บทที่ 1 ธงขาวกลางสายฝน
หนิงเชวียอาศัยอยู่ที่เมืองเว่ยมานาน ย่อมรู้ดีถึงความสำคัญของที่ราบเซี่ยงหวั่น
สงครามของโลกมนุษย์ในครั้งนี้แบ่งออกเป็นสองชั้น สถานศึกษาต่อกรกับปีศาจสุรา คนขายเนื้อ เทพกระบี่หลิ่วไป๋ รวมถึงยอดฝีมือผู้เร้นกายของนิกายเต๋า ส่วนศัตรูที่เหลือต้องให้ทหารม้าชุดเกราะของต้าถังกวาดล้าง
ทหารม้าชุดเกราะของต้าถังคือทหารม้าที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ขอเพียงปรับตัวเข้ากับสนามรบได้ก็สามารถสังหารผู้ฝึกฌานที่อยู่ภายในด่านทั้งห้าได้ทั้งหมด สถานการณ์หน้าหุบเขาชิงสยาเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง เพราะโลกนี้ไม่มีสถานศึกษาแห่งที่สอง ศิษย์ชั้นสองของสถานศึกษาเหล่านั้นก็หาไม่ได้อีกแล้ว ถ้าต้าถังรับปากเงื่อนไขของอาศรมเทพจริงโดยตัดแบ่งที่ราบเซี่ยงหวั่นให้เผ่าจินจั้งก็เท่ากับตัดแขนทั้งสองข้างของตัวเอง ละทิ้งอาวุธที่ดีที่สุดของตัวเอง
ไม่ว่าอย่างไรหนิงเชวียก็ไม่ควรรับปากเงื่อนไขนี้ แต่มันรู้ดีว่าหัวใจสำคัญที่สุดในการเจรจาของอาศรมเทพครั้งนี้ รวมถึงเป้าหมายที่แท้จริงในการปรากฏตัวที่ฉางอันของปีศาจสุราคือที่ราบเซี่ยงหวั่น
ตำหนักในยามค่ำคืนเงียบสนิท เช่นเดียวกับพระอัครมเหสี ทุกคนกำลังรอให้หนิงเชวียแสดงท่าที เพราะในเวลานี้ท่าทีของสถานศึกษาเท่ากับท่าทีของต้าถัง
หนิงเชวียยืนขึ้นมองเหล่าขุนนางพลางเอ่ยว่า
“ไปคุยกับฝ่ายตรงข้ามดูก่อน แล้วข้าจะคิดดูอีกที”
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความมั่นคงของแคว้นไม่มีใครสามารถตัดสินใจได้ภายในเวลาอันสั้น
คืนนี้หนิงเชวียกลับบ้านริมทะเลสาบเยี่ยนหมิงแต่ไม่ได้ไปหาเยี่ยหงอวี๋
พอรุ่งเช้า มีเสียงไก่และสุนัขตามถนนหนทาง ไอน้ำลอดออกมาจากช่องประตูร้านซาลาเปาที่ยังปิดอยู่ ก่อนถูกสายลมพัดลงสู่เบื้องล่าง กระทบกับพื้นศิลาทำให้เกิดความชื้น
วันใหม่มาเยือนแล้ว
ราชสำนักเจรจากับคณะทูตของอาศรมเทพต่อตามข่าวที่ส่งมาจากวังหลวง ฝ่ายอาศรมเทพดูแข็งกร้าวผิดปกติต่างจากหลายวันก่อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ราบเซี่ยงหวั่น ไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย
หนิงเชวียรู้ว่าความมั่นใจของฝ่ายอาศรมเทพมาจากไหนมันโบกมือให้คนของหน่วยเทียนซูออกไป จากนั้นลุกขึ้นจากเตียง กินโจ๊กชามหนึ่งก่อนเดินไปที่สวนดอกเหมย ผลักเปิดประตูเรือนรับรองแล้วเดินเข้าไป
เยี่ยหงอวี๋ชอบอาบน้ำในตอนเช้า เพราะนางชอบความสดชื่นตลอดวัน ตอนที่หนิงเชวียเดินเข้ามาในห้องนางเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เส้นผมที่เปียกชื้นประบ่าที่เปลือยเปล่า หยดน้ำจากปลายผมพอดีหยดลงที่หน้าอก
เยี่ยหงอวี๋มองมันคราหนึ่งก่อนเดินไปหน้ากระจกแล้วเริ่มหวีผม
“ตัดสินใจได้แล้ว?”
เส้นผมถูกหวีจากด้านหน้าไปสู่ด้านหลังของศีรษะตามการหวีของนางซึ่งเห็นได้ชัดจากในกระจก
หนิงเชวียถามว่า
“ตัดสินใจอะไร”
“ลงนามในสัญญา”
หนิงเชวียส่ายหน้า เยี่ยหงอวี๋เห็นท่าทางที่มันส่ายหน้าในกระจก มือที่จับหวีอยู่พลันชะงัก
“ข้าคิดว่าเจ้าตัดสินใจแล้ว จึงไม่ค่อยสุขใจนัก เลยจะมาย่ำยีข้าเสียอีก”
หนิงเชวียเอ่ยว่า
“แม้เจ้าหน้าตาน่ามองมาก…”
“แต่อย่าได้คิดสวยหรูเกินไป”
“อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยคิด”
“ข้าไม่ได้ใส่เสื้อผ้า เจ้ากลับจ้องมองข้า เช่นนี้เจ้าคิดอะไร”
“นี่คือบ้านข้า อีกอย่างที่บ่อโคลนในทุ่งร้าง ข้าเคยเห็นเจ้าเปลือยกายแล้ว”
เยี่ยหงอวี๋ถามเสียงเรียบว่า
“จริงสิ ยังไม่เคยถามเจ้าเลยว่าน่ามองไหม”
หนิงเชวียครุ่นคิดก่อนตอบ
“เรือนร่างของเจ้าเย้ายวนใจมากจริงๆ แต่เมื่อนึกถึงชุดหน่วยพิพากษาและไหมทองที่อยู่ใต้ผิวหนังของเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่มีความสนใจใดๆ”
เยี่ยหงอวี๋ลุกขึ้นหยิบชุดหน่วยพิพากษาสีโลหิตมาสวมแล้วเริ่มเขียนคิ้วหน้ากระจก
ชุดหน่วยพิพากษาที่รวบรวมกลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์และโหดเหี้ยมปกคลุมร่างกายที่ขาวนุ่มนวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนิงเชวียรู้ว่าใต้ชุดนั้นไม่มีอะไรอื่นเลย จึงยิ่งดูยั่วใจ นางไม่ได้สวมชุดชาวบ้านแล้วเพราะตอนนี้นางคือต้าเสินกวนหน่วยพิพากษา
“ต้าถังไม่มีทางรักษาที่ราบเซี่ยงหวั่นไว้ได้ อาศรมเทพสามารถอ่อนข้อให้ในทุกด้าน แต่ที่ราบเซี่ยงหวั่นไม่อาจอ่อนข้อไม่เช่นนั้นสงครามของการบุกโจมตีต้าถังในครั้งนี้ก็เท่ากับไร้ความหมาย”
หนิงเชวียมองแท่งถ่านเขียนคิ้วที่วาดเบาๆ อยู่ที่คิ้วนางพลางเอ่ยว่า
“มีชีวิตอยู่ไม่ใช่เพื่อ…”
ไม่รอให้มันพูดจบ เยี่ยหงอวี๋เอ่ยตัดบทว่า
“คนในสถานศึกษามีชีวิตอยู่เพื่อความสุข แต่คนส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์อาศรมเทพจำเป็นต้องมีสิ่งตอบแทนให้แคว้นต่างๆ”
“ข้าคิดว่าเงื่อนไขอื่นๆ ก็เพียงพอให้ตอบแทนแล้ว”
เยี่ยหงอวี๋วางแท่งถ่านเขียนคิ้ว หยิบกระดาษสีชาดออกจากกล่องเครื่องประทินโฉม มองหนิงเชวียในกระจกพลางเอ่ยว่า
“เช่นนั้นอาศรมเทพจะตอบแทนตนและตอบแทนเฮ่าเทียนอย่างไร”นางเม้มปากเบาๆ บนกระดาษชาดจนริมฝีปากงามผุดผาดราวเหมยแดง ก่อนหันมามองหนิงเชวียก็ฉีกกระดาษชาดออกเป็นสองส่วน
“พวกเราเข้าใจดีว่าหากรอให้ต้าถังและสถานศึกษาฟื้นฟูกำลังได้ สัญญาใดๆ ล้วนเป็นแค่เศษกระดาษ พวกเราไม่อาจให้ต้าถังแข็งแกร่งต่อไป ดังนั้นที่ราบเซี่ยงหวั่นต้องเป็นของพวกเรา”