• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่มที่ 29 ตอนที่ 1

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    บทที่1เดินเข้าหาความตาย

    ตอนเช้าตรู่ หนิงเชวียออกจากบ้านสกุลเฉา เดินไปยังถนนจูเชวี่ย ทิ้งเจิงจิ้งสองสามีภรรยาที่มีสีหน้าเป็นกังวลและเฉาเหล่าไท่เหยียที่นิ่งเฉยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไว้

    เฉาเสี่ยวซู่นำหลิวอู่และทหารม้าค่ายเซียวฉีออกจากฉางอันไปแล้ว บ้านสกุลเฉากลับไม่เงียบเหงาเพราะคำสั่งจากราชสำนักจำนวนมากส่งผ่านจากที่นี่ไปยังทุกเขต ประกอบกับรับชาวบ้านลี้ภัยมาหลายสิบคน บ้านสกุลเฉาช่วงหลายวันมานี้จึงคึกคักยิ่ง

    ทว่าวันนี้บ้านสกุลเฉาเงียบมาก เพราะตั้งแต่เช้าพวกคนรับใช้และชาวบ้านลี้ภัยในบ้านล้วนได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวและได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง แรกสุดทุกคนได้ยินเสียงระฆังดังไปทั่วเมือง จากนั้นได้ยินเสียงลมและเสียงดาบ ตามติดมาด้วยเสียงสายฟ้า เสียงลมหิมะ เสียงฝน และเสียงระเบิด จนกระทั่งเห็นเมฆหิมะที่เผาไหม้บนท้องฟ้า ความหวาดกลัวบังเกิดขึ้นเพราะไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอะไร ตอนที่หนิงเชวียมาที่นี่แล้วจากไป ทุกคนรู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้อยู่เหนือระดับโลกิยะ เหตุนี้จึงรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเดิม

    ในบ้านสกุลเฉามีขุนนางของราชสำนัก มีชาวบ้านผู้หนีภัยสงคราม มีคนของพรรคมัจฉามังกรที่ห้าวหาญ แต่พวกมันล้วนเป็นคนธรรมดา พวกมันไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้

    บ้านสกุลเฉาถูกปกคลุมด้วยความเงียบเป็นเวลานาน ชาวบ้านลี้ภัยต่างกอดลูกของตนด้วยความกังวล ส่งเสียงฮือๆ ออกมาเล็กน้อยด้วยความหวาดกลัว เฉาเหล่าไท่เหยียและเจิงจิ้งสองสามีภรรยานั่งอยู่ที่โต๊ะ สีหน้าแสดงอารมณ์ต่างๆ กัน

    ในที่สุดก็มีคนที่ทนไม่ไหว คนแรกที่ลุกขึ้นยืนไม่เหนือไปจากความคาดหมายของเฉาเหล่าไท่เหยีย เหล่าไท่เหยียมองฝ่ายตรงข้ามพลางเอ่ยว่า

    “เจ้าน่าจะรู้ดี ถ้าไปก็คือรนหาที่”

    ฉีซื่อเหยียเอ่ยตอบว่า

    “ท่านลุงรอง เมื่อใดหรือที่ท่านเคยเห็นข้ากลัวตาย”

    เฉินชีที่นั่งเงียบอยู่ริมหน้าต่างหันหน้ากลับมามองแล้วขมวดคิ้วแสดงว่าไม่เห็นด้วย กำลังจะเอ่ยปากยับยั้ง เฉาเหล่าไท่เหยียกลับโบกมือไล่

    “อยากไปก็ไป เรื่องรนหาที่ตายนี้คงไม่จำเป็นต้องให้ตาแก่อย่างข้าเห็นด้วย”

    ฉีซื่อเหยียยิ้มแล้วยิ้มอีก หันกายพาคนในพรรคหลายสิบคนออกจากบ้านสกุลเฉา

    เฉินชีนิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนเอ่ยว่า

    “เปล่าประโยชน์”

    เฉาเหล่าไท่เหยียรู้ว่ามันพูดถึงอะไร การต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนถนนจูเชวี่ยในตอนนี้นับแต่แรกเริ่มก็อยู่เหนือขอบเขตของด่านทั้งห้า พลังของคนธรรมดาไม่ส่งผล หากสถานศึกษาเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งผู้นั้นไม่ได้ เช่นนั้นต่อให้พรรคมัจฉามังกรหรือกระทั่งคนทั้งฉางอันตายเกลี้ยงก็ไม่อาจยับยั้งฝ่ายตรงข้าม

    เฉาเหล่าไท่เหยียเอ่ยว่า

    “คนเรามักต้องการความช่วยเหลือ หรือพูดอีกอย่างก็คือหวังว่าจะมีคนมาช่วยเหลือ เซียนเซิงสิบสามแม้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่ข้าคิดว่ามันก็ปรารถนาที่จะเห็นคนในฉางอันอย่างพวกเราไปช่วยมันอีกแรง”

    “ช่วยไปแล้วไม่เกิดผลก็เปล่าประโยชน์”

    “หากเจ้าอารามเป็นเทพเซียนจริง มันมองแค่ครั้งเดียวคนธรรมดาอย่างพวกเราก็ตายแล้ว แต่ขอเพียงทำให้มันต้องมองมากขึ้น เรื่องนี้ก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีประโยชน์”

    เฉาเหล่าไท่เหยียเอ่ยด้วยสีหน้าที่สงบและผ่อนคลาย

    “ต่อให้เป็นอย่างที่เจ้าว่า พวกเราไปที่นั่นแล้วไม่มีประโยชน์ แต่ขอเพียงพวกเราไปที่นั่น ความจริงก็ถือว่ามีประโยชน์แล้ว”

    เจิงจิ้งต้าเสวียซื่อเข้าใจความหมายของคำพูดนี้เป็นคนแรก จึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

    เฉาเหล่าไท่เหยียเอ่ยว่า

    “สถานศึกษาคือสถานศึกษาของต้าถัง ต้าถังคือต้าถังของสถานศึกษา ทั้งราชสำนักและราษฎรของต้าถังต่างเคารพสถานศึกษาเป็นอย่างสูง ทุ่มเทสุดกำลังเพื่อสนับสนุน แต่เจ้าเคยเห็นชาวถังเกรงกลัวสถานศึกษาหรือเห็นว่าตนเป็นข้าทาสบริวารของสถานศึกษาหรือไม่… ได้รับการคุ้มครองดุจเดียวกัน แต่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับแคว้นอื่นๆ ที่ถูกอาศรมเทพกดขี่ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้น่ะรึ ก็เพราะกฎที่สถานศึกษาและจอมปราชญ์ตั้งขึ้นมา แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือท่าทีของพวกเราชาวถังเอง

    พวกเราไม่ใช่สุกรสุนัขอย่างแคว้นเยี่ยน แคว้นหนานจิ้น หรือแคว้นซ่งที่นิกายเต๋าชุบเลี้ยง พวกเราเป็นเจ้าของดินแดนผืนนี้ ดังนั้นพวกเราจึงควรออกไปปรากฏตัว แม้ว่าต้องตายก็ตาม”

    เฉินชีคือกุนซือของพรรคมัจฉามังกร เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ แต่ขาดประสบการณ์ในการเข้าสนามรบ การตัดสินใจจึงคำนึงถึงผลที่ได้จากการกระทำการเป็นอันดับแรก ยามนี้ได้ฟังคำพูดของเหล่าไท่เหยียจึงดูเหมือนได้ข้อคิด

    “ในเมื่อจะตายก็ต้องเป็นพวกคนชราอ่อนแอที่ตายก่อน ข้าอยู่มาเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว สมควรตายได้แล้ว”

    เฉาเหล่าไท่เหยียประคองร่างที่สั่นเทาลุกขึ้นยืน รับไม้เท้ามาจากสาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง แล้วเดินออกไปข้างนอกโดยมีคนรับใช้ชราคนหนึ่งช่วยประคอง

    เจิงจิ้งต้าเสวียซื่อเอ่ยว่า

    “ข้าก็แก่แล้วเหมือนกัน ควรตามท่านลุงรองไป”

    จากนั้นเป็นภรรยาของเจิงจิ้ง

    “ข้าเป็นสตรีที่ไร้ค่า สมควรไปที่นั่นมากที่สุด”

    เฉาเหล่าไท่เหยียบอกเฉินชีให้หาคนมาดูแลสองสามีภรรยาให้ดีก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า

    “ถ้าให้หนิงเชวียเห็นพ่อตาแม่ยายมันถูกข้าหลอกให้ไปตาย ข้าก็กลัวจริงๆ ว่ามันจะมีโทสะจนละทิ้งหน้าที่ของตน”

    ศาลาชุนเฟิงวันนี้ไม่มีลมวสันต์ มีแต่เกล็ดหิมะหนาวเย็นโปรยปราย ประตูหน้าของบ้านสกุลเฉาเปิดกว้าง เฉาเหล่าไท่เหยียพาคนรับใช้ที่แก่ชราและชาวบ้านลี้ภัยที่แก่ชราจำนวนหนึ่งเดินไปบนถนน

    เฉาเหล่าไท่เหยียถือไม้เท้า เดินไปพลางเคาะประตูไปพลาง เรียกเพื่อนพ้องและนำพาผู้คนตะโกนเรียกเพื่อนบ้านที่รู้จักมักคุ้นกันมาเป็นเวลาหลายสิบปีให้ออกจากบ้าน

    “ขอเพียงคนแก่คนเฒ่าไม่ตาย คนหนุ่มคนสาวก็ไม่ต้องออกไป”เฉาเหล่าไท่เหยียกล่าว สีหน้าไม่เคร่งขรึม และไม่ได้แสดงอาการเศร้าโศกแต่อย่างใด กลับยิ้มแย้มราวกับว่าเรียกให้คนชราเหล่านี้ไปทะเลสาบซีหูเพื่อดื่มชาและเล่นหมากล้อม

    ชาวถังล้วนห้าวหาญ ผู้ชราเหล่านี้แต่ละคนล้วนเคยเป็นทหารมาก่อน การเดินขบวนไปถนนจูเชวี่ยครั้งนี้สำหรับพวกมันแล้วก็เหมือนการเดินทัพไปสนามรบในกาลก่อน

    ราวกับนี่เป็นเรื่องธรรมชาติ

    พวกมันถึงกับคล้ายรู้สึกว่าตนได้กลับไปอยู่ในกองทัพในอดีต รู้สึกฮึกเหิมมาก

    เฉินชีดูแลจัดการเรื่องเจิงจิ้งสองสามีภรรยาเรียบร้อยแล้วก็รีบวิ่งออกจากบ้านสกุลเฉาตามเหล่าไท่เหยียไป พอเห็นเงาร่างที่เต็มไปด้วยความห้าวหาญดุดันของผู้ชราผมหงอกหลายสิบคนและลูกหลานของพวกมัน เฉินชีพลันยิ้มเยาะอย่างขมขื่น คิดในใจว่าผู้คนหลั่งไหลกันมามากมายขนาดนี้เพียงเพื่อให้เทพเซียนผู้นั้นต้องมองมากขึ้นอีกหน่อย ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลาเบาปัญญาจริงๆ แต่แม้คิดเช่นนี้ เท้าของมันมิได้ช้าลง เพียงไม่นานก็ขึ้นนำหน้าฝูงชน ช่วยประคองเฉาเหล่าไท่เหยียแทนคนรับใช้ชราคนนั้น

    ไม่มีทางเลือก ใครใช้ให้มันเกิดเป็นชาวถังเล่า บางครั้งชาวถังก็โง่เขลาเบาปัญญาอย่างนี้เอง

    หน้าที่แล้ว1 of 3

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook