“ศิษย์พี่ฉี เรียกข้าหลิงเอ๋อร์ก็ได้”พูดจบนางก็ก้มหน้างุดอีกครั้ง กระซิบอย่างเอียงอาย“ท่านพ่อท่านแม่ก็เรียกข้าเช่นนี้”ฉีเฮ่าได้ยินก็ดีใจยิ่ง แต่คล้ายจะยังไม่เชื่อหูตัวเอง มันลังเลเล็กน้อยก่อนถามย้ำ“ได้จริงหรือ ละ…หลิงเอ๋อร์”เถียนหลิงเอ๋อร์ช้อนตามองมันก่อนจะสอดมือเข้าอกเสื้อหยิบกล่องแพรเล็กๆ ออกมา นางลดสายตาลงมองพื้น พยายามรวบรวมความกล้า กระซิบเบาๆ“ ‘มุกน้ำแข็ง’ เม็ดนี้ข้าพกติดตัวไว้ตลอดสองปีที่ผ่านมา”พูดจบก็ก้มหน้างุด มิคาดผ่านไปเนิ่นนาน ฉีเฮ่ากลับเงียบกริบ เถียนหลิงเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจจึงแอบช้อนตามอง ปรากฏว่าฉีเฮ่าตรงหน้าเอาแต่ยืนยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความสุขมากล้นสุดจะพรรณนาทั้งสองสบตากันเนิ่นนาน ก่อนจะโผผวาเข้ากอดกันแน่นกระชับแสงจันทร์เย็นยะเยือกสาดส่องต้องร่างคนทั้งสอง สาดส่องดงไม้ทั้งแถบ ทว่าสาดส่องเข้าไปไม่ถึงมุมมืดที่จางเสี่ยวฝานซ่อนตัวอยู่ไม่รู้ว่าคู่รักทั้งสองพร่ำพลอดคำหวานต่อกันอีกนานเท่าใด จวบจนจันทราต่ำคล้อยฉีเฮ่าจึงขยับตัว“หลิงเอ๋อร์ ดึกมากแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”เถียนหลิงเอ๋อร์พยักหน้า แล้วทั้งสองก็สบตายิ้มให้กันอย่างหวานชื่น ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาใดอีก ฉีเฮ่าจูงมือนางเดินเคียงกันขึ้นสะพานอย่างช้าๆ ภายใต้แสงจันทร์อันงดงาม ทั้งสองเปรียบเสมือนนกยวนยางที่อิงแอบคลอเคลีย ไม่นานก็เดินลับหายไปจากสะพานรุ้งช่างเป็นคืนที่แสนชอกช้ำเสียนี่กระไรจางเสี่ยวฝานเดินเซื่องซึมออกมาจากดงไม้ มันหยุดอยู่ข้างสระมรกต จ้องผิวน้ำที่เรียบใสเหมือนกระจก เห็นในนั้นมีเงาสะท้อนของจันทรากลมเกลี้ยงขยับไหวเล็กน้อยตามระลอกคลื่นจู่ๆ มันก็อยากจะร้องไห้เพียงแต่ว่าสุดท้ายมันไม่ได้ร้องออกมา เจ้าความรู้สึกเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้แล่นพล่านไปทั่วใจเหมือนสัตว์ป่าวิ่งตะลุยยามคลุ้มคลั่ง สร้างรอยแผลในใจมันรอยแล้วรอยเล่า