เถียนหลิงเอ๋อร์กลับไม่ตื่นกลัว ปักหลักยืนมั่น คว้า ‘แพรแดงอำพัน’ ที่ลอยกลับยกขึ้นโบกเหนือศีรษะ ก่อเกิดม่านประกายแดงส้ม ‘แพรแดงอำพัน’ ขยายตัวกว้างขึ้นเป็นสิบเท่า ปกคลุมอยู่ด้านบนราวกับฉากกั้น แทบจะในเวลาเดียวกัน กระบี่วิเศษของเซินเทียนโต่วก็แทงสวบลงมา แต่ฉากสีแดงเพียงขยับสั่นเล็กน้อย ไม่ปรากฏความเสียหายใดๆซูหรูค่อยระบายลมหายใจ แต่หันไปกระซิบกับเถียนปู้อี้“หลิงเอ๋อร์ถือดีเกินไปแล้ว”เถียนปู้อี้ร้องอือแล้วส่ายหน้ากระบี่วิเศษจู่โจมไร้ผลก็ดีดตัวกลับ เถียนหลิงเอ๋อร์ตวาดเสียงเจื้อยแจ้วแล้วหมุนตัว ‘แพรแดงอำพัน’ เปลี่ยนจากฉากกั้นเป็นกระบองใหญ่ยักษ์ ปลายชี้ฟ้า ส่วนด้ามอยู่ในมือเจ้านายผู้ชมด้านล่างต่างอุทานอึงมี่ เสียงถอนใจชมเชยดังเข้าหูเถียนหลิงเอ๋อร์ไม่รีรอชักช้า มือขวาขยับขวับ ‘กระบองแดงอำพัน’ หวดหนักๆ ใส่ศีรษะเซินเทียนโต่วเซินเทียนโต่วขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งเครียด กระบี่วิเศษบินกลับถึงมือมันแล้ว มันกัดฟันแน่น มือขวาคว้ากระบี่ มือซ้ายงอแล้วเหยียดออก กระบองยักษ์กำลังจะฟาดลงมาแล้ว ผู้ชมต่างพากันกลั้นหายใจ แต่แล้วเสียงระเบิดก็ดังกึกก้อง พื้นไม้เบื้องหน้าเซินเทียนโต่วหักสะบั้น ศิลาขนาดใหญ่หกก้อนแทงทะลุเวทีขึ้นมาขวางอยู่เบื้องหน้ามันด้านล่าง เถียนปู้อี้กับซูหรูหน้าเปลี่ยนสี ตรงข้ามกับซางเจิ้งเหลียงแห่งดอยรับตะวันที่พยักหน้าอย่างชื่นชมบนเวที กระบองยักษ์ฟาดโครมลงบนก้อนศิลาอย่างจัง เศษอิฐหินปลิวว่อนตกกระจายเกลื่อนพื้น ร่างเถียนหลิงเอ๋อร์สะท้านขึ้นอย่างแรง ‘คาถาเรียกศิลา’ ของอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งเกินรับ ‘แพรแดงอำพัน’ ถูกแรงกระแทกสะท้อนกลับมาฝุ่นยังไม่จางหาย เซินเทียนโต่วหน้าซีดเล็กน้อยแต่ไม่ยอมเสียเวลา มันคำรามเสียงดัง ทะยานร่างขึ้นยืนบนก้อนศิลา สองมือจับด้ามกระบี่เร่งเร้าพลังจนเปล่งรังสีเจิดจ้า แล้วแทงสวบลงไปในก้อนศิลาจนมิดเสียง ‘แก๊กๆๆ’ ตามด้วยเสียงไม้แตก เถียนหลิงเอ๋อร์ใจหายวูบ รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบนเวที แล้วทันใดนั้นพื้นไม้ที่นางยืนอยู่พลันแตกสะบั้นเป็นเสี่ยงๆ เสียง ‘ครืนๆ’ ดังขึ้นติดๆ กัน แท่งศิลาปลายแหลมจำนวนนับไม่ถ้วนแทงทะลุพื้นขึ้นมา ทำลายพื้นที่บริเวณนั้นจนไม่เหลือสภาพเดิม“อ๊ะ!”จางเสี่ยวฝานอุทานเสียงหลง พอรู้ตัวมันก็รีบเอามือปิดปาก สีหน้าเถียนปู้อี้และภรรยาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ซึ่งตรงกันข้ามกับคนฝั่งดอยรับตะวันที่พากันปรบมือโห่ร้อง