Uncategorized
ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 1 ตอนที่ 3
ทดลองอ่าน ยอดเชฟ 1_3
[ปลาทรายแดงทอดราดซอสพริกหวาน]
ความสด : 89%
แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)
คุณภาพ : สูง (เฉลี่ยวัตถุดิบ)
คะแนน : 7/10
เจ็ดคะแนนคือคะแนนสูงสุดที่มินจุนเคยได้รับ มันอาจดูต่ำไปหน่อยสำหรับคะแนนเต็มสิบ แต่ความต่างเพียงแค่หนึ่งคะแนนนั้นยิ่งใหญ่มาก
ช่วงเวลาสิบห้าวันที่ผ่านมามินจุนตระเวนไปร้านอาหารทั่วนิวยอร์ก ในบรรดาร้านเหล่านั้นมีอยู่สองร้านที่ได้ดาวจากมิชลิน ร้านแรกได้สองดาว อีกร้านได้หนึ่งดาว ทั้งสองเป็นร้านดังที่คนนิวยอร์กรู้จักดี แต่ร้านอาหารเหล่านั้นยังไม่มีเมนูไหนได้คะแนนเต็มสิบเลย ส่วนใหญ่จะได้แปด บางเมนูได้แค่เจ็ดก็มี ซึ่งเมนูระดับเก้าคะแนนนั้นมีเพียงเมนูเดียว คือเมนูที่เขาได้กินที่ร้านมิชลินสองดาวที่มีชื่อว่า ‘อีสต์ แรบบิท การ์เด้น’ มันเป็นร้านของเจมี่ แรบบิท และคาดว่าอีกไม่น่าก็นานจะได้สามดาวจากมิชลิน
อาหารระดับเก้าคะแนนที่ได้กินนั้นถือเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขามากจนเปรียบกับอะไรไม่ได้เลยในชีวิตนี้ มันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างซี่โครงแกะย่างกับซอสแกงกะหรี่ เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าในชีวิตนี้จะได้ตื่นตะลึงมากขนาดนี้กับสิ่งที่เรียกว่าอาหาร ที่ผ่านมามีแค่อร่อยแบบประทับใจธรรมดา ไม่เคยมีครั้งไหนที่ตื่นเต้นเท่าครั้งนั้น สิ่งแรกที่สุดยอดคือกลิ่นหอมและรสชาติอันกลมกล่อมของแกงกะหรี่ที่แค่สัมผัสปลายลิ้นก็ตีขึ้นจมูก จากนั้นก็เป็นซี่โครงแกะ กลิ่นสาบอันเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อแกะนั้นเข้ากันได้ดีกับกลิ่นข้าวก้นหม้อ มันอบอวลอยู่ภายในปาก เกิดเป็นความรู้สึกอันเลอค่าและมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
รู้ตัวอีกทีเขาก็กินซี่โครงแกะหมดเกลี้ยง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้สึกท้อแท้กับอาหารของตัวเองที่ได้เพียงแค่เจ็ดคะแนน นี่คุ้มค่ากับความพยายามที่ผ่านมาของเขาแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นคะแนนที่ไม่น่าผิดหวัง แต่น่าพอใจมากกว่า
มินจุนวางจานนั้นลงบนรถเข็น แล้วเข็นเข้าไปในห้องที่มีคณะกรรมการ ด้วยความที่มีผู้แข่งขันเข้าออกหลายคนจึงทำให้สตูดิโอคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอาหาร เขาไล่มองคณะกรรมการทีละคน คนแรกคือเอมิลี่ พอร์เตอร์ แล้วหน้าต่างสถานะก็เด้งขึ้นมาตรงด้านข้างศีรษะของเธอ
[เอมิลี่ พอร์เตอร์]
เลเวลการทำอาหาร : 3
เลเวลการทำของหวาน : 6
เลเวลการชิม : 9
เลเวลการตกแต่งจาน : 6
โดยรวมถือเป็นเลเวลที่สูง โดยเฉพาะเลเวลการชิมนั้นโดดเด่นมาก ถ้าอยู่ในระดับนี้ แม้จะกินอาหารแบบเดียวกันก็สามารถรับรู้ถึงรสชาติที่แตกต่างกันได้
อลันก็มีเลเวลการชิมอยู่ในระดับเก้าเช่นกัน แต่โจเซฟแค่แปดเท่านั้น นั่นอาจจะเป็นเพราะอายุของโจเซฟก็เป็นได้ คนเราเมื่ออายุสี่สิบขึ้นไปประสาทรับรสก็จะค่อยๆ เสื่อมลง แต่เลเวลการทำอาหารกลับตรงกันข้าม โจเซฟอยู่ในเลเวลเก้า อลันอยู่เลเวลแปด ซึ่งถ้าดูจากอายุของโจเซฟก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เขาอายุเกือบจะหกสิบแล้ว สั่งสมประสบการณ์มามากกว่าอลันเป็นสิบปี เลเวลการทำอาหารย่อมสูงเป็นธรรมดา แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ โจเซฟเป็นเชฟที่คนทั่วโลกยกย่อง แต่เลเวลกลับไม่เต็มสิบ แล้วจะมีใครถึงสิบบ้างนะ คนคนนั้นจะมีตัวตนอยู่จริงบนโลกนี้หรือเปล่า ระหว่างที่มินจุนกำลังครุ่นคิดสงสัยอยู่นั้น อลัน เคร็กก็พูดขึ้นมา
“มินจุน จะให้เรามองแต่หน้าคุณจนถึงเมื่อไหร่ครับ”
“เอ่อ ขอโทษครับ”
ทันทีที่มินจุนยกจานไปวางตรงโต๊ะ อลันก็พาร่างที่แข็งแรงกำยำเดินออกมาข้างหน้าเป็นคนแรก
“ปลาทรายแดง?”
“ใช่ครับ เป็นปลาทรายแดงที่ทอดด้วยเทคนิคอาร์โรเซ่ กินกับซอสที่ทำจากพริกหวาน รสเผ็ดที่เป็นเอกลักษณ์ของพริกหวานน่าจะเข้ากันได้ดีกับปลาทรายแดงครับ”
“เดี๋ยวลองชิมก็รู้”
อลันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่มินจุนก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาเคยดูรายการนี้จึงรู้อยู่แล้วว่าอลันมีคาแร็กเตอร์แบบนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นนิสัยจริงๆ หรือเป็นคอนเซ็ปต์ของรายการ
อลันใช้มีดหั่นปลาทรายแดงแล้วใช้ส้อมจิ้มเข้าปาก มินจุนลุ้นอยู่เงียบๆ เมนูนี้ได้เจ็ดคะแนน เขารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ล้มเหลว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องตื่นเต้น มันเป็นเมนูที่ควรได้รับคำชม
อลันเช็ดปากแล้วถอยหลังกลับไป ไร้ซึ่งคอมเมนต์ใดๆ ต่อไปเป็นคิวของเอมิลี่ พอร์เตอร์ สีหน้าของเธอมีความคาดหวังเล็กน้อย เธอตักปลาเข้าปากแล้วหลับตาลงเพื่อพินิจพิเคราะห์ช้าๆ แม้เธอจะแสร้งทำเป็นไม่แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ แต่มินจุนก็แอบเห็นที่มุมปากของเธอเหมือนจะมีรอยยิ้มบางๆ โจเซฟ วินเซนต์เดินออกมาเป็นคนสุดท้าย ความยับย่นของใบหน้าบ่งบอกถึงประสบการณ์มากมาย มินจุนจึงรู้สึกตื่นเต้น ไม่ใช่ว่ากลัวอีกฝ่ายจะให้คะแนนไม่ดี แต่ตื่นเต้นที่เชฟระดับโลกกำลังจะชิมอาหารฝีมือเขา อาหารของคนที่ก่อนจะย้อนเวลากลับมานั้นเป็นได้แค่เพียงคนสับกระเทียมในร้านอาหารที่ไม่มีแม้แต่ดาวมิชลินใดๆ
ก่อนที่จะชิม โจเซฟได้เอ่ยถามว่า
“ดูเหมือนจะทำอาหารเก่งนะ”
“เอ่อ…ผมทำอย่างสุดความสามารถที่จะทำได้ในตอนนี้ครับ”
“ถ้ามันไม่อร่อย นั่นก็หมายความว่าคุณหมดหวัง”
โจเซฟพูดพร้อมมองจ้องด้วยดวงตาที่แข็งกร้าว แต่มินจุนก็ไม่สะทกสะท้าน ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สงบเยือกเย็น
“อร่อยแน่นอนครับ”
“ก็ดี ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะ”
พอพูดจบโจเซฟก็ตักปลาทรายแดงที่เหลือใส่เข้าปากจนหมด เขาพินิจพิเคราะห์ปลาทรายแดงที่อยู่ในปากสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะแย้มยิ้มแล้วกลับไปยังที่ของตน
คณะกรรมการทั้งสามปรึกษากันด้วยเสียงที่เบามากถึงขั้นที่มินจุนไม่ได้ยินแม้แต่นิดเดียว ไม่นานนักคณะกรรมการทั้งสามก็พยักหน้า แล้วคนที่เปิดปากพูดเป็นคนแรกก็คืออลัน
“มินจุน คุณคิดว่าเราจะประเมินคุณออกมายังไง”
“คิดว่าน่าจะดีนะครับ”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“เพราะถ้ามันเป็นอาหารที่ใช้ไม่ได้ ผมคงไม่ตักใส่จานตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ”
อลันขำกับคำพูดนั้นแล้วหันไปมองหน้าเอมิลี่
“เลือกได้ดีมากเลยนะคะ เทคนิคอาร์โรเซ่ทำให้ปลาทรายแดงสุก ได้รสสัมผัสที่ดีมาก ในขณะที่เคี้ยวมีกลิ่นเนยกับน้ำมันปลาอบอวลอยู่ในปาก”
“ขอบคุณครับ”
“ส่วนซอสพริกหวานก็สดมาก ปกติปลาทรายแดงจะคู่กับซอสปาปริก้าซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ความเผ็ดของพริกหวานนี่ทำให้เกิดรสชาติที่แปลกใหม่ แตกต่างจากเมนูปลาทั่วไปมากค่ะ ไม่ได้เผ็ดจนกินไม่ได้ เผ็ดกำลังดีเมื่ออยู่ในปาก และยังทำให้ได้รับรสของปลาทรายแดงมากยิ่งขึ้นด้วย อร่อยค่ะ ฉันให้คุณผ่าน”
เอมิลี่ยิ้มและจบการวิจารณ์เพียงแค่นั้น อลันที่อยู่ข้างๆ จึงพยักหน้า
“ผมก็คิดเหมือนกับเอมิลี่ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันอร่อยที่สุดในบรรดาเมนูปลาที่เรากินกันวันนี้เลย ซอสพริกหวานเข้ากันได้ดีกับเนื้อปลาทรายแดง ซิกเนเจอร์เมนูนี้เป็นการเลือกที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นคุณเลยล่ะ แต่ที่น่าเสียดายคือถ้าตกแต่งจานสักหน่อยก็คงจะดี ผมว่ามันดูธรรมดาเกินไป อาหารดูสร้างสรรค์ แต่การจัดจานไม่ค่อยสร้างสรรค์เลย น่าเสียดายจริงๆ”
“ครับ ต่อไปผมจะเรียนรู้การตกแต่งจานให้มากกว่านี้ครับ”
“ดี แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมให้คุณผ่าน ถึงการตกแต่งจานจะไม่ได้เรื่อง แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าอาหารของคุณอร่อยมาก คุณเป็นคนที่รู้จักวิธีการชูรสอาหาร ขอให้คุณมีความมั่นใจอยู่เสมอ”
พอได้ยินคำนั้นมินจุนรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างพุ่งปรี๊ดขึ้นมาที่หน้าอก เหมือนได้สลายความอึดอัดและเศร้าหมองของช่วงเวลาที่ผ่านมาออกไปจนหมดสิ้นเพียงเพราะคำพูดเหล่านั้น เขาดีใจและขอบคุณต่อคำวิจารณ์ของอลันเป็นอย่างยิ่ง
แต่ก่อนเขาเคยสงสัยว่าคนที่มาออดิชันแล้วร้องไห้เนี่ยเป็นการจัดฉากแสดงละครให้คนส่วนใหญ่ซาบซึ้งตามรึเปล่า แต่มาตอนนี้ที่ได้ยืนตรงจุดนี้ เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการได้ฟังคำชมแบบนี้มันทำให้น้ำตาไหลพรากออกมาเอง เหมือนกับว่าความใฝ่ฝันทั้งชีวิตได้รับการยอมรับก็ในวันนี้ หากความใฝ่ฝันเป็นจริงแล้วน้ำตาย่อมไหลออกมาเป็นธรรมดา แต่เขากลับไม่ร้องไห้เพราะเขาอยากเก็บน้ำตาไว้ในตอนคว้าถ้วยรางวัลชนะเลิศ คว้ารางวัลแห่งเกียรติยศของแกรนด์เชฟ
“มินจุน ที่คุณพูดในตอนแรกว่าแกรนด์เชฟเป็นการแข่งขันที่ดี ตอนนี้ผมเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้นแล้วเหมือนกัน แกรนด์เชฟเป็นรายการที่ถูกสร้างมาเพื่อคนแบบคุณ มันเป็นรายการของคุณ หวังว่าหลังจากนี้คุณจะแสดงฝีมือให้เราได้เห็นกันเหมือนกับตอนนี้นะครับ มันอร่อยมาก เป็นเมนูที่วิเศษจริงๆ นะมินจุน”
โจเซฟหัวเราะก่อนจะพูดต่อจนจบ
“คุณผ่านเข้ารอบครับ”
เมื่อได้ยินคำนั้น มินจุนก็ก้มโค้งคำนับโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นการแสดงความขอบคุณสไตล์เกาหลี แต่ก็ช่างเถอะ เขาอยากแสดงความขอบคุณออกมาจากใจ ส่วนคณะกรรมการก็เหมือนจะงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพากันยิ้มออกมา แล้วอลันก็เดินมาติดเข็มกลัดแกรนด์เชฟบนหน้าอกให้
“คุณคือหนึ่งในร้อยคนที่ผ่านเข้ารอบต่อไป แล้วพบกันนะ มินจุน”
“ขอบคุณครับ”
มินจุนหัวเราะตอบแล้วหันหลังเดินออกไปจากห้องโดยมีอลันมองตาม ระหว่างนั้นเอมิลี่ก็พูดขึ้นว่า
“ดูเหมือนเราจะเจอหนึ่งในตัวเก็งชนะเลิศแล้วนะ”
“แต่ผมสงสัยว่านี่อาจจะสุดความสามารถของเขาแล้วหรือเปล่า ถ้าไม่พัฒนาไปมากกว่านี้ก็คงจะคว้าถ้วยรางวัลมาครองไม่ได้ เพราะรายการนี้ดุเดือดไม่ใช่เล่น”
“เหรอคะ แล้วโจเซฟล่ะ คุณคิดว่ายังไง”
โจเซฟนิ่งอยู่สักพักก่อนพูดออกมา
“ปลาทรายแดงนั่นอร่อยดีนะ”
ถึงจะเป็นคำพูดสั้นๆ แต่เอมิลี่กับอลันก็เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น นั่นสิ พวกเขามีหน้าที่วิจารณ์การทำอาหารเท่านั้น และการแข่งขันนี้ก็ไม่ได้มีโครงสร้างซับซ้อนอะไรมากมายเลย
โดยทั่วไปคนที่ผ่านรอบคัดเลือกมักจะโอ้อวดตัวเองด้วยวิธีการต่างๆ นานา บางคนก็แกล้งทำเป็นซ่อนเข็มกลัดไว้ในเสื้อแล้วทำตกเพื่อที่จะเก็บขึ้นมา บางคนก็เอาใส่ปากแล้วคายออกมา แต่มินจุนไม่ชอบโอ้อวดแบบนั้น เขาเดินออกมาทั้งที่มีเข็มกลัดติดอยู่บนหน้าอก ผู้คนที่เห็นเข็มกลัดของเขาต่างส่งเสียงโห่ร้องพร้อมกับปรบมือ เขาจึงยิ้มตอบรับการแสดงความยินดีนั้นนิ่งๆ ครอบครัวดีนเดินมาหา ลูคัสเข้ามากอดพร้อมกับหัวเราะร่า
“รู้อยู่แล้วว่าคุณต้องผ่าน”
“ผมก็คิดอย่างนั้นครับ”
เมื่อเห็นภาพนั้น ผู้กำกับรายการที่อยู่ข้างๆ ตากล้องก็ทำสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง มินจุนเป็นผู้เข้าแข่งขันที่มีค่าพอให้จัดสรรจำนวนการออกอากาศให้มากๆ ฝีมือไม่ธรรมดา แถมยังมีเรื่องราวให้น่าติดตาม ซึ่งในระหว่างที่มินจุนทำอาหารอยู่เมื่อกี้นั้นก็ได้มีการสัมภาษณ์ครอบครัวดีนแล้ว
“คนนี้มีของแน่นอน”
แต่ปัญหาก็คือจะจับคาแร็กเตอร์ยังไง เอกลักษณ์ของมินจุนในตอนนี้มีอยู่สี่อย่าง หนึ่งคือความมุ่งมั่นในการข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมาเพื่อแข่งขัน สองคือท่าทางที่สง่าสุขุม สามคือความเป็นคนเอเชีย และสุดท้ายคือสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน นั่นคือฝีมือการทำอาหาร มันขึ้นอยู่กับว่าทางพวกเขาซึ่งเป็นทีมงานจะทำให้มันผสมกลมกลืนกันอย่างไร
ในระหว่างที่ผู้กำกับรายการกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น มินจุนก็ยืนมองอาหารของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ เคาน์เตอร์ทำอาหารมีทั้งหมดยี่สิบเคาน์เตอร์ และพวกมันไม่เคยว่างเลยแม้แต่วินาทีเดียว เขามองดูเลเวลของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ อยู่เงียบๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เลเวลห้า บางคนก็เลเวลสี่ ส่วนเลเวลหกขึ้นไปนี่แทบไม่เห็นเลย
พอมาลองคิดดูแล้วมันก็ไม่แปลก ถึงแม้มินจุนจะมีตำแหน่งเล็กที่สุดในร้านอาหารก่อนที่จะย้อนเวลากลับมา แต่ฝีมือของเขาไม่ได้เล็กตามเลย เพราะระหว่างเรียนและหลังจบมหาวิทยาลัยเขาทำอาหารมามากมายนับไม่ถ้วน เรียกว่าเป็นพันๆ ครั้ง ค่าประสบการณ์จึงแทบจะสมบูรณ์แบบหากเทียบกับมือใหม่ด้วยกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาอยู่ที่เลเวลหก และโลกทัศน์ของเขาก็กว้างไกลยิ่งขึ้นหลังจากมาที่อเมริกา เลเวลจึงเพิ่มตามไปด้วย
ถ้าคะแนนการทำอาหารก็ไม่ได้มากมายอยู่แล้ว ยังต้องมาทำอาหารในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ต่อหน้าคนมากมายที่ไม่รู้จัก มันจึงเป็นเรื่องยากมาก
อีกทั้งมินจุนก็ได้เรียนรู้ว่าถ้าเลเวลการทำอาหารอยู่ที่หก หากทำอาหารเหมือนปกติที่เคยทำ คะแนนทำอาหารเฉลี่ยก็จะอยู่ที่หกคะแนน แต่ถ้าได้วัตุดิบที่สด สูตรอาหารใหม่ๆ และทำโดยปราศจากข้อผิดพลาด คะแนนการทำอาหารก็สามารถขึ้นเป็นเจ็ดได้ แต่พวกที่มีเลเวลแค่ห้าคงจะเครียดน่าดู คะแนนการทำอาหารคงจะออกมาไม่สูงมาก
และในตอนนั้นเอง ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ที่กำลังว่างอยู่ ตอนแรกมินจุนไม่ได้สนใจอะไร แต่พอเห็นหน้าของเธอ มินจุนก็หน้าตึงขึ้นมาทันที เพราะเธอคือคนที่ทุกคนรู้จักดี
“คาย่า โลตัส…”
เธอนั่นเอง เขารู้อยู่แล้วว่าเธอมาแข่งรอบคัดเลือกที่นิวยอร์กเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะมาวันเดียวกันแบบนี้ เหลือเชื่อมากที่ได้มีโอกาสเห็นเธอ อัจฉริยะที่ร้ายกาจที่สุดของรายการ เธอคือตัวเทพที่ไม่มีใครทัดเทียมได้ ผู้ชนะแกรนด์เชฟซีซั่นสาม
คาย่าคือผู้เข้าแข่งขันซึ่งเป็นที่พูดถึงมากที่สุด ไม่ใช่แค่เรื่องฝีมือเท่านั้น แต่เธอยังมีความเป็นสตาร์อยู่ในตัวเองอีกด้วย ซึ่งขัดแย้งกับแบ็กกราวนด์ของเธอที่เป็นเพียงพลเมืองชั้นสองของประเทศ เธอมีผมหยักศกสีดำ มัดแน่นอยู่ที่ท้ายทอย และการแต่งตาแบบสโมกกี้อายดำเข้มก็ทำให้เธอดูสวยดุ แฝงความร้ายกาจเอาไว้
มินจุนจ้องมองดวงตาของเธอ นัยน์ตาสีฟ้าส่องประกายสดใสอยู่ภายใต้เปลือกตาสีเข้ม รอบตัวเธอเหมือนมีแสงออร่าเปล่งประกายออกมา ราวกับมีพลังบางอย่างกำลังกลืนกินผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดและยึดครองสตูดิโอนี้
มินจุนตะลึงกับท่าทางและออร่าของเธออยู่พักใหญ่ พอตั้งสติได้ก็เห็นหน้าต่างสถานะของเธอเด้งอยู่ แม้เขาจะมีพลังของระบบ แต่ก็ต้องมีพื้นฐานที่ดีเป็นทุนจึงจะสามารถเอาชนะการแข่งขันได้ พออยู่ใกล้คาย่า เขาไม่ได้เป็นเชฟที่มีพลังพิเศษใดๆ แต่เป็นเพียงดาวอับแสงที่อยู่เบื้องหน้าดวงอาทิตย์ที่สว่างจ้า
กล่องน้ำแข็งของเธอวางอยู่บนเคาน์เตอร์ในสภาพที่ยังไม่ได้เปิด แต่มินจุนก็รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในนั้น มันคือปลาไหล ในรอบคัดเลือกนี้เธอจะนำเสนอเมนูมิโมซ่าสลัดกับปลาไหลย่างหมักซอส แล้วเธอก็เริ่มต้นการทำอาหาร เธอหยิบปลาไหลออกมาจัดการ ฝีมือการใช้มีดของเธอนั้นเนี้ยบมาก แทบไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คือวัยรุ่นอายุสิบแปดปี เธอเกิดปีเก้าสอง ต่อให้นับอายุแบบเกาหลีเธอก็เพิ่งอายุแค่สิบเก้าปี ยังวัยรุ่นอยู่เลย แต่กลับแล่ปลาไหลได้ชำนิชำนาญราวกับเซียนแล่ปลาในร้านอาหารญี่ปุ่น
พอแล่ปลาไหลได้ขนาดยาวพอสมควรคาย่าก็เทไวน์ขาวแล้วโรยเกลือลงบนนั้น ต้มไข่ทิ้งไว้ในหม้อก่อนจะหันไปทำซอสที่จะใช้ทาปลาไหล ส่วนผสมก็ไม่มีอะไรมาก มีขิง กระเทียม ซีอิ๊ว กุยช่ายขาว ใบมัสตาร์ด แล้วก็โหระพา เธอใส่ทั้งหมดลงในเครื่องปั่น เสร็จแล้วก็นำไปทาบนปลาไหลแล้วโรยเปลือกเลมอนลงไปแทนน้ำตาล จากนั้นก็ปล่อยทิ้งเอาไว้
มิโมซ่าสลัดเป็นสลัดที่คว้านเอาแกนในของผักกาดแก้วออกแล้วกางแผ่เพื่อให้เหมือนดอกไม้บาน นำสลัดไปวางบนนั้น คาย่าเริ่มจากการหั่นแอปเปิ้ล หัวหอม และแตงกวา ขยี้ไข่ต้มให้แหลก จากนั้นก็ใส่มายองเนส มัสตาร์ด และพริกไทยลงไปผสม ต่อไปก็แกะอโวคาโดแล้วปรุงรสด้วยเกลือกับพริกไทย นำไปใส่ในสลัด ตามด้วยบีบน้ำเลมอน
แล้วก็ถึงเวลาของปลาไหล ตรงนี้แหละที่เป็นไฮไลต์สำคัญ คาย่าวางปลาไหลลงบนตะแกรงแล้วนำไปย่างไฟ การกระทำของเธอทั้งใจถึงและห้าวหาญมาก เพราะการให้อาหารโดนไฟโดยตรงนั้นไม่ใช่จะควบคุมได้ง่ายเลย มันยากยิ่งกว่าอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาหารจำพวกเนื้อปลา เพราะเนื้อปลานั้นอ่อนนุ่มจึงไหม้ได้ง่ายมากหากถูกไฟโดยตรง แถมนี่ยังทาซอสเข้าไปอีก ยิ่งเป็นส่วนผสมขององค์ประกอบแห่งการวายวอดเข้าไปใหญ่ ข้างนอกไหม้แต่ข้างในยังไม่สุก แถมยังต้องมาทำอาหารในครัวที่เพิ่งเคยได้ใช้ครั้งแรกอีก แต่เธอกลับไม่มีความลังเลใดๆ ดูเหมือนเธอจะมองเห็นทางที่คนอื่นมองไม่เห็น การกะระยะห่างระหว่างไฟกับตะแกรงเพื่อทำให้ปลาไหลสุกนั้นเรียกได้ว่าเป็นฝีมือขั้นเทพเลยทีเดียว
ถ้าเป็นเรา จะทำแบบนั้นได้รึเปล่านะ
ทำได้สิ!ถ้าฝึกเป็นพันๆ หมื่นๆ ครั้ง ฝึกมาเป็นเวลาหลายสิบปี ยังไงก็สามารถย่างปลาไหลแบบนั้นได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ยังทำไม่ได้ในตอนนี้เท่านั้นเอง สักวันเขาต้องทำอาหารแบบที่ไม่มีใครตามทันเหมือนกับคาย่าให้ได้
แล้วหน้าต่างเลเวลของคาย่าก็เด้งขึ้นมาอีกครั้ง
[คาย่า โลตัส]
เลเวลการทำอาหาร : 7
เลเวลการทำของหวาน : 6
เลเวลการชิม : 10
เลเวลการตกแต่งจาน : 6
กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของปลาไหลฟุ้งไปทั่ว ผู้ชมที่เฝ้าดูการทำอาหารของคาย่าต่างพากันกลืนน้ำลาย คนที่มีลิ้นกับจมูกยังไงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกแบบนี้
คาย่าหั่นปลาไหลที่สุกได้ที่แล้ววางไว้บนมิโมซ่าสลัดที่ทำเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ มินจุนพอจะจินตนาการได้ว่ารสชาติของมันจะเป็นอย่างไร เปลือกเลมอนที่โรยแทนน้ำตาลกลายเป็นคาราเมลเมื่อถูกไฟ จึงช่วยเพิ่มกลิ่นไหม้ให้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันรสชาติที่สดชื่นของเลมอนยังช่วยดับกลิ่นคาวได้ และยังมีกลิ่นจางๆ ของไวน์ขาวอีกด้วย
แต่การผสมผสานของมิโมซ่าสลัดนั้นยากเกินที่จะจินตนาการ กลิ่นของไข่ต้ม มายองเนส และมัสตาร์ดจะเข้ากันได้ดีกับปลาไหลอย่างนั้นเหรอ ถ้าทำพลาด ไข่อาจจะมีกลิ่นคาวก็ได้ แต่ระดับคาย่า โลตัสแล้วต้องดับกลิ่นคาวได้แน่นอน
แตงกวากับหัวหอมจะช่วยให้เกิดความเย็นสดชื่นภายในปาก ผักกาดแก้วช่วยทดแทนสัมผัสในการเคี้ยวที่ขาดหายไป มันเป็นอาหารที่นำองค์ประกอบหลายๆ อย่างมารวมกันได้อย่างลงตัว อย่างน้อยก็ปลาไหลกับมิโมซ่าสลัดซึ่งผสมผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ แล้วผลลัพธ์ของมันก็ถูกแสดงออกมาเป็นหน้าต่างระบบ
[ปลาไหลย่างไฟกับมิโมซ่าสลัด]
ความสด : 85%
แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)
คุณภาพ : กลาง (เฉลี่ยวัตถุดิบ)
คะแนน : 8/10
มินจุนแทบเสียสติหลังจากที่เห็นคะแนนนั้น แปดคะแนนเนี่ยนะ ยังไงคาย่าก็ชนะแน่ๆ แต่แปดคะแนนสามารถไปเป็นเชฟร้านอาหารมิชลินได้เลย
นี่ไม่ใช่มาตรฐานที่จะมาออกรายการแกรนด์เชฟแล้วมั้ง
มินจุนหัวเราะแห้งๆ อย่างหมดหวัง ระหว่างนั้นมีกล้องตัวหนึ่งกำลังจับภาพเขาที่จ้องมองคาย่าตาไม่กะพริบ คนที่ถือกล้องไม่ใช่ตากล้อง แต่กลับเป็นผู้กำกับรายการ
ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของผู้ชายมักจะเป็นสินค้าที่ขายได้เสมอ ผู้กำกับยิ้มกับความคิดของตัวเองแล้วซูมไปที่ใบหน้าของมินจุน มันไม่สำคัญว่ามินจุนกำลังคิดอะไร แต่สิ่งที่กล้องจับได้ในตอนนี้คือสีหน้าที่สติหลุดลอยไปแล้ว ทีนี้ก็ขึ้นกับผู้ชมแล้วว่าจะตีความหมายของสีหน้านั้นให้ออกมาในรูปแบบไหน เสริมด้วยคำบรรยายภาพที่แทรกขึ้นมาบนหน้าจอก็น่าเพียงพอที่จะครอบงำความคิดของผู้ชมได้อย่างง่ายดาย
คาย่าวางเมนูปลาไหลบนรถเข็นเพื่อนำไปให้คณะกรรมการชิมโดยมีสายตาหลายคู่มองตาม ไม่นานนักคาย่าก็ออกมาจากห้องคณะกรรมการ
และแน่นอนว่าออกมาพร้อมกับเข็มกลัดบนหน้าอก
“เมื่อกี้คุณจ้องจนจะทะลุเข้าไปในตัวคุณคาย่าอยู่แล้ว”
ระหว่างสัมภาษณ์ ประโยคนั้นก็หลุดออกมาจากปากของผู้กำกับโดยไม่รู้ตัวจนมินจุนถึงกับเบิกตากว้าง ชื่อของผู้กำกับรายการคือมาร์ติน ออสเทน ชายหนุ่มวัยสามสิบปีผู้มีรอยยิ้มพิมพ์ใจ ไม่ว่าใครก็ต้องประทับใจเมื่อแรกเห็น
“อายุยี่สิบเอ็ดปีเหรอครับ อายุกำลังดีเลย ตอนผมอายุเท่าคุณก็เป็นฝ่ายรักเค้าอยู่ข้างเดียวไม่รู้กี่หนต่อกี่หน”
“เข้าใจอะไรผิดแล้วมั้งครับ”
มินจุนถอนหายใจ
“ฝีมือการทำอาหารของเธอในวันนี้ยอดเยี่ยมมาก ผมแค่ประทับใจในความสามารถของเธอน่ะครับ”
“ถ้าคุณเอ่ยคำว่ายอดเยี่ยม นั่นก็แสดงว่าเธอเก่งกว่าคุณน่ะสิครับ”
มาร์ตินถามด้วยน้ำเสียงที่ยียวนจนมินจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในใจเขารู้ดีว่าตัวเองยังเทียบชั้นกับคาย่าไม่ได้ และช่องว่างนั้นก็ใช่ว่าจะหดแคบลงภายในระยะเวลาอันสั้น เพียงแต่ว่าหากหลุดปากออกไปมีแต่จะเสียศักดิ์ศรีเปล่าๆ จึงต้องตอบแบบเลี่ยงๆ
“เธอเก่งที่สุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขันในวันนี้ครับ แต่ผมเองก็อาจจะเก่งกว่าคนอื่นๆ ในการแข่งขันนี้เหมือนกัน”
ขณะที่มินจุนคิดคำตอบที่ดีที่สุด ในหัวของมาร์ตินก็มีความคิดว่าถ้าตัดต่อเฉพาะส่วนที่มินจุนพูดว่าเธอเก่งที่สุดจะเป็นยังไงนะ แน่นอนว่ามันเป็นการตัดต่อที่โหดร้ายเกินไป มาร์ตินหยุดคิดไร้สาระพร้อมกับพูดว่า
“ที่คุณบอกว่าเธอเก่งที่สุดในรายการนี้ หมายความว่าเธอจะเป็นผู้ชนะรึเปล่าครับ”
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ผมขอให้ครั้งนี้มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นก็แล้วกัน”
วิธีการพูดของมินจุนดูฉลาดมาก ทั้งๆ ที่ไม่ได้โตในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเลย แต่ภาษาที่เขาใช้กลับดีเยี่ยมกว่าคนท้องถิ่นเสียอีก ความจริงมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะประเทศเกาหลีมีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่จัดว่าค่อนข้างยาก ส่วนใหญ่จะให้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป เช่นศัพท์เกี่ยวกับการประมูลสินค้า บทกวี หรือปรัชญา แต่ถ้าถามว่าภาษาอังกฤษของคำว่าเหงือกคืออะไร คนเกาหลีส่วนใหญ่ก็ได้แต่ยิ้มแหะๆ
ถึงแม้จะรู้คำศัพท์ยากๆ ก็ใช่ว่าจะทำให้การพูดดูลื่นไหลเป็นธรรมชาติ แต่ที่มินจุนพูดจาดูฉลาดนั้นเป็นเพราะเขาคิดก่อนพูด ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ เขาไม่อยากพูดอะไรเรื่อยเปื่อยตามอำเภอใจจนอาจกลายเป็นเรื่องเดือดร้อนขึ้นมา
“มีความมุ่งมั่นมากเลยนะครับ ผมขอเป็นกำลังใจให้คุณมินจุนได้รับชัยชนะก็แล้วกัน”
“เหมือนคุณจะพูดแบบนี้กับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นที่สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้ด้วยนะครับ”
“ถูกจับได้ซะแล้วเรา”
มาร์ตินหัวเราะแหะๆ ก่อนซักต่อ
“ผมได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ จากคนที่มากับคุณว่าพอมาถึงอเมริกาก็งานเข้าเลยใช่มั้ยครับ”
“ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นครับ”
“เรื่องราวที่ดีจะทำให้เกิดผลที่ดีนะ แน่นอนว่ารายการนี้ให้ความสำคัญกับการทำอาหารมากกว่า แต่ลองคิดดูสิครับ ถ้ารสชาติอาหารมันก็อร่อยเหมือนกันหมดล่ะ คุณจะต้องโน้มน้าวใจคณะกรรมการด้วยเรื่องราวนะ”
“ให้ผมตกรอบไปซะยังดีกว่า ผมไม่อยากได้รับชัยชนะที่ได้มาจากการขายเรื่องราวของครอบครัวตัวเองหรือครอบครัวคนอื่น ผมอยากชนะเพราะการทำอาหารมากกว่า”
“คุณเคยบอกว่าอยากให้รายการนี้เป็นเวทีของคุณ ความมุ่งมั่นของคุณมีเพียงแค่นี้เหรอ”
สายตาของมินจุนแข็งกร้าวขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของมาร์ติน ความมุ่งมั่น?อะไรคือความมุ่งมั่นล่ะ ความมุ่งมั่นที่จะเปิดเผยเรื่องราวในอดีตที่คละเคล้าไปด้วยน้ำตาของครอบครัวดีนเพื่อให้ถูกคนติฉินนินทางั้นเหรอ
“ความมุ่งมั่นของผมคือการทำอาหารที่อร่อยครับ ทั้งหมดมีเท่านี้”
มาร์ตินนิ่งเงียบไปแล้วมองหน้ามินจุนเขม็ง ซึ่งมินจุนก็ไม่หลบสายตานั้น
“คุณเป็นคนดีครับ และยังเป็นเชฟที่ดีด้วย”
มันเป็นคำพูดที่ออกมาใจจริง ตั้งแต่ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับรายการแกรนด์เชฟเป็นต้นมามาร์ตินได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ นานาของผู้คนมากมาย ถึงแม้จะเป็นรายการทำอาหาร แต่พื้นฐานของรายการประเภทนี้อยู่ที่การกระตุ้นต่อมคนดูมากกว่าเรื่องคุณภาพของอาหาร บรรดาผู้กำกับจึงต้องการเรื่องราวที่น่าติดตามของผู้เข้าแข่งขันเสียยิ่งกว่าอะไร ซึ่งบางครั้งผู้เข้าแข่งขันก็กุเรื่องขึ้นมาเองเลยด้วยซ้ำ
ถามว่าทำไมรายการถึงต้องทำถึงขั้นนั้น เหตุผลง่ายมาก ก็เพราะคนดูชอบ คนดูติดตามยังไงล่ะ ส่วนผู้เข้าแข่งขันที่กุเรื่องก็มีเหตุผลเหมือนกัน นั่นคือพวกเขาต้องการความเห็นอกเห็นใจจากคนดู ต้องการความซึ้งและน้ำตามาช่วยเติมเต็มคะแนนการทำอาหารที่ขาดหายไปนั่นเอง
ถ้าผู้เข้าแข่งขันมีฝีมือทำอาหารพอๆ กัน ผู้กำกับก็อยากให้คณะกรรมการให้คะแนนคนที่มีความเป็นสตาร์หรือมีเรื่องราวน่าติดตามมากกว่า แน่นอนว่าคณะกรรมการก็ไม่ได้ชอบอะไรแบบนั้นหรอก แต่พวกเขาเองก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน กรณีที่มีอาหารระดับเดียวกันออกมา มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะเทใจไปยังคนที่มีความเป็นสตาร์ตามที่ผู้กำกับรายการนำเสนอ แม้จะไม่ใช่การเลือกที่ถูกต้องสักเท่าไหร่ แต่มันก็ต้องทำ
ทว่าชายที่อยู่ตรงหน้ามาร์ตินตอนนี้กำลังเพิกเฉยต่อเรื่องราวนั้น เรื่องของมินจุนก็น่าสนใจพอสมควร มีความใฝ่ฝันที่จะเป็นเชฟ เป็นนักศึกษาชาวเอเชียที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเข้าแข่งขัน แต่องค์ประกอบที่จะทำให้เกิดความประทับใจมันยังไม่เพียงพอ
“ระวังจะเสียใจทีหลังนะครับ เรื่องราวที่คุณพบเจอในนิวยอร์กกับเรื่องของครอบครัวดีนสามารถเป็นอาวุธได้เลยนะ ผู้กำกับอย่างผมรับประกันได้ ว่ายังไง จะไม่เล่าเรื่องของพวกเขาให้ฟังหน่อยเหรอ”
“ไม่ครับ”
มาร์ตินเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
“ได้ ผมให้เกียรติความแน่วแน่ของคุณ รายการนี้เป็นรายการแข่งขันทำอาหาร ดังนั้นที่คุณพูดมันก็ถูกต้องแล้วล่ะนะ”
“ขอบคุณที่เข้าใจผมนะครับ”
มินจุนตอบด้วยสีหน้าผ่อนคลาย มาร์ตินจึงพูดด้วยเสียงที่จริงจังว่า
“คุณจะต้องเป็นผู้ชนะ”
มินจุนได้ยินคำพูดนี้เป็นครั้งที่สอง แต่นัยในคำพูดครั้งนี้ช่างต่างกับครั้งแรกอย่างลิบลับ มินจุนจึงหัวเราะ
“ผมมีแฟนคลับเข้าแล้วสิ”
5
เชฟร้อยคน
ผู้ที่จะได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปของแกรนด์เชฟมีหนึ่งร้อยคน แต่ไม่มีทางรู้ว่ามันคือจำนวนนั้นจริงหรือไม่ เพราะรายการไม่ได้ถ่ายให้เห็นทีละคนไปจนครบหนึ่งร้อย
และตอนนี้มินจุนก็ได้รู้ความจริงข้อนี้แล้ว
เก้าสิบแปด เก้าสิบเก้า หนึ่งร้อย…หนึ่งร้อยคนพอดี
หนึ่งในความสงสัยที่ฝังใจมาตลอดดูเหมือนจะคลี่คลายแล้ว ผู้เข้ารอบมีหนึ่งร้อยคน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น พอดีเป๊ะ ซึ่งหนึ่งร้อยคนที่ถูกคัดเลือกมาจากแต่ละรัฐของอเมริกานั้นได้มารวมกันอยู่ที่นี่ในตอนนี้
มินจุนหยิบซองซิปใสออกมาจากหน้าอก ในซองนั้นมีเยลลี่หลากสีสัน รูปทรงยืดยาวราวกับไส้เดือน มันเป็นเยลลี่ที่เจสซี่ทำให้ หลังจากวันนั้นเจสซี่ก็ทำเยลลี่ทุกครั้งที่เบื่อ
“ไม่อร่อย”
เขาเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา เยลลี่ไม่มีทั้งรสหวานและความนุ่ม มันเลวร้ายถึงขั้นเคี้ยวเข้าไปแล้วอาจจะทำให้ขากรรไกรหักได้เลย แต่ก็น่าแปลก ทำไมพอเคี้ยวเยลลี่นี่แล้วเหมือนใจที่เต้นรัวมันสงบลง รู้สึกเหมือนได้จับมือของพ่อกับแม่อยู่
ท่ามกลางกล้องที่ติดตั้งอยู่รอบทิศ ผู้เข้าแข่งขันต่างกำลังคุยกับคนรอบๆ ตัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สถานที่ถ่ายทำอยู่ภายในตึกของรายการที่ตั้งอยู่ในชิคาโก ตึกนี้มีถึงห้าชั้น อนุญาตให้เข้าได้เฉพาะผู้เกี่ยวข้องของรายการเท่านั้น ภายในตึกมีห้องพักให้ผู้เข้าแข่งขันด้วย แน่นอนว่าด้วยจำนวนผู้เข้าแข่งขันถึงหนึ่งร้อยคนยังไงก็เข้าไปอยู่กันได้ไม่หมด เพราะห้องพักสำหรับผู้เข้าแข่งขันมีแค่สามสิบห้องเท่านั้น ดังนั้น…
นั่นหมายความว่าอีกเจ็ดสิบคนจะถูกคัดออกใช่มั้ย
มินจุนถอนหายใจแล้วเบือนหน้าไปข้างๆ แต่แล้วเขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย คาย่า โลตัสนั่นเอง ทั้งสองไม่ได้ตั้งใจจะมานั่งข้างๆ กันแบบนี้ แต่เป็นเพราะว่าพวกเขามาจากนิวยอร์กเหมือนกัน แม้ทางรายการจะไม่ได้จัดที่นั่งแยกตามแต่ละภูมิภาค ทว่าคนที่เข้ามาในสตูดิโอก็ได้จัดเรียงด้วยตัวเองแล้ว ผู้ผ่านเข้ารอบจากนิวยอร์กทั้งสี่คนจึงได้มาอยู่ใกล้ๆ กันในตอนนี้
“อ่ะแฮ่ม เรามาแนะนำตัวกันก่อนดีมั้ย เมื่อกี้ตอนอยู่บนเครื่องคงเขินๆ กัน ฉันชื่ออแมนด้า โอลเซ่นนะ”
อแมนด้าเป็นผู้หญิงผิวขาวรูปร่างอวบอ้วน ผมสีแดง ผิวเต็มไปด้วยกระ และด้วยใบหน้าอวบอูมของเธอจึงทำให้คาดเดาอายุได้ยาก แต่คิดว่าน่าจะราวสามสิบกว่าๆ ส่วนคนที่ตอบรับคำพูดของอแมนด้าก็คือชายหนุ่มผิวสีรุ่นราวคราวเดียวกับมินจุน เขาตัวสูงใหญ่ น่าจะเกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร แต่ดูค่อนข้างขี้อายต่างกับหุ่นกำยำนั้น เขาหัวเราะและพูดอย่างเขินอายว่า
“เอ่อ…ผมชื่อมาร์โค่ เดนเวอร์นะ”
“ผมชื่อโชมินจุน”
มินจุนตอบสั้นๆ ไม่อยากเปิดบทสนทนายืดยาวกับคนที่ประเดี๋ยวก็ต้องแยกจากกันแล้ว โดยเฉพาะกับอแมนด้า ก่อนหน้าที่จะย้อนเวลากลับมาเขาเคยดูแกรนด์เชฟซีซั่นสาม เขาจึงรู้ว่าใครผ่านหรือไม่ผ่านเข้ารอบบ้าง ยังไงคาย่าก็เข้าแน่ๆ เพราะเธอคือผู้ชนะของรายการ และ…
มาร์โค่ก็เข้าไปถึงท็อปเทนมั้ง
เขาจำไม่ได้ว่ามาร์โค่ตกรอบไปตอนไหน จำได้เพียงว่าอยู่นานมาก แต่ไม่ใช่สำหรับอแมนด้า เขาแทบไม่เห็นเธอออกอากาศเลยสักครั้งเดียว หรืออาจจะเห็นก็ได้ แต่ซีนนั้นคงไม่น่าประทับใจจนหลงเหลืออยู่ในความทรงจำ ไม่อย่างนั้นเขาต้องจำเธอได้แน่นอน
เขาค่อนข้างหนักใจและไม่สบายใจหากพูดคุยอย่างสนิทสนมกับคนที่กำลังจะตกรอบ เขาไม่ได้เลือกเว้นระยะกับอแมนด้าเพียงคนเดียว แต่เขาเลือกจะปฏิบัติเช่นนี้กับทุกคน
“แล้วเธอล่ะชื่ออะไร”
อแมนด้าหันไปถามคาย่าที่เอาแต่ปิดปากเงียบ คาย่าจึงหันมามอง นั่นยิ่งทำให้การแต่งตาแบบสโมกกี้ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอดูดุและน่ากลัวยิ่งขึ้น แต่อแมนด้ายังคงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน คาย่าจึงถอนหายใจและพูดว่า
“คาย่า โลตัส ตอนนี้ฉันต้องการสมาธิมาก ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากอยู่เงียบๆ”
เสียงที่ทั้งแหบและห้วนของคาย่าทำให้อแมนด้าชะงักไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ยิ้มบางๆ อย่างเสแสร้ง ซึ่งมินจุนไม่ชอบคนที่มีรอยยิ้มแบบนั้นเลย
“คงเหนื่อยสินะ การทำอาหารต้องใช้ความแข็งแรง ผอมแห้งแบบนี้น่าจะลำบาก”
คาย่าปรายตามองอแมนด้าอย่างรำคาญเต็มทน ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือที่กำอยู่ออกไป แล้วชูนิ้วกลางขึ้นมา อแมนด้าจึงตกใจมาก
“ไขมันของเธอก็ดูตลกดีนะ”
มินจุนแอบระเบิดหัวเราะอยู่ในใจ ที่คาย่าถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะยอดแย่ก็เพราะนิสัยแบบนี้ ดุดันและไว้ตัวเหมือนแมวจรจัด คาย่า โลตัสคือภาพลักษณ์ของเชฟที่จริงจังเกินไปจนกลายเป็นแข็งกระด้าง แต่ด้วยเอกลักษณ์แบบนี้ของเธอนี่เองจึงได้รับความนิยม แม้ว่าคนที่ถูกเธอตอกกลับจะไม่พอใจ แต่คนดูกลับรู้สึกสนุกและชอบใจ
กระนั้นคาย่าก็ไม่ใช่คนประเภทที่หาเรื่องไปทั่ว เธอจะตอกกลับแค่คนที่มาหาเรื่องเธอก่อนเหมือนกับอแมนด้าในตอนนี้ แต่อแมนด้าก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ใจกว้างมากพอที่จะยอมรับสถานการณ์แบบนี้ได้ ใบหน้าของเธอจึงกลายเป็นสีแดงด้วยความโกรธจัด
“ทำไมเธอถึงได้พูดจาแบบ…!”
ยังไม่ทันที่อแมนด้าจะพูดจบประโยคก็มีเสียงฟู่ดังขึ้นพร้อมกับดรายไอซ์พวยพุ่งออกมาจากเวที ประตูด้านหลังถูกเปิดออก คณะกรรมการพากันเดินออกมา โจเซฟ อลัน และเอมิลี่ บรรดาผู้เข้าแข่งขันจึงพากันเงียบ โจเซฟหนึ่งในคณะกรรมการได้เริ่มพูดขึ้นมาเป็นคนแรก
“ขอแสดงความยินดีด้วย พวกคุณคือหนึ่งร้อยคนที่ถูกคัดเลือกจากผู้สมัครหลายหมื่นคน พวกคุณควรภูมิใจกับตัวเองที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้”
โจเซฟกวาดตามองผู้เข้าแข่งขันพร้อมยิ้มกว้าง แล้วอลันที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มีหนึ่งคนที่อยู่ที่นี่จะได้เป็นแกรนด์เชฟ อาจจะเป็นคุณ หรือว่าเป็นคนที่อยู่ข้างๆ คุณ ไม่มีใครสามารถรู้ได้”
มินจุนรู้ว่าใครคือตัวเอกของการแข่งขันนี้จึงหันมองไปที่คาย่า เธอกำลังจ้องมองคณะกรรมการด้วยสีหน้าที่เดาไม่ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แล้วทันใดนั้นเองเธอก็หันขวับมา ดวงตาสีฟ้าเข้มของเธอจ้องเขม็งที่มินจุน เธอเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงของเอมิลี่ที่ดังผ่านลำโพงกลบเสียงของเธอจนหมด
“ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลจำนวนสามหมื่นดอลลาร์!”
มินจุนเปิดปากพูดเช่นกัน แต่เสียงของเขาก็ถูกกลบด้วยเสียงโห่ร้องยินดีของบรรดาผู้เข้าแข่งขัน เขาจึงถอนหายใจและหันไปมองที่เวทีต่อ พอเสียงโห่ร้องเบาลง โจเซฟก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นจะขอประกาศมิชชันแรกของการแข่งขันรอบนี้”
ฉากหลังของเวทีเปิดออก ตามด้วยรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ขับเข้ามา ผู้เข้าแข่งขันต่างพากันมองไปที่รถบรรทุกอย่างตื่นเต้น แต่มินจุนไม่ตื่นเต้นเลย เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าในนั้นมีอะไร แล้วโจเซฟก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“มันคือปลาดุก”
ปลาดุกว่ายไปมาอยู่ในตู้กระจกใส มินจุนลองวิเคราะห์สูตรอาหารในหัว แล้วหน้าต่างก็ปรากฏขึ้นมา
[คะแนนที่คาดการณ์คือเจ็ดคะแนน]
เจ็ดคะแนนถือเป็นขีดจำกัดของความสามารถที่เขามี แต่เขาก็ไม่ได้ลนลานอะไร เพราะเขามีพลังของระบบช่วยดูความเป็นไปได้ของสูตรอาหารก่อนล่วงหน้าจึงทำให้สามารถทำอาหารออกมาได้เจ็ดคะแนนอย่างคงที่
ถ้าหากไม่มีระบบเขาคงทำอาหารออกมาได้เพียงแค่ห้าคะแนน เมื่อเทียบกับคาย่าเธอคืออัจฉริยะจริงๆ ไม่ได้มีพรสวรรค์แบบผิวเผินเหมือนเขา แต่การคิดเปรียบเทียบตัวเองกับคาย่าถือเป็นเรื่องที่โง่เขลา เพราะคิดไปก็มีแต่จะเครียดเท่านั้น การอิจฉาพรสวรรค์ที่ตัวเองไม่มีเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์และทำให้ช้ำใจเปล่าๆ
“พวกคุณมีเวลาหนึ่งชั่วโมง กรุณาทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด”
คำพูดนั้นทำให้ผู้เข้าแข่งขันกรูกันเข้าไปที่ตู้คอนเทนเนอร์ ภาพของคนจำนวนมากเข้าไปรุมที่ตู้คอนเทนเนอร์นั้นค่อนข้างอลหม่านเลยทีเดียว ทั้งมาร์โค่และอแมนด้าเองก็กำลังวิ่งไปอย่างรีบร้อน มินจุนยืนมองภาพนั้นอยู่นิ่งๆ มีเวลาให้ตั้งหนึ่งชั่วโมง เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องรีบไปจัดการกับปลาดุกตั้งแต่ตอนนี้
พอคิดได้อย่างนั้นเขาก็เดินไปที่มุมวัตถุดิบ ซึ่งคาย่าก็เดินมาข้างๆ เขาจึงเหลือบมอง
“มองอะไร”
“ดูเธอเหมือนจะไม่ไปจับปลาดุกนะ”
“จะจับตอนนี้หรืออีกเดี๋ยวค่อยจับก็เหมือนกัน แทนที่จะเข้าไปเบียดเสียดแบบนั้น สู้ไปหยิบวัตถุดิบอื่นก่อนยังดีซะกว่า”
“ฉลาดนี่”
“นายก็กำลังทำอยู่เหมือนกันนั่นแหละ ทำมาเป็นชมฉัน ที่จริงกำลังชมตัวเองอยู่ใช่มั้ยล่ะ”
มินจุนหัวเราะเพื่อเลี่ยงที่จะตอบ มีอีกหลายคนที่ไม่ได้ไปจับปลาดุกและมาที่มุมวัตถุดิบก่อนเหมือนคาย่ากับมินจุน หนึ่งในนั้นมีผู้ชายผมทองตัวสูงรวมอยู่ด้วย แอนเดอร์สัน…มินจุนคิดอยู่ครู่หนึ่งว่านามสกุลอะไร แต่ก็นึกไม่ออก ที่แน่ๆ คือได้รางวัลรองชนะเลิศ
มินจุนมองหน้าต่างสถานะของแอนเดอร์สัน โดยที่หน้าต่างมีนามสกุลที่เขานึกไม่ออกระบุไว้ด้วย
[แอนเดอร์สัน ลุสโซ]
เลเวลการทำอาหาร : 7
เลเวลการทำของหวาน : 7
เลเวลการชิม : 8
เลเวลการตกแต่งจาน : 7
เลเวลการทำอาหารอยู่ในระดับเดียวกันกับคาย่า แต่เลเวลการทำของหวานและเลเวลการตกแต่งจานกลับสูงกว่า ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้น เพราะแอนเดอร์สัน ลุสโซเกิดมาในครอบครัวที่เป็นเชฟ ได้รับการอบรมความอัจฉริยะมาตั้งแต่เด็กๆ เลเวลระดับนั้นอาจจะถือเป็นเรื่องปกติสำหรับคนแบบนี้ แต่สุดท้ายก็แพ้ให้กับคาย่า ทำไมกันนะ หรือเพราะเรื่องราวชีวิตไม่น่าดึงดูดเท่าคาย่า?
จริงๆ ก็คงเป็นเพราะแพ้ฝีมือทำอาหารของคาย่านั่นแหละ
แม้จะได้เลเวลเจ็ดเหมือนกัน แต่ก็ต่างจากเลเวลของคาย่าอยู่ดี เพราะในเลเวลการทำอาหารไม่ได้รวมความสามารถในการควบคุมไฟเอาไว้ด้วย แต่เท่าที่มินจุนรู้ก็คือคาย่าไม่เพียงแค่เชี่ยวชาญเรื่องควบคุมไฟเท่านั้น เธอยังมีประสาทสัมผัสที่โดดเด่น สามารถดึงเอารสชาติในวัตถุดิบทุกอย่างออกมาได้
มินจุนรีบเลือกวัตถุดิบต่างๆ แม้ทุกอย่างจะซื้อมาจากที่เดียวกันและวันเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างอยู่ แทนที่จะไปคิดเรื่องเลือกปลาดุกเป็นๆ สู้มาเลือกวัตถุดิบอื่นที่มีคุณภาพยังเป็นการใช้เวลาอย่างมีประโยชน์มากกว่า
เมนูที่มินจุนตั้งใจจะทำก็คือซุปลูกชิ้นปลาดุก ตอนแรกเขาคิดว่าจะทำแมอุนทัง*แต่ว่าแมอุนทังจะต้องพึ่งรสชาติของน้ำพริกเกาหลีและเต้าเจี้ยวค่อนข้างมาก แล้วรสชาติของน้ำพริกเกาหลีกับเต้าเจี้ยวที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในการแข่งขันทำอาหารมันจะดีแค่ไหนกันเชียว กลายเป็นว่าจะทำให้เกิดข้อด้อยในการดึงรสชาติที่เข้มข้นของวัตถุดิบหลักออกมา นอกจากนั้นแล้วแมอุนทังยังเป็นอาหารที่ถูกปากคนเกาหลี แต่สำหรับชาวตะวันตกนั้นเป็นไปได้สูงว่าอาจจะรู้สึกมีกลิ่นคาวในปาก
ดังนั้นมินจุนจึงเลือกทำซุปลูกชิ้นปลาดุกที่นำเอกลักษณ์ของแมอุนทังมาใช้ แต่ทำให้มีรสชาติเผ็ดร้อนแบบพอดี วัตถุดิบก็ไม่มีอะไรมาก ได้แก่ เต้าหู้ เลมอน แป้ง ไข่ไก่ พริกไทย ผักชี หัวไชเท้า ต้นหอม เกลือ และซีอิ๊ว ทั้งหมดนี้เป็นวัตถุดิบทำอาหารทั่วไปที่มักมีติดบ้านกันอยู่แล้ว ถ้าจะมีอะไรที่พิเศษหน่อยก็คงจะเป็นผักชี มีผู้เข้าแข่งขันหลายคนที่หาวัตถุดิบหรูหราหน่อยอย่างหญ้าฝรั่นหรือไส้กรอกซาลามี่ แต่เขาไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนั้น เพราะได้คำนวณแล้วว่าการใช้วัตถุดิบธรรมดาทำให้รสชาติออกมาดีจะได้รับการวิจารณ์ที่ดี
มินจุนนำวัตถุดิบต่างๆ วางไว้บนเคาน์เตอร์ทำอาหารของตัวเองก่อนจะเดินไปทางปลาดุกสวนกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ที่พากันเดินกลับมาพร้อมกับปลาดุกคนละตัวในมือ เขาใช้กระชอนช้อนปลาดุกขึ้นมาหนึ่งตัวแล้วเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ทำอาหาร ปลาดุกที่เขาจับมามีความยาวสี่สิบเซนติเมตร ขนาดลำตัวประมาณท่อนแขน แรงของมันเยอะมาก แค่พยายามจับมันเอาไว้ไม่ให้หลุดออกจากกระชอนก็เหนื่อยแล้ว
วิธีการทำให้ปลาดุกสงบลงก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแค่จับไปฟาดเข้ากับมุมเคาน์เตอร์ก็ได้แล้ว หรือว่าจะเอาไปทาเกลือก็ได้ หรือจะใช้สันมีดตีที่หัวของมันก็ได้ ซึ่งเขาเลือกวิธีสุดท้าย เขาใช้สันมีดตีลงไปที่หัวของปลาดุกที่ถูกวางไว้บนเขียง จากนั้นก็ค่อยๆ เลาะเหงือกปลาออกอย่างระมัดระวัง แล้วก็ผ่าท้องเพื่อควักไส้ในออก แล้วเลาะเอาแต่เนื้อที่ติดแนวก้างปลาออกมา ปลาดุกไม่มีเกล็ด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องขอดเกล็ด แต่หนังของมันก็ค่อนข้างเหนียว ถ้าทำให้สุกแบบพอดีจะได้รสสัมผัสเหนียวนุ่ม แต่การจะทำให้มันสุกพอดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
มินจุนจับปลาดุกไว้แล้วลอกเอาหนังออก หัวใจสำคัญของขั้นตอนนี้ก็คือการลอกเอาหนังออกให้บางที่สุด ซึ่งโชคดีที่เขาลอกมันออกมาได้ค่อนข้างบาง แล้วตอนนั้นเองอลันก็เดินผ่านมา ตอนแรกเขาคิดว่าอลันแค่เดินวนดูทั่วไป แต่อลันกลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาตรงเคาน์เตอร์ของอแมนด้าที่อยู่ข้างๆ
“ไส้แตกออกมาแล้ว”
อาจจะทำพลาดตอนผ่าท้อง ไส้จึงแตกและมีเลือดเลอะติดอยู่ที่เนื้อปลา อแมนด้ารีบตอบด้วยหน้าตาเลิ่กลั่ก
“เอ่อ ขอโทษค่ะ ฉันเพิ่งจะเคยทำปลาดุก…”
“ขอเข็มกลัดคืนด้วยครับ”
“คะเชฟ?”
อแมนด้าหน้าซีดเผือด มินจุนพยายามไม่ใส่ใจ แต่เสียงสนทนาก็ยังดังเข้ามากระทบหู
“ขอบคุณที่มานะครับ”
ช่างเป็นการขอบคุณที่ห้วนมาก อแมนด้าทำหน้าราวกับจะร้องไห้
“ฉัน…ฉันทุ่มเทอย่างมากกับการแข่งขันครั้งนี้”
แม้จะได้ยินน้ำเสียงที่อ้อนวอนนั้น แต่อลันก็ไม่เห็นใจ อลันหันไปตะโกนถามผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ
“มีใครในที่นี้บ้างที่ไม่ได้ทุ่มเทเพื่อการแข่งขันนี้!”
ไม่มีเสียงตอบ อลันหันไปมองอแมนด้าด้วยสายตาคมกริบ
“ในเมื่อจะอ้างเรื่องความทุ่มเทก็ควรจะแสดงความสามารถออกมาให้เห็นเท่ากับความทุ่มเทที่มี แต่สิ่งที่ผมมองเห็นจากคุณในตอนนี้ก็คือศพของปลาดุกที่เละเทะ ผมไม่อยากเอาของที่น่าสะอิดสะเอียนแบบนี้เข้าปากผมแน่ๆ อแมนด้า ถ้าคุณไม่อยากเป็นเชฟเสียสติที่คิดจะเอาขยะนั่นยัดใส่ปากกรรมการล่ะก็ กรุณาส่งเข็มกลัดคืนมาเดี๋ยวนี้!”
อแมนด้าแกะเข็มกลัดออกแล้วยื่นให้อลันด้วยมือที่สั่นเทา อลันรับเข็มกลัดนั้นมาด้วยสีหน้าเย็นชาแล้วหันไปมองผู้เข้าแข่งขันคนอื่นพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ถ้าใครทำปลาดุกแล้วเกิดข้อผิดพลาดขึ้นจะถูกไล่ออกไปทันที ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนสอนทำอาหาร คนที่ไม่สามารถจัดการกับวัตถุดิบได้ก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะอยู่ต่อ ดังนั้นตั้งสติกันให้ดีๆ”
ระหว่างทำอาหารสามารถถูกคัดออกได้ทุกเมื่อ มินจุนมองอแมนด้าที่เดินร้องไห้ออกไป เขาจะไม่มีทางให้มันจบลงแบบนั้นแน่ ถ้าจะต้องตกรอบก็ต้องตกรอบเพราะอาหารไม่อร่อย เขาจะต้องไม่ตกรอบก่อนทำอาหารเสร็จเด็ดขาด
แล้วมินจุนก็หันกลับมาสนใจอาหารของตัวเอง อันดับแรกที่ต้องทำคือตั้งหม้อ ใส่น้ำ ตัดหัวปลาดุกแล้วใส่ลงไปในหม้อ ตามด้วยหัวไชเท้าและต้นหอมญี่ปุ่น จากนั้นก็นำก้างปลาที่เหลือใส่ลงไป เขาคิดจะเคี่ยวเป็นน้ำซุป แต่กลัวว่ามันจะเหม็นกลิ่นคาวจึงบีบน้ำเลมอนใส่ลงไปนิดหน่อย
แล้วก็หันมาสับเนื้อปลาดุก ทุกครั้งที่สับมีดลงไปเนื้อของปลาดุกก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเนื้อของลูกชิ้น ปกติแล้วเนื้อปลาดุกค่อนข้างที่จะนุ่มจึงสับได้ไม่ยาก ขั้นตอนต่อไปก็ไม่มีอะไรซับซ้อนแล้ว นำเต้าหู้มารีดเอาน้ำออกแล้วหั่น จากนั้นก็หั่นผักชี แล้วผสมรวมกันไว้ ก่อนจะนำไปขยำคลุกแป้ง
ขั้นตอนการขยำถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะถ้าไม่ขยำจนเกิดความเหนียว เนื้อลูกชิ้นก็จะแตกตอนที่ทำให้สุก ถ้าเป็นมินจุนในภาคปกติคงยากที่จะทำอาหารจานนี้ออกมาได้อย่างมั่นใจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ มินจุนรู้อยู่แล้วว่าหัวข้อของมิชชันครั้งนี้คือปลาดุก ดังนั้นหลังจากที่เขาผ่านเข้ารอบคัดเลือกเขาจึงเตรียมทำอาหารจานนี้เอาไว้ ทุกมื้ออาหารเขาจะทำซุปลูกชิ้นปลาดุก ทุกครั้งที่ทำก็วิเคราะห์ความแตกต่างของรสชาติที่ซับซ้อน กล่าวได้ว่าที่เขาสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วในตอนนี้ก็เป็นผลจากความพยายามนั่นเอง
ลูกชิ้นเป็นอาหารที่มีรูปร่างกลมและมีสีขาว มันไม่ได้เป็นอาหารหน้าตาสวยงามหรือหรูหราอะไร ลูกชิ้นก็เป็นแบบนี้ มีรูปร่างหน้าตาที่ซ้ำเดิมจนเกือบจะน่าเบื่อ แต่นี่แหละคือเสน่ห์ของลูกชิ้น มินจุนใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ล้อมกันเป็นวงกลม แล้วดันส่วนผสมลอดออกมาตรงช่องนั้น จากนั้นก็นำไปใส่หม้อนึ่ง
ถึงเวลาต้มน้ำซุป มินจุนหั่นกระเทียมเป็นชิ้นบางๆ หั่นต้นหอมแฉลบเฉียง นำไปผัดในกระทะก้นลึกที่ใส่น้ำมันเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะเปลี่ยนเมนูจากต้มมาเป็นผัดเอาตอนนี้ แต่ก่อนจะทำน้ำซุปถ้านำวัตถุดิบไปผัดในน้ำมันให้มีรสของน้ำมันนิดหน่อยกับกลิ่นของไฟก็จะทำให้มีกลิ่นหอมยิ่งขึ้น
เมื่อต้นหอมและกระเทียมสุกประมาณหนึ่งก็ใส่หัวหอมที่หั่นเป็นแนวตั้งลงไป แล้วก็ถึงเวลาต้องใส่น้ำซุปที่ต้มจากหัวกับก้างปลา มินจุนวางผ้าขาวบางลงบนกระชอนแล้วค่อยๆ ตักน้ำซุปราดลงไปบนนั้น มือหนึ่งถือกระชอน อีกมือหนึ่งถือหม้อเอาไว้ แม้ว่าปริมาณของน้ำซุปจะไม่เยอะ แต่ท่าทางก็เงอะงะพอสมควร
พอน้ำซุปไหลลงไปสู่กระทะก้นลึกก็ส่งเสียงฉ่า กลิ่นหอมเข้มข้นลอยฟุ้งขึ้นมาจนผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ใกล้ๆ ถึงกับอดที่จะหันมองมาไม่ได้ พอถึงตรงนี้มินจุนก็มั่นใจว่าทำสำเร็จแล้ว แค่กลิ่นก็ทำให้รู้ได้เลย มีทั้งกลิ่นที่สดชื่นของผักและกลิ่นเฉพาะของปลาดุก
มินจุนปรุงรสเพิ่มโดยใส่เกลือไปเล็กน้อย และใส่ซีอิ๊วปรุงรสเพิ่มสีสันนิดหน่อย แต่ต้องใส่เกลือมากกว่าซีอิ๊วเพราะรสเค็มจากเกลือและรสเค็มจากซีอิ๊วปรุงรสแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในซีอิ๊วไม่ได้ให้เพียงรสเค็มอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีรสชาติแหลมและเฝื่อนอีกด้วย
แต่จะปล่อยไว้เท่านี้ก็ดูเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง จะให้มีแค่ลูกชิ้นลอยอยู่ในน้ำซุปอย่างเดียวไม่ได้ เขานึกถึงที่อลันเคยเตือนในครั้งก่อน ดังนั้นเขาจึงทำหนังปลาดุกทอด โดยนำหนังปลาดุกไปคลุกแป้งแล้วนำไปทอดในกระทะ ทอดไม่ต้องนานมากก็นำขึ้นมาวางพักไว้บนกระดาษซับน้ำมัน ทีนี้ก็เหลือแค่รอเวลาเท่านั้น
มินจุนหันไปมองรอบๆ ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่กำลังหมกมุ่นกับการทำอาหาร แล้วสายตาของเขาก็หยุดตรงคาย่านั่นเอง เธอกำลังทำอะไรไม่รู้ แต่บนกระทำมีไฟลุกท่วมไปหมด น่าจะกำลังทำทังซูยุก*คาย่าเป็นคนอเมริกันเชื้อสายอังกฤษก็จริง แต่อาหารที่เธอทำไม่ได้จำกัดอยู่แค่อาหารฝรั่งเท่านั้น เธอทำอาหารได้ทุกชนิด
คาย่าเคยเล่าในรายการถึงสภาพแวดล้อมที่เธอเติบโตมา ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันกำลังเล่นตุ๊กตาหรือเล่นเกมอยู่ เธอต้องคอยช่วยแม่ขายผลไม้ที่ตลาด เธอบอกว่าเธอเล่นกับพวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาด จึงช่วยสร้างประสบการณ์ในด้านการชิมให้กับเธอได้มาก เพราะว่าที่นั่นมีทั้งอาหารและวัตถุดิบหลากหลายเต็มไปหมด
แต่ว่าแม้จะเป็นอาหารชนิดเดียวกัน คาย่าก็รับรู้รสชาติได้แตกต่างออกไป ความแตกต่างของรสชาติที่ซับซ้อนซึ่งคนทั่วไปไม่สามารถรับรู้ได้ สำหรับคาย่านั้นจะรู้สึกได้ชัดเจนราวกับเกลือแค่หยิบมือเดียวกับเกลือหนึ่งช้อนโต๊ะ อาหารชนิดเดียวกันถ้าได้คาย่าปรุงก็จะได้รสชาติที่ล้ำลึกมากขึ้น เพราะเธอมีพรสวรรค์แบบนั้น ตลาดจึงเป็นเหมือนโรงเรียนชั้นยอดสำหรับเธอ
มินจุนคิดอยากเป็นคณะกรรมการเพื่อจะได้ลองชิมอาหารที่คาย่าทำ ขณะที่กำลังมองคาย่าอยู่นั้น อลันก็เดินเข้ามาที่เคาน์เตอร์ของมินจุน
“นี่คืออะไร”
“ซุปลูกชิ้นปลาดุกครับ”
“ซุปลูกชิ้นปลาดุกงั้นเหรอ อืม…แล้วนี่คือหนังปลาดุกทอดสินะ”
“ครับ เป็นของกินเล่นของชาวเอเชียครับ”
“มันจะเข้ากันได้ดี?”
“ครับ เข้ากันได้ดีครับ”
มินจุนตอบอย่างมั่นใจจนอลันแอบตกใจเล็กน้อย เขาเป็นกรรมการของซีซั่นที่แล้วด้วย แต่ไม่เคยเห็นใครมั่นใจกับอาหารของตัวเองเท่านี้มาก่อน ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะทำอาหารเก่งแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้ากรรมการก็มักจะมีอาการประหม่า
อลันหรี่ตาลง คนที่มั่นใจแบบนี้มีอยู่สองประเภท คือคนที่มีพรสวรรค์และมีประสบการณ์มากจริงๆ อีกประเภทหนึ่งก็คือคนที่มีฝีมืองั้นๆ แต่กลับไม่รู้สถานะของตัวเอง ซึ่งอลันคิดว่ามินจุนน่าจะเป็นประเภทหลังซะมากกว่า มินจุนยังเด็กอยู่ แถมไม่เคยเรียนทำอาหารมาก่อน
“หวังว่าอาหารจะทำออกมาได้ดีเหมือนกับความมั่นใจนะ”
มินจุนรู้สึกได้ว่าอลันไม่ได้มองความมั่นใจที่เขามีในแง่ดีนัก แต่เขาก็ไม่สนใจ เพราะสุดท้ายก็ต้องคุยกันด้วยรสชาติของอาหารอยู่ดี
เวลาที่กำหนดใกล้จะหมดลงแล้ว มีหลายสิบคนถูกไล่ออกไปเพราะทำผิดพลาดในระหว่างทำอาหาร มินจุนตักลูกชิ้นออกมาจากหม้อนึ่ง โชคดีที่สุกอย่างสมบูรณ์ ทั้งกลิ่นปลา กลิ่นเต้าหู้ และกลิ่นผักชีหอมฟุ้งจนต้องหยิบเข้าปากคำหนึ่ง แล้วมินจุนก็ผุดยิ้มขึ้นมาทันที มันอาจจะเป็นรอยยิ้มที่พอใจกับการทำออกมาได้ดี หรืออาจเป็นรอยยิ้มตามธรรมชาติเวลาที่ได้กินของอร่อย ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มแบบไหนสุดท้ายสาระก็เหมือนกัน นั่นคือทำลูกชิ้นออกมาได้สมบูรณ์แบบมาก
มินจุนตักน้ำซุปใส่ชามก้นลึก แล้วตักลูกชิ้นใส่ลงไป ด้านบนวางหนังปลาดุกทอดกรอบเพื่อประดับตกแต่งจาน แต่มันยังดูน่าเบื่อ เขาจึงคิดว่ารอบนี้คงหนีไม่พ้นคำวิจารณ์เรื่องการแต่งจานอีกแน่ๆ แต่เขาก็ไม่อยากจะโลภหยิบอะไรมาใส่เพิ่มลงไป เพราะถ้าเพิ่มความเพลิดเพลินทางสายตาแล้วต้องทำให้รสชาติแย่ก็คงไม่มีความหมายอะไรเลย
“หยุด!ทุกคนกรุณาวางมือ หมดเวลาแล้ว!”
อลันตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงดุดัน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจจากหลายที่ บางคนถอนหายใจด้วยความโล่งใจ บางคนถอนหายใจด้วยความผิดหวัง มินจุนเหลือบไปมองคาย่า มันไม่มีอะไรต่างจากที่เขาเคยเห็นมาเลย ตรงหน้าของเธอมีทังซูยุกปลาดุกวางอยู่
การชิมและการตัดสินเริ่มขึ้นในทันที แม้ว่าจะมีหลายสิบคนที่ถูกคัดออกในระหว่างทำอาหาร แต่ก็ยังเหลือผู้เข้าแข่งขันอีกประมาณหกสิบกว่าคน จะให้ชิมทุกจานคงต้องใช้เวลานานมาก กรรมการจึงตัดสินคร่าวๆ โดยใช้การเดินดู เช่น ถ้าเห็นว่าจานไหนไม่สุกก็ให้ตกรอบโดยที่ไม่ชิม
มินจุนเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา มีคนมากมายถูกคัดให้ตกรอบไป บ้างก็เป็นเพราะการใช้มีด บ้างก็เป็นพราะเนื้อปลาที่ชิมเข้าไปเพียงคำเดียว ไม่มีแม้แต่คำพูดเห็นใจหรือให้กำลังใจสักคำ มีเพียงแต่คำว่าไม่อร่อยเท่านั้น บางจานก็ถึงกับถูกเทลงถังขยะไปเลย หลายคนต้องหลั่งน้ำตาเพราะท่าทีที่เกรี้ยวกราดของกรรมการ แต่มินจุนก็เข้าใจ พวกเขาคงจะรับไม่ได้ที่วัตถุดิบไปอยู่ในมือผิดคน ยิ่งไปกว่านั้นคือในมือของคนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นเชฟแท้ๆ
แล้วก็มาถึงจานของมินจุน กรรมการมองดูซุปลูกชิ้นปลาดุกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตักเข้าปาก เสียงหนังปลาดุกทอดกรอบดังขึ้น พร้อมกับรูปปากที่กำลังขยับเพื่อเคี้ยวลูกชิ้น ทั้งสามคนไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เคี้ยวลูกชิ้นต่อไป จากนั้นก็ตักน้ำซุปใส่ปากอีกครั้ง แล้วคนที่เปิดปากพูดก็คือโจเซฟ
“อร่อยครับ”
เป็นคำที่ห้วนสั้น ทว่าไม่มีคำไหนที่จะวิเศษไปกว่านี้อีกแล้ว คำพูดนี้ทำให้หัวใจที่หยุดนิ่งของมินจุนกลับมาเต้นรัวอีกครั้ง แล้วกรรมการก็พากันเดินไปตัดสินจานอื่นต่อโดยไม่พูดอะไร มินจุนก้มมองหน้าต่างที่ปรากฏบนซุปลูกชิ้นปลาดุกของตัวเอง
[ซุปลูกชิ้นปลาดุก]
ความสด : 93%
แหล่งที่มา : (เนื่องจากใช้วัตถุดิบหลายชนิดจึงไม่เปิดเผยแหล่งที่มา)
คุณภาพ : สูง (เฉลี่ยวัตถุดิบ)
คะแนน : 7/10
มินจุนหันไปมองกรรมการ ถึงจานของคาย่าแล้ว อาหารของคาย่าคือทังซูยุกปลาดุกที่ถูกราดด้วยซอสสีแดง กรรมการตักปลาดุกเข้าปากไปหนึ่งคำแล้วบอกว่าอร่อยทันทีก่อนจะเดินจากไป มินจุนมองไปที่ทังซูยุกปลาดุกของคาย่าแล้วเห็นว่าได้เจ็ดคะแนน อาหารจานนี้น่าจะเป็นอาหารทั่วไปที่เธอทำเป็นปกติ แต่มินจุนกลับรู้สึกถึงความยั่วยวนอย่างรุนแรง มันเป็นความยั่วยวนที่อยากจะลองชิมอาหารจานนั้น
มินจุนเคยกินอาหารที่ได้เก้าคะแนนในร้านที่ได้มิชลินมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยากกินอาหารเจ็ดคะแนนเลย อีกทั้งมันเป็นคะแนนระดับที่เขาสามารถทำออกมาได้ถ้าไม่เกิดความผิดพลาดอะไร แต่เขาก็ยังคงตกอยู่ภายใต้เสน่ห์อันเย้ายวนของทังซูยุกปลาดุกจานนั้นอยู่ดี เพราะมันคืออาหารที่คาย่า โลตัสเป็นคนทำ
สิ่งที่เชฟใส่ลงไปในจานไม่ได้เป็นเพียงอาหารเท่านั้น แต่ยังใส่คุณค่าในตัวพวกเขาลงไปในจานด้วย มินจุนสงสัยว่าคุณค่าของคาย่าจะมีรสชาติแบบไหน แต่เขาไม่สามารถวิ่งไปชิมอาหารจานนั้นในระหว่างที่กรรมการกำลังทำการตัดสินอยู่ได้ บรรยากาศกำลังตึงเครียด หลายคนที่ตกรอบเดินออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
หลังจากที่ตัดสินเสร็จเรียบร้อยกรรมการก็เดินขึ้นไปบนแท่นของตัวเอง เอมิลี่ยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ยินดีด้วยค่ะ พวกคุณที่เหลือได้เข้าสู่รอบต่อไป”
มินจุนหันไปมองรอบๆ เหลือคนอยู่ไม่มาก น่าจะประมาณสามสิบคน หรือน้อยกว่านั้น แล้วโจเซฟก็พูดขึ้นมาว่า
“เหตุผลที่พวกคุณผ่านเข้ารอบก็ไม่มีอะไรมาก นั่นคือพวกคุณรู้วิธีจัดการกับวัตถุดิบและสามารถดึงรสชาติของมันออกมาได้ นี่คือพื้นฐานที่สุดของการเป็นเชฟ พวกคุณมีพื้นฐานนี้จึงถือว่าเป็นเชฟคนหนึ่ง”
โจเซฟเป็นคนที่พูดจาคล่องแคล่วฉะฉานจริงๆ คำว่าเป็นเชฟคนหนึ่งทำให้หัวใจของมินจุนเต้นไม่เป็นจังหวะ
“มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างคนที่ทำอาหารกับคนที่เป็นเชฟ นั่นก็คือการใส่ความรับผิดชอบลงไปในมีด ความรับผิดชอบที่ต้องทำออกมาให้อร่อย และความรับผิดชอบที่ไม่ทำให้วัตถุดิบเสียหาย ผมหวังว่าทุกคนจะสามารถทำหน้าที่นี้ได้ดีไปจนถึงตอนสุดท้ายนะครับ”
แล้วอลันก็พูดต่อ
“รอบต่อไปจะมีขึ้นในอีกสองวัน ในระหว่างนั้นพวกคุณต้องพักอยู่ในบ้านแกรนด์เชฟนี้ พวกคุณสามารถฝึกซ้อมโดยใช้วัตถุดิบทุกอย่างได้จนกว่าจะตกรอบ หวังว่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายนะครับ”
คณะกรรมการทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วเดินจากไป ผู้เข้าแข่งขันก็ทยอยออกไปเช่นกัน ทุกคนน่าจะเหนื่อยกันพอสมควร การที่จะอยู่ต่อโดยมีกล้องจ่อเต็มไปหมดเป็นเรื่องที่น่าอึดอัด แต่มินจุนยังไม่ออกไป ซุปลูกชิ้นปลาดุกยังเหลืออยู่ มันถูกทำออกมาอย่างตั้งใจ จึงไม่อยากให้มันถูกทิ้งลงถังขยะอย่างไร้ค่า เขาจึงตักลูกชิ้นปลาดุกที่เหลืออีกหกลูกใส่ชามไว้ จากนั้นก็ราดน้ำซุปแล้ววางหนังปลาดุกทอดด้านบน เดินเอาชามนั้นตรงไปหาคาย่า เธอคือหนึ่งในคนที่ยังไม่ได้ออกไปซึ่งเขาก็คิดว่าเธอคงมีเหตุผลเดียวกับเขา เชฟที่ดีจะไม่ทิ้งอาหารของตัวเองไปง่ายๆ
เมื่อมินจุนเดินเข้ามาใกล้ คาย่าก็แหงนหน้ามอง เธอน่าจะสูงสักประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรได้ ขนาดเธอใส่ส้นสูงยังเตี้ยกว่าระดับสายตาของมินจุนประมาณครึ่งคืบ
“รู้จักการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมมั้ย”
“อะไร”
มินจุนมองไปที่ซุปลูกชิ้นปลาดุกของตัวเองและทังซูยุกปลาดุกของคาย่า คาย่าจึงหัวเราะออกมา
“แลกกันกินน่ะเหรอ”
“ใช่แล้ว”
“ถ้าของนายไม่อร่อยล่ะ”
“แต่กรรมการบอกว่าอร่อยนะ”
คาย่าทำหน้าไม่สบอารมณ์ แต่คำพูดที่เธอเอ่ยขึ้นมากลับตรงกันข้ามกับสีหน้า
“ก็ได้ ลูกชิ้นปลาดุกหนึ่งลูกต่อเนื้อปลาดุกหนึ่งชิ้น”
“เป็นข้อเสนอที่สมเหตุสมผลดี”
มินจุนเดินเข้าไปใกล้แล้วใช้ส้อมจิ้มเนื้อปลาดุกจากจานของคาย่าขึ้นมากิน ช่างเป็นอาหารที่สมกับได้เจ็ดคะแนนจริงๆ มันไม่ใช่อาหารที่วิเศษเลิศเลอ แต่เป็นอาหารที่มีพื้นฐานครบถ้วนสมบูรณ์ ซอสมีรสชาติเข้มข้น มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซ่อนอยู่ อาจจะใส่สมุนไพรบางอย่างลงไป เนื้อปลาดุกสุกกำลังพอดี ทั้งนุ่มและฉ่ำน้ำ ลักษณะเฉพาะตัวของเนื้อปลาดุกนั้นจะเละง่ายเหมือนกับเต้าหู้ที่ถูกทิ้งไว้นานๆ แต่นี่ไม่ใช่เลย ซอสชุ่มแป้งที่เคยกรอบช่วยทำให้มีรสสัมผัสที่เหนียวนุ่ม เนื้อปลาที่กลมกล่อมเข้ากันได้ดีกับซอสเปรี้ยวหวาน
มินจุนมองดูหน้าต่างสูตรอาหารที่เด้งขึ้นมา ไม่มีอะไรต่างไปจากทังซูยุกทั่วไปสักเท่าไหร่ มันเป็นสูตรที่พบได้ตามอินเตอร์เน็ต ใช้เลมอนลดกลิ่นคาว ใช้แป้งมันผสมกับแป้งมันฝรั่งในอัตราส่วนเจ็ดต่อสาม นำเนื้อปลาลงไปคลุกแล้วทอด จากนั้นก็ทำซอสโดยการใส่น้ำส้มสายชู น้ำตาล ซีอิ๊วปรุงรส และน้ำผสมกับแป้งมัน เคี่ยวให้เข้ากัน จากนั้นก็ใส่ผักกับพริกป่นลงไป
การที่ได้เจ็ดคะแนนทั้งที่ซอสไม่มีอะไรพิเศษเลยก็หมายความว่าเธอทำอาหารโดยใช้ความรู้สึกเป็นหลัก
“อร่อยดีนะ”
“ของนายก็เหมือนกัน”
พอได้ฟังคำชมจากคาย่า มินจุนก็ดีใจ คนที่เคยเห็นแต่ในทีวีกำลังกินอาหารของเขาและบอกว่าอร่อย
เขารู้สึกเหมือนเข้าใกล้ความฝันอีกหนึ่งก้าว แต่แล้วเขาก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าความฝันของเขาคืออะไร ระหว่างการทำอาหารที่อร่อย หรือการได้กลายเป็นเชฟที่มีชื่อเสียง
“ขอกินอีกลูก”
“หือ”
“ฉันจะกินลูกชิ้นของนายอีกลูกนึง นายก็กินเนื้อปลาดุกของฉันไปอีกชิ้นนึงซะ”
มินจุนยิ้มแล้วจิ้มเนื้อปลาดุกขึ้นมาอีกชิ้น ไม่ว่าทำอาหารอร่อยหรือเป็นเชฟที่มีชื่อเสียง แค่ได้ทำอาหารด้วยความรู้สึกแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมแล้ว