ทั้งสองมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างแตกตื่นสงสัย พากันเร่งฝีเท้าวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ไม่นานก็ถึงประตูทางเข้าหมู่บ้าน จากจุดนั้นมองตรงเข้าไปเห็นกลางลานกว้างมีเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยรวมสองร้อยกว่าชีวิต ทั้งเด็กผู้ใหญ่ชายและหญิงนอนทอดกายเป็นศพตัวแข็งทื่อ เลือดแดงฉานไหลนองดุจท้องธาร แมลงวันบินตอมหึ่ง กลิ่นคาวเลือดฉุนกึกลอยเข้าจมูก
หลินจิงอวี่กับจางเสี่ยวฝานต้องมาพบภาพอันน่าสยดสยองอย่างกะทันหัน สุดที่จิตใจอันเยาว์วัยจะทนทานรับได้ ทั้งสองแผดร้องอย่างเสียขวัญก่อนสติขาดผึงสลบเหมือดไป
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร จางเสี่ยวฝานพลันสะดุ้งตื่น มันดีดกายลุกขึ้นนั่งอ้าปากหอบหายใจแรง สองมือสั่นระริก แม้ตอนสลบไสลก็ยังฝันร้ายถึงแต่ใบหน้าปีศาจ เลือดแดงฉานและโครงกระดูกขาวโพลน
มันพยายามข่มใจ กวาดมองไปรอบๆ สิ่งที่เห็นคือห้องธรรมดาๆ ห้องหนึ่ง มีหน้าต่างสองบาน ปัดกวาดสะอาดสะอ้านและตกแต่งอย่างสมถะ ภายในห้องจัดวางโต๊ะและเก้าอี้เพียงสองสามตัว บนโต๊ะวางกาและถ้วยชาไว้พร้อม พื้นที่ครึ่งหนึ่งของห้องมีเตียงเตาต่อเชื่อมกันจนเป็นเตียงขนาดใหญ่ บนนั้นปูที่นอนไว้สี่ที่ นอกจากตัวมันที่นอนอยู่ ที่นอนข้างๆ ดูยับย่น แสดงว่าก่อนหน้านี้มีคนนอน ส่วนที่เหลืออีกสองที่ยังเรียบตึง ผ้าห่มถูกพับวางไว้ข้างๆ อย่างดี เห็นได้ชัดว่าผู้อยู่มีระเบียบเพียงไร
ผนังเหนือศีรษะแขวนภาพวาดตามแนวนอน บนนั้นเขียนคำคำเดียวว่า
เต๋า!
หรือว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงเตี๊ยม ไม่อย่างนั้นก็อาจเป็นที่พักรวมของโรงเรียนฝึกวิชา
จางเสี่ยวฝานยันกายขึ้นนั่ง จู่ๆ ในใจก็ผุดความคิดขึ้นอย่างหนึ่ง
“หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความฝัน อันที่จริงเรานอนหลับอยู่ในบ้านตลอดทั้งคืน ประเดี๋ยวพอเดินออกไปก็จะตื่นแล้วพบมารดาซึ่งจะด่าเรายิ้มๆ ว่า ‘เจ้าตัวขี้เกียจ!’ เหมือนเคย”
มันลุกจากเตียงช้าๆ สวมรองเท้าเสร็จก็เดินไปที่ประตู
ประตูไม่ได้ลงกลอน จากช่องที่เปิดแง้มเหมือนจะมีลมเย็นๆ พัดโชยเข้ามา
มันเดินเข้าใกล้ประตูทีละก้าว สองมือบีบกันแน่น หัวใจเต้นแรงราวกับรัวกลอง เมื่อถึงก็วางมือลงบนแผ่นไม้พลางกลั้นหายใจ