• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่มที่ 29 ตอนที่ 2

    3 of 3หน้าถัดไป

    หน้าหุบเขาชิงสยา

    จวินโม่เสื้อผ้าเรียบร้อย หมวกตั้งตรง มันถือกระบี่เหล็กแขนเดียว มองทหารม้าของข้าศึกที่ไหลมาดุจกระแสเหล็กหลอม มันเริ่มเผาผลาญพลังจิตเฮือกสุดท้าย สีหน้าไร้ความรู้สึก

    คล้ายฟ้าดินสัมผัสได้ถึงความร้อนที่เกิดจากการเผาผลาญพลังชีวิตของมัน ฝนที่ตกปรอยๆ หยุดตกอย่างฉับพลัน เมฆฝนเหนือสนามรบค่อยๆ สลายตัว ปรากฏให้เห็นฟ้าสีครามแถบหนึ่ง

    แสงอาทิตย์ส่องลงมาตามรอยแยกของเมฆ ส่องลงบนตัวมัน

    ส่องลงบนตัวศิษย์สถานศึกษาทุกคน

     

    เฉาเหล่าไท่เหยียมองศพชาวถังที่อยู่เกลื่อนถนนพลันน้ำตาไหลพราก จากนั้นก็ยิ้มมองเจ้าอารามพลางตวาดว่า

    “ผู้ที่เผชิญหน้ากับอันตรายแล้วไม่ย่อท้อ…คือวิญญูชน!”

    เสียงชราภาพดังก้องบนถนนจูเชวี่ยและในสายลม ดังก้องที่ทะเลสาบน้ำแข็ง ดังก้องหน้าหุบเขาชิงสยา ดังก้องในเขาเหยาซาน ดังก้องที่ชายแดนตะวันออก ชายแดนทิศเหนือ และทุกหนทุกแห่งของดินแดนต้าถัง

    ผู้ที่ฝากเด็กกำพร้าเยาว์วัยไว้ให้ดูแลได้ ผู้ที่มอบชะตาของแผ่นดินให้คอยปกปักได้ ผู้ที่เผชิญหน้ากับอันตรายแล้วไม่ย่อท้อ…คือวิญญูชน!

    “ต้าถังเราแต่ไหนแต่ไรไม่เคยขาดคนเช่นนี้ ต้าถังคือแคว้นแห่งวิญญูชน”

    เฉาเหล่าไท่เหยียเอ่ยเสียงดังพลางจ้องตาเจ้าอาราม

    “แคว้นที่สวยงามเช่นนี้กำลังจะถูกพวกเจ้านิกายเต๋าที่เลวทรามทำลายให้หายไปจากโลก เจ้ายังถามข้าว่ายินยอมหรือ…”

    เฉาเหล่าไท่เหยียเงื้อไม้เท้าเตรียมจะฟาด

    “ยินยอมมารดาเจ้าน่ะสิ!”

    คำประกาศที่ฮึกเหิมห้าวหาญจู่ๆ มาเปลี่ยนเป็นคำด่า เฉาเหล่าไท่เหยียตะโกนถึงมารดาเจ้าอารามแล้วฟาดไม้เท้า

    คนธรรมดาและคนไม่ธรรมดาล้วนเป็นคน ตายแล้วล้วนต้องคืนสู่ดิน แต่ขณะที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็แตกต่างกันอย่างมาก ไม้เท้าของเฒ่าชราย่อมชนะเจ้าอารามไม่ได้

    ผู้คนบนถนนต่างคิดว่าเฉาเหล่าไท่เหยียตายแล้ว แต่ความจริงยังไม่ตาย เพราะเจ้าอารามไม่ได้ทำอะไร เพียงเดินผ่านข้างกายเฉาเหล่าไท่เหยียไปอย่างสงบ

    ศิษย์พี่ใหญ่พอเดาได้ถึงเจตนาของเจ้าอาราม นิกายเต๋าจะทำลายฉางอันก็ต้องทำลายขวัญกำลังใจของคนในฉางอัน เจ้าอารามฆ่าคนบนถนนสายยาวเพราะคิดใช้วิธีการที่รุนแรงที่สุดทำลายเปลือกที่แข็งแกร่งของชาวถัง เหยียบย่ำความทะนงตนของชาวถังให้จมปฐพี แต่ในเมื่อฆ่าคนแล้วแก้ปัญหาข้อนี้ไม่ได้ มันจึงเลือกที่จะเพิกเฉย

    ทว่าเจ้าอารามยังคงไม่เข้าใจชาวถังอย่างถ่องแท้ เฉาเหล่าไท่เหยียเดินไปถึงพรมแดนระหว่างความเป็นความตายแล้วจึงไม่ได้เกิดความงุนงงสับสนเพราะเจ้าอารามเพิกเฉย แต่เริ่มสงสัยในตัวเอง

    ตีไม่โดนก็คือตีไม่โดน ครั้งหน้ามีโอกาสค่อยตีอีกทีก็ได้ ไม่ตายก็คือไม่ตาย ไม่ตายย่อมดีกว่าตาย เฉาเหล่าไท่เหยียคิดตกในที่สุด ไม่จำเป็นต้องสงสัยในตัวเองเลย ท่านผู้เฒ่าถือไม้เท้าเดินไปด่าไปบนถนน ด่าอย่างหยาบคาย ถึงขั้นใช้คำที่สกปรกยิ่งกว่าสิ่งสกปรกที่อยู่ในพื้นหิมะ

    เจ้าอารามเลิกคิ้วแล้วเดินหน้าต่อไป เดินเข้าหาหนิงเชวีย จากนั้นก็จะเป็นวังหลวง

    ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยว่า

    “ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง”

    เจ้าอารามเอ่ยตอบ

    “ต้าถังแม้แข็งแกร่ง แต่ฟ้าจะทำลายต้าถัง เจ้าจะทำอย่างไรได้”

     

    หน้าหุบเขาชิงสยา

    เยี่ยหงอวี๋มองจวินโม่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เลือดไหลลงมาตามแขนเสื้อของนางแล้วหยดลงบนพื้นอยู่ตลอดเวลา รวมตัวกับเลือดที่แข็งตัวสะสมมาหลายวัน นางสงบนิ่งเพราะรู้ว่าจวินโม่บาดเจ็บสาหัสกว่าตนมากนัก เวลานี้ฝ่ายตรงข้ามกำลังเผาผลาญพลังจิตซึ่งเท่ากับพลังชีวิตเฮือกสุดท้าย ไม่สนสิ่งใดแม้ว่าสุดท้ายต้องตายก็ตาม

    นางมองใบหน้าที่ยังคงไร้ความรู้สึกของจวินโม่ มองบรรดาศิษย์สถานศึกษาที่ต่างโลหิตโซมกายที่อยู่ด้านหลังมัน แล้วหวนนึกถึงการสู้รบที่ดุเดือดหน้าหุบเขาชิงสยาช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา นึกถึงว่าอาศัยคนเพียงไม่กี่คนนี้ก็สามารถต้านกองทัพร่วมอาศรมเทพที่มีกำลังคนมากมายมหาศาลไม่ให้บุกขึ้นเหนือได้…คนอย่างจวินโม่ สู้รบจนใกล้ตายเช่นนี้ หากเป็นนางคงต้องเปลี่ยนสีหน้าบ้าง ดังนั้นในส่วนลึกของดวงตานอกจากแสงเจิดจรัสแล้วจึงมีความเลื่อมใสระคนเสียดายอยู่หลายส่วน

    “ฟ้าจะทำลายสถานศึกษา เจ้าจะทำอย่างไรได้”

    นางกล่าวพลางมองจวินโม่

    จวินโม่เงยหน้ามองฟ้า ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่เมฆยังไม่สลายไปจนหมด จึงมองเห็นฟ้าครามได้เพียงบางตำแหน่ง หรือต่อให้เมฆฝนสลายไปจนหมด ท้องฟ้าสดใส แต่ตอนนี้เป็นยามกลางวันย่อมไม่อาจมองเห็นดวงจันทร์ ก่อนจะสู้รบจนตัวตายมันเพียงอยากเห็นอาจารย์สักครั้ง

    จวินโม่ไม่ได้ตอบคำถามของเยี่ยหงอวี๋โดยตรง แต่เอ่ยว่า

    “เฉาเสี่ยวซู่มีนิสัยไม่เลว ถ้าตอนนั้นไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิด มันคงเป็นศิษย์น้องของข้า”

    เยี่ยหงอวี๋รู้ว่าเฉาเสี่ยวซู่คือใคร แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจวินโม่จึงเอ่ยถึงมันในตอนนี้

    จวินโม่มองฟ้า มองหาร่องรอยที่ดวงจันทร์ดวงนั้นทิ้งไว้เมื่อเจ็ดวันก่อนแล้วเอ่ยต่อไปว่า

    “เพียงแต่มันชอบที่จะติดตามอดีตจักรพรรดิจึงไม่ได้เข้าสถานศึกษา ตอนนั้นอดีตจักรพรรดิตัดสินใจชำระล้างราชสำนัก ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์ในคืนนั้นที่ศาลาชุนเฟิง”

    เยี่ยหงอวี๋รู้ว่าเหตุการณ์คืนนั้นที่ศาลาชุนเฟิงทำให้ชื่อของเฉาเสี่ยวซู่และหนิงเชวียเข้ามาอยู่ในสายตาของอาศรมเทพ

    จวินโม่ละสายตากลับมา มองนางพลางเอ่ยว่า

    “ก่อนจะถึงคืนนั้นเฉาเสี่ยวซู่เคยเจรจากับฝ่ายตรงข้ามที่เรือนหงซิ่วเจา มันเคยพูดไว้สองประโยค หลังจบเหตุการณ์ คำพูดนี้แพร่หลายไปในฉางอัน คำพูดสองประโยคของมันในตอนนั้นคือ ‘ขอเพียงสวรรค์ละเว้นข้า ข้าก็สามารถมีชีวิตสืบต่อไปได้’ ”

    เยี่ยหงอวี๋พลันรู้สึกว่าร่างกายหนาวนิดๆ เพราะนางรู้ว่าต่อจากนี้จะได้ยินอะไร

    แม้ตอนนี้ทั้งโลกบุกโค่นต้าถัง นิกายเฮ่าเทียนกับต้าถังไม่อาจอยู่ร่วมโลก แต่นางยังคงคิดไม่ถึงว่าในโลกของเฮ่าเทียนจะมีคนที่เอ่ยถึงหลักการนี้ได้อย่างแน่วแน่ไม่สะทกสะท้าน

    เป็นไปตามคาด จวินโม่สะบัดแขนเบาๆ กระบี่เหล็กกว้างตรงมีเลือดกระเซ็นออกมา

    มันกุมกระบี่เหล็กมองเยี่ยหงอวี๋ ทั้งเหมือนมองท้องฟ้าเหนือศีรษะนางพลางเอ่ยว่า

    “ที่ผ่านมาข้าคิดว่าสองประโยคนี้ไม่ถูกต้องนัก เพราะแม้ฟ้าไม่ยอมรับข้า ข้าก็จะอยู่ต่อ ถ้าฟ้าสารเลวไม่ยอมให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจละเว้นมัน”สุดท้ายเอ่ยว่า “อย่างน้อยก็ไม่ให้มันได้อยู่อย่างเป็นสุขนัก”

     

    บนถนนหิมะ ศิษย์พี่ใหญ่มองเจ้าอารามพลางเอ่ยว่า

    “อาจารย์เคยพูดว่าใจคนไปในทิศทางใด ฟ้าต้องคล้อยตาม”

    “หากฟ้าไม่คล้อยตาม หากฟ้าไม่ยอมรับ เจ้าจะทำอย่างไร”

    เจ้าอารามกล่าวจบก็หยุดก้าวเดิน มองท้องฟ้าที่มีหิมะตกลงมาไม่หยุด นิ่งไปครู่ก่อนเอ่ยต่อไปอย่างครุ่นคิด

    “พวกเจ้าลองเงยหน้ามอง ฟ้าเคยละเว้นใครด้วยหรือ”

    ทั่วบริเวณเงียบไป ไม่มีใครพูดจา เพราะไม่มีใครสามารถตอบคำถามของเจ้าอาราม

    ต่อหน้าพลังที่แข็งแกร่งอย่างสุดขีด ความกล้าหาญมีค่าให้ชื่นชมก็จริงแต่ไม่มีพลัง ในสายตาที่เย็นชาของท้องฟ้า ความปรารถนาของมนุษย์ราวกับว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญมาแต่ไหนแต่ไร

    นักพรตผอมนิ่งเงียบ ฉู่เหล่าไท่จวินนิ่งเงียบ คนที่ได้รับบาดเจ็บนิ่งเงียบ คนที่ตายแล้วไม่อาจเอ่ยวาจา แม้แต่ลุงรองเฉาปากก็ขมุบขมิบอยู่ครู่ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

    สุดท้ายมีเสียงหนึ่งทำลายความเงียบ

    เสียงนี้แหบพร่า แห้งผาก คงเป็นเพราะไม่ได้กินน้ำเป็นเวลานานและเสียเลือดไปมากจึงทำให้ไม่น่าฟังอยู่บ้าง

    เสียงนี้ฟังดูเหน็ดเหนื่อย ถึงขั้นอ่อนแอ แต่แสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่อย่างที่สุด เสียงนี้ที่บอกว่าไม่น่าฟังไม่ใช่เสียงประเภทของแหลมคมเสียดสีกับกระจก แต่เหมือนเสียงกระจกแตกเลยมากกว่า

    เสียงนี้พูดว่า

    “เช่นนั้นก็ทำลายมัน”

    เจ้าอารามมองเลยไปทางด้านหลังฝูงชน เห็นใบหน้าที่เปรอะเต็มไปด้วยเลือดของหนิงเชวีย เห็นดวงตาของหนิงเชวีย

    ดวงตาของทั้งสองคนจ้องมองกันอย่างชัดเจนเช่นนี้เป็นครั้งแรก

    หนิงเชวียมองเจ้าอารามพลางเอ่ยว่า

    “ใจคนไปในทิศทางใด ฟ้าต้องคล้อยตาม หากฟ้าไม่คล้อยตาม เช่นนั้นก็ทำลายมันเสีย ข้าคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่ไม่ซับซ้อน”

    เจ้าอารามเห็นความแน่วแน่และมั่นใจที่ฉายออกมาจากแววตามัน คิ้วเลิกขึ้นช้าๆ

     

    ดรรชนีธารเทวะทำให้หนิงเชวียบาดเจ็บสาหัส ความมั่นใจถูกบั่นทอนลงไปมาก แต่ตอนนั้นโลกแห่งจิตวิญญาณของมันยังคงเข้มแข็ง ต่อมามันกลับค่อนข้างงุนงงเมื่อเห็นเด็กสองคนที่ร้องไห้พลางทดลองทำสิ่งที่เหนือจินตนาการในโลกมนุษย์ ด้วยเหตุนี้มันจึงตัดสินใจยืนขึ้น และมันก็ยืนขึ้นแล้วจริงๆ แต่ทำได้เพียงอาศัยดาบค้ำยันร่างกายที่อ่อนแอ จากนั้นคนธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนก็วิ่งผ่านข้างกายมันไป วิ่งเข้าหามหาสมุทรดำมืดแห่งความตาย การเห็นคนมากมายตายไปต่อหน้าต่อตา มันคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

    การตัดสินใจเลือกของคนธรรมดาเหล่านี้สวนทางโดยสิ้นเชิงกับความรู้ความเข้าใจที่มันมีต่อโลกใบนี้ ขัดแย้งกับหลักการของมัน แม้เคยเห็นภาพมากมายที่คล้ายๆ กันในสนามรบ แต่ภาพที่เห็นในวันนี้ยังคงกระแทกกระเทือนจิตวิญญาณของมันอย่างยากจะรับได้ เพราะมันในอดีตมักวางตนเองไว้นอกสถานการณ์ ส่วนมันในวันนี้อยู่บนถนนเส้นนี้ อยู่ในสถานการณ์

    จิตวิญญาณของหนิงเชวียไหลทะลักออกมาตามเลือดพวกนั้น ล้มลงตามร่างเหล่านั้น กระจัดกระจายไปตามวิญญาณเหล่านั้น สุดท้ายค่อยๆ ร่วงลงสู่โลกใบนี้ เมื่อก่อนมันยินดีตายเพื่อฉางอัน นั่นเพราะหน้าที่และความรู้สึกที่มีต่อสถานศึกษา ต่อจอมปราชญ์ ต่อซือฟูเหยียนเซ่อ และต่อองค์จักรพรรดิ มันยืนกรานว่าไม่ใช่เป็นเพราะมันเลือดร้อน มันคิดว่าตัวเองเป็นคนเลือดเย็นมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยเหตุนี้ตอนที่เลือดในกายมันร้อนถึงขั้นเดือดพล่านมันจึงงุนงง จิตใจเริ่มว้าวุ่น มันรู้สึกได้รางๆ ถึงพลังบางอย่าง มันเคยพบพลังแบบนี้ และไม่เพียงครั้งเดียว แต่ไม่มีครั้งใดที่สัมผัสได้ชัดเจนเท่าในเวลานี้

    ทันใดนั้นเสียงชราภาพเสียงหนึ่งเริ่มดังขึ้นในหูมัน ดังขึ้นในหัวใจมัน

    หนิงเชวียไม่รู้ว่าท่านลุงรองกำลังเอ่ยวาจา

    เสียงชราภาพนั้นดังไปทั่วทุกอาณาบริเวณของต้าถัง ความรู้สึกนึกคิดของหนิงเชวียคล้ายล่องลอยตามไปในเขตแดนต่างๆ ด้วย มองเห็นผู้คนมากมายหลายหลาก คนพวกนั้นกำลังต่อสู้ กำลังเดินทัพ กำลังเสี่ยงชีวิต กำลังเดินเข้าหาความตาย กำลังยืนหยัด หรืออาจเพียงรอคอย แต่เป็นการรอคอยที่เต็มไปด้วยความเข้มแข็งที่น่าตื้นตันใจ มันเห็นผู้คนมากมาย ผู้คนเหล่านั้นล้วนยอดเยี่ยม

    จากนั้นก็มีภาพอีกมากมายผ่านหน้ามันไปอย่างรวดเร็ว มันเห็นมีดผ่าฟืนเปื้อนเลือดในห้องเก็บฟืน ผืนดินแตกระแหงที่เขตเหอเป่ย ชาวบ้านที่อดอยากเหมือนผีซูบผอม มันเห็นเขาหมินซานที่กว้างใหญ่ เห็นนายพรานเฒ่า เห็นกำแพงเมืองเว่ย เห็นโคมไฟยามค่ำคืนในฉางอัน เห็นทะเลสาบในทุ่งร้างแห่งนั้น เห็นสุสานแห่งนั้นที่วัดลั่นเคอ มันเห็นคนมากมาย อาจพูดไม่ได้ว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นมนุษย์ปุถุชน

    มันคล้ายย้อนกลับไปตอนที่เข้าสู่สมาธิหน้าพระพุทธรูปหินวัดลั่นเคอ และคล้ายยังอยู่ที่ภูเขากระดูกในสำนักของพรรคมาร พูดคุยกับเหลียนเซิงเป็นครั้งสุดท้าย มันคล้ายมองเห็นตอนที่เริ่มเข้าสู่มรรคาแห่งยันต์ในกาลก่อน เห็นจอมยันต์แห่งชนเผ่าโบราณคนนั้น

    มนุษย์ในยุคแรกเริ่มต้องต่อสู้กับสัตว์ป่า นุ่งห่มหนังสัตว์ กินเนื้อสัตว์ และอาศัยในถ้ำ จากนั้นจึงเริ่มเพาะปลูกพืชพันธุ์ เลี้ยงสัตว์ กินเนื้อสัตว์มากขึ้น มนุษย์ยังกินเนื้อสัตว์ต่อไป และคิดวิธีการมากมายในการปรุงแต่งรสชาติเพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อนั้นหอมหวนชวนกิน ทำให้กินได้มากขึ้น เพราะการกินเนื้อสัตว์ทำให้มนุษย์แข็งแรงขึ้นได้

    หนิงเชวียเห็นผู้คนสร้างที่อยู่อาศัย เกิดเป็นหมู่บ้านและถนนหนทาง สุดท้ายมองเห็นเมืองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านบนผืนที่ราบราวกับจะแทงทะลุฟ้า นั่นคือเมืองฉางอัน

    มันเดินอยู่ในฉางอัน เห็นร้านซาลาเปาที่เคยเห็นเมื่อหลายวันก่อน รวมถึงพื้นศิลาหน้าร้านซาลาเปานั่น นึกถึงกระแสปราณที่สัมผัสได้ในวันนั้น ตลอดจนพลังสายนั้นที่เป็นของโลกมนุษย์

    พลังเช่นนี้สามารถเปลี่ยนแปลงฟ้าดิน

    พลังเช่นนี้สามารถชนะกาลเวลา

    พลังเช่นนี้ทั้งธรรมดาที่สุดและไม่ธรรมดาที่สุด ทั้งโดดเด่นที่สุดและไม่สะดุดตาที่สุด ยกตัวอย่างคือไอน้ำของร้านซาลาเปาหรืออิฐก้อนหนึ่งในกำแพงเมือง นอกจากนี้ยังเป็นการสืบทอดทางปัญญาและการต่อต้านอย่างไม่ยอมแพ้ด้วย

    หนิงเชวียจู่ๆ ก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก

    พลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ และอยู่ใกล้มันถึงเพียงนี้ มันจึงสัมผัสได้อย่างแท้จริง

    มันรู้สึกได้ถึงความกระจ้อยร่อยของตัวเองจึงเกิดความยำเกรง ไม่เหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเฮ่าเทียนที่รู้สึกว่าตนเองกระจ้อยร่อยแล้วมีโทสะ

    นั่นเป็นเพราะไม่ว่ามันจะกระจ้อยร่อยอย่างไรก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังสายนี้

    ไม่ว่าพลังสายนี้จะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็มีจุดกำเนิดมาจากความกระจ้อยร่อยจำนวนนับไม่ถ้วน

     

    3 of 3หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook