พอลงจากบันได ศิษย์ทุกคนก็เดินผ่านสระน้ำมรกตด้วยหัวใจเต้นระทึก แต่คราวนี้กิเลนน้ำหลับสนิทไม่เคลื่อนไหวเมื่อข้ามสะพานรุ้งกลับไปที่ ‘ทะเลเมฆ’ ซึ่งเปรียบเสมือนแดนสวรรค์ หลินจิงอวี่ก็บอกลาจางเสี่ยวฝานก่อนเดินตามศิษย์ดอยเศียรมังกรจากไป จางเสี่ยวฝานมองส่งมันจนไกลจึงเดินกลับเข้ากลุ่มเพื่อฟังซ่งต้าเหรินพูดแนะนำข้อควรระวังและเรื่องที่พักที่จัดเตรียมไว้ให้แก่ศิษย์น้องแต่ละคน มันฟังไปฟังมาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งได้จึงร้องอุทานเสียงหลง“แย่แล้ว!”ทุกคนสะดุ้งสุดตัว เถียนหลิงเอ๋อร์รีบถาม“เสี่ยวฝาน เป็นไรไป”จางเสี่ยวฝานมองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง“ลืมเจ้าเทาไปสนิทเลย ไปวิ่งเล่นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้”ทุกคนเพิ่งนึกถึงเจ้าเทาได้จึงรีบแยกย้ายกันค้นหา แต่ทุกที่พบเจอแต่ไอหมอก ศิษย์สังกัดอื่นก็ทยอยกันเดินจากไป บนลานกว้างกลับไม่เห็นเจ้าเทาแม้แต่เงาจางเสี่ยวฝานร้อนใจนัก นับแต่พาเจ้าเทากลับจากหุบเขาปริศนา สองปีมานี้หนึ่งคนหนึ่งวานร (ต่อมายังเพิ่มหนึ่งสุนัข) นอนร่วมห้องกันมาตลอด ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่ง มันทอดตามองยอดเขาอันสูงตระหง่าน บนล่างมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล เกิดเจ้าเทาวิ่งไปหาผลไม้ป่ากินจนพลัดหลง ตนจะหามันเจอได้อย่างไรทันใดเถียนหลิงเอ๋อร์ก็ร้องเอะอะชี้มือชี้ไม้“ดูนั่น!”พอทุกคนเห็นภาพก็หัวร่องอหายกัน เจ้าเทาขี่หลังเจ้าเหลือง ปากร้อง ‘เจี๊ยกๆๆ!’ โบกมือโบกไม้มาทางจางเสี่ยวฝาน ส่วนเจ้าเหลืองก็วิ่งควบตรงมาอย่างเร็วจี๋ ไม่ได้ยินเสียงเห่าเพราะปากคาบกระดูกหมูที่ขโมยมาจากที่ใดไม่รู้อยู่ท่อนหนึ่งไม่กี่อึดใจก็มาถึง เจ้าเทากระโจนไม่กี่ทีก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนไหล่ จางเสี่ยวฝานรีบทำเป็นตบหัวมัน ดุด้วยสีหน้าขึงขัง“เจ้าไปซุกซนถึงไหนมาฮึ”เจ้าเทากลับไม่กลัว แยกเขี้ยวยิ้มกว้างชี้ไปที่เจ้าเหลืองซึ่งกำลังหมอบแทะกระดูกอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นร้อง ‘เจี๊ยกๆ’ สองคำแล้วกรีดมือวาดเท้าไม่หยุด จางเสี่ยวฝานมองอย่างงุนงง สุดท้ายโพล่งถามว่า“พวกเจ้าไปเอากระดูกชิ้นนี้มาจากไหน”