“เสี่ยวฝาน เจ้าโชคดีที่วันนี้ไม่ต้องประลอง แต่ก็ต้องเรียนรู้จากศิษย์พี่ทั้งหลายให้ดี โอกาสแบบนี้หาได้ยากยิ่ง เป็นประโยชน์ต่อการฝึกวิชาของเจ้ามาก เข้าใจหรือไม่”จางเสี่ยวฝานพยักหน้า“ศิษย์เข้าใจแล้ว”เถียนปู้อี้พยักหน้าให้ซูหรูแล้วเดินนำไปที่ข้างเวที ทุกคนรีบติดตามปะปนเข้าไปในกลุ่มคนดูเสียงระฆังดัง ‘เหง่งหง่าง’ กังวานไปทั่วลานทะเลเมฆ ปลุกจิตใจทุกคนให้คึกคักแจ่มใส ขณะเดียวกันเสียงจ้อกแจ้กจอแจก็พลันเงียบลงนักพรตเต้าเสวียนกับนักพรตชางซงปรากฏตัวขึ้นกลางเวที นักพรตเต้าเสวียนก้าวออกมา กวาดตามองศิษย์จำนวนมากมายหน้าเวทีก่อนประกาศเสียงดัง“เริ่มพิธีประลองได้!”กล่าวจบก็โบกแขนเสื้อ เสียงระฆังดัง ‘เหง่งหง่าง’ ขึ้นติดต่อกัน เหมือนจะส่งเสียงกึกก้องไปถึงสวรรค์ จางเสี่ยวฝานรู้สึกเลือดลมแล่นพล่าน ชำเลืองไปทางเถียนหลิงเอ๋อร์ก็เห็นนางยิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางคึกคักอยากทดสอบฝีมือเต็มที่สายตามันติดตรึงไม่ขยับเคลื่อน จึงไม่ได้ฟังคำกล่าวเปิดพิธี เสียงระฆังดังขึ้นอีกชุดมันจึงตื่นจากภวังค์ พบว่าการประลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้วผู้ร่วมประลองหกสิบสามคน เวทีแปดแห่ง แบ่งการประลองออกเป็นสี่รอบ ในรอบสิบหกคนแรกมีเถียนหลิงเอ๋อร์ศิษย์ดอยไผ่ใหญ่ขึ้นประลอง สถานที่คือเวที ‘หลี’ แน่นอนว่าศิษย์สังกัดดอยไผ่ใหญ่ทุกคนต้องกรูกันเข้าไปแย่งหาที่ยืนด้านหน้าคู่ประลองของเถียนหลิงเอ๋อร์คือศิษย์สังกัดดอยรับตะวัน แซ่เซิน ชื่อเทียนโต่ว ยามนี้ได้กระโดดขึ้นมารอบนเวทีด้วยท่าทีคึกคัก เรียกเสียงตบมือจากผู้ชมดังกระหึ่ม จางเสี่ยวฝานมองประเมินไปรอบๆ เห็นเวที ‘หลี’ มีผู้ชมประมาณหนึ่งร้อย ส่วนใหญ่จะเป็นศิษย์ดอยรับตะวัน แม้แต่ผู้นำสังกัดซางเจิ้งเหลียงก็มายืนรอชมที่ด้านล่าง ดูท่าให้ความสำคัญกับศิษย์คนนี้ไม่น้อยเถียนปู้อี้กับศิษย์ทั้งหลายถูกคลื่นคนดอยรับตะวันกลืนกิน แต่เถียนปู้อี้ไม่สนใจ มองไปทางซางเจิ้งเหลียงที่ยืนห่างออกไป ฝ่ายหลังหันมาพอดี จึงสบตากันอย่างจัง ประกายไฟปะทุขึ้นจางๆ ทว่าทั้งสองกลับยิ้มกลบเกลื่อนให้แก่กัน แสร้งทำเป็นปลอดโปร่งใจ