บทที่ 3 ปณิธานอันยิ่งใหญ่
เท่าที่จางเสี่ยวฝานเคยพบเห็น ปุยเมฆขาวยามฟ้าใสหรือก้อนเมฆดำยามฝนตั้งเค้าไม่เคยสักครั้งที่จะลอยต่ำเกือบติดดินเช่นนี้ เสียงฟ้าร้องก็ไม่เคยดังสนั่นลั่นหูแบบนี้ อสนีก็ไม่เคยสว่างจ้าจนทิ่มแทงสายตาแบบนี้ ยากที่มันจะไม่ตื่นตะลึงตาค้าง
ราวกับท้องฟ้ากำลังจะถล่มลงมาทั้งแถบ!
มันยืนเซ่ออยู่กับที่ มองหลวงจีนชรากับชายชุดดำต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทันใดนั้นแก้วหูมันก็ถึงกับลั่นไปชั่วขณะเมื่ออสนีบาตสายหนึ่งแล่นปลาบลงมาจากฟากฟ้าวาบใส่ปลายกระบี่ของชายชุดดำพอดี
เพียงชั่วอึดใจอาภรณ์บนร่างชายชุดดำก็โป่งพอง สองตาเหลือกถลน ยามนี้ภายในวัดถูกสายฟ้าสายนั้นส่องสว่างจนเปรียบเสมือนกลางวัน
ภาพสายฟ้าจรดกับปลายกระบี่ในยามค่ำคืนช่างมหัศจรรย์งดงาม งามจนจางเสี่ยวฝานกลั้นหายใจ แต่ในสายตาของผู่จื้อ ภาพนั้นยิ่งสร้างความคั่งแค้นใจให้มันเป็นทบทวี
“นี่คือเคล็ดวิชาลัทธิเต๋า!”
คนชุดดำตวาดก้อง ตวัดกระบี่ที่ล่อสายฟ้า เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นพร้อมๆ กับสายฟ้าสายนั้นแล่นปราดเข้าหาผู่จื้อ ตลอดทางที่มันแล่นผ่าน ต้นไม้ใบหญ้าอิฐหินระเบิดแหลกลาญเป็นผุยผง ทิ้งรอยไหม้ไว้เป็นทาง
ผู่จื้อถอยติดต่อกันสามก้าว พนมมือขึ้นด้วยใบหน้าศรัทธายึดมั่น ทั่วร่างเปล่งรัศมีสีทอง ปากร่ายคำสวดอันศักดิ์สิทธิ์
“พระพุทธองค์ทรงมีเมตตา!”
ลูกประคำเจ็ดเม็ดที่เหลือพุ่งวาบไปข้างหน้าประมาณสามเชียะ* แล้วระเบิดขึ้นพร้อมกันปรากฏเป็นตัวอักษร ‘พุทธะ’ ขนาดใหญ่มหึมา เหลืองอร่ามเจิดจ้าจนมองตรงๆ มิได้
และแล้วสายฟ้ากับตัวอักษร ‘พุทธะ’ ก็ปะทะกันอย่างจัง
จางเสี่ยวฝานหัวใจเต้นแรง เลือดลมพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง เข่าอ่อนยวบ หายใจไม่ออก รู้สึกว่าวินาทีนั้นสายลมสงบนิ่ง สายฟ้าหยุดชะงัก สรรพสิ่งในโลกล้วนผนึกค้าง
*เชียะ (ฉื่อ) คือมาตรวัดความยาวของคนจีน มีความยาวประมาณ 23 เซนติเมตร