ทว่าเดินไปได้เจ็ดก้าวมันก็หยุดชะงัก แสงจันทร์เย็นยะเยียบส่องสว่างอาบไล้จนเห็นเงาร่างอันโดดเดี่ยวของมัน มันเงยหน้าขึ้นมองแผ่นฟ้า เห็นจันทรามองตอบมาอย่างเงียบงัน มุมปากมันขยับคราหนึ่ง อึดใจต่อมาก็หันกลับวิ่งไปตามทิศทางที่เงาร่างอรชรหายลับไปแสงจันทร์อันนุ่มนวลส่องตามแผ่นหลัง ช่างนุ่มนวลแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าคล้ายสัมผัสรับรู้ถึงจิตใจมันเพียงแค่ชั่วพริบตาเงาร่างเถียนหลิงเอ๋อร์ก็หายลับไปจากทะเลเมฆ แต่จางเสี่ยวฝานไม่สนใจไปตามหาที่อื่น มันวิ่งมุ่งหน้าไปยังสะพานรุ้ง สายลมพัดโชยมา สายธาราสองฟากบังเกิดระลอกคลื่นน้อยๆ สะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายระยิบระยับ แต่จางเสี่ยวฝานไม่มีอารมณ์ชมดู มันเร่งฝีเท้าวิ่งไปข้างหน้าสุดแรงเกิดวิ่ง วิ่ง วิ่ง!เกือบสุดสะพานรุ้งแล้วมันก็ยังมองหาไม่พบ จนกระทั่งมาถึงที่ลาดเชิงสะพานหัวใจพลันเต้นระทึก ที่ปลายสะพาน สระมรกตสุกสว่างด้วยแสงจันทร์ ร่างสาวงามยืนอยู่ข้างสระ เหม่อมองเงาสะท้อนบนผิวน้ำอย่างใจลอยจางเสี่ยวฝานพลันกลัวขึ้นมา เป็นความกลัวที่มันเองก็อธิบายไม่ได้ มันเพียงรู้ว่าต้องหลบอย่าให้ศิษย์พี่หญิงเห็น พอเหลียวหา เห็นทางขวามือของสระที่ติดกับเชิงสะพานมีดงไม้อยู่แถบหนึ่ง จึงรีบย่องเข้าไปหลบในมุมมืด แอบมองศิษย์พี่จากตรงนั้นมองครั้งนี้ราวกับยาวนานชั่วชีวิต!ใต้แสงจันทร์นวล ดวงหน้านางแฝงความหม่นหมองระคนรอคอยอย่างคาดหวัง ดวงตาใต้คิ้วเรียวงามราวกับมีประกายจางๆ เหมือนกำลังจินตนาการถึงสิ่งใด ดูแล้วงดงามเหลือพรรณนา สายลมโชยชายละเลียดผิวน้ำ ยามพัดผ่านร่างนางยังต้องเงียบเสียงและกลั้นหายใจ เพียงแตะไล้อาภรณ์และเรือนผม ทั้งปลอบประโลมผิวผ่องปานเย้ยหิมะนั้นเบาๆในส่วนลึกของหัวใจจางเสี่ยวฝาน จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอ่อนโยนแปลกๆ ท่วมท้น ราวกับสาวงามตรงหน้าคือคนที่มันคิดจะปกป้องคุ้มครองไปตลอดชีวิต แม้จะต้องผ่านอุปสรรคและขวากหนามนานาชนิดมันก็จะไม่ลังเลและไม่มีวันเสียใจวินาทีเช่นนี้มันปรารถนาจะให้คงอยู่ตลอดกาล!“ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์”จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากกลางสะพานรุ้ง มันเห็นเถียนหลิงเอ๋อร์หันขวับ แววปีติยินดีฉายชัดในตาคู่นั้น ริมฝีปากเผยอรอยยิ้มหวานละมุนจากใจจริง“ศิษย์พี่ฉี ท่านมาแล้ว”