นักพรตหนุ่มรูปนั้นไม่ได้หยุดมองอย่างตื่นตะลึงเหมือนเด็กทั้งสอง มันก้าวยาวๆ ผ่านประตูอย่างเคยชิน หลินจิงอวี่กับจางเสี่ยวฝานต้องรีบขมีขมันเดินตามหลัง
ทันทีที่ผ่านพ้น ทั้งสองก็แทบสะดุดลมหายใจกับภาพที่เห็น ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
ที่นี่น่าจะเป็นแดนสุขาวดีที่ผู้คนเล่าขานกัน
ตรงหน้าคือลานอเนกประสงค์ที่กว้างขวางอย่างเหลือเชื่อ พื้นปูด้วยหินอ่อนสีขาวดูสะอาดกระจ่างตา มองแล้วให้ความรู้สึกว่าชีวิตคนเราช่างเล็กกระจ้อยร่อยนัก ห่างออกไปคือทะเลเมฆสีขาวกำลังลอยเลื่อนเคลื่อนตัวอยู่เหนือพื้น ดูไปเหมือนผ้าม่าน ตรงกลางลานทุกระยะสิบจั้งจะวางกระถางทองเหลืองขนาดใหญ่มหึมาไว้หนึ่งใบ เรียงเป็นสามแถว แต่ละแถวมีสามใบ รวมทั้งหมดเป็นเก้า ในกระถางจุดกำยานควันลอยออกมาเป็นระยะ ส่งกลิ่นหอมระรื่นชื่นใจ
“มาทางนี้”
เหมือนจะรู้ใจ นักพรตหนุ่มยิ้มอย่างมีเมตตา หลังจากปล่อยให้เด็กทั้งสองเหม่อมองความงามตรงหน้าครู่หนึ่งจึงเร่งรัดให้เดินต่อ
“ที่นี่คือ ‘ทะเลเมฆ’ หนึ่งในหกทิวทัศน์ที่งดงามของเขาเมฆาเขียว ข้างหน้ายังมีที่สวยกว่านี้อีก!”
นักพรตหนุ่มนำทางพลางอธิบาย
หลินจิงอวี่อดถามไม่ได้
“เป็นอะไรหรือ”
นักพรตหนุ่มชี้ให้ดู
“สะพานรุ้ง”
เด็กทั้งสองมองตามนิ้วที่ชี้ ไกลออกไปสุดลานหินอ่อนดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างส่องแสงเป็นประกายอยู่หลังม่านเมฆ พวกมันเร่งฝีเท้าวิ่งไปข้างหน้าทันที
พอเข้าไปใกล้พวกมันก็ได้ยินเสียงน้ำไหลผสมด้วยเสียงคำรามแปลกๆ ซึ่งไม่รู้ว่าดังมาจากที่ใด
ยิ่งก้าวเข้าใกล้มากขึ้น เมฆหมอกก็ยิ่งเปรียบเสมือนเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ กำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อย ค่อยๆ ปลดผ้าคลุมหน้าบางๆ เผยให้เห็นรูปโฉมที่แท้จริง
สุดลานหินอ่อนมีสะพานหินแห่งหนึ่ง ไม่มีฐานรองและเสาค้ำ พาดขวางอยู่กลางอากาศเอาดื้อๆ ปลายด้านหนึ่งต่อเชื่อมกับลานหินอ่อนแล้วยื่นทะลุขึ้นไปตรงๆ ในชั้นเมฆเหมือนมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์ แสดงออกซึ่งความอหังการ เสียงน้ำไหลจ๊อกๆ คลอเคลียกับแสงตะวันเจิดจรัส สะพานทั้งสายเปล่งประกายเจ็ดสีดุจสายรุ้งพุ่งจากขอบฟ้าลงมายังปฐพี สวยงามตระการตาจนหาใดเทียบมิได้