• Connect with us

    Enter Books

    ซยงหนู

    ทดลองอ่าน ซยงหนู ทัณฑ์สวรรค์ อาถรรพ์ต้องสาป เล่ม 1 บทที่ 3-4

    ‘ท่านข่านผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากฟ้า ประสงค์จะนำกองกำลังของจักรวรรดิซยงหนูหวนคืน จำต้องได้เทียนฉีเพื่อครอบครองใต้หล้า แต่เพราะดาบพกของท่านข่านที่ผนึกเทียนฉีสาบสูญ จึงไม่อาจเปิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดแตะต้องดาบพกของท่านข่านตามอำเภอใจ แม้นไม่ส่งคืนกลับในเวลาที่กำหนด จักต้องตายด้วยน้ำมือทหารกล้าแห่งซยงหนู’

     

    ทุกครั้งเวลาผมพูดคุยกับเพื่อนฝูงถึงเรื่องที่ผมประสบพบเจอในช่วงเวลานี้ พวกเขาต่างก็ล้วนปั้นหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘ข้าเข้าใจดีว่าเอ็งอกสั่นขวัญแขวนแค่ไหน’ ‘ข้าเองก็เคยกลัวขี้ขึ้นหัวแบบนั้นเหมือนกัน’ ผมได้แต่แอบนึกด่า ‘บัดซบ!’ อยู่ในใจเสียทุกครั้ง

    ผมจัดการรื้อค้นตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำที่เคยรื้อค้นมาก่อนหน้านี้อีกรอบ ถึงขนาดยอมคลี่ผ้านวมลงกับพื้น พลิกรื้อฟูกที่นอน ไม้กระดานรองเตียงก็ไม่มีเว้น…แต่ผลลัพธ์ก็คือไม่มีแม้แต่เงาคน ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมคราม รู้สึกเหมือนกับมีใครกำลังทึ้งหนังหัวตัวเองไว้แน่น หลังจากเก็บดาบพกลงกระเป๋าเสร็จผมก็จัดการลงกลอนประตูที่ด้านนอกไว้ถึงสามชั้น แต่ถึงจะทำขนาดนั้นแล้วผมก็ยังไม่วายเดินลงตึกพลางหันหน้ามองกลับไปพลาง แม้จะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองดูอะไรอยู่ก็ตาม การเคลื่อนไหวทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นไปตามจิตใต้สำนึกล้วนๆ

    ระหว่างเดินทางผมโทรศัพท์หาเปาเหยีย บอกให้เขารอผมก่อน อย่าเพิ่งรีบเปิดร้าน

    ในย่านค้าของเก่านี้สายตาของเปาเหยียนับว่าแม่นยำไม่เป็นสองรองใคร ขอเพียงเขาช่วยยืนยัน รับรองว่าไม่มีทางพลาดไปไหนได้ ผมมันก็แค่พวกกระจอกหางแถวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ได้แต่พึ่งพาชาวบ้านให้ช่วยคอยดูแล เก็บกำไรเล็กๆ น้อยๆ กินเป็นรายได้เสริม ต่างกับเปาเหยียที่ร่ำรวยกับเรื่องพวกนี้ ว่ากันว่าก่อนหน้านี้เขาซื้อที่ดินผืนใหญ่ไว้ที่นอกเมือง ตอนนี้กำลังลงมือสร้างวิลล่าอยู่

    เปาเหยียแม้จะสายตาเป็นเลิศ มีการค้าใหญ่โต อีกทั้งยังรู้จักวิธีซิกแซ็กราวกับมองดูลายมือตัวเอง แต่ก็มีอยู่จุดหนึ่งที่ผมไม่ค่อยปลื้มเขานัก นั่นก็คือเขาเป็นคนไร้สำนึกถูกผิด นอกจากผลประโยชน์ส่วนตนแล้วเขาไม่นึกสนใจอะไรทั้งนั้น ผมเคยเห็นเขาหลอกลุงแก่ๆ ที่มาจากบ้านนอกคนหนึ่งกับตา เมื่อหลายปีก่อนตอนครอบครัวของลุงคนนั้นกำลังสร้างบ้าน พวกเขาขุดเจอวัตถุประหลาดเก่าๆ ชิ้นหนึ่งจากใต้ดิน เนื่องด้วยเชื่อว่าเป็นของดีเป็นของมงคล ชายแก่จึงเก็บไว้กับตัวมาโดยตลอด แต่คราวนี้เพราะลูกสะใภ้ป่วยเข้าโรงพยาบาล จำเป็นต้องใช้เงิน เลยเอามาปล่อยที่ร้านที่ใหญ่ที่สุดในย่านค้าของเก่าซึ่งก็คือร้านของเปาเหยียแห่งนี้นั่นเอง เปาเหยียแกล้งหลอกว่าของเก่าสมัยจั้นกว๋อนั้นเป็นของใหม่ที่ทำเลียนแบบขึ้น หนำซ้ำยังวางท่าเหมือนไม่อยากได้ ก่อนจะรับซื้อไปในราคาแค่พันเดียว ขนาดลุงแกบอกว่าลูกสะใภ้ป่วยเข้าโรงพยาบาลรีบร้อนใช้เงิน ขอให้เขาเพิ่มให้อีกสักพันเขาก็ยังไม่ยอม

    ของยังจับไม่ทันร้อน บ่ายวันนั้นเขาก็สามารถขายให้กับเจ้าของรถทะเบียนหมายเลข xx0000x ไปในราคาสองหมื่นเหรียญสบายๆ หลังจากคนคนนั้นไป เปาเหยียก็คุยโม้ให้ผมที่กำลังหัดเรียนรู้วิธีทำการค้าจากเขาฟังอีกด้วยว่า ‘ทะเบียนรถนี้แค่ขับเข้ามาก็รู้แล้วว่าเป็นพวกข้าราชการ พวกนี้ชอบเปลี่ยนเงินสกปรกให้กลายเป็นของชิ้นเล็กๆ เพราะปลอดภัย หนำซ้ำยังเรียกราคาได้ด้วย’

    แต่ที่เปาเหยียนึกไม่ถึงคือหลังจากนั้นแค่ไม่กี่วัน เจ้าของทะเบียนรถหมายเลข xx0000x ก็พาเจ้าหน้าที่จากสารพัดแผนกมาหาเรื่องเขาไม่หยุด เปาเหยียถามว่าเรื่องราวเป็นมายังไงกันแน่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบ ไม่ว่าจะยัดซองแดงหรือวิ่งเต้นยังไงก็ไม่เกิดผล สุดท้ายก็ต้องอาศัยความสัมพันธ์ของอาจารย์ที่ปรึกษาของผมช่วยยุติเรื่องดังกล่าว จะว่าไปเรื่องมันก็บังเอิญอยู่ไม่ใช่น้อย เจ้าของรถคันนั้นกับชายแก่ดันเป็นญาติห่างๆ กัน เงินพันเหรียญไม่พอค่ารักษา ลุงแกเลยไปบ้านญาติที่เป็นข้าราชการคนนี้เพื่อขอยืมเงิน หลังจากบังเอิญได้เห็นของของตัวเองเข้า คุยกันอยู่พักหนึ่งถึงได้รู้ว่าตัวเองถูกเปาเหยียหลอกเอาเสียแล้ว

    นับตั้งแต่นั้นไม่ว่าเรื่องอะไรเปาเหยียก็จะไว้หน้าผมสามส่วน และสามารถรบกวนไหว้วานเขาได้เกือบทุกเรื่อง จะเว้นก็อยู่เรื่องหนึ่งคือห้ามพูดถึงแหวนหยกหักครึ่งในมือเขาเด็ดขาด หากมีใครถามเรื่องนี้ขึ้นมาโดยบังเอิญละก็ ต่อให้ตอนนั้นเมาปลิ้นเขาก็ยังพร้อมจะชักหน้าใส่อีกฝ่ายได้อยู่ แหวนประหลาดนี้อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเปาเหยียมานาน ตอนยังอยู่ในสภาพดีน่าจะจัดได้ว่าเป็นแหวนหยกเนไฟรต์* ชั้นเลิศ น่าเสียดายที่อยู่ในมือเขาเพียงครึ่ง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งไม่รู้เขาใช้วัสดุอะไรเสริมเติมเข้าไป จนถึงทุกวันนี้เปาเหยียก็ยังครองตัวเป็นโสด แม้แต่แฟนสาวก็ยังไม่เคยมีใครเห็น ผมเชื่อว่าคงเกี่ยวข้องกับแหวนหยกอีกครึ่งแน่ๆ

    ตอนรถแท็กซี่จอดลงตรงย่านค้าของเก่า เปาเหยียกำลังดึงประตูเหล็กม้วนขึ้น หัวล้านกลมป๊อกดูมันวับเป็นประกายสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้า

    เปาเหยียเดิมไม่ได้แซ่เปา สมญานามนี้ได้มาจากหัวล้านกลมเกลี้ยงของเขาล้วนๆ บนหัวเขามีหนังแข็งยับย่นอยู่จุดหนึ่ง ว่ากันว่าเพราะตอนเด็กแอบไปขโมยของเลยถูกชาวบ้านทุบตีเอา และเพราะหนังแข็งยับย่นนั่นดูเหมือนซาลาเปาของร้านขายซาลาเปาที่อยู่ตรงหัวถนน พวกคนแก่สมัยนั้นจึงมักล้อเล่นกับหัวล้านๆ ราวกับซาลาเปาของเขา ในที่สุดคำว่า ‘เปาจื่อ’ ก็ถูกเรียกกันจนติดปากกลายเป็นชื่อของเขาไปในที่สุด

    หลังจากมือขึ้นกับการทำการค้า เปาจื่อก็กลายเป็นเปาเหยีย

    หากเอาเปาเหยียเป็นตัวอย่าง ถ้าผมโชคดีมือขึ้นบ้าง บางทีวันหน้าชาวบ้านอาจเรียกผม ‘จินเหยีย’ หรือไม่ก็ ‘อิ้นเหยีย’ หรือไม่ก็อาจเรียกผมว่า ‘เสี่ยวเหยีย’ ก็เป็นได้ เรื่องที่ชาวบ้านจะเรียกขานใครด้วยคำพูดแบบไหนมันก็ขึ้นอยู่กับว่าฐานะของคนคนนั้นในเวลานั้นเป็นยังไง

    “มาแล้วเหรอเสี่ยวอิ้น” พอเห็นผมกำลังเดินเข้าไปหา เปาเหยียก็ชำเลืองมองไปยังกระเป๋าเป้ที่ผมแบกติดตัวมาด้วย เขาไม่พูดอะไรนอกจากให้ผมตามเข้าไปในร้าน เขาปิดประตูลงกลอนประตูไม้ชั้นใน หย่อนเมล็ดข้าวลงไปในกรงนก เสร็จแล้วก็ไปชงชามากาหนึ่งด้วยท่าทีสบายๆ ไม่รีบร้อน ปากก็พึมพำพูด “เพื่อนฉันไปอันซีมา ชาทิกวนอิม* ชั้นเลิศนี่เป็นของฝากจากเขา ยังไม่ได้แกะห่อเลย พวกเรามาลองชิมกันเถอะ”

    พวกเราต่างไม่มีใครเห็นใครเป็นคนนอก ผมพูดกระเซ้า “คุณเพิ่งสามสิบห้าเท่านั้น ทำไมถึงชอบกิจกรรมอย่างเลี้ยงนกดื่มชายังกับคนแก่อายุเจ็ดแปดสิบแบบนี้ได้”

    เปาเหยียยิ้มแห้งๆ “อายุสามสิบห้า หึๆ อาจเพราะอยู่กับของเก่ามานานไปหน่อยมั้ง นิสัยก็เลยถูกขัดเกลากลายเป็นชอบอยู่อย่างสงบๆ ไม่อยากสุงสิงกับใคร ไว้นายอยู่บนถนนเล็กๆ ไม่สะดุดตานี้อีกสักสองสามปี ถึงตอนนั้นดีไม่ดีนายอาจคร่ำครึหัวโบราณกว่าฉันก็เป็นได้” เขาพูดพลางหยิบเอาดาบพกที่ถูกห่อเก็บอยู่ในผ้าชามัวร์ที่ผมวางไว้บนโต๊ะไปดู

    ทันทีที่แกะผ้าชามัวร์ออกผมก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าท่าทางสบายอกสบายใจของเขาเมื่อครู่จู่ๆ หายลับไปเสียดื้อๆ สีหน้าเขาในเวลานี้ดูจริงจังขึ้นหลายส่วน เปาเหยียขยับดาบพกไปมาช้าๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งสายตาเขาก็ไปหยุดอยู่บนตัวอักษรยึกยือที่อยู่ทางด้านล่างของด้ามดาบ ผมสังเกตเห็นตัวอักษรกับรูปภาพพวกนั้นก่อนหน้าแล้ว และถึงเคยสงสัยว่าน่าจะเป็นของพวกชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่มั่นใจ

    เปาเหยียนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบเอาแว่นขยายกับผ้ากำมะหยี่เนื้อละเอียดออกมา เขาใช้ผ้ากำมะหยี่เช็ดเบาๆ ไปบนร่องตัวอักษร ตาข้างหนึ่งหรี่ลง ตาอีกข้างจับจ้องอยู่บนรอยเส้นด้านบน เขาดูมันซ้ำไปซ้ำมาอยู่สิบกว่า

    นาที ผมดีใจเมื่อเห็นมุมปากเขายกขึ้นน้อยๆ เปาเหยียค่อยๆ วางมันลงบนผ้าชามัวร์ที่ปูอยู่บนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ปากก็พร่ำพูดไม่หยุด “สมบัติวิเศษๆ”เขาไม่ได้อธิบายอะไรออกมา กลับทำเพียงถามผม “นายไปได้มันมายังไง แล้วดาบพกเล่มนี้เป็นของใคร”

    * หยกเนไฟรต์ (nephrite) คือ ชื่อของหยกชนิดหนึ่ง มีลักษณะเนื้อทึบ สีเข้ม และแข็งแกร่งกว่าหยกชนิดอื่น

    * ทิกวนอิม หรือ เถี่ยกวนยิน คือ ชาชั้นยอดในตระกูลชาอู่หลง มีต้นกำเนิดมาจากเมืองอันซี มณฑลฟูเจี้ยน

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in ซยงหนู

    นิยายยอดนิยม

    Facebook