู่ด้านบน หลินจิงอวี่กระซิบถามจางเสี่ยวฝาน“เจ้ายังจำตอนพวกเรามาถึงเป็นครั้งแรกได้หรือไม่”จางเสี่ยวฝานพยักหน้า ในใจยังรู้สึกขยาดอยู่บ้าง“จำได้ ตอนนั้นตัวเปียกม่อลอกม่อแลก แต่นั่นยังไม่เป็นไร ได้เห็นสัตว์ประหลาดตัวเบ้อเริ่มนี่สิ ทำเอาข้าตกใจกลัวแทบหัวใจวาย”หลินจิงอวี่อมยิ้ม“ก็ใช่น่ะสิ พวกเราอยู่แต่ในหมู่บ้าน เคยเห็นสัตว์ประเภทนี้ที่ไหน ข้ายังคิดว่าสัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลกคือหมีหมาบนเขาเมฆาเขียวเสียอีก”จางเสี่ยวฝานเผลอหัวเราะเสียงดังทำเอาคนอื่นๆ หันมามองอย่างตำหนิ มันใจหายวาบรีบหุบปากฉับ หลินจิงอวี่เองก็ตกใจไม่น้อย หน้าแดงระเรื่อรีบกระแอมเป็นการกลบเกลื่อนคนเหล่านั้นจ้องดุๆ มาอีกสองสามครั้งจึงหันกลับไปเดินต่อ จางเสี่ยวฝานค่อยถอนใจอย่างโล่งอก มองไปทางหลินจิงอวี่ก็เห็นอีกฝ่ายมองมาพอดี ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างซุกซนคนด้านหน้าทยอยเดินขึ้นวิหารกันไปแล้ว แต่จางเสี่ยวฝานกับหลินจิงอวี่เพิ่งจะลงจากสะพาน เมื่อเดินผ่านร่างใหญ่โตมโหฬารก็หยุดทำความเคารพอย่างนอบน้อม แต่เจ้ากิเลนน้ำกลับหลับเป็นตาย ไม่ว่าใครทำอะไรมันก็ไม่รับรู้ ถึงกับซุกหัวกับขาหน้าส่งเสียงกรนดังสนั่นสั่นไหวไปแล้วจางเสี่ยวฝานกับหลินจิงอวี่ก็ไม่คิดจะเรียกความสนใจ ทำความเคารพเสร็จก็รีบจ้ำอ้าวเดินขึ้นบันได จางเสี่ยวฝานกล่าวว่า“จิงอวี่ คราวที่เจ้าไปเยือนดอยไผ่ใหญ่ เวลามีกระชั้นข้าเลยยังไม่ได้แสดงความยินดีด้วย คิดไม่ถึงเจ้าเพิ่งจะเข้าสำนักได้ไม่นานก็ฝึกวิชาได้สำเร็จถึงขั้นนี้”หลินจิงอวี่ยิ้มร่า“ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะอาจารย์ผู้มีพระคุณกับศิษย์พี่ทุกคนให้การชี้แนะเป็นอย่างดี”พูดถึงตรงนี้มันก็ชะงักไป น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแหบพร่า“อันที่จริงในช่วงแรกๆ ทุกครั้งที่ฝึกวิชาข้าจะเอาแต่คิดถึงศพนองเลือดในหมู่บ้าน จิตใจเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน ดังนั้นจึงทุ่มเทใจกายไปที่การฝึก หวังว่ามีสักวันข้าจะได้ล้างแค้นแทนพ่อแม่กับคนในหมู่บ้าน”