เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าศิษย์พี่ทั้งสามของมันที่ปกติใจกว้างดุจมหานทีกลับปฏิเสธเป็นเสียงเดียว บอกว่าเป็นความคิดที่ชั่วร้าย เป็นแนวทางนอกรีต ทั้งยังตักเตือนโน้มน้าวให้มันเปลี่ยนความคิด แต่มันไม่ยอมแพ้ ยังคงเดินทางออกเยี่ยมเยียนสำนักเต๋าทั้งหลาย แค่เฉพาะสำนักเมฆาเขียวมันก็ไปเยี่ยมคารวะมาหลายครั้งแล้ว แต่กลับถูกเจ้าสำนักนักพรตเต้าเสวียนปฏิเสธกลับมาอย่างอ้อมค้อมเปี่ยมมารยาททุกคราไป
คิดถึงตรงนี้มันก็หัวเราะออกมา ในเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความขมขื่นเย้ยหยันตัวเอง คิดในใจ ‘เหลือชีวิตอีกเพียงสามวันยังจะหมกมุ่นคิดถึงความเป็นอมตะอันใดอีก อยู่ดีไม่ว่าดีคิดหาเรื่องให้ตัวเองทุกข์จนลมหายใจเฮือกสุดท้าย’
แต่ถึงแม้จะปล่อยวางใจลง เมื่อเหลือบแลเด็กน้อยทั้งสอง ความกังวลที่ปล่อยวางก็ย้อนกลับมาใหม่ คิดไม่ออกว่าจะช่วยเหลืออย่างไรดี มันเหลียวซ้ายแลขวา เห็นห่างออกไปไม่ไกลมีต้นสนใหญ่ซึ่งกำบังฝนได้ไม่มากก็จริง แต่ยังดีกว่าไม่มีอะไรคุ้มหัวเลย จึงกระตุ้นจิตใจให้แจ่มใส ฝืนสังขารอุ้มเด็กทั้งสองเดินโซเซไปถึงที่นั่น
กว่าจะถึงใต้ต้นไม้วางร่างเด็กทั้งสองลงได้ก็เหนื่อยแทบขาดใจ ต้องล้มกายลงนั่งพิงโคนต้นไม้หอบแฮก
ฟ้าดินไร้ซึ่งความปรานี ถือเอาสรรพสิ่งเป็นเช่นหุ่นสุนัขฟาง*
ประโยคนี้คือปรัชญาลัทธิเต๋า ยามท่องออกจากปากผู่จื้อเบาๆ แฝงไว้ด้วยความรู้สึกเศร้าสลด
สีดำดุจน้ำหมึกของราตรีปกคลุมทั่วพื้นปฐพี เมฆดำทะมึนยังคงลอยต่ำ สายฝนกระหน่ำถี่ยิบ ยามลมเย็นชื้นพัดปะทะหน้าสร้างความหนาวเหน็บถึงขั้วหัวใจ
มันเงยหน้ามองฟ้า ผ่านไปเนิ่นนานจึงลดสายตาลง กล่าวต่อร่างไร้สติของเด็กชายทั้งสอง
“ประสกน้อย อาตมามีใจอยากช่วยแต่เสียดายที่ไร้เรี่ยวแรง เรื่องทั้งหมดมีอาตมาเป็นเหมือนต้นเหตุทำร้ายประสกทั้งสอง เวรกรรม เวรกรรม! เฮ้อ หากเจ้าทั้งสองเป็นศิษย์สำนักเมฆาเขียว ได้รับการคุ้มกันจากคนในสำนักย่อมปลอดภัยอยู่บ้าง แต่ว่า…”
ทันใดนั้นผู่จื้อพลันสะท้านเฮือก ปากรำพึงรำพันว่า
“ศิษย์สำนักเมฆาเขียว ศิษย์สำนักเมฆาเขียว…”
เหมือนจะคิดอะไรออก ช่วงเวลาสั้นๆ นั้นมันถึงกับหลั่งเหงื่อกาฬออกมา
และแล้วแววตามันก็สาดประกายคลุ้มคลั่งแปลกๆ
มันแหงนหน้าหัวเราะลั่น หัวเราะจนเหมือนคนเสียสติ!
* สมัยก่อนหุ่นสุนัขฟางทำขึ้นเพื่อใช้ในพิธีเซ่นไหว้บูชา ระหว่างทำพิธีมีคุณค่า แต่พอเสร็จพิธีก็ถูกโยนลงถังขยะหมดความสำคัญไป