“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม! ถึงเราจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่หากถ่ายทอดวิชาประจำสำนักให้กับเด็กคนหนึ่งแล้วสั่งมันให้ขึ้นเขาไปเป็นศิษย์สำนักเมฆาเขียว ฝึกปรือพลังลัทธิเต๋า ไม่เท่ากับธนูดอกเดียวได้นกสองตัวหรอกรึ ทั้งสามารถช่วยชีวิตพวกมัน ทั้งบรรลุถึงปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งใจไว้!
พุทธกับเต๋าเป็นเส้นขนานกันโดยเด็ดขาดมาแต่โบราณกาล ต่อให้ตายก็ไม่ยอมคบหา สำนักเมฆาเขียวจะต้องคิดไม่ถึงว่าเด็กตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ตีนเขาใต้จมูกมาแต่เกิดจะเรียนรู้เคล็ดวิชาแนวพุทธ ขอเพียงในตัวเด็กคนหนึ่งบรรจุเคล็ดวิชาทั้งสองสำนัก มันจะต้องตีปริศนาความเป็นอมตะอันลี้ลับออกแน่ โอ หากเป็นเช่นนั้นจริง แม้เราตายยังต้องเสียดายอันใดอีกเล่า”
พอตัดสินใจเช่นนี้มันก็เหมือนตะเกียงที่ถูกเติมน้ำมัน ตื่นเต้นยินดีจนหน้าแดงก่ำ สองตาแดงซ่านเหลือบไปทางหลินจิงอวี่อย่างไม่รู้ตัว มันยื่นมือออกไปแต่แล้วก็ชะงัก คิดในใจว่า ‘เรื่องนี้มีความสำคัญใหญ่หลวงนัก แต่ละสำนักล้วนแบ่งพรรคแบ่งพวก กลัวที่สุดคือถูกขโมยเรียนวิชา เกิดถูกคนจับพิรุธได้ ความหวังทั้งหมดก็เป็นอันจบลง หลินจิงอวี่ผู้นี้มีส่วนสัดเป็นเลิศในการฝึกวิชา หากถูกรับเข้าสำนักจะต้องเป็นที่สนใจของบรรดาผู้อาวุโส ด้วยอายุยังน้อย เกรงว่าจะปกปิดความลับนี้ไว้ไม่อยู่’
คิดถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนใจเลื่อนสายตาไปที่จางเสี่ยวฝาน นึกถึงตอนกลางวันที่มันแม้ตายก็ไม่ยอมก้มหัว พยักหน้าอย่างพอใจ พึมพำว่า
“แม้คุณสมบัติจะด้อยไปบ้างแต่ไม่เป็นไร ต่อไปคงได้แต่อาศัยความมานะพยายามของเจ้าแล้ว”
โดยไม่รีรอชักช้า มันเกร็งพลังลมปราณที่เหลืออยู่ยื่นมือตบไปตามจุดบนร่างจางเสี่ยวฝานหลายแห่ง
จางเสี่ยวฝานได้สติตื่นขึ้นอย่างช้าๆ หูตายังพร่าเลือนอื้ออึง สักพักจึงค่อยคืนสู่ปกติ พอเห็นภาพตรงหน้าชัดๆ มันก็ตกใจสะดุ้งโหยง อ้าปากจะร้องแต่ไม่มีเสียงออกมา
เห็นหลวงจีนชรานั่งขัดสมาธิ มองปราดก็รู้ว่าบาดเจ็บสาหัส ร่างซีกซ้ายเหมือนถูกไฟไหม้ ผิวหนังดำเกรียม ใบหน้าดำคล้ำ ลมหายใจอ่อนล้าเหมือนใกล้จะสิ้นใจ แต่แปลกที่ใบหน้ากลับคึกคักกระปรี้กระเปร่า แววตาระบายด้วยรอยยิ้ม ข้างๆ ยังมีสหายรักของมันหลินจิงอวี่นอนสลบอยู่
“ทะ…ท่านทำอะไรน่ะ”
จางเสี่ยวฝานตะลึงอยู่นานจึงหลุดปากถาม
ผู่จื้อไม่ตอบ เพียงเพ่งพินิจมองมันแล้วถามว่า
“ประสกน้อย ทั้งดึกทั้งจะมีพายุ เจ้าเป็นเด็กตัวเล็กๆ ไม่หลับไม่นอน วิ่งมายังที่รกร้างแบบนี้ทำไม”
จางเสี่ยวฝานนิ่งไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า