Uncategorized
ทดลองอ่านยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 1 ตอนที่ 2
ทดลองอ่าน ยอดเชฟ 1_2
“กระเป๋าสตางค์!”
เขารวบรวมพละกำลังทั้งหมดวิ่งไล่ตามเด็กคนนั้น แต่คนต่างถิ่นอย่างเขาคงไม่มีทางจับคนในท้องที่ที่ชำนาญเส้นทางแถวนี้ได้อย่างแน่นอน เด็กคนนั้นวิ่งเข้าซอยนั้นซอยนี้แล้วก็หายไปจากสายตา
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”
มินจุนมองไปรอบๆ อย่างหมดหวัง อยู่ที่เกาหลีไม่เคยเจออะไรแบบนี้ แต่มาถึงนิวยอร์กแค่หนึ่งชั่วโมงก็ถูกคนวิ่งราวกระเป๋า ก่อนมาก็มีคนเตือนว่าให้ระวัง แต่ไม่คิดว่าจะโดนเข้ากับตัวเองวันแรก ไม่น่าประมาทเลย
รู้ซึ้งถึงนิวยอร์กแล้ว
เขาไม่ได้พกเงินสดมากมายเท่าไหร่ แต่บัตรทั้งหลายอยู่ในกระเป๋าสตางค์ทั้งหมด จะเรียกแท็กซี่สักคันก็เรียกไม่ได้ เขาจึงเดินอย่างหมดแรงกลับไปยังจุดที่ถูกล้วงกระเป๋า ชายที่แต่งตัวซอมซ่อยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า
“นี่ คุณจำเป็นต้องใช้”
ขณะเขาพูดก็ยื่นแบงก์ห้าดอลลาร์ที่มินจุนให้ไปเมื่อกี้คืนมา มินจุนจึงถอนหายใจพร้อมกับตอบกลับไป แม้จะไม่ได้คุยกับคนต่างชาติมานาน แต่ภาษาอังกฤษที่ออกมาจากปากก็ถือว่าคล่องแคล่วใช้ได้
“ไม่เป็นไรครับ ให้ไปแล้วจะเอาคืนก็น่าเกลียดแย่ เก็บไว้ซื้อข้าวกินเถอะครับ”
“เห็นผมเป็นขอทานเหรอ”
มินจุนพินิจพิเคราะห์ชายผมสีบลอนด์ อายุราวๆ สี่สิบปี สวมเสื้อโค้ตเก่าๆ กับผ้าพันคอขาดรุ่งริ่ง เสื้อผ้าพวกนี้ดูซอมซ่อเกินกว่าที่จะมองว่าเป็นแฟชั่นวินเทจ แถมยังนั่งอยู่กับพื้นและวางหมวกไว้ข้างหน้าอีกต่างหาก มันจึงยิ่งตอกย้ำความเป็นขอทานมาก
“ไม่ใช่เหรอครับ”
“ผมมีบ้านนะ”
“ถ้างั้นผมก็เอาห้าดอลลาร์ของผมคืนได้”
“คุณเพิ่งพูดเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอว่าให้ไปแล้วจะเอาคืนก็น่าเกลียด แล้วผมเองก็ถูกมองว่าเป็นขอทานไปแล้ว ดังนั้นห้าดอลลาร์นี่ถือว่าเป็นเงินชดเชยแล้วกัน”
ชายคนนั้นพูดพร้อมกับหัวเราะ มินจุนจึงถอนหายใจแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ
“ผมชื่อลูคัส ดีน แล้วคุณล่ะชื่ออะไร”
“โชมินจุน นามสกุลโช ชื่อมินจุน”
“เกาหลีหรือญี่ปุ่นล่ะ”
“เกาหลีครับ”
ลูคัสมองกระเป๋าเดินทางของมินจุนก่อนจะพูดว่า
“เหมือนจะมาเที่ยวนะ ซวยตั้งแต่เริ่มเลย”
“ผมคงต้องนอนข้างถนนแล้วล่ะ”
พอมาถึงก็ถูกขโมยกระเป๋าสตางค์ เขาจึงใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรกลับบ้านไม่ได้ แม่ต้องเป็นห่วงมากแน่ๆ
“โรมมิ่งได้มั้ยนะ”
มินจุนหยิบมือถือขึ้นมา เขาลงทะเบียนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โชคดีที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ หลังจากที่จัดการเรื่องแจ้งบัตรหายและอายัดบัตรมินจุนก็ปรึกษาลูคัสว่าควรจะแจ้งตำรวจหรือไม่
“ตำรวจไม่สนใจพวกวิ่งราวหรือล้วงกระเป๋าหรอก เพราะมันเป็นเรื่องปกติ ยิ่งเป็นชาวต่างชาติยิ่งแล้วใหญ่”
“ทำไมแถวนี้น่ากลัวจัง”
“แล้วคุณจะทำยังไงต่อล่ะ”
มินจุนส่ายหน้าบอกเป็นเชิงว่าไม่รู้
“ลองไปนอนบ้านขอทานดูสักครั้งมั้ยล่ะ”
บ้านของลูคัสอยู่ห่างออกไปแค่ยี่สิบเมตรเท่านั้น พอเดินเข้าไปในบ้านที่ถูกสร้างด้วยอิฐแดง มินจุนก็ถึงกับตะลึง
“ทำไมบ้านของขอทานดูหรูจังเลยล่ะ”
“หยุดพูดคำว่าขอทานได้แล้ว ได้ยินแล้วมันหดหู่ใจ”
“ขอบคุณที่ชวนผมมานะครับ”
“โอ้ และได้โปรดอย่ามาขอบคุณกันแบบนี้”
บ้านของลูคัสที่ตอนแรกคิดว่าเป็นขอทานนั้นดูดีกว่าบ้านของมินจุนเสียอีก เพดานสูง พื้นปูด้วยหินอ่อน มีพื้นที่ประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบแปดตารางเมตรซึ่งถ้ารวมห้องชั้นสองด้วยก็น่าจะกว้างกว่านี้ เมื่อเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ผู้หญิงผมบลอนด์คนหนึ่งก็มองลูคัสด้วยสีหน้าที่ตกใจ
“ลูคัส…นั่นคุณจริงๆ เหรอ”
“เจน…ผมขอโทษ”
ใบหน้าของผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าเจนซีดเซียวอย่างน่าตกใจ เธอเดินโซเซเข้ามาหาจนมินจุนคิดว่าเธอน่าจะล้ม แล้วเธอก็ล้มจริงๆ ถ้าลูคัสไม่รีบวิ่งไปรับ พื้นหินอ่อนก็อาจจะรับเธอไว้แทนก็ได้
“เจน!”
“อา…ฉันสัมผัสตัวคุณได้ ใช่คุณจริงๆ ด้วย”
“ขอโทษที่ผมกลับมาช้า”
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน มินจุนก็ได้แต่มองด้วยใบหน้าที่เคอะเขินและทำตัวไม่ถูก ในตอนนั้นเองเจนจึงเริ่มหันมาสนใจมินจุน
“คนนี้คือ…”
“อ๋อ คนที่ช่วยผม เขาชื่อโชมินจุน”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันชื่อเจน ดีน”
“ผมโชมินจุนครับ”
มินจุนจับมือทักทายเจนแล้วหันไปมองลูคัส คนที่ช่วย?หมายความว่ายังไง แค่ให้เงินไปห้าดอลลาร์ก็ไม่น่าจะถือเป็นการช่วยเหลืออะไร แม้จะสงสัยแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาถาม เพราะทั้งดวงตาของเจนกับลูคัสต่างแดงก่ำและชุ่มไปด้วยน้ำตา น่าจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
“ผมเป็นคนทำให้กระเป๋าสตางค์เขาหาย เลยอยากให้เขามาพักอยู่ที่บ้านเราระยะหนึ่ง จะได้มั้ยเจน”
“ได้สิคะ แค่คุณกลับมาก็เหมือนฝันแล้ว เจสซี่จะต้องดีใจมากแน่ๆ”
พอได้ยินชื่อเจสซี่ สีหน้าของลูคัสก็เริ่มหม่นหมอง
“เจสซี่จะยกโทษให้ผมมั้ย”
“เรื่องนั้นไว้ค่อยเป็นกังวลทีหลัง ฉันมีอะไรอยากถามคุณเต็มไปหมด แต่ขอถามเรื่องนี้ก่อน”
เจนยิ้มพร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“กินอะไรมารึยังคะ”
ระหว่างที่เจนเข้าไปเตรียมอาหารในครัว ลูคัสก็พามินจุนมายังห้องพักแขกที่อยู่ชั้นสอง
“ขอถามได้ไหมครับว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณ”
“คือผมตัดสินใจออกจากบ้านน่ะ เร่ร่อนอยู่นาน ที่ตอนนี้กลับมาก็เพราะคุณนั่นแหละ”
“เมื่อกี้ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ผมไปช่วยอะไรคุณตอนไหนเหรอ”
ลูคัสยิ้มพร้อมกับหยิบแบงก์ห้าดอลลาร์ขึ้นมา
“ก็แค่เงินห้าดอลลาร์เองนี่ครับ”
“การได้รับความปรารถนาดีจากใครสักคน สำหรับผมมันถือเป็นโอกาสที่ดี มันทำให้ผมได้ย้อนมองดูตัวเองและได้เห็นความจองหองอวดดี ก็เลยคิดอยากจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
แม้จะมีเรื่องสงสัยอีกมากมาย แต่มินจุนตัดสินใจไม่ซักไซ้ไล่เลียงต่อ
“งั้นผมจะคิดว่าที่นี่คือโรงแรมราคาห้าดอลลาร์สำหรับผม”
“จะเช็กเอาต์เมื่อไหร่ก็ได้นะ เอาตามที่ต้องการเลย”
เผลอแป๊บเดียวเวลาก็ล่วงเลยมาห้าโมงเย็น หลังจากรื้อข้าวของออกจากกระเป๋าเสร็จมินจุนก็ลงมาที่ครัว อาหารเสร็จเกือบหมดแล้ว มีทั้งมะกะโรนีอบชีส แฮมเบิร์กสเต็ก แล้วก็สลัด
“กลิ่นหอมจังเลย ดูท่าทางคุณทำอาหารเก่งนะครับ”
“สามีฉันเป็นนักชิมตัวยงเลยล่ะค่ะ ถ้าไม่อยากฟังเสียงบ่นก็ต้องฝึกทำให้เก่งๆ”
เจนพูดพร้อมกับยิ้มอ่อน ส่วนลูคัสที่อยู่ข้างๆ ก็พูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“ผมเคยเชื่อว่าถ้าอาหารอร่อย คนทำก็มีความสุข คนกินก็มีความสุขไปด้วย ตอนนี้ก็ยังเชื่อแบบนั้น แต่ว่า…”
ลูคัสเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่แล้วก็นิ่งเงียบไป มินจุนจึงหันไปมองเจน กลิ่นน่าอร่อยอันเป็นเอกลักษณ์ของมะกะโรนีอบชีสช่างเตะจมูกของเขายิ่งนัก มันชวนให้เขาอยากเห็นคะแนนการทำอาหารในทันที
“คุณคงจะมีความสุขนะครับ ได้ทานอาหารอร่อยๆ ถึงวันละสามครั้ง”
“สองครั้งค่ะ ฉันทานวันละสองมื้อ”
“งั้นต้องพยายามทานให้ได้วันละสามมื้อนะครับ”
แล้วมะกะโรนีอบชีสที่เสร็จเรียบร้อยก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะอาหาร เจนตักแฮมเบิร์กสเต็กใส่จานแล้วหันมาถาม
“โปะไข่บนแฮมเบิร์กมั้ยคะ”
“ไม่ครับ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
“ดีเลยค่ะ บ้านเราก็กินแบบไม่โปะไข่”
เจนหัวเราะแล้วเดินไปนั่งตรงที่ของตัวเอง ส่วนมินจุนก็มองสองเมนูด้วยตาที่เป็นประกาย
[แฮมเบิร์กสเต็ก]
ความสด : 97%
แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)
คุณภาพ : สูง (เฉลี่ยวัตถุดิบ)
คะแนน : 6/10
[มะกะโรนีอบชีส]
ความสด : 89%
แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)
คุณภาพ : สูง (เฉลี่ยวัตถุดิบ)
คะแนน : 6/10
ไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสองเมนูได้หกคะแนนเหมือนกัน ถือเป็นคะแนนที่มีระดับเทียบเท่ากับอาหารในภัตตาคารเลยทีเดียว ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากฝีมือของคนทั่วไป
มินจุนกุมมือและสวดมนต์อธิษฐาน เมื่อลูคัสเห็นภาพนั้นก็ถามเขา
“เป็นคาทอลิกเหรอ”
“เปล่าครับ ผมเป็นโปรเตสแตนต์”
“เสียดาย บ้านเราเป็นคาทอลิก”
“ที่รัก กินก่อนเถอะค่ะ”
ลูคัสกับมินจุนยกส้อมขึ้นพร้อมกัน มินจุนขยับมือไปตักแฮมเบิร์กสเต็กก่อนเป็นอย่างแรก ความจริงเขาไม่ค่อยชอบแฮมเบิร์กสเต็กเท่าไหร่ เพราะเขาไม่ค่อยชอบพวกเนื้อสับ แต่กลิ่นที่ลอยออกมาจากแฮมเบิร์กสเต็กชิ้นนี้มันช่างยั่วยวนเหลือเกิน
ทันทีที่เคี้ยวแฮมเบิร์กสเต็กก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นของเนื้อที่แรงกว่าแฮมเบิร์กสเต็กทั่วไป ราวกับว่าใส่แต่เนื้อวัว ไม่ได้ใส่เนื้อหมูเลย แถมยังมีกลิ่นพริกไทยและรสเปรี้ยวจากซอสที่พุ่งขึ้นมา มันคือซอสอะไรนะ ไม่ว่าจะคิดยังไงก็คิดไม่ออก นี่ไม่ใช่รสชาติที่เขารู้จัก เขาจึงเงยหน้ามองที่หน้าต่างสูตรว่ามันคือซอสอะไร